 |
**** มาอ่านกันต่อค่ะ
“ข้ามาที่นี่ก็ถูกผูกตามา มิได้เห็นหนอันใดสักน้อย ซ้ำมาถึงก็พาข้ามาอยู่ในถ้ำนี้ พี่จักมิให้ข้าได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยฤๅ ทำเยี่ยงนี้ก็มิต่างอันใดกับเป็นเชลยสักน้อย แต่ก็นั่นล่ะหนา ข้ามาจากที่ใดก็ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่ไว้ใจก็หาใช่เรื่องแปลก”
เนตรดำมันระยับสบประสานนิ่งมิได้เบนหลบสักน้อยหนึ่ง แสนหลวงจ้องลึกลงไปในนิลน้ำงามคู่นั้นราวกับจักมองให้ทะลุถึงแก่นกลางใจคนพูด เมื่อมิพบพิรุธใดก็ค่อยคลายใจว่ามิ่งแก้วคงมิได้กล่าววาจาลวงให้ตายใจ อย่างน้อยการที่นางกล้ามองตาเขาเพลาที่พูดนั้นก็เป็นการยืนยันอยู่อีกชั้นหนึ่ง ธรรมดาคนกล่าวคำเท็จไหนเลยจักกล้าสบตาคู่สนทนาได้ดังนี้
“วันพรุ่งเถิดหนามิ่งแก้ว พี่จักพาเจ้าไป”
“จริงฤๅ”
“ช... แสนหลวงมิเคยลวงผู้ใด”
เจ้านางกาสะลองทรงแน่พระทัยว่าพระกรรณมิได้ฝาดแน่ นายโจรหนุ่มเกือบลั่นวาจาหนึ่งออกมา หากรีบเปลี่ยนเสียด้วยเหตุผลบางประการ หน้าคร้ามแดดนั้นขรึมลงคล้ายมีเรื่องปิดบังในใจ ก่อนที่ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนดื้อๆ
“เจ้าพักผ่อนเสียก่อน แล้วข้าจักให้คนเอาข้าวแลน้ำมาให้”
แสนหลวงพูดจบก็เดินออกไปทันที มิพักรอฟังคำใดจากคนที่นั่งอยู่บนแท่นหินแม้สักครึ่งคำ เจ้านางกาสะลองที่กำลังจักตรัสเรียกรั้งไว้จึงได้แต่ทรงสงสัยว่า นายโจรผู้นี้มีเรื่องราวใดซ่อนซุกในใจกระนั้นฤๅ
ร่างสูงเดินออกมานอกถ้ำ สั่งความระเมาที่ปราดเข้ามาหาผู้เป็นนายอยู่สองสามคำก่อนจักแยกตัวออกไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง แสนหลวงยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง ความทรงจำที่เพียรจักกลบฝังหากไม่เคยมีสักทิวาที่จักลืมเลือน ยิ่งได้พานพบมิ่งแก้ว ยิ่งทำให้ใจโจรกระหวัดหวนถึงน้องสาวคนเดียว หากนางยังอยู่ก็เห็นจักอายุเท่ามิ่งแก้วนี่ล่ะหนา ภาพความโหดร้ายยังตรึงอยู่ในความทรงจำ รุนแรงพอที่เขาจักเพิกเฉยยามที่สมุนโจรฉุดคร่าแม่ญิงมาย่ำยี แต่กับมิ่งแก้ว เขาไม่อาจยอมได้ ทางเดียวที่พอมองเห็นเพลานี้คือการมัดข้อมือด้วยนางเท่านั้น ครั้นจักส่งนางกลับคืนเรือนก็จักเป็นที่สงสัยของสมุนโจรอีก เพราะความคะนองที่พูดไปโดยแท้เทียว
