Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มันตราพันธนาการ บทที่ 9 น้ำใจสหาย ติดต่อทีมงาน

ติดตามมันตราพันธนาการได้ที่

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=24-12-2010&group=16&gblog=1

บทที่ 8 เส้นทางอันตราย
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10389323/W10389323.html

<9>

น้ำใจสหาย

เลเบนนั่งจ้องเซรัคซึ่งกำลังจัดเตรียมสัมภาระของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชำเลืองตาไปทางกิลกาเมชซึ่งกำลังยืนมองข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งด้วยสายตาครุ่นคิด ส่วนบาร์คกำลังกระโดดไล่จับปลาในแม่น้ำอย่างอย่างสนุกจนดูเหมือนลืมเรื่องขาที่บาดเจ็บ เด็กสาวถอนหายใจและเลื่อนกลับมามองที่ชายหนุ่มอีกครั้ง

“เจ้าจะไปจริงหรือ”

“ข้ามีธุระสำคัญ” เซรัคตอบพลางผูกปากถุงและรัดจนแน่น เขาเหวี่ยงมันขึ้นบ่าและยืนขึ้น

“ธุระของเจ้าคือการตามล่าเจ้าพ่อค้าเจ้าเล่ห์นั่นใช่หรือไม่”

“โรบาวห์เป็นหัวหน้าโจรไม่ใช่พ่อค้า” ชายหนุ่มตอบเสียงห้วน เขามองเลเบนแล้วระบายลมหายใจออกมา

“ขอโทษที่ฉุนเฉียวกับเจ้า แต่ข้ากำลังกังวลว่าจะตามเจ้าโจรถ่อยนั่นไปไม่ทัน”

“ข้าไปด้วยได้ไหม” เลเบนถามเสียงแผ่ว เซรัคสั่นหน้าและมองไปยังกิลกาเมช

“เจ้าควรไปกับพวกเขา” ชายหนุ่มพูด “เพราะอย่างน้อยการได้ร่วมเดินทางไปกับเอลฟ์ย่อมปลอดภัยกว่าท่องป่าไปกับคนเช่นข้า”

“แต่ข้าอยากไปกับเจ้า” เลเบนตอบอย่างดื้อรั้น “เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ถึงสองครั้ง ข้าคงไม่สบายใจแน่หากไม่ได้ทำสิ่งใดตอบแทนคุณ”

“ถ้าเช่นนั้นก็จงละความคิดที่จะไปกับข้าแล้วร่วมเดินทางไปกับพวกเขา” เซรัคกล่าว “หากทำเช่นนั้นข้าจะนับว่าหมดบุญคุณต่อกัน”

“แต่.......” เลเบนทำท่าจะแย้งแต่เซรัคกลับหมุนตัวเดินไปหากิลกาเมชซึ่งกำลังหันมามองเขาเช่นเดียวกัน

“เจ้าจะไม่ไปกับพวกเราหรือ”

“ข้ามีเรื่องที่จะต้องสะสาง” เซรัคกล่าวพร้อมกับหันไปทางบาร์คซึ่งกำลังสะบัดขนทั้งที่มีปลาตัวใหญ่คาบคาไว้ในปาก “ลาก่อนบาร์ค”

“ขอให้เจ้าโชคดี” บาร์คโยนปลาลงพื้นก่อนคำรามตอบ “และหวังว่าคงไม่เดินย้อนกลับหาพวกเราอีกครั้ง”

เซรัคและกิลกาเมชมองดูหมาป่าสีเทาซึ่งก้มหน้าก้มตากินอาหารที่มันหามาอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความรู้สึกแปลกใจแต่ทั้งคู่ก็มิได้เอ่ยคำถามใดออกมา เซรัคกระตุกยิ้มเล็กน้อย

“ข้าฝากเลเบนด้วย”

“ข้ายินดี” เอลฟ์หนุ่มตอบ “ขอให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ และบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจ”

เซรัคก้มศีรษะลงรับคำของแม่ทัพแห่งเอลฟ์ไพร เขาหันไปมองเลเบนอีกครั้ง เด็กสาวเม้มปากแน่นและแสร้งเมินมองไปด้านอื่น ชายหนุ่มเดินไปตบบ่าเขาก่อนจะเดินหายเข้าไปในป่า เลเบนรีบลุกขึ้นทันที

“อย่าตามเซรัคไปเลยเลเบน” เสียงกิลกาเมชดังขัดขึ้น “เจ้าอาจจะนำภัยไปสู่ตัวเขาด้วย”

“ข้าน่ะหรือจะนำภัยไปหาเขา” เลเบนหันมากล่าว “ภัยอะไรกัน”

“ภัยจากสิ่งที่เจ้าเก็บเอาไว้ในเสื้อ” เอลฟ์หนุ่มชี้มือไปที่เด็กสาว “เจ้าคือกุญแจมนุษย์”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร” เลเบนยกมือขึ้นกุมเสื้อของตนขณะที่สายตาจ้องกิลกาเมชอย่างระแวง “แล้วกุญแจมนุษย์ที่ว่ามันหมายความว่ายังไง”

“มันคือสิ่งที่เทพมารโลกิต้องการจะนำกลับไปปลดปล่อยตัวเองให้หลุดจากการจองจำ” กิลกาเมชตอบ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“โลกิ การจองจำ นี่เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่”

“กิลกาเมชกำลังบอกว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกุญแจเลือด สิ่งสำคัญที่สามารถปลดปล่อยโลกิออกจากพันธนาการของเทพธอร์”

