Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
>>>(( เรื่องนี้ไม่มีชื่อ ))<<< ติดต่อทีมงาน

เรื่องนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับว่าจะใช้ชื่อว่าอะไรดี ไม่ได้ตั้งไว้เเบบนี้เพื่อแฝงความนัยอะไร เพียงแต่ถ้าหากเขียนมันจนจบลงได้อาจจะนึกชื่อที่เหมาะสมเขียนลงไป  ผมแบ่งเรื่องนี้ออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกกับส่วนที่สามหรือท่อนจบเขียนเสร็จแล้ว หากเเต่ท่อนที่สองซึ่งเป็นท่อนเชื่อมมันเขียนไม่ได้เสียที หากเขียนจบได้ความยาวคงไม่เกิน25กระดาษA4 จะเอาลงในกระทู้เดียวทั้งหมด ผมเอางานมาลงที่นี่ก็หวังว่าจะได้เเรงบันดาลใจจนเขียนจบก็ได้









ผู้คนในชุดแต่งดำไว้ทุกข์ต่างแห่แหนมุ่งหน้าเข้าสู่ศาลาเพื่อฟังสวดพระธรรมศพคุณยายเศรษฐีนีกับหลานชายผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งของทุกหนังสือพิมพ์ ทิ้งไว้แต่ทรัพย์สินก้อนโตให้กับหลานสะใภ้หรือผู้เป็นภรรยาได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

การตายอย่างผิดธรรมชาติของคู่ยายหลานมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ ก่อให้เกิดเสียงซุบซิบในที่ลับตาถึงพฤติกรรมของสะใภ้ผู้มีสิทธิ์รับผลประโยชน์ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว คนยังพูดถึงหนุ่มนักศึกษาลึกลับที่มักมีผู้พบเห็นปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งในบ้านของพวกเขาล้วนเป็นข้อกังขาให้ผู้คนในสังคมมีต่อผู้เป็นสะใภ้คนนี้ยิ่งนัก

เสียงสวดพระอภิธรรมเริ่มขึ้น เวลาค่ำคืนเช่นนี้ที่พระจันทร์ยังซ่อนเร้นหลังหมู่เมฆ

ลานวัดมีตอไม้เก่าผุพังของต้นทองกวาวที่ฝังรากลึกมากว่าครึ่งศตวรรษ รถยนต์แล่นอย่างไม่ระวังเหยียบมันพังสลาย    รถราและผู้คนยังคงทยอยเข้ามาภายในวัดอย่างเนืองแน่นด้วยผู้ตายครั้งยังมีชีวิตเป็นเศรษฐีนีใจบุญชอบช่วยเหลือสังคม

พวงรีดถูกนำขึ้นไปในศาลาอย่างรีบเร่งโดยเวลาเดินทางมาถึงกระชั้นชิดนัก ไม่มีใครสนใจเธอคนหนึ่งที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวขวางทางขึ้นศาลาแม้เธอจะกวักมือส่งเสียงพูดจาทักทายก็หามีใครจะแลมอง

หญิงสาวในชุดไทยประยุกต์ลายลูกไม้สีขาวนวล ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวหนามีประกายแจ่มใส ผ้านุ่งไหมยาวเลยน่อง เส้นผมดำเป็นมันเงาทรงบ็อบสั้นแค่คอดูสวยเก๋แต่เรียบง่าย  สร้อยไข่มุกเม็ดงาม สายสะพายประดับยศทำให้เธอดูงามสง่าและสูงค่าเลิศเลอ

เธอยืนอย่างโดดเดี่ยวแม้ท่ามกลางผู้คนเดินกันขวักไขว่

“บุญเรือน..”