“ชายชาติทหารพูดคำใดแล้วย่อมต้องเป็นดั่งนั้น”
แสนหลวงบอกตนเองด้วยถ้อยวาจาที่เจนใจเจนปากมาแสนนาน เขายิ้มเยาะตนเองนิดๆ ชายชาติทหารกระนั้นรึ จนบัดนี้เขายังกล้าเรียกตนว่าชายชาติทหารทั้งที่วิถีทางเปลี่ยนแปลงจนสิ้น จากนายกองเป็นนายโจร สูญสิ้นทุกสิ่งเพียงชั่วข้ามคืน แล้วนายโจรจักหวนคืนสู่นายกองได้ฤๅไม่ นั่นสุดแล้วแต่องค์พรหมเทพจักทรงลิขิตเถิดหนา
“พี่แสนหลวง”
เสียงใสที่เรียกชื่อเขาจากทางด้านหลังทำให้ต้องหันไปดู เมื่อเห็นมิ่งแก้วเดินออกมาหา แสนหลวงก็ชักสีหน้าขึ้นน้อยหนึ่งอย่างไม่ชอบใจนัก
“ออกมาได้อย่างใด มิ่งแก้ว”
“ข้าเห็นพี่ออกมาเมินแล้ว จักมาตามให้ไปกินข้าวด้วยกัน พวกนั้นเลยเปิดทางให้ข้า”
นายโจรหนุ่มนิ่งเงียบ วาจาเยี่ยงนี้ ท่าทีเยี่ยงนี้ไม่ผิดเลยกับศรีมายผู้เป็นน้องสาว ถ้อยคำที่ตั้งใจจักต่อว่าก็กลับกลืนหายลงคอไปสิ้น เจ้านางกาสะลองทอดพระเนตรท่าทีแปลกๆ ของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด กิริยาท่าทางของแสนหลวงที่ทรงเห็นมานั้นหาใช่ลักษณะของนายโจรเลยสักน้อย ถึงจักกวนโทสะอยู่บ้างก็ตาม ทั้งการขี่ม้าแลชั้นเชิงการต่อสู้ แม้จักเล็กน้อยแต่ก็ทรงมองออกว่า มิใช่เชิงของโจรหรือชาวบ้านธรรมดาแน่ หากสู้สงบพระทัยไม่ตรัสถามอันใดออกไป บางทีการได้ตัวแสนหลวงอาจไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเลยก็ได้ ขอเพียงทรงทราบว่าเรื่องราวใดที่เขาเก็บงำเอาไว้ก็เพียงพอ
“พี่ ไปเถิด กลับเข้าไปข้างในด้วยกัน”
เสียงนั้นเรียกแสนหลวงให้กลับคืนสติ หากเมื่อมองเลยไปทางด้านหลังมิ่งแก้วก็เห็นเหล่าสมุนโจรมองมาอย่างสนใจอยู่ก่อนแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยหนึ่ง เอาอีกแล้วกระนั้นฤๅ ที่แอบดูอยู่เมื่อครู่ยังมิแล้วใจ๖พวกมันฤๅอย่างใด เงาดำที่พากันหลบวูบวาบตามซอกถ้ำนั่นคงคิดว่าเขามิรู้มิเห็นกระมัง แลคงคาดไม่ถึงด้วยว่าผู้เป็นนายจักซ้อนกลด้วยการฝืนใจทำกิริยาจ้วงจาบเอากับมิ่งแก้ว ครั้นเลื่อนสายตามาทางมิ่งแก้วเห็นเจ้าตัวยืนมองเขาตาแป๋วอยู่แล้ว ก็ยิ้มรับคำชวนนาง มือใหญ่เอื้อมมาแตะต้นแขนนางพร้อมกับหน้าคมเข้มที่โน้มลงมาหาอย่างรวดเร็ว
“ขอสุมามิ่งแก้ว หากพี่ต้องล่วงเกินเจ้าอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ขอให้รู้เถิดว่าทุกสิ่งที่พี่ทำนั้น พี่ทำไปเพื่อความปลอดภัยของเจ้า”