บาร์คพูดขึ้น เลเบนมองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะขยับถอยหนีด้วยความระแวง

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

“เล่าเรื่องของเจ้าให้เขาฟังหน่อยสิกิลกาเมช” หมาป่าพูดเสียงเรียบ เลเบนเลื่อนสายตาไปทางแม่ทัพไพรและจ้องนิ่ง อีกฝ่ายนิ่วหน้าและถอนใจออกมาเบาๆ

“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ด้วยเล่ห์ของโลกิทำให้เทพองค์ถึงต้องตายโอดินจึงมีคำสั่งให้ประหารแต่เขาหนีมายังโลกมนุษย์และคงจะตรงไปที่นรกเพื่อหลบซ่อน ด้วยความช่วยเหลือของชาวเอล์ฟเทพธอร์จึงตามมาได้ทันแต่ด้วยอำนาจบางอย่างทำให้ไม่สามารถสังหารโลกิได้ พระองค์จึงพันธนาการเขาเอาไว้ในถ้ำและสร้างมันตราขึ้นมาควบคุม”

“เท่าที่ฟังดูเทพโลกิก็ไม่น่าจะหนีออกมาจากที่คุมขังนั่นได้”

เลบนพูดขึ้น กิลกาเมชส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรอยู่คงทน ข้าคิดว่าด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปนับศตวรรษอำนาจของมันตราอาจจะเสื่อมถอยลง โลกิจึงมีพลังฟื้นคืนขึ้นจนสามารถสร้างร่างจำแลงออกมาได้”

“แค่ร่างจำแลงเท่านั้นหรอกหรือ งั้นก็คงไม่มีพลังเท่าตัวจริง แบบนี้พวกเจ้าก็น่าจะทำลายได้”
“ตรงกันข้าม ร่างจำแลงนั้นมีพลังขนาดที่สามารถทำลายนครของข้าจนพินาศไปในพริบตา” กิลกาเมชกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตอนนั้นเองที่เทพธอร์ได้บอกถึงเรื่องราวของกุญแจเลือดทั้งห้าและสั่งให้ข้ามาคอยคุ้มครอง”

คำพูดของแม่ทัพแห่งไพรทำให้เลเบนอึ้งไปชั่วขณะ นางเลื่อนมือไปกุมมันตราในเสื้อก่อนจะพูดเบาๆ

“แต่ข้าไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน จี้นี่ก็ได้มาด้วยความบังเอิญ”

“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เจ้าคือผู้ถูกเลือกต่างหาก” กิลกาเมชพูดเสียงเรียบและจ้องเด็กสาวนิ่ง นางเม้มปากแน่นก่อนจะเบิกตากว้าง

“หากโลกิต้องการตัวข้าและจี้ประหลาดนี่ เขาคงจะไปที่หมู่บ้าน” เด็กสาวพูดด้วยความตกใจและรีบหมุนตัวคล้ายจะออกวิ่งแต่บาร์คกระโดดเข้ามาขวาง

“ป่านนี้หมู่บ้านของเจ้าคงไม่เหลือแล้วเลเบน” เจ้าหมาป่ากล่าว เด็กสาวจ้องหน้ามันเขม็ง

“เจ้าหมายความว่ายังไง” นางหันไปมองกิลกาเมชซึ่งมีสีหน้าสลด

“โลกิคงเข้าไปค้นหาเจ้าและทำลายที่นั่นจนพินาศเมื่อเขาไม่พบของที่ต้องการ”

เลเบนยืนนิ่ง นางกำมือแน่น

“เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกพ้องของข้าถูกฆ่าตายหมดแล้วอย่างนั้นหรือ” เด็กสาวถามเสียงสั่น นางดึงจี้มันตราออกมาจากอกเสื้อแล้วจ้องมันนิ่ง

“ทุกอย่างเป็นเพราะของสิ่งนี้ หากข้าไม่บังเอิญเก็บมันขึ้นมา ทุกคนก็คงไม่ตาย”

มือของเลเบนสั่นระริก เด็กสาวหลั่งน้ำตาร่ำไห้และกำจี้สีเงินแน่น กิลกาเมชกับบาร์คมองเธอด้วยความสงสารและเห็นใจ แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องอุทานขึ้นพร้อมกันเมื่อเลเบนขว้างจี้มันตราลงไปในแม่น้ำ

“เจ้าทำอะไรน่ะ!” เอลฟ์หนุ่มถามเสียงดัง เด็กสาวหันมามองเขา

“ข้ากำจัดต้นเหตุแห่งหายนะทิ้ง ถ้าไม่มีสิ่งนั้นข้าจะได้กลับไปอาศัยที่หมู่บ้านได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหรืออะไรมาตามล่าอีกต่อไป”

“ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าไม่ใช่หรือว่าหมู่บ้านนั่นถูกทำลายไปหมดแล้ว”

“ถึงจะถูกทำลายไปแล้วข้าก็จะกลับไป” เลเบนตอบเสียงห้วน “ข้าจะกลับไปที่นั่นและเฝ้าสุสานของแม่แม้ว่าจะต้องอยู่เพียงคนเดียวก็ตาม”

“ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เลเบน” บาร์คเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมผิดไปจากเดิม เด็กสาวมองเจ้าหมาป่าตัวใหญ่ด้วยความสงสัย แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับมองจ้องตรงไปยังแม่น้ำ เลเบนและกิลกาเมชจึงมองตามพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ

ท่ามกลางแสงสะท้อนอันระยิบระยับจากผิวน้ำ จี้สีเงินลอยค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ ตัวอักษรประหลาดซึ่งถูกจารึกเอาไว้ทอประกายเรืองรองออกมา มันตราหมุนวนรอบตัวเองและลอยละลิ่วกลับไปหาเลเบนอีกครั้ง เด็กสาวจ้องจี้เงินซึ่งลอยอยู่ตรงหน้าเขม็งก่อนตัดสินใจเอื้อมมือออกไปคว้ามาถือเอาไว้ เสียงบาร์คคำรามอย่างแผ่วเบา

“ชะตากรรมของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้วเลเบน ไม่ว่าจะเจ้าจะยอมรับมันได้หรือไม่ แต่เจ้าคือหนึ่งในกุญแจเลือดที่โลกิต้องการเช่นเดียวกันกับกิลกาเมชและข้า”

เลเบนกำวัตถุสีเงินในมือจนแน่น นางหันไปมองกิลกาเมชพร้อมกับเอ่ยถาม

“เจ้าก็เป็นผู้ถูกเลือกด้วยอย่างงั้นหรือ”

เอลฟ์หนุ่มแกะปลอกรัดข้อมือข้างขวาของเขาและยื่นให้เลเบนดู อักขระตัวเดียวกันกับอักษรบนจี้สีเงินตราประทับอยู่บนข้อมือของเขา แม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นกล่าวเสียงเบา

“มันเกิดขึ้นหลังจากที่ข้าถูกโลกิทำร้ายปางตาย” เขาสวมปลอกรัดและมัดมันเอาไว้อย่างเดิม “เมื่อเทพธอร์ทำการรักษาข้าจนหายและสั่งให้ออกเดินทางมายังแผ่นดินมนุษย์ ข้าจึงรู้ว่าตนเองคือผู้ถูกเลือกเช่นเดียวกัน”

“แล้วเจ้าล่ะบาร์ค” เลเบนหันไปทางบาร์ค อีกฝ่ายยกขาขึ้นเกาลำตัว

“ข้าไม่รู้” เจ้าหมาป่าตอบ มันอ้าปากหาวพร้อมกับสะบัดหู “ข้าตามเขามาเพราะต้องการแก้แค้นให้น้องชายที่ถูกเจ้าเทพมารนั่นฆ่า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางมิให้โลกิหลุดออกจากการจองจำ”

“ข้าไม่เข้าใจ” เลเบนมองกิลกาเมช “เหตุใดข้าซึ่งเป็นเพียงมนุษย์จึงถูกเลือกให้เป็นกุญแจแห่งมันตรา”

“เพราะคำสาปของเทพธอร์ที่ทรงตราไว้บนตรวนจองจำของโลกิ” เอลฟ์หนุ่มตอบ “นั่นก็คือ
ลมหายใจของเอลฟ์ หยาดเลือดของมนุษย์ ความตายของเทพ วิญญาณของยักษ์ และมนตร์จากโอษฐ์ของผู้ไร้ชีวิต หากนำสิ่งเหล่านี้มารวมกัน เทพมารก็จะหลุดออกจากพันธนาการ”

“หากลมหายใจของเอลฟ์คือเจ้า หยาดเลือดของมนุษย์คือข้า แล้วความตายของเทพ
วิญญาณของยักษ์กับมนตร์จากโอษฐ์ของผู้ไร้ชีวิตคืออะไร”

“ข้าเองก็ไม่รู้” แม่ทัพหนุ่มตอบ “แต่องค์เทพได้ตรัสว่าข้าจะพบสิ่งเหล่านั้นระหว่างการเดินทางไปยังไมเมียร์ เกาะนิรันดรซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในทะเลเนเบล ที่นั่นโลกิจะไม่สามารถตามไปรังควานพวกเราได้”

“แล้วเจ้ารู้จักทางไปทะเลที่ว่านี้หรือ”

“ข้ารู้” บาร์คตอบ “ข้าเคยเจอเกาะและทะเลที่ว่านั่นครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางเลือก นอกจากร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้า” เลเบนถอนหายใจก่อนจะเก็บจี้มันตรากลับเข้าไปในเสื้อ บาร์คมองหน้านาง

“ข้าดีใจที่เจ้าตัดสินใจเช่นนั้น แต่...” เจ้าหมาป่าหยุดคำพูดค้างพลางเลื่อนสายตามองไปยังแม่น้ำกว้างตรงหน้า “ทางไปไมเมียร์อยู่อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำนี่ พวกเราจะข้ามไปได้อย่างไรกัน”

“คงต้องต่อแพ” กิลกาเมชตอบด้วยสีหน้าหนักใจ เลเบนมองเอลฟ์หนุ่มซึ่งกำลังตีหน้าบ่งบอกถึงความกังวล นางยิ้มอย่างรู้ทัน

“ดูเหมือนเจ้าอยากจะพูดว่า แต่ข้าทำไม่เป็น”

“ก็ทำนองนั้น” เอลฟ์หนุ่มกล่าวเสียงเบาแต่ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองเอาไว้ บาร์คถึงกลับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น มันเหยียดตัวลงนอนบนพื้นกรวด