เสียงทุ้มนุ่มขานชื่อของเธอมาจากทางเบื้องหลังที่มีเพียงต้นศรีมหาโพธิ์ยืนต้นโดดเดี่ยวแผ่กิ่งก้านบดบังแสงจันทร์จนมืดครึ้ม

เมื่อหันไปมองพลันพิศวง มิมีเลยที่ใครจะมีสำเนียงกระตุ้นดวงใจของเธอให้สั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ เหมือนเคยได้ยินในความฝันหรือในกาลเวลาที่ผ่านมาแสนนาน

ยามเมื่อลมพัดกระดิ่งใต้ชายคาอุโบสถไหวตัวส่งเสียงประสานแหลมดัง

กิ่งไม้โยกครืน ใบไม้ปลิดปลิว ใต้เงื่อมเงาของต้นโพธิ์อับแสงมืดครึ้ม มีชายร่างสูงโปรงในชุดนักศึกษาก้าวเดินออกมา รอยยิ้มเห็นฟันขาวของเขาดูลึกลับอย่างมากมายทำให้เธอตกใจมือทาบอกขวัญผวาเมื่อร่างนั่นพ้นจากเงามืดจนเห็นรูปหน้าคมสันต์   เธอยิ้มได้อย่างโล่งอกเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอกับเขาเลย

“นั่นสนเองเหรอ”

ชายร่างสูงผิวเข้มเดินมาใกล้ในระยะมือเอื้อมถึงกัน

ยามเมื่อจันทร์ไขแสง รอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของชายหนุ่มผิวคมเข้มแบบคนลูกทุ่งจึงถูกเปิดเผย หญิงสาวยิ้มเบิกกว้างอย่างโล่งอกจะนานแสนนานแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันลืมเจ้าของรอยยิ้มนี้ได้เลย  น้ำตามันเอ่อล้นออกมามากมายกับชายคนที่ชาตินี้เธอจะไม่มีวันลืมเลือน

ไวมากที่ร่างสูงใหญ่จู่โจมเข้าประชิดตัวหญิงสาวทางด้านหลัง เธอรีบปัดป้องอย่างมีจริตของผู้หญิง เขาคนนั้นซุกไซ้จมูกทั่วผิวหน้าขาวเนียน ตามซอกคอขาวผ่องของเธออย่างกระหายเหมือนอยากจะกลืนกินหญิงสาวเข้าไปทั้งตัว

“บุญเรือนฉันคอยเธอมานานเหลือเกิน คอยนานจนเกินจะทนไหวแล้ว”

“อย่า..สน เดี๋ยวคนมาเห็นเข้า”

ยิ่งห้ามปราม ดิ้นรน เขายิ่งพัวพันไม่เลิก

ดวงตาของชายหนุ่มผิวเข้มลุกวาวด้วยความโกรธ กัดฟันมองไปยังศาลาที่เหล่าอารยชนนั่งสดับรับฟังสวดพระอภิธรรมกันอย่างเนืองแน่น  “ใครมันจะเห็นก็ช่างปะไร เพื่อนเราคอยเวลานี้มานานแล้วนะ เวลาที่เราสองคนจะเป็นอิสระเสียที เพื่อนอยากจะกอดอยากจะหอมแก้มนุ่มๆ ให้ชื่นใจเหลือเกิน”

“ได้โปรดเถอะสน”น้ำตาของหญิงสาวไหลลงสองแก้ม“เราอยู่กันกลางวัดนะ”

ศพบนศาลาพึ่งทำพิธีคืนแรก คนบนศาลานั่งกันสลอน ใกล้แค่นี้มองลงมาเห็นการกระทำของทั้งคู่ได้เลย เธอรู้สึกละอายแก่ใจตนเองยิ่งนัก น้ำเสียงยิ่งเศร้าสร้อยเพื่อวอนให้เขาเห็นใจ การรุกเร้าปลุกกำหนัดของชายหนุ่มยังมีอย่างต่อเนื่องอย่างไม่แยแสฟ้าดินด้วยแรงใคร่และปรารถนาท่วมท้นราวกับน้ำป่าไหลหลากพัดพาทุกสิ่งให้จมหาย

“ย.อย่า..ได้โปรด!นี่มันในวัดนะรู้จักสำรวมเสียบ้างสิ!”

แม้ปากจะห้ามปรามหากในใจกลับอ่อนระทวยดั่งเทียนต้องไฟลน ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอออกด้วยแฝงลึกแรงปรารถนาเร้นลับเช่นกัน สองแขนที่พยายามแกะเอามือแข็งแรงออกจากเอวคอดของเธอค่อยๆ หมดแรงจะยื้อยุด ปล่อยให้เขาซุกไซ้ซุกซนไปทั่วผิวกายนุ่ม

สองมือหยาบหนาเล้าโลมทั่วจุดกระสัน เสียงลมหายใจขาดห้วงของหญิงสาวยิ่งเพิ่มทวี ชายหนุ่มผิวเข้มยิ่งรุกรานร่างกายสาว  ก่อนจะถลำห้วงลึกในอำนาจกิเลสตัณหา เสียงสวดของพระบนศาลาดังแว่วมากระทบโสตของเธออีกครั้ง

กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ..

