สิบห้าปีก่อน แคว้นเฟิง...
ท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุเผาผลาญไปทั่วทุกหย่อมหญ้า สร้างความสูญเสียต่อผู้คนนับ จำนวนไม่ถ้วนนั้น ทว่าผู้คนที่อยู่ภายในเมืองหลวงแห่งนี้แทบจะไม่ได้รับรู้ถึงชีวิตที่จากไปวันแล้ววันเล่า เพราะพวกเขาเองก็ต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิตท่ามกลางไฟสงครามที่โอบล้อมชีวิตของตนมานับสิบปีเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาต่างก็มิได้รับรู้ถึงเหล่าทหารหาญผู้ซึ่งสละชีพและลมหายใจสุดท้ายของตนลงในสนามรบ ที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เพียงเพราะว่าศึกสงครามที่ดำเนินมาเนิ่นนานอย่างไม่มีวี่แววจบสิ้นจน หลายคนเลิกที่จะนับวันรอคอยความสุขสงบแล้วนั้นเอง
เด็กหนุ่มที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้ต่างจากชาวเมืองส่วนใหญ่เช่นกัน เขาแทบจะไม่รู้เลย ว่าสถานการณ์การรบที่บริเวณชายแดนไกลออกไปนับร้อยลี้นั้น เป็นอย่างไรบ้าง หากมิใช่ผู้ที่ล้มหายตาย จากเป็นคนที่มีความสำคัญต่อแคว้นจริง ๆ เกรงว่ากว่าจะได้รู้ข่าวการจากไปของคนในครอบครัวก็คงเป็น ตอนที่สงครามจบลงแล้วก็เป็นได้
ร่างเล็กผอมบางทว่าสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน ยืนนิ่งราวรูปปั้นหินสลักเป็นเวลาหลายชั่วยาม แล้วอยู่ตรงเนินดินที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก นัยน์ตาเรียวดุจตาหงส์จ้องมองป้ายแผ่นหินที่มีชื่อและข้อความสอง สามประโยคเอ่ยเชิดชูเกียรติสลักลึกลงไป เบื้องใต้นั้นได้กลบฝังและโอบอุ้มร่างของบิดาของเขาที่ได้จาก ไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน
ใบหน้าเด็กหนุ่มราบเรียบราวกับแท่งหยกน้ำแข็งที่สลักเสลาขึ้นมาด้วยความประณีตงดงามชวนลุ่ม หลงอย่างหาที่สุดมิได้ หากบนเรือนกายสูงนั้นไม่ได้สวมอาภรณ์ของบุรุษอยู่ ก็เกรงว่าพานจะให้ผู้คนชวนนึก ไปว่าเขาเป็นโฉมสะคราญเสียได้ เพราะใบหน้าที่งดงามจนไม่มีสตรีใดสามารถเทียบเทียมได้เลยนั่นเอง
ใบหน้าที่แม้แต่องค์ชายรัชทายาทที่เขาถูกส่งให้ไปเป็นสหายทรงพระอักษรอยู่หลายปี ก็ยังมักจะ ล้อเลียนใบหน้านี้อยู่บ่อย ๆ เช่นกันว่า “ใบหน้าเช่นนี้ช่างชวนให้บุรุษหัวใจสั่นไหวเสียจริง” แต่เขาที่ถูก วิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นก็มักจะทำราวกับคำที่เอ่ยออกมา เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมิได้นำพามาใส่ใจแม้แต่น้อย
และเพียงเพราะเป็นบุตรชายคนเดียวที่มี ทำให้บิดาของเขาเลี้ยงดูราวกับไข่ในหินก็ไม่ปาน ยิ่งเมื่อ มารดาจากไปความรักความเอาใจใส่ทั้งหมดของบิดาก็ทุ่มเทให้แก่เขาแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าจะมีใบหน้า งดงามมากกว่าที่จะเรียกได้ว่าหล่อเหลาดังที่บุรุษควรเป็น จนทำให้ถูกกลั่นแกล้งและหยามเหยียดเสมอมา ยามเป็นเด็กก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำให้บิดาของเขานึกอับอายกับรูปลักษณ์ของบุตรชาย ซึ่ง เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าบนใบหน้านี้มีเค้ารางของมารดาอยู่หลายส่วนก็เป็นได้
เด็กหนุ่มที่มีนัยน์ตาเศร้าหมองอดนึกไปถึงคู่หมั้นที่มีการจัดการหมั้นหมายไว้ตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็ก ทารกไม่ได้ ทันทีที่ข่าวการเสียชีวิตของบิดาแพร่กระจายออกไป ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปกปิดหรือทำ อะไรจำพวกนั้นได้อยู่แล้ว กับการเสียชีวิตกลางสนามรบของแม่ทัพคนหนึ่ง เพียงไม่นานผู้ใหญ่ของทางฝ่าย นั้นก็ได้ส่งคนมาเจรจาเรื่องถอนหมั้นเสียแล้ว
เขาไม่นึกปฏิเสธ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดปฏิเสธการขอถอนหมั้นอยู่แล้ว หากจะค้นพบคนที่เราสามารถ จะไว้วางใจได้ก็ควรจะเป็นในยามยากเช่นนี้เอง ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร หากในวันนี้พวกเขายังเห็นว่าสาเหตุ เช่นนั้นเพียงพอสำหรับการเลิกไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน เช่นนั้นในวันหน้าก็คงจะยิ่งมีเหตุผลให้ดูแคลนกันมากยิ่งขึ้น อย่างไม่ต้องสงสัย
