Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๕ : สายสัมพันธ์แห่งมิตร ติดต่อทีมงาน

+++ คราวนี้ห่างหายไปหลายวัน เนื่องจากเกิด accident นิดหน่อยค่ะ พอดีริอ่านทำมิวสิควีดีโอคนอกหักเข้า ผลก็เลยรถแฉลบ ถลาไปวัดพื้นถนนว่ากว้างยาวเท่าไหร่ซะงั้นค่ะ แหะๆ +++


[b]บทที่ ๕ : สายสัมพันธ์แห่งมิตร



ม้าทั้งสี่วิ่งตัดป่านานราวชั่วหม้อข้าวเดือดก็หยุดลงโดยพร้อมเพรียง แม่ญิงนางเดียวที่นั่งร่วมหลังม้ากับนายโจรแห่งเชิงผาดงเหล็กก็ถูกช้อนอุ้มลงมายืนอยู่ที่พื้น มิทันที่จักทรงตั้งตัวอย่างใด ข้อพระกรก็ถูกมือใหญ่จับมั่นแล้วฉุดลากแทบว่าวรกายบางจักปลิวติดมือไปกระนั้น ไม่ทรงรู้แน่ชัดว่ามันพาองค์เองไปทิศทางใด จักมีเพียงกลิ่นหญ้าแลกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าที่ลอยตามลมกระทบนาสิกเท่านั้นที่บอกสภาพภูมิประเทศให้ทรงทราบ เอาเถิดอย่างน้อยเพลานี้ก็ทรงประจักษ์พระทัย พวกมันหาได้ใช้เส้นทางเข้าออกตรงกว๊านจันทร์เสี้ยวดั่งที่หลายคนเข้าใจมาตลอดไม่ แต่เส้นทางใดเล่าที่พวกมันใช้สัญจรแท้จริง

คนผู้นั้นยังคงฉุดดึงอย่างไม่ปรานีปราศรัยราวกับว่าทรงเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของเท่านั้น เจ้านางกาสะลองทรงดิ้นสะบัดหมายให้หลุดจากการจับกุมให้จงได้ หากมือแข็งราวปลอกเหล็กที่กุมรอบข้อพระกรก็ไม่มีทีท่าว่าจักสะดุ้งสะเทือนหรือคลายออกเลยสักน้อย จนในที่สุดคนดิ้นก็เป็นฝ่ายอ่อนทั้งใจอ่อนทั้งแรงยอมให้ฉุดเดินไปแต่โดยดี ทว่าเมื่อทรงหยุดดิ้น มือนั้นกลับคลายออกเสีย ทั้งการฉุดลากที่เกือบจักพูดได้เต็มปากว่า 'กระชาก' มาแต่แรกนั้น กลับกลายเป็นการจูงหัตถ์แทน กลิ่นเหงื่อแลไอตัวที่ทรงสัมผัสได้เพลานี้บอกให้รู้ว่า บัดนี้คนนำทางได้แปรสภาพมาเป็นคนเดินเคียงข้างเสียแล้ว ลักษณาการที่แปรเปลี่ยนราวหน้ามือเป็นหลังมือนี้ ทำให้เจ้านางกาสะลองทรงอดที่จักบ่นในพระทัยมิได้

“ถ้ารู้ว่าจักเป็นเยี่ยงนี้ คงมิดิ้นเสียแต่แรกหรอกหนา”

แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าไม่ทรงดิ้นรนขัดขืนเอาเสียเลย แสนหลวงก็คงติดใจสงสัยเข้าอีก ไม่ว่าจักอย่างใดก็ทรงโดนทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่ดี ดำริดั่งนี้ก็ทรงทอดถอนพระทัยใหญ่

“อิดรึ แม่โฉมงาม”

เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วอยู่ข้างพระกรรณ น้ำเสียงนั้นห่วงใยอาทรเปิดเผยชนิดที่มิทรงคาดว่าจักได้สดับจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนายโจรใหญ่ ด้วยเสียงเยี่ยงนี้เหมาะจักใช้กับแม่ญิงอันเป็นที่รักเสียมากกว่าจักใช้กับคนที่อยู่ในฐานะเชลย

