Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จิตสำนึก..ที่ทุกคนมีอยู่ในตัว (เรื่องสั้นสะท้อนเบื้องลึกของจิตใจ) ติดต่อทีมงาน

สวัสดีเพื่อนๆนักอ่านนักวิจารณ์ทุกท่านค่ะ  ปกติจะเขียนนิยาย เขียนหนังสือแนวสุขภาพใจ หรือไม่ก็เป็นเรื่องสั้น ลงใน BLOG ของตัวเองมากกว่า และไม่เคยเอามาโพสในถนนนักเขียนสักที  แต่เนื่องจากคุณนารีจำศีล (คุณนุ้ยที่น่ารัก... ขออนุญาตอ้างชื่อนะจ๊ะ..) ที่ได้มาทักทายพูดคุยกันสม่ำเสมอในblog เธอได้เชียร์ให้เราลองเอามาลงให้เพื่อนๆหลายท่านได้อ่านกันบ้าง  วันนี้ก็เลยตัดสินใจแปะสักหน่อย  และขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำติ ชม วิจารณ์ต่างๆ ไว้ ณ ที่นี้เลยนะคะ


เรื่องสั้น....ชื่อ...:  จิตสำนึก


       ผมชื่อ..รัฐกิจ  ชีวิตของผมในตอนนี้มันย่ำแย่สุดๆ เกินกว่าที่จะหาคำมาเปรียบเปรยได้ เพราะเวลานี้ผมกำลังแบกความทุกข์แสนสาหัสไว้บนบ่าทั้งสองข้าง จากเดิมที่ผมเคยเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างอันใหญ่โต ก็มีปัญหาโดนลูกค้าเบี้ยวเงิน ไม่ยอมชำระค่างวดงาน ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมา ก็ขโมยของในโรงงานไปเกือบหมด เพื่อนที่เคยมาขอยืมเงินกับผม พอผมทวงคืนก็ชักดาบไม่คืนซะอย่างงั้น แถมยังเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หนีอีกต่างหาก



ส่วนเจ้าชาญวิทย์เพื่อนที่คบมาเป็นสิบปี ก็ดันมาหลอกให้ผมร่วมลงทุนด้วยแล้วโกงไปหน้าตาเฉย และด้วยสภาพเศรษฐกิจตอนนี้มันเงียบอย่างกับป่าช้า แถมยังขาดส่งค่างวดรถยนต์ สามงวดเข้าไปแล้ว หนี้สินทางบัตรเครดิตอีกห้าแสนบาท ยังไม่หมดแค่นั้นนะ! ยังมีคดีความที่ลูกค้าฟ้องร้องอีก ทั้งๆที่เขาเป็นคนโกงผมแท้ๆ มิหนำซ้ำ ภรรยาของผมเธอดันมาตั้งท้องลูกคนที่สองอีก... โอ้ พระเจ้าช่วย นี่มันอะไรกัน!



“กิจคะ..คุณอย่าคิดมากเลยนะคะ ชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลงกันทุกคน วันนี้ดวงเราไม่ดี เราก็ต้องอดทนไปก่อน ถึงอะไรจะเกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย นิดกับลูกก็จะเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ” เสียงของภรรยาที่คอยปลอบโยนและให้กำลังใจผมอยู่บ่อยๆ มันทำให้ผมพยายามที่จะฮึดสู้ต่อไป



“ขอบคุณมากนะนิด ที่คุณคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ”  

“ก็เราเป็นสามีภรรยากันนี่คะ ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน คุณเลิกเครียดเถอะค่ะกิจ มานอนหลับพักผ่อนดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว”


“คุณไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมตามไป”


“งั้นก็ได้ค่ะ..กู๊ดไนท์นะคะ”    นิดยิ้มให้กำลังใจผมอีกครั้ง ก่อนเดินขึ้นไปห้องนอน



        ผมยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ปล่อยให้สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อ ลูกเมียของผมยังต้องกินต้องใช้ ผมต้องหาหนทางหารายได้เข้าบ้านเพื่อมาจุนเจือครอบครัว ให้ได้ แต่ผมก็ยอมรับนะว่าในสมองอันโง่เง่านั้น ผมเคยคิดอยากฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา แต่!เมื่อผมหันไปมองดูภรรยาและลูก ทำให้ผมต้องละอายใจตัวเองที่คิดจะตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดคนเดียว มันเหมือนคนขี้ขลาดและใจเสาะ  


ผมยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาดื่มจนหมดแล้วลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ ผมหวังเพียงให้สายน้ำที่ผ่านออกมาจากฝักบัวช่วยทำให้ร่างกาย
ของผมคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง


 “เอ่อ นิด..วันนี้ผมอยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย แล้วตอนเย็นๆผมมีนัดกินข้าวกับไอ้นนท์ คุณกับลูกไม่ต้องห่วงนะผมกลับไม่ดึกมากหรอก”


“ค่ะ..แล้วอย่าดื่มหนักมากนะ เดี๋ยวขับรถไม่ไหว”


“จ้า..แต่วันนี้ผมว่าจะนั่งแท็กซี่ทั้งไปและกลับดีกว่า จะได้ไม่ต้องเมาแล้วขับ ผมไปก่อนนะ” ผมหอมแก้มเมียรักไปหนึ่งฟ่อดใหญ่ หล่อนเขินอายตีที่หัวไหล่ผมเบาๆ ผมก็อดหัวเราะในอาการของเธอไม่ได้ นิดเป็นคนดี สวย เก่งและฉลาด ผมยอมรับว่าผมเป็นผู้ชายที่โชคดีคนหนึ่งที่มีเมียแบบนี้ และผมเองก็ไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทาง  



          หลังจากที่ผมเดินมาขึ้นรถแท๊กซี่ ผมวางแผนในใจว่าวันนี้ ผมจะใช้เวลาหมดไปกับการทำกิจกรรมบุญด้วยการไปทำบุญโลงศพที่มูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง ไปปล่อยปลาที่วัด ไปอ่านหนังสือให้คนพิการทางสายตา จากนั้นก็เข้าร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าหาหนังสือแนวเสริมสร้างกำลังใจมาอ่าน และสุดท้ายคือการเดินเล่นในสวนรถไฟเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ก่อนถึงเวลานัดกับเพื่อนสมัยเรียนมหาลัย ไม่รู้เพราะอากาศที่เย็นสบายหรือเพราะผมง่วงกันแน่ จนทำให้ผมเผลอนั่งหลับ มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น


“ฮัลโหล... เออ เออ กูไม่ลืมหรอกที่นัดกันตอนหกโมงเย็น ตอนนี้กูอยู่ข้างนอกแล้ว เดี๋ยวเจอกันที่ร้านเดิม”  



          นนท์โทรศัพท์มาเตือนเพราะเกรงว่าผมจะนัด   ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ จึงจะถึงเวลาที่นัดกันไว้ ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย บิดไล่ความเมื่อยล้าตามแขนขาและรอบเอว จากนั้นผมก็เดินออกจากสวนรถไฟเพื่อมาเรียกรถแท็กซี่ ให้ไปส่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสะพานพระรามห้า ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารมากมาย เมื่อสมัยก่อนตอนที่ผมยังไม่ตกอับขนาดนี้ ผมมักพาลูกเมียมาใช้บริการมื้อเย็นตามร้านอาหารข้างนอกบ่อยๆ  


ผมยืนรอไม่ถึงห้านาที รถแท็กซี่คันสีเหลืองเขียวก็แวะมาจอดเทียบให้ผมได้ใช้งาน และบังเอิญว่าโชเฟอร์คนนี้เป็นคนอัธยาศัยดี เขาจึงชวนผมคุยมาตลอดทาง ถึงใจจริงแล้วผมไม่อยากจะพูดคุยกับใครในเวลานี้สักเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะมีเรื่องสนุกอื่นๆเข้ามาในสมองแทนเรื่องเครียดของผม



“เวลาเย็นๆแบบนี้รถติดเป็นประจำ แล้วนี่ฝนก็ทำท่าจะตกอีก” เสียงบ่นของโชเฟอร์ทำให้ผมเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งขณะนี้เมฆฝนกำลังก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ทีเดียว


“ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่รีบ” ผมบอก แล้วเอนหลังลงเล็กน้อยหวังจะใช้เวลานี้งีบหลับสักหน่อย


“ฟังเพลงไหมพี่” คนขับรถแท๊กซี่ถามผม

“ก็ได้ครับ ผมฟังได้ทุกแนว ตามสบายเลย”


คนขับรถแท็กซี่กดปุ่มเปิดวิทยุ หมุนหาคลื่นจากทางสถานี จนเจอเพลงลูกทุ่งเสียงของคุณก๊อต จักรพันธ์ พอดิบพอดี ซึ่งก็คงเป็นที่ชื่นอกชื่นใจพี่โชเฟอร์ซะด้วย เพราะผมเห็นพี่แกคลอตามเพลงไปเบาๆ



          ผมละสายตาจากภายในรถ มองออกไปทางถนน ซึ่งเวลานี้รถกำลังติดไฟแดงและฝนก็กระหน่ำตกลงมาไม่ขาดสาย ผมเห็นผู้คนกำลังวิ่งหลบฝนกันใหญ่ คงไม่มีใครต้องการที่จะเปียกฝน น้ำเสียงของนักร้องหน้าหยกคนนี้ ช่างเหมาะกับบรรยากาศเย็นๆ ครึ้มๆแบบนี้ซะเหลือเกิน สายฝนที่ไหลลงมาทางกระจก ช่างเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย


ผมรู้สึกเหมือนจิตใจล่องลอยไปกับเสียงเพลงผสานกับสายฝนข้างนอก ผมอยากหยุดช่วงเวลาตรงนี้ไว้ เพราะอย่างน้อยเป็นเวลาที่ผมไม่ต้องไปคิดไปใส่ใจกับปัญหาร้อยแปดพันเก้าของผม


“ถึงสะพานพระรามห้าแล้วพี่” เสียงคนขับรถแท็กซี่ปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์ ผมบอกชื่อร้านอาหารให้คนขับ  เมื่อเห็นป้ายร้านที่ตั้งเด่นชัด โชเฟอร์ก็เลี้ยวรถเทียบจอดให้ใกล้กับทางเข้ามากที่สุด ด้วยเจตนาจะให้ผมเปียกฝนน้อยที่สุดนั่นเอง ผมชำระคาโดยสารพร้อมกับทิปเล็กน้อย พี่คนขับรถกล่าวขอบคุณและบอกให้ผมโชคดีผมยิ้มให้ก่อนตอบกลับว่าให้เขาโชคดีเช่นกัน จากนั้นผมก็รีบเดินเข้ามาในร้านอาหารมองหากลุ่มเพื่อนๆ แล้ว


พลันสายตาของผมก็หันไปเห็นผู้ชายหน้าตาคุ้นๆยืนกวักมือเรียกที่โต๊ะอาหาร ผมจำได้ทันทีว่านั่นคือ..นนท์ เพื่อนสนิทของผม


“เฮ้ยว่าไงวะ มากันนานแล้วเหรอ ” ประโยคแรกที่ผมเอ่ยทักทาย โดยไม่ทันสังเกตุว่ามีแขกร่วมโต๊ะคนอื่นนอกเหนือจากกลุ่มเพื่อนๆของผม


“ ไอ้กิจ.. ข้าขอแนะนำให้รู้จักกับพี่ชัย แกเป็นอดีตหัวหน้างานในบริษัทที่ข้าทำงานอยู่” วุท เพื่อนสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแนะนำให้ผมรู้จักกับแขกรับเชิญ


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ยินดีเช่นกันครับ พี่ได้ยินเรื่องของน้องกิจจากเจ้าวุทบ่อยๆว่าเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้าง ”

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจด้านนี้ซบเซาลง งานก็เลยน้อยลงได้ด้วยครับ”

“อย่ามัวแต่คุยอยู่สิวะ สั่งอาหารได้แล้ว ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว ว่าแต่พวกเอ็งเอาอะไร เออ! แล้วพี่ชัยล่ะครับ” เจ้าเป๊ก เพื่อนหุ่นอ้วนกลมจอมเขมือบประจำกลุ่มหยิบเมนูขึ้นมาแล้วส่งให้พี่ชัย