สุดท้ายเขาจึงไม่คิดดึงดันให้คงการหมั้นที่เกิดขึ้นระหว่างสองตระกูลเอาไว้แม้แต่น้อย
ใช่ว่าการตายของผู้เป็นบิดาจะทำให้ตระกูลหยางต้องถึงกับยากจนข้นแค้น เพียงแต่นั่นก็ได้ทำให้ อำนาจและศักดิ์ฐานะบารมีที่เคยมีในวงสังคมชั้นสูงสูญสลายไป ก็เท่านั้นเอง พวกเขาจะคาดหวังอะไร เอากับเด็กหนุ่มในวัยสิบห้าปีได้เล่า
เด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากใบหน้า เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่บังเอิญมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ทว่าไม่ เคยแสดงออกถึงความต้องการแสวงหาอำนาจหรือลาภยศสรรเสริญแม้แต่น้อย ร่างกายผอมบางของเขายัง ทำให้คนนึกไปว่าอ่อนแอไร้กำลังจนไม่มีความสามารถแม้จะฆ่าไก่สักตัว
มือเรียวบางไม่ต่างจากมือของสตรีนั้นไหนเลยจะมีกำลังไปสังหารชีวิตสักชีวิตได้เล่า คงมีก็แต่บิดาที่ จากไปแล้วของเขาเท่านั้นกระมัง ที่รู้ว่าเพียงสันมือบางของบุตรชายที่มีใบหน้างดงามราวกับสตรีผู้นี้ มีความ สามารถสังหารแม้กระทั่งมนุษย์ด้วยกันเองเพียงเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น
เขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าสายตาของผู้คนที่มองมานั้น หากมิใช่เป็นเพราะบิดาชีวิตของเขาคงมิได้สุขสงบ ดังเช่นที่ผ่านมานี้หรอก ทุกคนต่างคิดว่าการที่เขาได้มีสิทธิ์เข้าไปศึกษาในฐานะผู้ติดตาม และสหายของ รัชทายาทนั้นเป็นเพราะความกว้างขวางของบิดามากกว่าความสามารถของตนเอง
“หากเจ้าทำตัวเป็นเพียงกระบี่ในฝัก แล้วไหนเลยผู้คนจะนึกยำเกรงเจ้าในวันหน้า”
นั่นคือคำสอนของบิดาเมื่อนานมาแล้ว แต่ทว่ากลับมิได้ทำให้บุตรชายรู้สำนึกจนกระทั่งในวันนี้
เขาเป็นเช่นนั้นเสมอมา มักจะเลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องการเท่านั้น ดังนั้นแม้ผู้ที่กล่าวเตือนจะเป็น บิดา คำพูดนั้นกลับมิได้ทำให้เขานึกสนใจเปลี่ยนแปลงนิสัยของตนเองแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะตัวเขารู้ดีว่า สิ่งที่ต้องการนั้นล้วนมิต้องลงแรงเพื่อให้ได้มาก็เป็นได้
หากมิใช่อยู่ในการสอบเด็กหนุ่มก็แทบไม่คิดที่จะแสดงความรู้และความสามารถของตนออกมาให้ ใครได้เห็นแม้แต่น้อย แต่เนื่องจากว่าอยู่ในฐานะพระสหายขององค์รัชทายาท ดังนั้นฝีมือที่ได้แสดงต่อหน้า ผู้คนนั้นจึงน้อยครั้งยิ่งนัก และถูกจำกัดสายตาของผู้ชมให้เหลือน้อยลงจนสามารถนับนิ้วได้
เนื่องจากธรรมเนียมในการทดสอบฝีมือของรัชทายาทนั้นถือได้ว่าเป็นความลับสำหรับแคว้นเฟิง แม้ว่าจำนวนผู้ที่ทำการทดสอบอาจมีมากมายก็จริงอยู่ แต่จะไม่มีใครแพร่งพรายผลลัพธ์ของการทดสอบ ที่ว่าออกมาให้คนนอกได้รู้แม้แต่น้อย และผู้ได้รับการทดสอบก็ถูกจำกัดจำนวนเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่สหายของตนถูกทดสอบ
ที่น่าขันก็คือคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นโดยมากจะเป็นชนชั้นสูงแทบทั้งสิ้น จึงยิ่งทำให้คนนอกที่มองเข้ามา ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว พวกเขามีความสามารถกันจริง ๆ หรือแค่เป็นเพราะเป็นบุตรหลานขุนนางจึงมีสิทธิ พิเศษที่แตกต่างจากคนอื่นกันแน่
หลังการจากไปของบิดา หยางเฟยเยี่ยก็สังเกตเห็นว่า อภิสิทธิ์และความยำเกรงที่เคยมี ซึ่งเขาไม่ เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนนั้น ถูกลดทอนไปทีละเล็กละน้อยจนแทบจะไม่มีเหลือเลยทีเดียวในเวลานี้ อีกทั้ง ในตอนนี้ผู้ที่เหลืออยู่ในตระกูลก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไม่โดดเด่นผู้หนึ่งเท่านั้น ผู้นำตระกูลที่ดูไร้ทั้งความ สามารถและหยิ่งยโสเกินกว่าจะลดตัวลงประจบสอพลอใครได้ ทำให้ในสายตาของหลายคน ตระกูลหยาง ในยามนี้ก็เปรียบเสมือนเรือกลางทะเลไร้พายที่รอวันจมลงเท่านั้น
จากคุณ |
:
Black Chip (siMiSma)
|
เขียนเมื่อ |
:
8 เม.ย. 54 15:04:55
|
|
|
|