“เปล่า”

ตรัสตอบสั้นๆ จักบอกได้รึว่าที่เหนื่อยเพลานี้มิใช่เหนื่อยกาย หากเป็นเหนื่อยใจต่างหาก แต่คนที่เดินอยู่ข้างๆกลับเริ่มผ่อนฝีเท้าลง จนในที่สุดก็หยุดเอาเสียดื้อๆ

“หยุดด้วยเหตุอันใด”

“ให้เจ้าพักอย่างใดเล่า”

“เห็นใจเชลยกระนั้นรึ”

ตรัสสุรเสียงเยาะๆ แต่ก็ต้องสะอึกอึ้งเมื่อสดับอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดุจเดิม เสียงที่ทำให้คนฟังพูดจาอันใดไม่ออก

“เห็นใจ สงสาร ได้ทั้งนั้น สุดแต่ใจเจ้าจักคิดเห็นเถิด”  

เสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ เจ้านางกาสะลองสดับเสียงแสนหลวงพูดเสียงต่ำๆ อยู่อึดใจหนึ่ง หากไม่สามารถจับความอย่างใดได้เลย จนกระทั่งคำสุดท้ายที่อีกฝ่ายตวาดลั่นด้วยแรงโทสะ เป็นผลให้คนผู้นั้นล่าถอยออกไป แม้นทรงมีทิพยเนตรมองทะลุผืนผ้าออกมาก็จักเห็นนายโจรหนุ่มมององค์เองอย่างครุ่นคิด หน้าเข้มคมมีรอยกังวลใจอยู่ไม่น้อย สิ่งที่เขาพูดไปด้วยความคะนองปากเมื่อไม่กี่เพลาที่ผ่านมากำลังจักกลายเป็นเงื่อนปมที่รัดแน่นเข้ามาเสียแล้ว คำ 'เป็นศรีชุมโจร' คนภายนอกฟังก็อาจตีความไปต่างๆ กัน แต่สำหรับชุมโจรความหมายนั้นกินความมากกว่าที่จักคิดไปถึง หากเป็นแม่ญิงอื่นเขาคงปล่อยให้เป็นตามวิถีโจร หัวใจหยาบกระด้างนับแต่การสูญเสียครานั้นทำให้เขาวางเฉยจนกลายเป็นไร้หัวใจกับทุกสิ่ง โดยเฉพาะแม่ญิงชาวธาตวากรที่ติดมากับกองเกวียนค้าขาย สมุนโจรมักเอ่ยปากขอเอาตัวกลับไปเป็นศรีชุมโจรแทบทุกคราว เขาตกปากอนุญาตแต่มิเคยร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วย แต่กับนางผู้นี้ เขากลับมิประสงค์ให้ต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงนั้น นางมิใช่แม่ญิงชาวธาตวากรนั้นประการหนึ่ง ส่วนอีกประการ เขาเองก็หาได้แจ้งใจตนไม่ว่าเหตุใดจึงนึกเอ็นดูนางหนักหนา ความเมตตาปรานีที่ห่างหายไปจากใจมาแสนนานค่อยหวนคืนกลับมาทีละน้อย มือที่จับมือบอบบางข้างนั้นบีบกระชับขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“หายอิดหรือยัง”

“หายแล้ว”

“เช่นนั้นก็ไปกันต่อเถิด อันที่จริงข้าน่าจักพาเจ้าขึ้นม้ามากกว่า แต่ก็จนใจนักที่ข้างบนไม่มีที่พอให้เลี้ยงม้า เลยต้องฝากเอาไว้ข้างล่างนี่ก่อน”

“ไม่มีที่พอให้เลี้ยงม้ารึ”

“ใช่ อีกสักกำพอไปถึงเจ้าจักรู้ว่าเหตุใดข้าพูดเยี่ยงนี้ ไปเถิด”