แสนหลวงกระซิบเร็ว กิริยานั้นเมื่อมองจากไกลๆ จักเห็นคล้ายนายโจรโน้มหน้าลงจูบแม่สาวน้อยคนงาม เรียกเสียงโห่ฮาอย่างชอบใจจากสมุนโจรอยู่ลั่นๆ เจ้านางกาสะลองเริ่มเข้าพระทัยแลปะติดปะต่อเรื่องราวได้รางๆ กิริยาวาจาที่เหมือนล่วงล้ำจาบจ้วงนั้นแท้แล้วคือสิ่งใด เนตรสีนิลที่ทอดจับนายโจรหนุ่มจึงอ่อนแสงลง พร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์แรกที่ประทานแก่อีกฝ่าย
“ขอบใจพี่แสนหลวง สักวันข้าจักตอบแทนความดีของพี่”
ริมฝีปากหนาได้รูปขยับยิ้มเปิดเผยเป็นครั้งแรก มือใหญ่ยกขึ้นจักขยี้ผมอีกฝ่ายเล่นอย่างที่เคยทำกับน้องสาว แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นวางบนไหล่บางแทน นัยน์ตาคู่นั้นจับนิ่งเพียงหน้านวลพร้อมเอ่ยคำ
“พี่จักรอวันนั้นมิ่งแก้ว”
อากาศเริ่มเย็นลงเมื่อสุริยาทิตย์ลับหายจากชายฟ้า ถึงจักเป็นต้นคิมหันตฤดูก็ตามที ทว่าพื้นที่แถบนี้ก็ยังคงหนาวเย็นอยู่ในยามราตรี สมุนโจรทั้งหลายเมื่อเสร็จสรรพจากข้าวปลาอาหารแล้วก็เริ่มแจกจ่ายสุราข้าวโพดสู่กัน ลำพังเพียงก่อกองไฟอย่างเดียวคงไม่พอแน่ จำจักต้องใช้ความร้อนของเหล้าเข้าช่วยอีกโสตหนึ่ง เจ้านางกาสะลองเองก็ทรงเลี่ยงไม่พ้นที่จักต้องเสวยเช่นกัน เมื่อแสนหลวงเลื่อนสำรับข้าวแลงออกห่าง แล้วแย่งน้ำต้นที่กำลังจักทรงหยิบไปรินให้เสียเอง กลิ่นของมันบอกชัด ของเหลวในน้ำต้นหาใช่น้ำเปล่าดังที่เข้าพระทัยมาแต่แรก มิน่าเล่าเขาถึงแย่งไปทำให้เสียเอง ถ้วยดินเผาหยาบๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับบอก
“เหล้าข้าวโพด ดื่มสักน้อย อึกเดียวเห็นจักพอ มากกว่านี้พี่เกรงเจ้าจักเมาเสียก่อน”
คนฟังได้ยินแทบสรวลออกมาแต่ก็สู้กลั้นไว้เสีย เพราะเกรงจักเป็นการทำลายน้ำใจกันเกินไป ทรงทราบดีว่าแสนหลวงห่วงแลเข้าใจว่าองค์เองไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน ทรงยอมยกถ้วยขึ้นจิบแต่โดยดีแต่แล้วก็ต้องย่นพระขนง เหล้าข้าวโพดของที่นี่รสแรงร้อนกว่าที่เคยเสวยมากนัก เพียงอึกเล็กๆ ก็ทำให้ร้อนวูบไปตลอดทั้งนาภีราวกับกลืนถ่านไฟลงไปก็มิปาน เห็นทีเรื่องเมาเป็นอันตัดไปได้ เพราะคงไม่มีอึกที่สองตามมาอีกเป็นแน่ ทรงส่งถ้วยเหล้ากลับคืนให้แสนหลวง อีกฝ่ายรับมาแล้วยกดื่มจนเกลี้ยงถ้วยอย่างไม่ลังเล เจ้านางกาสะลองทอดพระเนตรอย่างอัศจรรย์นัก นี่กระมังที่เขาเรียกขานว่าพวกคอทองแดง