“ตามสบายเลย วันนี้พี่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงน้องๆทุกคน” พี่ชัย แสดงความใจกว้าง


“จะดีเหรอพี่” ผมเอ่ยถาม


“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าเลี้ยงฉลองที่พวกเราได้มารู้จักกัน และไม่แน่อนาคตเราอาจเป็นหุ้นส่วนงานกันก็ได้” ผมไม่เข้าใจในคำพูดประโยคหลังของพี่ชัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก พวกเราทั้งสี่คนนั่งดื่มนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาดเพื่อชดเชยกับโอกาสที่นานๆครั้งจะได้มานั่งรวมก๊วนชนแก้วกัน เพราะต่างคนตางก็มีภาระหน้าที่จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเวลาและจังหวะเหมาะๆอย่างนี้


“ธุรกิจของพี่เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีผลกระทบมากไหมครับ” ผมเอ่ยถามหลังจากซดเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึก


“พี่ทำธุรกิจหลายอย่าง อย่างธุรกิจด้านสินเชื่อ ตอนนี้ทำกำไรให้พี่อย่างมากเลย เดือนๆหนึ่งพี่ได้กำไรถึงหลายแสนบาท นี่ขนาดยังไม่รวมกับธุรกิจตัวอื่นของพี่อีกนะ คิดดูสิไอ้น้อง เดือนๆหนึ่งพี่มีรายได้เฉลี่ยเลขเจ็ดหลักทีเดียว”



“โอ้โห! พี่ คนอื่นๆเขาแย่ๆกันทั้งนั้น แต่พี่กลับรับทรัพย์ โชคดีจริงๆ มิน่าล่ะ พี่ถึงลาออกจากบริษัทไปทำธุรกิจส่วนตัวนี่เอง มีอะไรดีๆไม่เห็นบอกกันมั่งเลยนะ” ไอ้วุทบ่นตัดพ้อเพื่อนรุ่นพี่


“ก็นี่แหล่ะ ที่วันนี้ข้านัดเอ็งมานั่งคุย ก็พอดีเอ็งโทรนัดกับเพื่อนๆไว้แล้ว ข้าก็เห็นว่าไหนๆมีเรื่องดีๆแล้วจะบอกแต่เอ็งคนเดียวมันก็ไม่ยุติธรรมข้าก็เลยถือโอกาสเอาข่าวดีมาบอกเพื่อนๆของเอ็งด้วยไง” พี่ชัยยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบหลังจากที่แกกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก ก่อนจะเอ่ยต่อ



“ถ้าใครสนใจอยากเข้าร่วมธุรกิจด้วย เอ้า!นี่ นามบัตรของพี่ โทรหาได้ทุกเมื่อ เชื่อพี่เถอะสมัยนี้ทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง ขยัน อดทน มันรวยช้า แถมดีไม่ดีเราโดนโกงซะเองอีก มันต้องทำธุรกิจที่ทุจริตนิดๆใช้เล่ห์อุบายหน่อยๆรับรองชาตินี้มีกินมีใช้ไม่หมด สังคมทุกวันนี้การแข่งขันสูงเป็นแบบใครดีใครดี ขืนชักช้าหมาคาบไปกินหมด เชื่อพี่!แล้วจะสบายอย่างพี่”



           ผมรับนามบัตรของพี่ชัยมาดูก่อนจะเก็บไว้ ในกระเป๋าเสื้อ บางทีมันอาจจะจริงอย่างที่พี่ชัยพูดก็ได้ เหมือนกับปัญหาที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ต่อให้มีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทนและทำดีแค่ไหน สุดท้ายมันก็ไม่เห็นได้ผลตอบแทนที่ดี กลับได้รับแต่เรื่องเลวร้ายเข้ามาในชีวิต ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาขณะนี้ใกล้สี่ทุ่มแล้ว



