ต่อตอนที่ 12 เลยนะครับ
บทที่ 12
ในแสงไฟนีออนสีเหลืองจางเพียงดวงเดียวกลางห้อง พระแสงเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ทของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คแล้วจึงเรียกเปิดข้อมูลที่อยู่ภายในนั้นออกมา เขากำลังนั่งรอคอยที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยหัวใจจดจ่อ... ความหวังเดียวที่จะล้างมลทินให้กับเพื่อนนายตำรวจกำลังจะปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ในไม่กี่อึดใจแล้ว... ว่างเปล่า!! ไม่มีไฟล์ใด ทั้งไฟล์รูปและไฟล์ข้อเขียนปรากฏอยู่ภายในนั้น ราวกับมันถูกลบทิ้งไปหมดแล้วก่อนหน้านี้!! เกิดอะไรขึ้น?? เขาพยายามคลิกเปิด และค้นหาเท่าที่จะมีความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะมืดมน หน้าจอขาวสะอาดไร้โฟลเดอร์ใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับมันไม่ได้บรรจุข้อมูลใดๆเอาไว้ด้วยซ้ำ!! นายตำรวจหนุ่มกดนิ้วมือคลึงศีรษะช้าๆ พยายามขบคิดหนักหน่วง หรือว่า มันเป็นไฟล์ข้อมูลที่ต้องเข้ารหัสพิเศษ... รหัสที่ผู้กององอาจไม่ทันได้บอกกับเขาก่อนเสียชีวิต? ชายหนุ่มถอนหายใจพลางกดปิดเครื่องแล้วดึงแฟลชไดรฟ์ออกมาพลิกดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยขีดเขียนใดๆอยู่บนโลหะเจ้าปัญหาชิ้นนั้นแม้แต่น้อย บางทีเรื่องนี้เขาอาจจะต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์สักคนที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหา...
พระแสงสอดแฟลชไดรฟ์ชิ้นจิ๋วเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผากครุ่นคิด อดไม่ได้ที่จะเผลอเหลียวนัยน์ตามองไปยังประตูห้องด้านในที่ปิดเงียบสนิท นึกถึงน้องสาวและ เพื่อนน้องสาวด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายว้าวุ่นสับสนไปหมด
เหตุการณ์ในตอนบ่าย ทำให้เขารู้สึก เชื่อไปกับศาปานต์ ในขณะเดียวกัน ท่าทางของหล่อนก็ทั้งน่าเป็นห่วงและน่าสงสารไปพร้อมกัน ศาปานต์มองเห็นภาพอะไรบางอย่างในนิมิตประหลาดที่น่ากลัวเกินกว่าจะควบคุมสติได้ และร่างเล็กบอบบางก็ดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล หากเขาก็สามารถรวบร่างน้อยๆนั้นเอาไว้ได้ทัน น่าแปลก ความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสรัดรึงกลับยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนคุ้นเคยบางอย่าง ความคุ้นเคยที่เขาไม่อาจตอบกับตัวเองได้ว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่?
เหมือนกับเคยกอดร่างน้อยนี้เอาไว้แนบอก ร่างที่สั่นสะท้านเหมือนลูกนกต้องลมหนาวโดยมีเขาคอยปลอบประโลมให้คลายความโศกาดูร
...เจ้าน้องเอย น้องน้อยเรือนแก้ว ถึงพี่จากไปแล้ว จะกลับมารับขวัญ ขวัญเจ้าจงอยู่เรือน ไม่เคลื่อนคลายกัน จะมารับขวัญ เจ้าเรือนแก้วเอย...
คล้ายเสียงเห่กล่อมบางอย่างด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุนละไมอ่อนโยน พระแสงหรี่นัยน์ตาปรือแล้วเผลอนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ในท่าคุดคู้บนเสื่อผืนเล็กๆหน้าห้องนอนนั้นเอง โดยลืมแม้แต่จะผูกหูมุ้งครอบเอาไว้...