“เหลือเชื่อ” เจ้าหมาป่าพูดทั้งที่ยังคงหัวเราะ “แม่ทัพเอลฟ์ผู้เกรียงไกร ซ้ำยังเก่งกาจชาญฉลาดไปเสียทุกสิ่งกลับไม่รู้วิธีการต่อแพข้ามแม่น้ำ”

“นครที่พวกข้าอยู่อาจจะมีทะเลสาบ และหากจำเป็นพวกเราก็มีนาวากรเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะ ไม่จำเป็นที่นักรบเช่นข้าต้องลงมือกระทำ”

“พูดให้สั้นก็คือเจ้าไม่มีความรู้ในด้านการต่อเรือหรือแพ” บาร์คกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายการยั่วเย้า มันพลิกตัวให้อยู่ในท่านั่งแล้วโบกหางสองสามครั้ง

“แล้วเจ้าเล่าเลเบน เจ้าต่อแพเป็นหรือไม่”

“ข้าพอจะรู้วิธี แต่ไม่แน่ใจในการผูกเงื่อนรัดท่อนไม้” เด็กสาวตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แต่ข้ามั่นใจว่าเซรัคน่าจะทำได้”

“แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่” กิลกาเมชกล่าว “เราต้องลงมือสร้างด้วยตนเอง เลเบน เจ้าจงบอกวิธีมาส่วนข้าจะเป็นผู้ลงมือมัดไม้เหล่านั้นเอง”

“ให้ข้าช่วยได้นะ” เด็กสาวกล่าวแต่เอลฟ์แห่งเออร์ไอเด็นกลับสั่นศีรษะ

“เรี่ยวแรงของเจ้าคงมีไม่พอจะผูกรัดเงื่อน” เขาเหลียวมองต้นไม้ซึ่งขึ้นอยู่รอบบริเวณนั้นพร้อมกับถอนใจ “ข้าไม่อยากตัดโค่นต้นไม้เหล่านั้นเลย”

กิลกาเมชบ่นพึมพำก่อนจะก้าวเข้าไปในป่าโดยมีบาร์คและเลเบนเดินตามหลัง เด็กสาวมองต้นไม้แต่ละต้นอย่างพิจารณาคล้ายกำลังคัดเลือกท่ามกลางสีหน้าซึ่งแสดงความอึดอัดใจของแม่ทัพแห่งไพร
บาร์คมองกิริยาของเอลฟ์หนุ่มอยู่ชั่วครู่จึงพูดเบาๆ

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยชอบการตัดไม้เท่าใดนัก”

“พวกเราชาวเอลฟ์ถือว่าต้นไม้คือหัวใจแห่งธรรมชาติ พวกเขาเป็นลมหายใจของทุกสิ่ง การตัดหรือทำลายแม้เพียงกิ่งก้านนั้นเปรียบเสมือนกับการสังหารตัวเราเอง”

“ข้าเคยเข้าไปในเออร์ไอเด็นและเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำจากไม้” เจ้าหมาป่าเชิดหัวของมันขึ้นและสูดลมหายใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะการตัดแล้วพวกเจ้าจะนำของพวกนั้นมาใช้ได้อย่างไร”

“ธรรมชาติมักจะมอบสิ่งที่ดีให้กับเราเสมอ หากเรารู้จักรอและเลือกวิธีการใช้อย่างมีสติ”

กิลกาเมชกล่าว เขามองเลเบนซึ่งยืนจ้องต้นไม้ขนาดกลางต้นหนึ่ง “ในป่ามีไม้ล้มมากมายให้พวกเราเลือก เพียงแต่ต้องขยันเดินหากันสักนิด”

“ฟังดูเหมือนพวกเจ้าชอบรอคอยมากกว่ากระทำ” น้ำเสียงของบาร์คแฝงการติเตียนเล็กน้อย เอลฟ์แห่งนครไพรมองเขา

“สำหรับผู้ที่ต้องหาอาหารกินเองเช่นเจ้าอาจจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ชนซึ่งได้รับพรมาจากทวยเทพอย่างพวกเราแทบไม่จำเป็นต้องลงมือกระทำการใดนอกจากการป้องกัน”

“พูดง่ายๆก็คือสัตว์ล่าเนื้ออย่างข้าต้องดิ้นรนหากินด้วยตนเองในขณะที่พวกเจ้าดำรงได้ด้วยพืชพรรณเพียงเล็กน้อยที่ได้รับมาจากธรรมชาติ” เจ้าหมาป่าพ่นลมหายใจ “ช่างเฉื่อยชากันเสียจริง”

“อย่างน้อยพวกข้าก็ออกเสาะหาซากไม้ด้วยตัวเอง” กิลกาเมชดึงดาบออกจากฝักเมื่อเห็นเด็กสาวทำสัญญาณว่าตกลงเลือกไม้ต้นนั้น บาร์คทำหูตั้ง

“นั่นเจ้าจะทำอะไร”

“อย่างที่เห็น” เอลฟ์หนุ่มตอบ “ตัดต้นไม้”

“ด้วยดาบนี่น่ะรึ” เจ้าหมาป่าทวนคำเสียงสูง แม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นมองอาวุธในมือ

“แล้วในตอนนี้เจ้ามีสิ่งอื่นที่สามารถตัดไม้ต้นนี่ได้หรือ” เขาย้อนถาม หูของบาร์คลู่ไปทางด้านหลัง มันเหยียดขาออกและนอนลง

“จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ใจของเจ้าเถิด” มันพูดพึมพำ กิลกาเมชมองสหายสี่ขาของตัวเองก่อนจะหันไปทางเลเบน