           ผมนั่งดื่มต่ออีกสักพักแล้วขอตัวกลับบ้าน ถึงแม้พวกเพื่อนๆจะรั้งให้อยู่ต่ออีก แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกกับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ที่บ้านตามลำพัง มันทำให้ผมไม่กล้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมกล่าวขอบคุณพี่ชัยอีกครั้งก่อนเดินออกมาเรียกรถแท็กซี่ พี่ชัยยังย้ำให้ผมติดต่อกลับไปให้ได้ ถ้าหากผมต้องการเงินด่วนหรือต้องการร่วมธุรกิจกับแก ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือรับคำ แต่ก็ยอมรับว่าน่าสนใจทีเดียว




       ในอีกสองสามวันต่อมาหลังจากที่ผมหาทางออกเรื่องการเงินไม่ได้สักที ผมจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาพี่ชัย ซึ่งพี่แกก็รับนัดผมในเย็นวันนี้ เรานัดเจอกันที่ร้านอาหารเดิมที่พบกันครั้งแรก



“สวัสดีครับพี่ชัย” ผมยกมือไหว้ทันทีที่เห็นพี่ชัยเดินมาที่โต๊ะอาหาร

“เออ..หวัดดีไอ้น้อง เดี๋ยวสั่งอาหารก่อนแล้วเราค่อยมาเรื่องธุระกัน”


“ได้ครับพี่” พี่ชัยหันไปสั่งรายการอาหารกับพนักงานพร้อมกับเครื่องดื่มเป็นเบียร์ยี่ห้อดังสองขวด



“เอ้า! ว่ามามีอะไรให้พี่ช่วย” ผมบอกถึงปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นให้พี่ชัยฟัง โดยไม่ได้เล่ารายละเอียดมากนัก หลังจากที่ผมเล่าจบพี่ชัยก็เอ่ยปากชวนผมทันที


“งั้นเอาอย่างนี้ น้องกิจสนใจมาร่วมทำธุรกิจกับพี่ไหม”

“ธุรกิจอะไรครับ”


“ก็ธุรกิจทางการเงินหรืออยากจะทำธุรกิจด้านผลิตซีดีเพลง ซีดีหนังพี่ก็มีนะ หึ หึ... งงล่ะสิ!ก็ธุรกิจเล็กๆน้อยๆแต่ทำเงินให้มหาศาล พี่ทำพวกเงินกู้นอกระบบ มีโรงงานผลิตพวกซีดีเพลง ซีดีหนังด้วย แต่!แบบไร้ลิขสิทธ์นะ และยังผลิตยาชนิดที่ทำให้คนกระชุ่มกระชวย

“ยาอะไรครับ”  ผมถามด้วยความสงสัย


“ก็ยาบ้าไงละน้อง”  พี่ชัยตอบเสียงกระซิบ แล้วพูดต่อ   “ก็ถ้าเราสนใจอยากได้เงินเยอะๆและเร็วๆพี่ว่าวิธีนี้ดีที่สุด ก็แค่เราเอาเงินนิดหน่อยมาร่วมลงทุนหรือ ถ้าเราไม่มีจริงๆพี่ให้ยืมก็ได้แค่เดือนเดียวเราก็มีใช้คืนพี่แล้ว”



พอผมได้ยินรายละเอียดเรื่องธุรกิจของแก ผมถึงกับตกใจและคาดไม่ถึงว่าเงินทุกบาทที่พี่ชัยใช้จ่ายในวันที่เลี้ยงข้าวผมกับเพื่อนๆมาจากการทำงานทุจริต ซึ่งครอบครัวผมสอนมาตลอดว่าต้องทำทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อชาติบ้านเมืองแผ่นดินที่เราเกิด ผมรู้สึกอยากจะลุกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่!เพื่อไม่ให้พี่ชัยสงสัย ว่าผมรู้สึกรังเกียจในงานที่แกทำอยู่



         ผมจึงนั่งต่ออีกสักครู่ แล้วยกนาฬิกาดูเพื่ออ้างว่าวันนี้ลูกไม่ค่อยสบายจะรีบกลับไปดูแล ก็พอดีที่มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังเข้ามา พี่ชัยจึงขอตัวเดินออกไปคุยโทรศัพท์ ผมได้จังหวะเหมาะรีบเรียกพนักงานมาเก็บเงิน พอรับเงินทอนเสร็จแล้วจึงเดินไปบอกพี่ชัย ซึ่งพอดีที่พี่แกคุยธุระเสร็จพอดี