ประตูบานเล็กที่กั้นเป็นห้องแยกส่วนไว้เปิดออกช้าๆ ศาปานต์ก้าวออกมาจากห้องนอนพอดี หล่อนเองก็นอนไม่หลับ เห็นแสงไฟส่องลอดผ่านเข้ามาในห้องทำให้รู้ว่าเขาคงจะกำลังง่วนกับการทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้นก็ยิ่งให้รู้สึกเกรงใจมากขึ้น จนได้แต่นอนนิ่งเบิกนัยน์ตาโพลงในความมืด ส่วนยายสินั่นสิ คงจะนอนหลับจนกรนครอกๆไปหลายตื่นแล้วกระมัง?
ศาปานต์ค่อยๆลุกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นแสงไฟที่ลอดใต้พื้นดับลง หล่อนแง้มประตูเบาๆ และก็เห็นเพียงร่างตะคุ่มนอนคู้กายอยู่บนเสื่อขาดๆผืนที่หล่อนเพิ่งจัดแจงพับเก็บในตอนสายวันนี้นั่นเอง บนโต๊ะพับญี่ปุ่นข้างๆก็เห็นเครื่องโน้ตบุ้ควางเปิดค้างเอาไว้แม้จะชัทดาวน์เครื่องไปแล้วก็ตาม แถมปลั๊กก็ยังเสียบค้างอยู่ ชายหนุ่มคงจะนอนคิดอะไรเพลินจนเผลอหลับไปนั่นเอง
หญิงสาวโคลงหัวอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นสภาพเบื้องหน้า ผู้กองหนุ่มหน้าเข้มดุอยู่เป็นนิจดูช่างอ่อนเยาว์เหมือนเด็กชายตัวน้อย ยิ่งในยามนอนหลับเจ้าตัวก็ยกมือป่ายเปะปะไปมาตามสันคางและข้างแก้มเมื่อมียุงบินมาเกาะโดยไม่รู้สึกตัว เขาถอนหายใจแล้วก็พลิกกายเอียงไปอีกด้านเหมือนคิดว่าจะหนีพ้นบรรดายุงกระหายเลือดเหล่านั้นพ้นแล้ว
จนใจ... หล่อนเลยตัดสินใจดึงมุ้งออกมากางคลุมให้กับเขาเสียเลย แม้ว่าจะไม่ถนัดกับการผูกหูมุ้งทั้งสี่มุมให้เขาสักเท่าไรก็ตาม ดังนั้นกว่าจะสำเร็จก็ได้มุ้งสี่เหลี่ยมเบี้ยวๆพอคลุมลอดร่างสูงๆของเขาไปได้คืนหนึ่งก็พอแล้ว เหลือบมองใบหน้า คนหลับ ก็เห็นแต่หน้าเข้มๆ ทั้งคิ้วหนาเป็นปื้นและริมฝีปากเม้มแน่นอยู่เป็นนิจก็คลายออกเป็นยิ้มน้อยๆอย่างสบายอกสบายใจ
ศาปานต์เผลอยืนเท้าสะเอวมองไม่รู้ว่าจะอ่อนอกอ่อนใจหรือหมั่นไส้ดี อยากรู้เหลือเกินว่าผู้กองหน้าขรึมนั่นกำลังฝันถึงสาวคนไหนกันหนอ? พยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านให้หมดไปอย่างรวดเร็ว มองดูความเรียบร้อยของฝีมือตนเองอีกครั้ง เห็นว่าเหลือแต่ขายาวๆเท่านั้นที่ยังโผล่ลอดปลายมุ้งออกมาหน่อย หล่อนจึงจัดการดึงชายมุ้งลงมาคลุมให้อีกที เท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย!!