“อยากออกไปข้างนอกกับพี่ฤๅไม่ มิ่งแก้ว”
จู่ๆ แสนหลวงก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้านางกาสะลองทรงเอียงพระศอทอดพระเนตรแทนคำถาม
“เดินเล่นอย่างที่เจ้าต้องการอย่างใดเล่า”
“แต่มันมืดแล้วหนาพี่”
“แต่ก็ใช่มืดเสียจนไม่แลเห็นอันใด ไร้แสงเดือนก็ยังมีแสงดาวส่องเห็นทางมิใช่ฤๅ”
ปลายเสียงแผ่วสะท้านดุจคนมีความนัยที่มิอาจบอกผู้ใดได้ เจ้านางกาสะลองทรงนิ่งตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจักตอบตกลง แสนหลวงพยักหน้าก่อนลุกขึ้นยืน หากอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือเรียวทอดมาให้พลางถามยิ้มๆ
“ต่างคนต่างเดิน ผิดวิสัยไปกระมังพี่ อย่างใดก็จูงมือข้าเดินสักน้อยเถิด พ้นสายตาเมื่อใดค่อยปล่อย”
ยินวาจาคราแรก แสนหลวงออกจักงงอยู่ใช่น้อย แต่พอเห็นเงาดำไหวๆ อยู่ปลายหางตาก็แจ้งใจ จึงยื่นมือมาจับมือมิ่งแก้วแดให้ร่างบางลุกขึ้นมายืนเคียงข้างตนพร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างรู้กัน
จันทร์เสี้ยวราตรีขึ้น ๓ ค่ำแขวนดวงเกี่ยวกิ่งฟ้า หากแสงนวลไม่สว่างพอที่จักทำให้เห็นทางเดินได้สักเท่าใด หากไม่มีแสงดาวนับร้อยนับพันดวงที่ดาดาษเต็มแผ่นฟ้าระยิบพราวพยายามส่องแสงสกาวแทนที่ดวงเดือน กับแสงคบไฟไต้ที่แสนหลวงถือติดมือมาแล้ว การเดินเล่นครานี้เห็นจักลำบากอยู่ใช่น้อย แสนหลวงพามิ่งแก้วเดินไปทางหนึ่งซึ่งคนเดินตามแน่ใจว่าไม่ใช่ทางเดียวกันกับเมื่อกลางวันนี้แน่ แต่ก็มิได้พูดอันใดออกไป คงเดินตามต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง
“ลานแสงดาว พี่ชอบขึ้นมาบนนี้เพลาไม่สบายใจ”
แสนหลวงบอกก่อนที่คู่สนทนาจักทันถามเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงเดินไปปักไต้ไว้ที่คบไม้เตี้ยๆ ที่อยู่ไม่ห่างเท่าใดนัก ก่อนกลับมาทิ้งตัวลงนอนเอาท่อนแขนหนุนศีรษะตนมองเข็มเงินที่ปักเต็มไหมสีนิลเบื้องบน ขณะที่เจ้านางกาสะลองทรุดองค์ลงประทับเคียงใกล้
“ชอบดูดาวฤๅไม่ มิ่งแก้ว”
“ชอบ แต่ไม่ค่อยได้ดูนัก”