“ย.อย่าทำอย่างนี้เลยนะ”

เธอปัดป้องริมฝีปากของเขา สติกลับคืน

ชายหนุ่มขมวดคิ้วแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจอีกคำรบต่อคำสวดเหล่านั้น มองตามหญิงสาวไปบนศาลา ภาพพระสงฆ์ตั้งหน้าเปล่งเสียงสวดด้วยคาถาที่ไม่เป็นมงคลต่อหูของชายหนุ่มเอาเสียเลย มือจับคางของเธอให้หันมามองตาของเขาเพียงเท่านั้น

“อย่าไปฟังคำพวกหัวโล้นห่มเหลืองพวกมันพร่ำเรื่องพวกนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ผิดศีลกาเมอะไรกัน ผิดลูกผิดเมียใครกันเป็นพระก็อยู่ส่วนพระสิ โลกของเรามันไม่เกี่ยวข้องกันกับใครอีกแล้วขอเพียงมีใจรักอยากจะทำอะไรก็ทำ เวลานี้มีเพียงเราเท่านั้นเมื่อเจ้าคนนั่นมันตายไปความรักของเราจะไม่มีใครมาขวางได้อีก ได้ยินมั้ยมันตายไปแล้ว! เราไม่ต้องคออยู่อย่างหลบซ่อนกันอีกแล้ว!”


“สน เพื่อนไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะ ศพบนศาลาพึ่งจะสวดคืนแรกเองขอสนยับยั้งใจไว้บ้างเถอะ เราลำบากใจมากรู้ไหม”ขนตางอนพับลง หลบสายตาคมของชายหนุ่ม ยามนี้เธอควรอยู่ในอาการเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว มิอาจจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์แต่หนหลังกับเขา

คิ้วขมวดตึงด้วยอารมณ์ของสนพลันลดลง บรรจงจูบแก้มนวลที่มีรอยน้ำตาอย่างสุดรักจนรับรสหวานชื่น เวลาที่เขารอคอยเธอมันเนิ่นนานเกินกว่าจะควบคุมความต้องการเอาไว้ได้อีกแล้ว เขารู้ว่าน้ำตาของเธอหลั่งออกมาจากความรู้สึกสับสน  ในจิตสำนึกมันบอกว่าเธอกำลังทำผิด

“อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ความรักที่เรามีให้แก่เพื่อนมันมากมายเกินกว่าหน้าพระหน้าเจ้ารึเทวดาองค์ไหนจะมารับรู้ หัวใจของเพื่อนเวลานี้มันเหมือนเขื่อนที่กำลังถูกน้ำป่าทลายลง เพื่อนอย่าเอาคำพระที่ไหนมาทัดทานเสียให้ยากเลยก็ในเมื่อในหัวใจของเรามันท่วมท้นด้วยความรัก ใครมันจะตายก็ช่างหัวมันต่อไปนี้พวกเราจะมีกันและกันเท่านั้น”

สองแขนทรงอำนาจรวบร่างบางเอาไว้จนหัวใจของหญิงสาวยังไม่อาจทัดทาน จูบอย่างแสนเสน่หาพรมทั่วใบหน้างดงามจนอิ่มหนำใจ พักหายใจ ทอดตามองลานวัดอันร่มรื้น

“นานแค่ไหนแล้วนะที่เราสองคนต้องรอคอยวันนี้”

เสียงกระซิบหลังใบหูที่เขาชอบทำอยู่เสมอ

กลิ่นพิกุลจากน้ำปรุงหอมละมุนที่ผิวกายสาวทำให้เขาอิ่มเอมใจยิ่งนัก นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ครอบครองเรือนกายนี้ได้สูดกลิ่นหอมละมุน