ราตรีสวัสดิ์นะคะ คุณผู้กองคนเก่ง
ไม่รู้ว่าเผลอพูดเบาๆกับตัวเองอย่างนั้นไปได้อย่างไร จากนั้นศาปานต์ก็เดินย่องเบาๆย้อนกลับเข้าไปแล้วปิดประตูห้องให้กลับเข้าที่เหมือนเดิม...
************************
ตกลงเจ้านายว่าไงบ้างครับ?
ถ้ามันจำเป็น... แกก็ต้องเอามันกลับมาให้ได้
เสียงจากปลายสายตอบมาด้วยน้ำเสียงห้วนห้าวแฝงไว้ด้วยความอำมหิตชวนขนลุก
หมายความว่า...
เสียงหัวเราะหึหึในลำคอนั้นยิ่งทำให้กายอ ถึงกับอึ้งไปชั่วอึดใจ หน้าที่ที่มันได้รับมอบหมายล้วนเริ่มเสี่ยงอันตรายมากขึ้นทุกขณะ แม้ว่ามันและพรรคพวกจะเป็นนักเลงที่เชี่ยวชำนาญในการ เก็บกวาดสักเพียงใด หากส่วนใหญ่เหยื่อก็จะเป็นเพียงชาวบ้าน มากกว่าที่จะเป็นข้าราชการโดยเฉพาะเป็นนายตำรวจระดับสัญญาบัตรเช่นนี้!!
ใช่กายอ... ข้าต้องการให้แกกำจัดผู้กองพระแสง เหมือนกับที่จัดการกับไอ้ผู้กององอาจไปแล้วนั่นแหละ
แต่...
จำนวนเงินที่ปลายสายพูดถึง ทำให้มันเงียบไปชั่วอึดใจ สมองดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในใจเมื่อถึงความคุ้มทุน... ก่อนที่มันจะตกลงตอบรับก่อนจะปลายสายจะวางหู...
นัยน์ตากายอเป็นประกายวาบวับเมื่อมองเห็นเดือนเสี้ยวบนฟากฟ้า มันรู้กำหนดการของไอ้ผู้กองหน้าหยกเป็นอย่างดี พรุ่งนี้พวกมันจะไปงานสวดศพผู้กององอาจเป็นวันแรก... และนั่นก็อาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของมันด้วยเช่นกัน
...ผู้กองพระแสง!!
********************* งานศพของผู้กององอาจจัดขึ้นที่วัดเล็กๆแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเขาพนม เส้นทางแยกจากถนนสายหลักจากแยกเขาพนมขึ้นไปทางสุราษฏร์ธานีซึ่งเป็นควนหรือเขาลูกเล็กๆตลอดแนวเส้นทางอันร่มครึ้มไปด้วยสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน
ในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้ มีเพียงหล่อนและผู้กองหน้าเข้มเท่านั้นที่นั่งรถของเขาไปด้วยกันเพียงลำพัง ยายสิเกิดครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมากะทันหันตั้งแต่ตอนเช้าของวันนี้ ศาปานต์ต้องพาเพื่อนไปคลิกนิกและพบว่าสิชลเป็นไข้หวัด ซึ่งเจ้าตัวก็คาดว่าคงจะมีสาเหตุจากไปเดินตากน้ำค้างที่ถนนคนเดินในคืนวันก่อนนั่นเอง
ฉันไม่ไปดีกว่านะ นอนพักอยู่ที่บ้านนี่แหละดีแล้ว
งั้นป่านจะอยู่เป็นเพื่อนสิแล้วกัน
หล่อนรีบตัดสินใจทันทีเหมือนกัน แต่คนตัดสินใจกลับเป็นนายตำรวจหนุ่มหน้าเข้มท่าทางขึงขังคนนั้นอีกตามเคย!
ป่านไปกับผมนั่นแหละดีแล้ว
ทำไมคะผู้กอง ไม่เห็นหรือว่ายายสิป่วยอยู่ แล้วทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วยไม่ทราบ?