“อ้าว! จ่ายเงินแล้วเหรอ ทำไมไม่ให้พี่เลี้ยงล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ วันก่อนพี่เลี้ยงพวกผมแล้ว วันนี้ผมขอเลี้ยงบ้าง วันนี้ขอบคุณพี่มากนะครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

“แล้วตกลงว่าจะร่วมลงทุนรึเปล่าล่ะ”

“ตอนนี้ผมไม่มีเงินมากพอ ที่จะเอามาลงทุนได้ครับ แต่จะให้ยืมพี่ก่อนผมก็เกรงใจ อีกอย่างเรื่องนี้ผมคงต้องขอเวลากลับไปคิดก่อนครับ”



“ก็ตามใจนะ ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ โทรมาละกัน มีคนขอร่วมลงทุนกับพี่เยอะ”
ผมยกมือไหว้ลาพี่ชัยแล้วรีบเดินมาขึ้นรถเพื่อที่จะขับออกไปให้เร็วที่สุด ผมยอมรับว่าผมไม่ชอบธุรกิจของพี่ชัย แต่ผมก็ยังอยากได้เงินก้อนใหญ่เพื่อมาปลดหนี้สินและเพื่อปากท้องของครอบครัวผม


ผมสับสนในใจไม่รู้ว่า ควรจะเป็นคนดีแล้วอดอยากหรือเป็นในสิ่งที่ตรงข้ามแต่ร่ำรวย ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับความรู้สึกอยากได้ใคร่มีของผมมันกำลังแข่งขันกันอยู่ภายในจิตใจ ผมนอนคิดอยู่สองคืนก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะโทรศัพท์ไหาพี่ชัยเพื่อให้คำตอบ บางทีคำตอบนี้อาจทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้



วันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาจัดทำอาหารเช้าให้ทั้งภรรยาและลูกชายคนโตซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสอง


“วันนี้..ที่รักอารมณ์ดีนะคะตื่นเช้ามาทำอาหารให้ทาน มีอะไรพิเศษรึเปล่าคะ” ภรรยาของผมถามหลังจากที่ผมขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว



“ก็ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ แค่อยากทำให้เท่านั้น” ผมปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องการให้เธอรู้ว่าผมกำลังตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ผมเดินไปที่โต๊ะข้างของโซฟาในห้องรับแขกกะว่าจะหยิบโทรศัพท์โทรไปบอกคำตอบกับพี่ชัย



          “ที่รักคะ...นิดลืมเล่าเรื่องลูกชายของน้านุชที่เป็นญาติของคุณแม่ให้ฟังค่ะ เมื่อวานคุณแม่โทรมาเล่าให้นิดฟังว่า ลูกชายของน้านุช แกเป็นหนี้พนันบอลอยู่เป็นล้าน เลยไปกู้เงินกับพวกที่มีเบื้องหลังค้าขายยาบ้า แกจะเอามาจ่ายให้กับเจ้ามือโต๊ะบอล แต่!แกดันหมุนเงินไปจ่ายพวกเจ้าหนี้ไม่ทัน แถมยังแอบหนีไปอีก พอพวกเจ้าหนี้ตามตัวพบก็รุมซ้อมรุมกระทืบ แถมยังโหดสุดๆพวกนั้นตัดมือข้างซ้ายของแกขาดอีก พวกมันบอกว่าเป็นค่าดอกเบี้ย ยังดีที่มีคนโทรแจ้งตำรวจมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นมีหวังพวกเราต้องไปกินข้าวต้มที่งานศพแน่ๆ ตอนนี้ก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ที่รัก!คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ”



          ผมรู้สึกสมองมันหมุนติ้ว แขนขาอ่อนแรง ร่างกายมันชาไปหมดทั้งตัว นี่!ผมกำลังคิดจะทำอะไรลงไปผมพร่ำถามตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โทรศัพท์หล่นจากมือตอนไหนผมก็ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือผมกำลังจะเป็นอีกคนที่กำลังทำลายสังคม ทำร้ายคนอื่นและรวมทั้งตัวของผมเอง เพียงเพราะผมต้องการที่จะ หนีออกไปจากความขัดสน ออกจากปัญหาที่รุมเร้า