“เจ้าไปยืนทางด้านนั้นจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วอาจได้รับอันตรายเมื่อไม้นี้โค่นล้มลง”

เลเบนถอยออกไปยืนอีกด้านตามคำของเอลฟ์หนุ่มและมองเขาเงื้อดาบในมือขึ้นราวต้องการฟันต้นไม้นั้นให้ขาดในครั้งเดียว ฉับพลันนั้นเองก็บังเกิดกระแสลมอันรุนแรงพุ่งออกมาจากป่า กิลกาเมชหยุดชะงักในขณะที่บาร์คลุกพรวดขึ้น มันจ้องลมหมุนซึ่งกำลังหมุนเป็นวงอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

“นี่มันอะไรกัน” เลเบนร้องถามในขณะที่กิลกาเมชก้าวเข้าไปหาบาร์คด้วยความเป็นห่วง เขาจ้องลมหมุนนั้นเขม็งและเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงขู่คำรามอย่างแผ่วเบาดังออกมาจากเกลียววายุ

“มีวิญญาณของอะไรบางอย่างอยู่ในลมนั่น” เอลฟ์หนุ่มร้องขึ้น “ถอยออกห่างจากมันเร็ว บาร์ค!”

เจ้าหมาป่ารีบกระโดดหลบออกไปอีกด้านตามคำเตือนของแม่ทัพแห่งไพร แต่ลมหมุนนั้นกลับเคลื่อนที่ตามมันไปติดๆ บาร์ควิ่งวนไปโดยรอบพร้อมกับเห่ากรรโชก กิลกาเมชรีบวิ่งเข้าไปช่วยมันทันทีด้วยความเป็นห่วง

“อย่าเข้ามา!” บาร์คร้องห้ามและกระโดดหลบเกลียววายุไปด้านข้าง “ลมนี่มีวิญญาณแค้นของสัตว์ป่า มันต้องการตัวข้ามากกว่าเจ้า”

“ทำไม”

“ข้าไม่รู้” เจ้าหมาป่ากลิ้งตัวหลบลมหมุนขณะตอบ “แต่สิ่งที่จมูกข้ารับได้ก็คือ ในลมนี่มีกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงผสมกับกลิ่นอันน่าชังของโลกิ”

“ถ้าอย่างนั้นจงรีบถอยออกมาบาร์ค” กิลกาเมชกล่าว เขารีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนพร้อมกับเงื้อดาบตัดสายลม มันลอยหนีขึ้นไปอยู่เหนือยอดไม้และหมุนกลับลงมากระแทกร่างของเอลฟ์หนุ่มจนกระเด็นไปอีกด้าน บาร์คคำรามลั่น

“ข้าอยู่ทางนี้ต่างหากเจ้าลมโง่!”

เกลียวหมุนหันเหเปลี่ยนทิศ มันพุ่งเข้าหาบาร์คซึ่งตั้งท่ารออยู่ กิลกาเมชรีบลุกขึ้นและทันเห็นลมหมุนนั้นกำลังสลายตัวหายเข้าไปในร่างของหมาป่าสีเทา บาร์คยืนโงนเงนไปมาและทรุดล้มลงท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตระหนกของแม่ทัพไพร

“บาร์ค!”


*/*/*/*/*


สายลมซึ่งพัดเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันทำให้เซรัคต้องชะงักขาที่กำลังก้าวข้ามขอนไม้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ที่พัดไหวโอนเอนไปมาก่อนจะหันกลับไปมองทิศทางที่เพิ่งเดินจากมา เขาก้มลงกำเศษใบไม้จากพื้นขึ้นมาโปรยและนิ่วหน้าเพราะแทนที่จะเห็นใบไม้แห้งเหล่านั้นปลิวร่วงหล่นไปตามสายลมมันกลับลอยหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลอยสูงขึ้นและปลิวหายไป

“แปลกทำไมวันนี้สายลมถึงเปลี่ยนทิศไปมาอย่างรุนแรงนักซ้ำมวลอากาศยังหนักอึ้งและเต็มไปด้วยกลิ่นแห่งความโกรธเกรี้ยว”

ความคิดหนึ่งไหลวูบเข้าไปในสมอง เซรัคหันกลับไปมองยังทิศทางที่แยกจากพวกกิลกาเมชอีกครั้งด้วยความสังหรณ์ใจ

“หรือนี่เป็นอำนาจของโลกิ” เขากำมือแน่นในใจเต็มไปด้วยความสับสนทั้งเป็นห่วงในความปลอดภัยของกิลกาเมชและกังวลในภาระของตน เซรัคหันหน้ามองเข้าไปในป่าทึบที่เขาคิดว่าโรบาวห์จะใช้เป็นที่ซ่อนตัว ชายหนุ่มยินนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปยังแม่น้ำที่เพิ่งจากมาอีกครั้งพร้อมกับคำรามเบาๆ

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้รอดตัวไปได้อีกวัน โรบาวห์”