วาจาสุดท้ายเอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ เมื่อรู้ตนว่าเผลอบอกสิ่งที่ไม่ควรพูดให้คนแปลกหน้าไปมากพอควร เจ้านางกาสะลองเองก็มิได้ตรัสตอบว่าอย่างใด คงยอมเสด็จตามแสนหลวงไปแต่โดยดี แลไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาต่อกันอีกเลยสักครึ่งคำ


พื้นดินที่ปกคลุมด้วยหญ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นพื้นสัมผัสหยาบกระด้างแลมีรอยขรุขระเป็นระยะ ซ้ำหนทางเดินที่ลาดชันนั้น ยามปกติก็เดินได้ลำบากอยู่แล้ว นี่ยังทรงถูกปิดพระเนตรเสียด้วย หลายคราที่ทรงสะดุดหินแทบจักล้ม หากอ้อมแขนแกร่งก็คอยประคองรับทันท่วงทีทุกคราวไปเช่นกัน นัยน์ตาสีเหล็กมีรอยยิ้มขันๆ แกมเอ็นดูปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง แขนแกร่งโอบรอบร่างบางเอาไว้มิได้ใส่ใจต่อกิริยาดิ้นสะบัดสักน้อย

“อย่าดิ้นสิเจ้า ข้าจักประคองเจ้าเดิน หาได้มีจิตคิดอกุศลไม่”

“ข้าเดินเองได้”

สุรเสียงตรัสตอบห้วนจัด ความเป็นขัตติยนารีทำให้ทรงถือองค์อยู่ใช่น้อย ถึงจักทรงได้รับการเลี้ยงดูมาเยี่ยงเจ้าราชบุตรก็เถิด แต่ก็มิทรงยอมให้ชายอื่นถูกเนื้อต้องตัวอยู่ดี ที่ผ่านมานี่ก็ทรงเปลืององค์มามากพอแล้ว อย่าให้ถึงกับต้องโอบกอดกันเลย

“เดินเองก็จักล้มอยู่ร่ำไป”

“เช่นนั้นก็แกะผ้าผืนนี้ออกเสียสิ”

แสนหลวงมองมืออีกฝ่ายที่เป็นอิสระมิได้ถูกผูกมัดอย่างใดด้วยความขัน จักว่านางมิรู้ตนว่ามิได้ถูกมัดมือก็เห็นจักไม่ใช่ ครั้นจักว่าเพราะถูกเขาจับมือมาตลอดก็เห็นจักไม่ใช่อีก เพราะเขาจับเพียงข้างเดียวเท่านั้น อีกอย่างปมเงื่อนผ้าที่ระเมาผูกครานี้ก็ใช่แก้ยากเย็นหนักหนา เพียงมือเดียวก็ปลดออกได้ง่ายๆ  

“เจ้าแกะเองก็ได้ แม่โฉมงาม”

“เฮอะ! ผู้ใดผูกก็ให้ผู้นั้นแกะสิ ขืนข้าทำเองพวกเจ้าก็มาผูกไว้เหมือนเดิมอีก แล้วจักให้ข้าทำเองด้วยเหตุใด”

นายโจรหนุ่มหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นี่หรือเหตุที่นางไม่ยอมทำเอง แต่ก็เห็นจักจริงอย่างที่นางว่านั่นล่ะหนา ถ้าแกะทิ้ง ระเมา คำแปง สีมา หรือแม้แต่ตัวเขาเองก็คงรี่เข้ามาผูกใหม่อยู่ดี    

“เช่นนั้นก็อีกสักกำเถิด ข้าจักแกะให้เจ้าด้วยมือข้าเองทีเดียว”

คนฟังสะบัดหน้าหนีอย่างขัดใจนัก ทั้งเคืองทั้งเสียดายที่มิได้ทอดพระเนตรชัยภูมิของชุมโจร แลพลาดโอกาสที่จักได้ลอบทำเครื่องหมายไว้เป็นที่สังเกต แต่เอาเถิด โอกาสมีทิวาเดียวเสียเมื่อใดเล่า