           
เพราะผมคิดแค่เพียงว่า ถ้าผมได้เงินมาเยอะๆจากการทำงานทุจริตกับพี่ชัย จำนวนเงินมหาศาลนั่น!จะช่วยแก้ไขชะตาชีวิตของผมกับครอบครัวให้ดีขึ้น โดยที่ผมไม่ได้สนใจประเทศชาติ บ้านเมืองสังคม ความเป็นความตายของคนอื่น และไม่มีความยำเกรงเคารพต่อกฎหมายและความถูกต้อง



          ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปดูที่รูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ที่ผมแขวนติดไว้ที่ผนังห้องรับแขก ผมรู้สึกละอายใจในสิ่งที่ผมคิดจะกระทำลงไป

          ผมละอายใจที่ลืมคำสั่งสอนของพ่อแม่ ก่อนที่ท่านจะสิ้นลม และละอายใจที่ผมเกิดมาบนแผ่นดินไทยที่มีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมกำลังจะอกกตัญญูแผ่นดินที่เกิด ด้วยการทำผิดกฎหมาย เพราะความรู้สึกเห็นแก่ตัวของผม ทำไม! ผมไม่เอาพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ผมทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้อย่างกับเด็กๆ



            ผมพนมมือขึ้นแล้วก้มกราบลงที่พื้นตรงหน้ารูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ พร้อมกับให้คำปฏิญาณว่าต่อไปนี้ผมจะดำเนินชีวิตอย่างมีสติและพอเพียง ผมไม่อยากเป็นลูกอกตัญญู ที่เพิ่มขึ้นอีกคนในประเทศไทยนี้ เพราะผมรู้ว่าพ่อหลวงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ต่อไปนี้ผมจะคิดดี ทำดีให้มากขึ้นเพื่อตนเอง เพื่อผู้อื่นและเพื่อประเทศชาติ



“ที่รัก...คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ คุณบอกกับนิดได้นะคะ” น้ำเสียงและท่าทางของนิด บ่งบอกถึงความตกใจพร้อมห่วงใยผมในเวลาเดียวกัน


“ไม่มีอะไรจ๊ะ ผมสบายดี ผมแค่รู้สึก...สำนึก ได้ในบางเรื่อง คุณวางใจเถอะ” ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลเปรอะทั่วหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นวางบนแป้นรับเหมือนเดิม

“คุณไม่โทรแล้วหรือคะ”


“ไม่โทรแล้วล่ะ อีกอย่างผมลืมเบอร์โทรไปแล้วด้วย พวกเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกันไหม คุณจะได้สดชื่นขึ้นการออกกำลังกายเล็กๆเหมาะกับคนท้องนะ”


“ก็ดีค่ะ” แล้วผมกับนิดก็จูงมือกันออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมภูมิใจในตัวเองมากที่สุดที่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้มันอาจดูเหมือนคนโง่ในสายตาของคนบางกลุ่มก็ตาม



          หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ทราบข่าวจากเจ้านนท์ว่า... โรงงานผลิตซีดีปลอมและบ้านร้างที่เป็นเซฟเฮ้าส์ผลิตยาเสพติดของพี่ชัย ถูกตำรวจกวาดล้างและตัวพี่ชัยเองก็หนีไปกบดานที่ต่างจังหวัด แต่สุดท้าย!ก็ถูกจับกุมตัวได้ ผมเชื่อแล้วว่า การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถึงแม้การทำดีนั้นผลแห่งความดีอาจมาช้า แต่ให้เชื่อเถอะว่ามาแน่นอนและจะคงอยู่ยาวนาน


วันนี้... เราทำความดีเพื่อพ่อหลวงของเรารึยัง!


"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ


นี่คือลิ้งค์เรื่องสั้น...ห้องเลข 4 ผีอิจฉา

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10489079/W10489079.html

แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 54 10:11:21

จากคุณ : radakorn
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 18:55:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com