เขาเดินกลับไปหาพวกของกิลกาเมชอย่างรวดเร็ว ความวิตกกังวลผนวกกับลางสังหรณ์ซึ่งรบกวนอยู่ในจิตใจอย่างรุนแรงทำให้เซรัคต้องเร่งฝีเท้าให้ก้าวเร็วขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง เสียงร้องอุทานด้วยความตระหนกของเลเบนกับเสียงขู่คำรามของหมาป่าที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พ้นจากแนวป่า เขาต้องยืนตกตะลึงเมื่อพบว่าบาร์คกำลังไล่ขย้ำเลเบนอย่างดุร้าย เขาถลันออกไปคว้าร่่างของเด็กสาวให้พ้นจากคมเขี้ยวอย่างเฉียดฉิว เซรัคหันไปมองเจ้าหมาป่าที่กำลังยืนแยกเขี้ยวคำรามด้วยความโกรธอย่างงงัน

“เกิดอะไรขึ้นกับบาร์ค” เขาถามเลเบนด้วยความแปลกใจ เด็กสาวส่ายหน้า

“ข้าเองก็ไม่รู้ ตอนที่พวกเรากำลังจะตัดต้นไม้เพื่อนำไปต่อเป็นแพข้ามแม่น้ำจู่ๆก็มีลมหมุนพุ่งออกมาจากป่าทางด้านนั้น มันหายเข้าไปในตัวบาร์คแล้วเขาก็คลุ้มคลั่งไล่ทำร้ายพวกเรา”

“ทำร้ายพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ” เซรัคทวนคำและกวาดตามองหากิลกาเมช ชายหนุ่มเบิกตา
กว้างเมื่อพบว่าแม่ทัพเอล์ฟกำลังนอนจมกองเลือดไม่ห่างไปจากที่เขายืนเท่าใดนัก เขาคลายมือจากเลเบนพร้อมกับร้องเรียก

“กิลกาเมช!”

เซรัคขยับตัวเพื่อจะเข้าไปช่วยเอลฟ์หนุ่มแต่เสียงขู่ของบาร์คทำให้เขาต้องชะงัก

“บาร์ค” ชายหนุ่มเรียกเสียงหนัก “เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ”

เสียงคำรามในลำคอดังตอบกลับมา บาร์คแยกเขี้ยวปล่อยให้น้ำลายไหลยืดย้อยหยดลงบนดิน ไอสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาส่งกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้ง เซรัคขบกรามแน่นด้วยความลำบากใจ

“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้านะบาร์ค” เขาพูดพลางดึงดาบออกมาจากเอว เจ้าหมาป่าจ้องการกระทำของเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำราวกับเลือด มันขยับตัวและกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว เซรัคเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับใช้สันดาบฟันเข้าที่สีข้างของมัน บาร์คร้องเสียงหลงก่อนจะล้มกลิ้งไปอีกด้านและพลิกตัวลุกยืนขึ้นอย่างว่องไว

“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะบาร์ค” เซรัคถามเสียงดัง

“เขาถูกสิง” เสียงกิลกาเมชพูดขณะใช้ดาบยันกายลุกขึ้น เซรัคมองต้นแขนซึ่งมีบาดแผลจากรอยกัดของหมาป่า

“เจ้าถูกบาร์คกัด”

“แค่คมเขี้ยวเฉี่ยวผ่านไปเท่านั้น” แม่ทัพแห่งไพรกล่าวทั้งที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “หากบาร์คต้องการกัดข้าจริงๆน่าจะเล็งมาที่ลำคอมากกว่า”

“เขาถูกอะไรสิง” ชายหนุ่มถามพลางขยับดาบในมือหมายและกวัดแกว่งไปมาเพื่อข่มขู่เจ้าหมาป่ามากกว่าต้องการสังหาร บาร์คแยกเขี้ยงคำรามและกระโจนเข้าใส่เขาทันที

“ให้ตายเถอะ” เซรัคร้องพลางเบี่ยงตัวหลบและใช้กำปั้นเหวี่ยงเข้าใส่ลำตัวของเจ้าหมาป่าอย่างแรงจนกระเด็น เขาหันไปทางกิลกาเมชที่ขยับหนีไปอีกด้าน

“ข้าถามว่าเขาถูกอะไรสิง”

“ข้าไม่รู้” แม่ทัพไพรตอบทั้งที่ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่บาร์ค “แต่เท่าที่รู้บาร์คยังไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้นโดยสมบูรณ์ จิตสำนึกของเขายังคงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ”

“จิตสำนึกของบาร์คยังอยู่หรือ” เซรัคทวนคำขณะหมุนตัวหลบหมาป่าอีกครั้งพร้อมกับทำท่าจะเตะมันแต่กลับชะงักค้างและเปลี่ยนเป็นกระโดดถอยหนีแทน “เจ้ารู้ได้ยังไง”

“มีหลายครั้งที่บาร์คสามารถฆ่าข้าได้แต่เขาไม่ทำ” กิลกาเมชตอบ “เราต้องทำให้เขารู้สึกตัว”

“ยังไง”

“ข้ากำลังหาวิธีอยู่” แม่ทัพแห่งนครไพรตอบ เซรัคมองต้นแขนของอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้ว

“เจ้าคงจะถูกเขาฉีกเป็นชิ้นก่อนดึงความทรงจำกลับมาได้สำเร็จ” เขาหันไปทางหมาป่าซึ่งกำลังก้มหัวของมันลงต่ำ ดวงตาเหลือบมองมายังคนทั้งสองอย่างระแวงก่อนตวัดไปที่เลเบนซึ่งยืนหน้าซีดอยู่อีกด้าน

“กุญแจเลือด”

เสียงคำรามแผ่วต่ำหลุดลอดออกมาจากปาก ทั้งกิลกาเมชและเซรัคถึงกับยืนนิ่งด้วยความตกใจ เอล์ฟหนุ่มหลุดปากอุทาน