คราวนี้สรรพนามหล่อนเริ่มเปลี่ยนไปตามอารมณ์ นัยน์ตาเข้มคมของเขาจ้องประสานสายตาวาววับอย่าง เอาเรื่องของหล่อนโดยไม่พรั่นพรึงแม้แต่น้อย
ผมคิดว่าจำเป็นนะป่าน ก็ไหนคุณบอกว่ามีสัมผัสพิเศษที่แสดงให้ผมเห็นมาแล้วไงล่ะ... และตอนนี้ผมมั่นใจว่างานนี้ ไอ้ฆาตกรในเงามืดคนนั้น ก็จะต้องไปร่วมในงานนี้ด้วย ดีไม่ดีเราจะได้จัดการกับมันเลยทีเดียว
นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นอย่างมั่นใจ และสิชลก็เห็นด้วย เจ้าหล่อนช่วยเสริมให้อีกแรงอย่างแข็งขัน ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกป่าน แล้วก็นอนอยู่ที่บ้านนี่เอง ไม่ได้ออกไปไหนซะหน่อย หมอก็บอกเองให้นอนพักผ่อน เธออยู่เฝ้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว ออกไปกับพี่แสงเหอะ อยู่กับพี่แสงปลอดภัยกว่าอยู่กับคนป่วยอย่างฉันอีกนะ จะบอกให้
หล่อนแอบขยิบนัยน์ตาให้พี่ชายเล็กน้อย ขณะที่เขาเองยัง เก็กหน้าขรึมเหมือนมิรู้สึกต่อท่าทีกระเซ้าของน้องสาว ส่วนศาปานต์ย่นจมูกแสดงท่า ยี้ ออกมาเต็มที่ พระแสงเอ่ยเสียงเรียบๆตามปกติเหมือนมิได้สนใจท่าทางของหล่อน
สัญชาตญาณของคนพวกนี้ มันต้องไปเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยจริงๆ ในกลุ่มคนที่จะมาร่วมงานคืนแรกนี้แหละ... ผมเชื่อว่าสัมผัสพิเศษของคุณจะช่วยให้ผมสืบหาผู้ร้ายรายนี้ได้... หรือที่ผ่านมา คุณคิดว่ามันเป็นแค่ความฟลุ้กล่ะ ป่าน? และเพราะประโยคสุดท้ายนั่นเอง ที่ทำให้หล่อนจำต้องนั่งรถมากับเขาในเย็นวันนี้!! ป่าน... ผมต้องขอขอบคุณมากนะครับ จู่ๆคนขับหน้าเคร่งก็เอ่ยขึ้นเงียบๆชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาคมกล้ายังมองตรงไปยังท้องถนนด้านหน้าเหมือนกับมีสิ่งน่าสนใจกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเขาบนรถคันนี้ คุณหมายถึงอะไรคะ ผู้กอง?
อย่างน้อยเสียงของเขาก็ยังอ่อนโยนลงบ้าง ไม่ บังคับขู่เข็ญเหมือนกับเมื่อตอนบ่าย! ก็เรื่องที่คุณมากางมุ้งให้ผมเมื่อคืนไง หล่อนเสมองมือสีน้ำตาลเกรียมแดดที่กำพวงมาลัยหลวมๆนั้นแทน ไม่ทันหันขึ้นไปมองว่าเขาหันมาหรือไม่
ผมเลยไม่ถูกยุงกัดตายไปซะก่อน บทจะพูดเล่นก็ยังหน้าตายเหมือนเดิมไม่มีผิด!! คุณรู้ได้ไงคะว่าเป็นป่าน คิดไปเองรึเปล่าคะผู้กอง? อาจจะเป็นยายสิก็ได้ คงจะรำคาญทนเห็นพี่ชายถูกยุงกัดไม่ได้เลยออกมากางมุ้งให้ หล่อนยังไม่ยอมรับข้อกล่าวอ้างนั้นอยู่ดี เรื่องอะไรจะยอม เสียเหลี่ยมให้อีตาผู้กองจอมเก็กจับไต๋ได้... หากคราวนี้ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆในลำคอของเขาเบาๆจนเริ่มผิดสังเกต ศาปานต์เผลอเงยหน้าขึ้นพอดี ทันทีจะเห็นประกายวับๆกลางนัยน์ตาคู่นั้น สายตาที่ทำให้แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ ผมเป็นนายตำรวจสืบสวนนะครับคุณป่าน เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้... ยายสิน่ะ แกนอนมุ้งมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง เรื่องผูกหูมุ้งกางมุ้งน่ะสบายอยู่แล้ว แต่มุ้งโย้เย้อย่างที่ผมนอนเมื่อคืนน่ะ รับรองว่าไม่ใช่ฝีมือยายสิเด็ดขาด!!