ทั้งสองได้แต่มองถนนอันว่างเปล่า ตึกแลอาคารบ้านเรือนดูทันสมัยยามนี้ อดีตมันคือท้องทุ่งนาสีทองกว้างไกลสุดสายตา ต้นทองกวาวยืนเรียงรายตามถนนตัดทุ่งเห็นดอกสีแดงสดปลั่งละลานตา กาลเวลาผ่านมาเนิ่นนานจนทุ่งนาแปลงสภาพเป็นบ้านเมืองไม่หลงเหลือเค้าเดิม ถนนสายทองกวาวมาบัดนี้กลายเป็นถนนลาดยางผ่านหน้าวัดอันไร้คุณค่าแก่สายตา

ไม่มีต้นทองกวาวให้พวกเขาอีกต่อไป

ชายหนุ่มหลับตาพริ้มเล่าถึงความหลังทำเอาเธอเคลิ้มตามไปด้วย

“ดูที่ถนนนั้นสิสมัยก่อนมีเกวียนของชาวนาผ่านไปมา แถวนี้ก็เป็นนาเอาไว้ปลูกข้าวทั้งหมด ต้นทองกวาวต้นเดิมของเราอยู่ในลานวัดนี้เองเสียดายมันถูกตัดไปตอนสร้างวัด หากมันยังอยู่ ฤดูนี้ก็คือเวลาที่ดอกทองกวาวต้องเบ่งบานเช่นวันนั้น วันที่ความรักของเพื่อนกับเรากำลังเบ่งบานยังไงละ”

พระคุณเจ้าหลังสวดเสร็จต่างทยอยก้าวลงจากศาลา มุ่งสูลานวัด  ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่คู่รักยืนกอดกัน พระชราผิวหนังเหี่ยวย่นตามสังขารนำหน้ามาเมื่อเห็นคู่รัก ท่านเพียงส่ายหน้าแล้วหลับตาสวดมนต์อย่างปลงอนิจจัง บุญเรือนดันร่างของตนจากแฝงอกของเขา รู้สึกอับอายต่อการกระทำของตนเองที่ก่อขึ้นในวัดยิ่งนัก

เขาดึงใบหน้าอันเปื้อนน้ำตาของเธอมาซบที่อกของตนอีกครั้งแล้วบรรจงจุมพิตที่หน้า ผากนวลผ่อง เตือนให้ลืมนักบวชเหล่านั้นเสีย  เธอสะอื้นไห้จนพวกท่านเดินแถวจากไป

“อย่าสนใจใครมันจะมองยังไงก็ช่าง”อ้อมกอดคราวนี้ยิ่งแนบแน่น กลิ่นเส้นผมของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มสุขใจยิ่งนัก

“เพื่อนรักจงหลับตาสิแล้วจงสูดลมหายใจให้ลึกและนึกย้อนไปในวันเวลาที่พวกเรามีความสุขร่วมกัน วันเวลาที่ต้องพลัดพรากจากกันจนถึงบัดนี้มันสิ้นสุดลงแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เราสองคนจะกลับมารักกันอีกครั้ง”

----------------------





ในช่วงหนึ่งของกาลเวลา เสียงเพลงของสุรพล สมบัติเจริญดังแว่วมาจากทรานซิสเตอร์ ชาวนากำลังเร่งเก็บเกี่ยวข้าวออกรวงสีทองเต็มท้องทุ่ง หนุ่มสาวสองคนต่างเกี่ยวก้อยผ่านใต้ต้นทองกวาว ดอกสีแดงเริ่มเต่งตูมและในอีกไม่นานจะผลิบาน

สน นักศึกษาหนุ่มฐานะยากจนผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างอดทน บุญเรือนลูกสาวเจ้าของที่นาอันเห็นกว้างไกลจนสุดสายตา เธอผู้เกิดมาไม่รู้จักคำว่าลำบากกับเขาผู้เกิดมาขาดแคลนทุกสิ่ง

ครอบครัวของสนมีเพียงแม่อยู่กันสองคน อาชีพทำนาโดยเช่าที่ของพ่อแม่ของบุญเรือนแม้บางปีฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวไม่เต็มยุ้งฉางไม่เพียงพอจ่ายค่าเช่า  เศรษฐีสองผัวเมียเป็นคนมีใจกรุณาช่วยผัดผ่อนให้เสมอเพราะเห็นว่าแม่ของสนต้องทำงานหนักเพื่อส่งเสียลูกชายเรียนหนังสือ