มิได้ตรัสความเท็จแต่อย่างใดเลย ทรงโปรดการดูดาวมาแต่ยังเยาว์ชันษาแล้ว แลมิใช่การดูเอาม่วนเพียงประการเดียว หากยังเป็นการเรียนรู้วิชาดาวเสียด้วย จักมีก็ระยะหลังที่มิได้ทรงทำดั่งนั้นด้วยราชกิจน้อยใหญ่ที่ประดังกันเข้ามาจนแทบมิได้ทรงพัก ครั้นพอแล้วเสร็จก็ทรงเหนื่อยเสียจนมิอยากทำอันใดอีก นอกจากบรรทมเพียงประการเดียว
“พี่เคยมีน้องสาวคนหนึ่งชื่อศรีมาย อายุเห็นจักเท่าๆ กับเจ้ากระมัง”
“เคยมีฤๅ แล้วเพลานี้นางไปอยู่เสียที่ใดแล้ว ไยพี่ไม่พานางมาด้วย”
“ศรีมายไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล พี่พานางมาได้ก็แต่เพียงความทรงจำ”
เสียงนั้นเศร้าจนคนฟังใจหาย มือบางเลื่อนแตะที่ต้นแขนเป็นเชิงปลอบ แสนหลวงหันมายิ้มให้น้อยเดียวเท่านั้นก่อนจักทอดตามองฟ้ากว้างดังเดิม นานเท่านานกว่าที่เขาจักหันมาทางมิ่งแก้วอีกครั้ง มองอย่างคนที่ใช้สติพิจารณาทุกสิ่งอย่างรอบด้าน เขารำลึกแลตรองถึงกิริยาวาจาของนางนับแต่แรกที่พบพานจนมาถึงเพลานี้ สายตาที่แวววามในความมืดยากนักที่คนอยู่เคียงข้างจักหยั่งได้ว่าเขามีความรู้สึกเยี่ยงใดเพลานี้ แต่สำหรับแสนหลวงเขารู้คำตอบแล้ว ไม่ว่าจักเป็นด้วยบุญหรือกรรมแต่ปางบรรพ์ที่นำชักให้มิ่งแก้วมาสู่ตนก็ตามที หากความเอ็นดูแลรักสนิทประหนึ่งนางเป็นตัวแทนของน้องสาวก็ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าผู้ใดจักคาดคิด เขาไว้วางใจแม่ญิงที่เพิ่งพบได้มิทันข้ามวัน นี่อาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับคนอื่น แต่กับเขา เขาเชื่อความรู้สึกแลหัวใจตนเอง มิ่งแก้วไม่มีวันจักนำความพินาศมาสู่ตนแลพวกพ้อง บางทีอาจถึงเพลาแล้วที่เขาต้องละจากวิถีโจรกลับคืนสู่ทางเดิมอีกคำรบ
ข้างเจ้านางกาสะลองนั้นทรงรู้สึกได้ถึงความไว้วางใจที่อีกฝ่ายมีให้ ก็อดละอายพระทัยมิได้ แต่ก็บอกองค์เองว่ามิได้ทำให้แสนหลวงต้องหลงไปในทางเสื่อมสักน้อย เมื่อคิดดั่งนี้ก็ทรงสบายพระทัยขึ้น แลทรงให้สัตย์กับองค์เองว่า นับแต่เพลานี้ไปจนกว่าจักถึงวันขึ้น ๙ ค่ำ อันเป็นกำหนดที่ทรงหมายให้แม่ทัพน้อยอินทร์คุมกำลังเข้าตีชุมโจร จักทรงเป็นแม่ญิงสามัญที่ชื่อมิ่งแก้วเพียงเท่านั้น แลทรงหวังว่า ก่อนจักถึงทิวานั้น จักทรงทำให้แสนหลวงยอมวางอาวุธโดยไม่มีฝ่ายใดต้องเสียไพร่พลให้จงได้
“จักไม่ถามพี่สักคำฤๅมิ่งแก้ว ว่าเหตุใดพี่จึงกลายมาเป็นโจร”