เอ๊ะ! ผูู้กอง... คราวนี้มือหล่อนเงื้อขึ้นด้วยความขัดเขินและเคืองไปพร้อมกัน ไม่รู้ว่าจะขันหรือหมั่นใส้อีกฝ่ายดี ตั้งใจว่าจะประทุษลงไปที่ใบหน้าขรึมๆแต่แฝงคำพูดกวนประสาทให้สาสมใจ แต่ยังไม่ทันจะทุบลงไปบนต้นแขนอีกฝ่าย มือแข็งแรงของชายหนุ่มก็คว้ารับเอาไว้ได้ทัน และคราวนี้เป็นหล่อนที่ดึงมือกลับออกมาไม่ได้เสียเอง!!
ผู้กอง ปล่อยป่านเดี๋ยวนี้นะ
มือข้างหนึ่งของเขายังบังคับพวงมาลัยรถเอาไว้อย่างชำนาญเส้นทางระหว่างการเลี้ยวขึ้นเนินอีกลูกหนึ่งเบื้องหน้า มีรอยยิ้มน้อยๆอย่างเจ้าเล่ห์ที่มุมปากและนัยน์ตาพราวพรายอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน ได้ยินแต่เสียงทุ้มห้าวดังแผ่วอยู่ริมหู ปล่อยก็ได้ครับ ถ้าคุณป่านยอมสารภาพความจริงกับผมมาเสียโดยดี สารภาพอะไร! ไม่มีอะไรต้องสารภาพนี่นา ผู้กองจะมาคาดคั้นอะไรนักหนา ป่านไม่ใช่ผู้ต้องหาเสียหน่อย หล่อนยังไม่วายเถียงออกไป ทั้งที่รู้ว่าแพ้อยู่เต็มประตูในเมื่อทุกอย่างมันจำนนด้วยเหตุผลแล้ว รวมทั้งหลักฐาน มุ้งโย้เย้อย่างที่เขาบอกนั่นด้วย ชายหนุ่มปล่อยมือช้าๆแล้วค่อยชะลอความเร็วรถลง เขาหันมามองหล่อนเพียงแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยประโยคที่เคร่งขรึมจริงจัง... ทั้งสีหน้าและแววตา ผมไม่ได้เจตนาจะล้อคุณเล่นนะป่าน ผมต้องการขอบคุณคุณจริงๆ
ค่ะ ป่านเชื่อ...เชื่อแล้วล่ะ
หล่อนตอบออกไปด้วยหัวใจที่เต้นระทึกไม่อยากมองใบหน้าเข้มๆที่ทำให้หัวใจสั่นไหวขึ้นมาอย่างประหลาดนั้น ศาปานต์เสมองผ่านกระจกรถออกไปเบื้องหน้าแทน แต่แล้วหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความหวามไหว ก็ยิ่งระทึกขึ้นด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมาแทน เมื่อเห็นเงาตะคุ่มยืนขวางทางอยู่ในระยะประชิด
ผู้กองคะ ข้างหน้านั่น...