สองครอบครัวมักพบกันที่วัดเพราะชอบทำบุญ รักษาศีล เศรษฐีสองผัวเมียเป็นผู้ใฝ่บุญกุศลคอยช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำจุนพระศาสนาจนเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งตำบล บุญเรือนผู้เป็นลูกสาวถ่ายทอดลักษณะของพ่อแม่มามิได้ขาด เธอรู้จักมักคุ้นกับสนซึ่งตามแม่มาที่วัดตั้งแต่เด็กตัวอยู่ต่ำกว่าล้อเกวียน บัดนี้สูงเกินกว่าจนเข้าสู่วัยหนุ่มวัยสาวมาพร้อมกัน

ดอกทองกวาวและทางเกวียนคือเส้นทางให้ทั้งสองรู้ใจกันเป็นครั้งแรก ความรักบังเกิดขึ้นทีนี่ กาลเวลาผ่านมาต่างเติบใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว ความใกล้ชิดและเดียงสาแห่งวัยก่อให้เกิดความผูกพันจนเกิดความรัก

ในวันที่แดดยามสายทอประกายลงบนรวงข้าวสีทอง พวกพ่อแม่ไปทำบุญที่วัดในวันศีลใหญ่ ชายหญิงจึงมีโอกาสใกล้ชิดกัน ใต้ต้นทองกวาวสองฟากเป็นนาข้าวออกรวงเหลืองอร่าม สองหนุ่มสาวเดินจูงมือกันไปตามรอยล้อเกวียน เดินเล่น พูดคุย หยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน

นกยอดข้าวหางแพนลายเกาะรวงข้าวร้องเพลงอยู่ไม่ไกล เจ้าควายทุยที่สนมัดมันไว้ให้กินหญ้า  มันเคี้ยวเอี้ยงอย่างเฉื่อยชา ตวัดหางไล่ตัวลิ้นแล้วเมินหน้าไปทางอื่นเสียทำเหมือนไม่อยากจะมอง ชาวนาก้มหน้าเก็บเกี่ยวผลผลิต อย่างไม่ท้อถอยเช่นเดียวกับความรักอันมั่นคงของสนกับบุญเรือน

แสงสีทองทอประกายทั่วท้องทุ่ง พระอาทิตย์ลัดทิวต้นตาล ไม่นานคงจมหายเกวียนของชาวนาแล่นผ่านทางโคลนดังเอี๊ยดอ๊าด หนุ่มสาวนั่งท้ายแลดูรอยนั้นลุ้นให้เกวียนผ่านพ้นอุปสรรค์  รอยล้อเกวียนบดย่ำลงบนโคลนทับรอยเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประหนึ่งความรักของสนและบุญเรือนยิ่งเพิ่มทวีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นทางเกวียน

มาบัดนี้เกวียนเล่มเดิมผ่านท้องทุ่งอย่างเช่นเคยแต่ความรักกำลังหยุดนิ่ง

วันหนึ่งข่าวร้ายมันฟาดเปรี้ยงลงกลางใจของสนเหมือนฟ้าผ่าหน้าแล้ง ใต้ต้นทองกวาวต้นเดิมที่เขายืนพิงคอยเวลานัดหมายอยู่เสมอ บุญเรือนต้องแต่งงานกับคนต่างหมู่บ้านที่พ่อแม่ของเธอเลือกให้แล้ว

“เพื่อนหากเราจะหนี”

มันคือคำพูดที่สุดในดวงใจของเขา หญิงสาวผงะไปกับคำพูดนั่น

“ไม่ได้นะพ่อกับแม่จะต้องเสียใจขนาดไหนหากเราทำอย่างนั้น”

สนเข้าสวมกอดบุญเรือนจนแน่นคล้ายจะบอกว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้หากขาดเธอ บุญเรือนอิดเอี้ยนปัดป้องอ้อมกอดนั้น ปากร้องห้ามปราม

“ได้โปรดอย่าได้ทำเช่นนี้เลยนะสนเราจะทำตามใจตัวเองอีกไม่ได้แล้วนะ สนต้องอยู่เพื่อแม่เพื่อหลวงพ่อ ท่านอุตส่าห์ส่งเสียให้สนได้เรียนสูงเกินใคร เพื่อนจะทำเช่นนี้ไม่ได้ พ่อกับแม่จะต้องอับอาย หลวงพ่อท่านจะเสื่อมเสียหากเรายังทำตามที่ใจต้องการ”