“นั่นเป็นเสียงของโลกิ”

“หมายความว่าบาร์คกำลังถูกโลกิสิงอย่างนั้นหรือ”

เซรัคถามแต่เสียงร้องของเลเบนทำให้ทั้งคู่ต้องยุติการสนทนา ชายหนุ่มวิ่งเข้าไปหาเด็กสาวพร้อมกับดึงแขนของนางให้พ้นจากคมเขี้ยวของบาร์คในขณะที่กิลกาเมชกระโดดเข้าไปคว้าลำคอของมันและกอดเอาไว้แน่น เจ้าหมาป่าร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับสะบัดตัวอย่างแรง

“บาร์ค” กิลกาเมชร้องเรียกชื่อของหมาป่าผู้ที่เขาถือว่าเป็นสหาย “หยุดเดี๋ยวนี้นะบาร์ค”

เจ้าหมาป่ากระโจนขึ้นไปในอากาศและทิ้งตัวลงมาหมายให้แม่ทัพเอล์ฟกระเด็นหลุดออกจากร่าง แต่กิลกาเมชกลับกอดมันเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะลืมพวกเรา” เขากระซิบข้างใบหูของเจ้าหมาป่า “นึกให้ออกสิว่าพวกเราเป็นใคร”

บาร์คโค้งลำตัวจนโก่งและสะบัดหลังของมันอย่างแรงจนร่างของแม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นเลื่อนไหลลงมาด้านหน้า เจ้าหมาป่าหันกลับไปกัดไหล่ของกิลกาเมชเอาไว้แน่นและออกแรงกระชากจนเขาหลุดจากหลังก่อนจะเหวี่ยงไปที่ต้นไม้ ร่างในชุดเกราะกระแทกลำต้นอย่างแรงจนหักโค่น เซรัคกับเลเบนร้องเรียกเขาด้วยความตกใจและเตรียมจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่กิลกาเมชกลับยกมือขึ้นพร้อมกับร้องห้าม

“อย่าเข้ามา” เขาดันตัวเองให้ลุกยืนด้วยความยากลำบากอันเนื่องจากบาดแผลของรอยเขี้ยวคมกริบที่ทะลุผ่านเกราะฝังเข้าไปในเนื้อ เอลฟ์หนุ่มปลดเกราะของตัวเองออกและโยนทิ้งไปอีกด้าน เขากางแขนทั้งสองข้างออกแล้วยิ้ม

“ข้าไม่มีอะไรคุ้มกันตัวอีกแล้ว” กิลกาเมชกล่าว “หากคิดสังหารข้าก็จงรีบเข้ามาเถิดบาร์ค ถือเสียว่าเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณที่เจ้าเคยช่วยชีวิต”

บาร์คส่งเสียงขู่ มันจ้องแม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นซึ่งยืนตรงหน้า ขาข้างหนึ่งขยับแต่ร่างของมันกลับไม่ยอมเคลื่อนไหว เสียงอื้ออึงราวพายุดังก้องอยู่ในหัว

“ฆ่ามัน! สังหารเจ้าเอลฟ์ชั่วนั่นเดี๋ยวนี้”

“ไม่” อีกเสียงหนึ่งร้องค้าน แม้จะแผ่วเบาราวเสียงกระซิบแต่ก็สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของบาร์คไว้ได้ พลังอันร้อนแรงที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในกายของมันวิ่งพล่านราวคลุ้มคลั่ง เสียงโลกิดังก้อง

“กายเจ้าเป็นของข้า จงทำตามบัญชาอย่าได้ขัดขืนเจ้าสัตว์เดรัจฉาน”

บาร์คก้มหัวต่ำลงและย่างสามขุมเข้าหากิลกาเมชซึ่งยังคงยืนนิ่ง เซรัครีบขยับตัวแต่
เลเบนกลับดึงแขนเขาเอาไว้พร้อมกับร้องห้าม

“อย่าเข้าไปขวางกิลกาเมช เขากำลังหาทางช่วยบาร์ค”

“แต่เจ้าหมาป่านั่นกำลังจะฆ่าเขา” ชายหนุ่มหันไปเถียงแต่เลเบนส่ายหน้า

“บาร์คไม่มีวันทำร้ายกิลกาเมชแน่”

“เจ้ารู้ได้ยังไง”

“เพราะความเป็นเพื่อน” เลเบนพูดพร้อมกับหันไปจ้องเอลฟ์หนุ่มซึ่งกำลังยืนมองหมาป่าด้วยสายตาแห่งความจริงใจ “บาร์คไม่มีทางทำร้ายคนที่เขาเรียกว่าเพื่อนอย่างเด็ดขาด”  

เซรัคมองหน้าเด็กสาวอย่างคาดไม่ถึง เขาถอนใจและหันกลับไปทางกิลกาเมชอีกครั้ง เสียงเอล์ฟหนุ่มกล่าว

“เข้ามาสิบาร์ค” น้ำเสียงของกิลกาเมชเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เข้ามารับบุญคุณที่เจ้าเคยมีต่อข้า”

“ข้าทำแน่” บาร์คคำรามพร้อมกับกระโจนเข้าใส่แม่ทัพแห่งไพรจนหงายผงะหลังล้มทั้งยืนและอ้าปากงับลำคอของเขาเอาไว้ กิลกาเมชไม่ดิ้นรนขัดขืนแต่กลับยกมือขึ้นลูบหัวของมัน