ชั่วอึดใจถัดมา กลิ่นอับชื้นปนตะไคร่น้ำก็ลอยมากระทบนาสิก กลิ่นเยี่ยงนี้ทรงเดาว่าน่าจักเป็นถ้ำที่ใดสักแห่ง ซึ่งนั่นก็ยากที่จักทำให้เข้าพระทัยเป็นอื่นไปได้ นอกจากจักเป็นที่พำนักของชุมโจรแห่งนี้ กอปรกับความชื้นแลลมเย็นที่พัดต้องฉวีกายด้วยแล้ว ถ้ำนี้ก็เห็นจักอยู่ไม่ไกลจากกว๊านจันทร์เสี้ยวสักเท่าใด เมื่อคนนำทางกระตุกมือเป็นสัญญาณให้หยุด ก็ทรงหยุดยืนนิ่งโดยดุษณี แล้วใครคนหนึ่งก็เข้ามาแกะผ้าที่ผูกพระเนตรออก เจ้านางกาสะลองทรงหลับเนตรอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ลืมขึ้นทีละน้อยเพื่อปรับเนตรให้คุ้นกับแสง แลภาพที่ปรากฏเบื้องพระพักตร์คือคูหาหินกว้างขวางเกือบจักเท่าท้องพระโรงหอคำเวียงสบสอง บริเวณผนังถ้ำมีคบไฟจุดให้แสงสว่างไว้ห่างกันพอเหมาะ แสงสีทองแห่งไฟเมื่อกระทบกับผนังถ้ำบางส่วนก็ก่อให้เกิดแสงระยิบระยับคล้ายมีผู้ฝังเพชรรัตน์เอาไว้กระนั้น ส่วนที่ชิดผนังถ้ำด้านซ้ายมือมีแท่นหินใหญ่รูปร่างสี่เหลี่ยม กว้างยาวพอที่จักขึ้นไปนอนได้อย่างสบายถึงห้าคน เครื่องนอนที่วางไว้บนแท่นหินนั้นบอกลักษณะการใช้งานไว้ในตัวเองเสร็จสรรพโดยไม่จำต้องมีผู้อธิบายแต่อย่างใด หากเมื่อทรงหันไปรอบองค์ก็ไม่พบผู้ใดอยู่ในสถานที่นั้นอีก นอกจากองค์เองกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าคร้ามแดดเข้มคม หนวดเคราที่เจ้าตัวตั้งใจไว้นั้น แทนที่จักทำให้ความน่าดูลดน้อยลง ตรงข้ามกลับทำให้ดวงหน้านั้นคมคายชวนมองมากขึ้น นัยน์ตาสีเหล็กที่จ้องนิ่งเพียงนางตรงหน้าทำให้เจ้านางกาสะลองทรงจดจำได้ในทันที

“นายโจรแสนหลวง”

“เก่งนี่ ที่จำข้าได้ แม่โฉมงามเอย”

นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายกรุ้มกริ่มเปิดเผย แสนหลวงกวาดตามองทั่วทั้งสรรพางค์อย่างมิเกรงใจจนคนถูกมองถึงกับพักตร์ผ่าวร้อน ไม่เคยมีชายใดกระทำการหยามหยาบพระองค์ถึงเพียงนี้มาก่อน แทบว่าจักทรงโผนเข้าควักนัยน์ตาอีกฝ่ายออกมาเดี๋ยวนั้น หากทรงสู้ระงับโทสะที่กำลังแล่นขึ้นเป็นริ้วอย่างยากเย็นยิ่ง แลพร่ำเตือนสติองค์เองว่า เพลานี้ทรงเป็นเพียงมิ่งแก้ว แม่ญิงสามัญชนธรรมดาหาใช่เจ้านางกาสะลองไม่ กระนั้นเนตรคมก็ยังเป็นประกายวาวโรจน์ดุจนางเสืออยู่นั่นเอง