เธอปฏิเสธอ้อมกอดนั่นอย่างที่ไม่เคยมาเป็นก่อน น้ำเสียงของสนแหบพร่า น้ำในดวงตาสั่นไหว

“เราอยากถามว่าเพื่อนว่าเคยรัก..เคยรักเราบ้างไหม”

“สน..หลายปีที่พวกเรามีความสุขมาด้วยกัน รึว่า..มันยังไม่พออีก”

ไม่เคยเลยที่เพื่อนรักจะปฏิเสธเขา ผิวหน้าคมเข้มของสนชาด้านราวกับถูกตบอย่างแรง ให้เธอตบตีเขายังจะดีเสียกว่ามาถูกคำพูดเฉือดเฉือนเช่นนี้

“บุญเรือนเพื่อนรู้ว่าเราคบหากันอย่างนี้มันไม่เหมาะ คุณนายกับท่านเศรษฐีเป็นคนมีศีลมีธรรมเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั้งตำบล ที่สำคัญพวกท่านยังมีบุญคุณกับแม่กับเพื่อนมากเพียงไหน ไม่บังควรเลยสักนิดที่เราไปละเมิดลูกสาวของท่านเลย..”

มันเป็นคำพูดที่บาดหัวใจของเธอเหลือเกิน

เสียงครวญกระซิกดังแผ่วเบา น้ำตามันเอ่อล้นจากดวงตาอย่างไม่อาจปิดบัง

“ใช่สิสน นายไม่ควรจะทำกับฉันเช่นนี้ นายกับแม่เพียงเช่าที่นาของพ่อแม่ฉัน ค่าเช่าก็จ่ายไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมาตลอดแต่นายก็มาเรียกร้องเอากับฉันถึงเพียงนี้เราไม่ควรเลยที่จะมาคบหากันมาแต่แรก”

การล่วงเกินหญิงผู้อยู่ในอุปการะของพ่อแม่เป็นการผิดจารีตประเพณีผิดต่อศีลธรรม เธอเป็นหญิงต้องห้ามของชาย หลวงพ่อพร่ำสอนเขาอยู่เสมอให้เขาระลึกจำ บัดนี้เขาจะทำผิดเสียเองงั้นรึ สองแขนที่กอดบุตรสาวของผู้อื่นมันจึงคลายออกเองด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

บุญเรือนคลายมือของเขาออกจากเอวตนเอง เบือนหน้าซ่อนความรู้สึกเก็บอาการเอาไว้น้ำตามันแพงเกินจะให้ไหลรินออกมาต่อหน้าชายคนรัก คำพูดของเธอเมื่อครู่มันเป็นเพียงคำพูดปลุกปลอบใจของตนเองให้ตัดใจจากเขาเท่านั้นหาได้จะทำร้ายความรู้สึกของเขาไม่

คำว่า‘หนี’มันก็เป็นทางออกสุดท้ายที่บุญเรือนคิดเช่นเดียวกับสนแต่บัดนี้คำว่าศีลธรรม จารีตประเพณีมันขวางเอาไว้ เขาและเธอต่างทำตามใจปรารถนาของตนเองไม่ได้ การจากลาใต้ต้นทองกวาวในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้พบกัน

ลมทุ่งพัดมาเหมือนจะหอบเอาความว้าเหว่มาคืนให้หัวใจของสนอีกครั้ง บุญเรือนหันหลังมองไกลคล้ายจะให้ลมพัดน้ำตาให้เหือดหาย สนก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งหลังพิงต้นทองกวาวอย่างทดท้อแม้จะเงยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแต่ในหัวอกมันกำลังแตกราวกับแผ่นดินแยก น้ำตามันท่วมท้นอยู่ข้างใน ใช่สิเพื่อแม่เพื่อหลวงพ่อผู้มีพระคุณเขาจะทำเรื่องชั่วร้ายผิดจารีตประเพณีให้เป็นที่อือฉาวไปทั่วทั้งตำบลไม่ได้