พระแสงหันกลับไปตามเสียงอุทานพร้อมกับเหยียบเบรกสุดแรง ในขณะที่เสียงหนึ่งก็กัมปนาทขึ้นในเวลานั้นพอดี
เปรี้ยง!!
****************************
รถกระตุกพรวดไปข้างหน้าก่อนจะหยุดชะงักลงด้วยแรงเบรกกะทันหันของคนขับ และลูกกระสุนก็พุ่งเข้าเจาะยางรถข้างหนึ่งพอดี โชคดีที่ชายหนุ่มชะลอรถในจังหวะก่อนหน้า แรงปะทะนั้นจึงไม่ทันทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำลงเสียก่อน กระนั้นศีรษะศาปานต์ก็เกือบกระแทกกับกระจกรถตามแรงเหวี่ยง โชคดีที่ชายหนุ่มมีสติรีบรั้งร่างของหล่อนเอาไว้ได้ทัน และจากนั้นก็กดให้หล่อนก้มลงไปกับที่เบาะที่นั่งพร้อมกับเขาในทันที ตามสัญชาตญาณของนายตำรวจ
ป่านระวัง!
เปรี้ยง!! เปรี๊ยยยยยยะ ยังไม่ทันขาดคำ กระสุนนัดที่สองก็คำรนขึ้นในเวลาต่อมา คราวนี้มันพุ่งกระทบกระจกหน้าต่างด้านข้าง ตำแหน่งที่หล่อนนั่งอยู่ก่อนหน้าพอดิบพอดี ผนังกระจกแตกเป็นรอยปริร้าวเหมือนใยแมงมุม ขณะที่ตรงตำแหน่งกึ่งกลางเกิดเป็นรูเล็กกลวงโบ๋เท่ากับขนาดลูกกระสุนที่เจาะทะลุผ่านเข้ามาได้พอดี... หญิงสาวตัวสั่นสะท้านเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเป็นความจริงไม่ใช่ละครบู๊แอคชันเหมือนในโทรทัศน์ มือของเขายังกุมมือหล่อนไว้แนบแน่น เสียงปลอบโยนดังแผ่วเบาไม่ต่างกับเสียงกระซิบ แต่ก็ทำให้อาการหวาดหวั่นลดลงได้อย่างมาก อย่างน้อยที่สุดศาปานต์ก็รู้ว่ายังมีนายตำรวจหนุ่มอยู่ข้างกายโดยไม่ได้หนีหายไปไหน คุณไม่ต้องกลัวป่าน หมอบอยู่ตรงนี้ แล้วรอผม ค่ะผู้กอง นัยน์ความมืดสนิท นัยน์ตาคมกล้าเพ่งมองมาถ่ายทอดความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมก่อนจะคลายมือออกช้าๆ พระแสงเลื่อนมือไปยังปุ่มเปิดประตูรถขณะพยายามเงี่ยหูสดับสรรพเสียงรอบด้านด้วยสัญชาตญาณของนายตำรวจ เขาล้วงมืออีกข้างหนึ่งลงไปใต้ลิ้นชักหน้ารถแล้วดึงมันออกมา อาวุธสำคัญถูกนำติดตัวมาด้วยเสมอ สำหรับเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน และวันนี้มันก็ได้ทำหน้าที่นั้นพอดิบพอดี เสียงประตูเปิดออกเพียงแผ่วเบา ชายหนุ่มค่อยๆผลักมันออกกว้างแล้วกระถดตัวเลื่อนออกไปด้านนอกรถด้วยความระมัดระวัง อย่างน้อยทิศทางกระสุนที่พุ่งเข้ามาทั้งสองนัด ทำให้เขารู้ว่ามันมาจาก มือปืนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคนขับ เสียงสวบสาบจากพงหญ้าห่างออกไปด้านนอก ยิ่งทำให้พระแสงก้มตัวลงต่ำมากขึ้น ชายหนุ่มอ้อมด้านหลังรถคู่ใจลงไปตามเนินดินแล้วค่อยวกกลับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นแนวต้นยางเรียงเป็นแถวยาวเหยียดในระดับสายตาขึ้นไป จากจุดนี้เขามองเห็นเงาตะคุ่มของชายฉกรรจ์สองสามคนกำลังเดินลงมาจากเนินดินด้านบน