“ฤๅเป็นผู้ใดได้อีก คงไม่มีสมุนโจรคนใดล่วงล้ำเข้ามาจนถึงในนี้กระมัง อย่างมากก็รีรออยู่ตรงซอกถ้ำนั่น”

เจ้านางกาสะลองว่าพลางชี้ดรรชนีไปยังส่วนที่น่าจักเป็นทางเข้าสู่โถงกว้างส่วนนี้ แสนหลวงปรบมือให้ยิ้มๆ พลางสืบเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจักหยุดยืนห่างจากแม่สาวงามเพียงชั่วระยะเอื้อมมือถึง

“งามยังมิพอ ยังหลวกอีกด้วย เยี่ยงนี้สิจึงจักสมเป็นเมียข้า”

“ผู้ใดเป็นเมียเจ้า” สุรเสียงใสตวาดกลับอย่างมิเกรงกลัว        

“จักมีผู้ใดอีกเล่า ชุมโจรเชิงผาดงเหล็กมิเคยมีแม่ญิง แลข้าก็หาใช่ปู๊เมียที่จักทำเรื่องผิดธรรมชาติเยี่ยงนั้น”

นายโจรใหญ่ว่าแล้วก็สืบเท้าเข้ามาหาทีละน้อยๆ จนเจ้านางกาสะลองทรงหวั่นพระทัยว่าอีกฝ่ายจักทำสิ่งใดอีก วรกายบางถอยหนีโดยมิรู้องค์ กระทั่งปฤษฎางค์ปะทะกับผนังหินเย็นเยียบหมดสิ้นหนทาง แสนหลวงหัวเราะเบาๆ พลางยกแขนทั้งสองขึ้นยันกับผนังถ้ำแทนปราการมิให้แม่โฉมงามของมันเบี่ยงหนีไปทางใดได้อีก ดวงหน้าเข้มโน้มเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจผ่าวร้อน

“จ...เจ้าจักทำอันใด”

สุรเสียงที่ตรัสออกไปนั้นสั่นเสียจนเจ้าตัวยังรู้สึก ความหวาดกลัวจู่เข้าจับหทัยสาวเป็นคราแรก นับแต่เจริญวัยแลรู้ความเป็นต้นมาไม่เคยมีผู้ใดทำให้ทรงรู้สึกเยี่ยงนี้มาก่อน ดวงตาสีเหล็กคู่นั้นคล้ายกับมีมนตราแห่งอสรพิษร้ายประสมอยู่ ยังผลให้ผู้ที่กำลังตกเป็นเหยื่อสิ้นเรี่ยวแรงแทบจักทรุดลงไปตรงนั้น ดีที่แข็งพระทัยเบือนพักตร์หลบสายตาคู่นั้นเสียทัน

“หึ! รู้จักกลัวเหมือนกันหรอกรึ ไยไม่เก่งไปให้ตลอดเล่าหนา”

“ผู้ใดว่าข้ากลัว”

สดับวาจาเยาะหยันเข้า เจ้านางกาสะลองมีหรือจักทรงยอม ถึงเนื้อแท้จักทรงกลัวดังคำมันว่าก็ตามที แต่จักให้ยอมรับง่ายๆ นั้นอย่าหวัง

“ไม่กลัว ฮ่าๆ ดี เจ้าว่าไม่กลัว เช่นนั้นข้าก็ขอสูดกลิ่นหอมจากแก้มเจ้าสักครา คงมิว่ากันกระมัง”

ไม่พูดเปล่า แสนหลวงยังโน้มหน้าเข้ามาชิดกว่าเดิม อีกเพียงองคุลีเดียวริมฝีปากก็จักสัมผัสพวงปราง ครานี้คนบอกไม่กลัวถึงกับหลับเนตรร้องลั่น มิหนำยังทรงยกหัตถ์ขี้นกั้นพักตร์องค์เองเสียด้วย

“อย่า อย่าหนา”


*** มีต่ิอค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 19:45:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com