“เพื่อนพูดถูกแล้ว เราก็เคยมีความสุขกันมาก่อน เท่านี้ก็พอแล้วเราไม่ควรจะฝังใจ เห็นเพื่อนกำลังจะมีชีวิตครอบครัวที่ดีพร้อม เพื่อนก็ดีใจด้วย”

สนได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาไว้ในหัวอก แม้น้อยนิดไม่เคยเลยที่บุญเรือนจะพูดเรื่องฐานะให้เขาต้องซ้ำใจ ใบหน้าผิวสีเข้มเกิดรอยยิ้มอีกครั้งแม้มันจะเริ่มซีดขาวไร้สีเลือด

“คุณนายกับท่านเศรษฐีเป็นคนดีไม่เคยเบียดเบียนให้ความทุกข์ร้อนแก่ใคร ท่านต้องหวังให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนดีที่ท่านได้เลือกแล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก พ่อท่านแม่ท่านคงเห็นแล้วว่าลูกสาวควรได้แต่งงานกับคนมีฐานะชนชั้นเดียว กันเพื่อชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าจะได้ไม่ลำบาก ไม่ต้องทนอยู่ในกระต๊อบมุงใบหญ้า กินผักหญ้า หาปูปลากินไปตามประสาคนจน ท่านทำถูกต้องแล้ว..”

“ฉันจะทำอย่างที่เธอบอก”บุญเรือนพูดทั้งที่ไม่ยอมหันหน้ามา“ขอบคุณนะสน ฉันหวังว่าชีวิตของเพื่อนจะเริ่มต้นใหม่เช่นกัน สนกำลังจะเรียนจบจะได้รับราชการ อนาคตในภายภาคหน้าจะต้องพบคนดีๆ..”

เขาถอนหายใจเล็กน้อยขัดขึ้นมาก่อน

“คุณนายกับท่านเศรษฐีรออยู่ เพื่อนกลับไปเถอะเราขออวยพรให้”

“สน..เพื่อนรักษาตัวด้วยนะ”

เธอเรียกชื่อของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มหันหลังเดินไปปลดเชือกเจ้าทุยเดินลุยตอซังข้าวลัดทุ่งจากไปอย่างเงียบๆ และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอและคนทั้งตำบลได้เห็นหน้าเขา บ้างก็ว่าสนได้บรรจุเข้ารับราชการในจังหวัดที่ห่างไกล




“โครม!!..ว้าย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นลูกสน!”

เสียงร้องอย่างตกใจสุดชีวิตของคนเป็นแม่ ขันใส่ข้าวตอกดอกไม้หล่นลงพื้นหลังจากไปทำบุญที่วัดกลับมาถึงบ้านก็พบลูกชายนอนเกาะหัวบันไดอย่างอ่อนละโหย    เลือดท่วมทั่วกายก่อนจะล่วงลงมานอนพังพาบกับพื้น หายใจรวยริน ตามร่างกายแหลกเหลวด้วยบาดแผลฉกรรจ์

“เกิดอะไรขึ้นลูก! นี่ลูกไปโดนอะไรมา!”

หัวใจของแม่เจียนจะขาดวิ่นเสียบัดนี้  บุญกุศลที่ทำมาไม่ได้ช่วยคุ้มครองลูกชายคนดีไม่ให้ประสบเคราะห์กรรมหนักหนา ไม่ว่าจะฟูมฟายถามยังไง ลูกชายเพียงยิ้มด้วยลิ้นในปากแห้งผาก มือที่ไขว่คว้าหามารดาชุ่มโชกไปด้วยเลือด  เขาโหยหาที่จะกลับมาอยู่ในอ้อมอกของแม่อีกครั้ง

“ไอ้ทุยมันโง่..มันวิ่งอย่างบ้าคลั่งเข้าไปในดงหนามไผ่ มันโง่เสียจริงๆ หนามไผ่ซอมันคมเหลือเกินเกี่ยวเนื้อของลูกจนขาดวิ่น แรงควายถึกมันมากล้นเหลือพาลูกเข้าไปในนั่น บาปกรรมของลูกมาถึงแล้วแท้ๆ จึงได้เป็นเช่นนี้ แม่จ๋ากอดลูกที..ลูกหนาวเหลือเกิน..”

แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 54 13:38:22

แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 20:53:04

จากคุณ : doctorwar
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 17:24:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com