แสนหลวงถามเสียงเบา มิ่งแก้วส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่ ข้าคิดว่าแต่ละคนมีเหตุผลของตนเอง ไม่มีผู้ใดถูกผู้ใดผิด ถึงแม้ว่า บางเพลา สิ่งที่เราคิดเราทำไปนั้นอาจเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ทิ่ม๗ของคนอื่นก็ตาม ร้อยคนก็มองก็เห็นไปร้อยอย่าง ข้าคิดเยี่ยงนั้น”
“เจ้าพูดเอาใจพี่ฤๅ”
“หาใช่เอาใจ ข้าเพียงพูดไปตามจริง”
“แล้วเหตุผลที่เจ้ายอมให้พี่คร่าเอาตัวมาล่ะ จักว่าอย่างใด”
ชายหนุ่มว่าพลางยันตัวลุกขึ้นนั่งเคียงข้าง ดวงหน้าเข้มยังคงระบายรอยยิ้มอ่อนโยนดุจเคย ไม่มีเค้าว่าจักเคียดขึ้งสักน้อย แต่นั่นก็ทำให้คนถูกถามสะดุ้งใจอยู่เหมือนกัน ด้วยไม่คิดว่าเขาจักล่วงรู้
“พี่เคยเป็นทหารระดับนายกองมาก่อน กรำศึกมาก็มาก ไยพี่จักดูไม่ออกว่าคนใช้อาวุธไม่เป็นจริงๆ กับคนแสร้งทำมันต่างกันเยี่ยงใด”
“ข้าขอสุมา แต่ข้ามีความจำเป็นที่ต้องทำเยี่ยงนี้ พี่เคยบอกข้าว่า ทุกสิ่งที่พี่ทำนั้น พี่ทำไปเพื่อความปลอดภัยของข้าใช่ฤๅไม่ ข้าเองก็ใคร่บอกพี่เฉกกัน ทุกสิ่งที่ข้าทำไป มิใช่ต้องการเข่นฆ่าทำลาย”
“เฉกที่เจ้าว่าจักตอบแทนพี่ใช่ฤๅไม่ พี่จักรับการตอบแทนเจ้าได้อย่างใด หากพี่ยังมิรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด”
“ข้า... แล้วพี่จักรู้เองว่าข้าคือผู้ใด”
“คงไม่เมิน๘เกินรอกระมัง”
“ไม่เลยพี่แสนหลวง”
มิ่งแก้วว่ากลั้วหัวเราะ แสนหลวงทิ้งตัวลงนอนในท่าเดิมอีกคำรบ กิริยาท่าทางผ่อนคลายลงมากจนพริ้มเปลือกตาลงปิดสนิท ไร้รอยกังวลหรือหวาดระแวงใดๆ นายโจรหนุ่มนิ่งอยู่ในท่านั้นนานพอดู ก่อนจักลืมตาขึ้นมองดาวดวงใหญ่สุกใส
“ดาวเหนือชี้บอกทิศแก่คนเดินทางฉันใด มิ่งแก้วก็คือคนที่จักนำชีวิตของพี่จากนี้ไปฉันนั้น”
“แน่แล้วฤๅที่จักให้มิ่งแก้วคนนี้นำทางพี่”
“แน่ใจ จากนี้แลตราบไป วันพรุ่งพี่จักพาเจ้าไปในที่ที่เจ้าอยากเห็น”
เออหนอ บทจักง่ายก็ง่ายเสียจนน่ากลัวว่าอาจมีเล่ห์กลใดแฝงเร้น หากก็ต้องลองเสี่ยงดูอีกสักคำรบ แสนหลวงเองก็เหมือนจักรู้ใจนางจึงลั่นวาจารับรองออกไป
“ชายชาติทหารพูดคำใดแล้วย่อมต้องเป็นดั่งนั้น ทุกสิ่งที่เจ้าใคร่รู้จักได้รู้จนแจ้งใจ แต่ขอคำมั่นข้อหนึ่ง เจ้าต้องบอกทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเจ้าเท่าที่พี่ใคร่รู้เฉกกัน”