“ฝังเขี้ยวของเจ้าลงไปเสียสิ บาร์ค เพื่อนเพียงคนเดียวของข้าในแผ่นดินมนุษย์”

เขี้ยวอันแหลมคมซึ่งกำลังฝังลงไปในเนื้อของเอลฟ์หนุ่มหยุดลงทันที บาร์คชะงักการกระทำของมันและยืนนิ่ง คำพูดของกิลกาเมชสะท้อนก้องอยู่ในหัวปลุกจิตสำนึกของบาร์คให้เกิดพลังขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ พลังแห่งสายลมร้ายซึ่งวิ่งวนอยู่ในกายคำรามลั่นด้วยความกราดเกรี้ยว มันกระแทกจิตของเจ้าหมาป่าอย่างรุนแรงพร้อมกับตะโกนก้อง

“เจ้ามันก็แค่หมาป่า” เสียงโลกิตะโกนลั่น “เจ้าเอลฟ์นั่นไม่มีทางเรียกเจ้าเป็นสหาย”

“แต่เขาได้เรียกแล้ว” จิตสำนึกของบาร์คตอบ “และข้าก็เชื่อใจกิลกาเมชมากกว่าที่จะฟังคำล่อลวงของเจ้า”

เสียงขู่คำรามอย่างทรงอำนาจดังขึ้นภายในร่างของบาร์ค

“ออกไปจากร่างของข้าเดี๋ยวนี้เจ้าผีร้ายและกลับไปบอกโลกินายของเจ้าว่า วันหนึ่งคมเขี้ยวเดรัจฉานคู่นี้จะฉีกเนื้อกระชากหัวใจของมันออกมาแล้วขยี้ทิ้งด้วยอุ้งตีน!”

กระแสพลังจิตอันรุนแรงพวยพลุ่งขึ้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ มันแผ่กระจายออกกระแทกเกลียววายุจนกระเด็นหลุดออกมาจากร่างของบาร์คและลอยหมุนวนรอบกายมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมลายหายไป เจ้าหมาป่ายืนโอนเอนอยู่บนร่างของเอลฟ์หนุ่มครู่หนึ่งก่อนจะทรุดล้มลง กิลกาเมชรีบดันตัวลุกขึ้นและกอดมันไว้ด้วยความเป็นห่วง

“บาร์ค”

“บาร์ค!” เลเบนร้องเรียกขณะที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับเซรัค ทั้งคู่นั่งลงและลูบหลังเจ้าหมาป่าด้วยความเป็นห่วง

“บาร์ค เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” แม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นถามขณะประคองหัวของเจ้าหมาป่าพร้อมกับเอ่ยเรียกซ้ำ “บาร์ค”

“หยุดเรียกข้าด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกแบบนั้นเสียที” บาร์คตอบเสียงแผ่ว “แล้วช่วยกรุณาเลิกกอดข้าได้แล้วเพราะมันทำให้รู้สึกแปลกพิกล”

“ขอโทษ” กิลกาเมชคลายมือของเขาออก บาร์ครีบขยับตัวลุกนั่งและมองบาดแผลบนร่างของเอลฟ์หนุ่ม ใบหูทั้งสองข้างลู่ลง สีหน้าของเจ้าหมาป่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“ข้าต่างหากที่ควรกล่าวคำขอโทษต่อพวกเจ้า” มันพูดเสียงแผ่ว “โดยเฉพาะกิลกาเมช ข้าต้องขอโทษที่ทำร้ายเจ้าจนได้รับบาดเจ็บ”

“เจ้าทำไปเพราะถูกบงการ” เอลฟ์หนุ่มตอบ เขานิ่วหน้าเมื่อเลเบนเริ่มใช้ผ้ากดลงไปบนปากแผลเพื่อห้ามเลือด “มันเป็นการกระทำของผีร้ายไม่ใช่ฝีมือของเจ้า อย่ากล่าวโทษตัวเองเลย”

“ข้าน่าจะมีจิตใจที่หนักแน่นกว่านี้” บาร์คพูดพึมพำด้วยความเจ็บใจ แม่ทัพแห่งไพรยิ้ม

“การที่เจ้าสามาถขัดขืนและดิ้นรนจนสามารถหลุดออกมาจากมนตร์สะกดของโลกิได้ก็นับว่ามีพลังใจที่กล้าแกร่งอย่างเหลือเกิน”

กิลกาเมชกล่าวชมอย่างจริงใจ บาร์คทำหน้าเศร้าและก้มลงมองพื้นด้วยความรู้สึกละอาย เซรัคมองท่าทางของเจ้าหมาป่านิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้ายังพอมีแรงอยู่อีกหรือไม่”

“เจ้าถามทำไม”

“ข้าอยากให้เจ้าพากิลกาเมชไปที่ริมแม่น้ำเพื่อชำระล้างแผลและใส่ยาให้เขา”

บาร์คโบกหางของตนเองและยืนขึ้นทันที มันหันไปมองแม่ทัพแห่งไพรและขยับเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายรีบโบกมือพร้อมกับพูด

“ข้าไม่นั่งบนหลังของเจ้าแน่”

เจ้าหมาป่าแยกเขี้ยวคล้ายกำลังยิ้ม

“เจ้าเคยนั่งหลังข้ามาแล้วตั้งสองครั้งอย่าอายนักเลยท่านกิลกาเมช”

*/*/*/*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 10:02:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com