เสื้อแจ็คเก็ตสีดำสนิทกลมกลืนกับความสลัวโพล้เพล้ของช่วงเวลาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หมวกแก้ปที่สวมอยู่ก็ดึงปิดลงมาบดบังใบหน้าจนไม่อาจมองเห็นได้ถนัด พระแสงพยายามนึกในใจเมื่อเห็นท่าทางเดินอย่างระมัดระวังของพวกมัน เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน แล้วทำไม จึงจ้องจะเอาชีวิตของเขา ถ้าหากไม่ใช่เพราะ... มือข้างหนึ่งเผลอล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง แฟลชไดรฟ์ชิ้นเขาพกติดไว้กับตัวตลอดเวลา มันอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พวกมันติดตามล่าตัวเขาก็เป็นได้ อย่างช้าๆเมื่อนายตำรวจหนุ่มยกปืนขึ้นกระชับแล้วเล็งด้วยปลายหางตา เมื่อร่างของพวกมันก้าวลงมาจนถึงระยะเหมาะสมพอดี เขาเห็นมันหันหน้าไปยังตำแหน่งรถเพื่อมองหาเหยื่อที่กำลังหลบอยู่ด้านใน เมื่อนั้นเองพระแสงจึงเหนี่ยวไกอย่างมั่นใจออกไป เปรี้ยง! ได้ผล เมื่อกระสุนนัดแรกพุ่งเจาะทะลุต้นแขนของหนึ่งในสามอย่างแม่นยำ ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะลั่นกระสุนอีกสองนัดในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทัน เปรี้ยง เปรี้ยง! กระสุนถูกยิงสวนมาในเวลาอันรวดเร็ว แสดงถึงความเชี่ยวชำนาญในอาวุธปืนไม่ต่างกับเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหลบเข้าด้านหลังต้นยางพาราขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด กระสุนถากผ่านใบหน้าจนร้อนวูบ เขาได้ยินเสียงพวกมันร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด เมื่อเบี่ยงหน้าออกมา ก็เห็นพวกมันสองคนลงไปนอนกุมท่อนแขนที่ถูกยิงจนบาดเจ็บแต่แล้วหัวใจตนเองก็แทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นหนึ่งคนที่ยังเหลืออยู่ กำลังเล็งปืนไปเบื้องหน้าอย่างมั่นใจและอำมหิต... ไม่ใช่ตำแหน่งที่เขายืนอยู่ แต่เป็นกระจกหน้ารถที่มีศาปานต์หลบอยู่ด้านใน ป่าน!!
***************************
ศาปานต์เงยหน้าขึ้นพอดี มองเห็นเงาตะคุ่มตระหง่านเงื้อมอยู่เหนือปลายเนินด้านบนขึ้นไป ในระยะที่มันมองลงมาเห็นร่างคุดคู้ของหล่อนหมอบอยู่ได้พอดีโดยไม่มีโอกาสหลบพ้น แสงจันทร์ส่องให้เห็นรอยยิ้มแสยะของมันที่เบิกกว้างขึ้นด้วยความพึงใจ เมื่อนั้นศาปานต์อ่านความหมายแห่งเจตนานั้นได้ชัดเจน หล่อนตัวแข็งทื่อโดยไม่อาจแม้แต่จะขยับเรือนกายหนี เมื่อมือปืนหยิบอาวุธสังหารขึ้น เล็งเป้าตรงมายังตำแหน่งที่หล่อนซ่อนตัวอยู่เป็นเป้าหมาย
แล้วเหนี่ยวไก!
************************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
11 เม.ย. 54 08:32:23
|
|
|
|