“ทุกสิ่งเกี่ยวกับข้า พี่จักได้รู้ เว้นสิ่งเดียวที่ข้าไม่อาจบอกพี่ได้”
“มิ่งแก้วแท้แล้วคือผู้ใด ใช่ฤๅไม่”
“เจ้า ข้าจักบอกพี่ภายใน ๗ ทิวานับจากนี้ไป ข้ามิใช่ชายแต่ก็ขอให้คำมั่นเช่นกันว่า มิ่งแก้วผู้นี้ลั่นคำใดต้องเป็นดั่งนั้น จักไม่มีวันบิดพลิ้วผันแปรเป็นอื่น”
มิ่งแก้วลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ความแน่นหนักที่ก่อตัวในใจมาหลายทิวา สารพัดแผนการที่เตรียมไว้ได้ถูกปลดวางลง ณ ลานแสงดาวแห่งนี้ สายสัมพันธ์แห่งมิตรที่เริ่มก่อตัวขึ้นนี้จักต้องถักทอแน่นเหนียวไปจนลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต ผู้ใดว่าแม่ญิงแลชายเป็นมิตรกันมิได้เห็นจักผิดเสียแล้ว อย่างน้อยก็มีแสนหลวงแลมิ่งแก้วเป็นประจักษ์โลกคู่หนึ่ง แสนหลวงปลดกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำหนึ่งในสองกระบอกที่สะพายติดขึ้นมาด้วยออกมา มิ่งแก้วนึกรู้ว่าอีกฝ่ายจักทำสิ่งใด นางจึงจับประคองกระบอกน้ำร่วมกับนายโจรหนุ่มก่อนร่วมกันหยาดน้ำลงสู่อ้อมอกพระแม่ธรณี โดยมีแสงจากดวงตาสวรรค์แลสายลมบางเบาเป็นประจักษ์พยาน สองเสียงร่วมประสานเป็นหนึ่งเดียว
“ขอเทพเทวาจงเป็นพยาน แสนหลวงแลมิ่งแก้วจักดำรงตนอยู่ในฐานะแห่งมิตร จักเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันแลกันไปจนกว่าชีวิตจักหาไม่ ขอสายลม แสงดาว สายน้ำ แลผืนดินจงรับรู้คำมั่นแห่งพวกข้านี้เถิด”
อริญชย์
*********************
หมายเหตุ :
๑ อีกสักกำ ภาษาเหนือ แปลว่า อีกสักครู่
๒ หลวก ภาษาเหนือ แปลว่า ฉลาด ,เก่ง
๓ ปู๊เมีย ภาษาเหนือ แปลว่า กะเทย
๔ สวก ภาษาเหนือ แปลว่า ดุ
๕ ดักจื้อกื้อเหมือนลื้อฟังธรรม สำนวนภาษาเหนือ แปลว่า เงียบกริบ เงียบสนิท (ดัก หรือดักจื้อกื้อ แปลว่าเงียบค่ะ สำนวนนี้ว่ากันว่ามาจากการที่ชาวไทลื้อไปฟังพระเทศน์ พวกเขาจะนั่งกันเงียบมากๆ เลยเอามาเปรียบเปรยสถานการณ์ หรือคนที่นิ่งเงียบมากๆ ว่า ดักจื้อกื้อเหมือนลื้อฟังธรรมค่ะ)
๖ แล้วใจ ภาษาเหนือ แปลว่า พอใจ สมใจ (ไม่แล้วใจ ก็คือ ไม่พอใจ ไม่สมใจ)
๗ ไม่ถูกไม่ทิ่ม ภาษาเหนือ แปลว่า ไม่ถูกต้อง ผิดพลาด (คำนี้ถ้าอ่านออกเสียงจะเป็น บ่ถูกบ่ทิ่ม นะคะ)
๘ เมิน ภาษาเหนือ แปลว่า นาน
จากคุณ |
:
อริญชย์ (อินทรายุธ)
|
เขียนเมื่อ |
:
9 เม.ย. 54 19:48:15
|
|
|
|
 |