Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปพิษฐาน ตอนที่ 11-12 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีช่วงเทศกาลสงกรานต์ครับ คงได้หยุดพักกันหลายวันนะครับ สำหรับช่วงนี้ก็เลยขอลงสาปพิษฐานต่อกันไปเลยนะครับ สองตอน แล้วสัปดาห์หน้าพบกันอีกครั้งนะครับ
ปล. ขอบคุณกิฟท์และความคิดเห็นจากทุกท่านครับ

สาปพิษฐานตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10422247/W10422247.html

ก่อนอื่นขอตอบคอมเมนต์ทุกท่านก่อนนะครับ

คุณแก้วกังไส : ได้อ่านแล้วเป็นไงบ้าง คอมเมนต์ได้เลยนะครับ

คุณกุลธิดา : ตอนนี้ยกให้พระแสงโชว์บู๊ไปก่อนครับ สิงหบดี จะออกโรงตอนหลังครับ

คุณนุ้ย : ขอบคุณนะครับ

คุณ scottie : นางเอกจะยังงงๆอยู่ครับ เดี๋ยวเหตุการณ์ในอดีตจะเข้ามาทำความกระจ่างให้นางเอกมากขึ้นครับ

ติดตามต่อตอนที่ 11 ได้เลยครับ

บทที่ 11

     รสลินกำลังเพลิดเพลินกับการตกแต่งหน้าตาอย่างบรรจงอยู่ภายในห้องนอนส่วนตัวอันกว้างขวาง หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อประตูห้องเปิดผางออกจากกันอย่างรวดเร็ว หล่อนรีบหันขวับกลับไปเกือบจะตวาดออกไปด้วยความเคยชินแล้ว ถ้าไม่เห็นเสียก่อนว่าผู้ที่ก้าวเข้ามาคือพี่ชายเพียงคนเดียว

     “โกฉัตร มีอะไรกับหลิน ถึงได้รีบเสียขนาดนี้?”

      สีหน้าของผู้เป็นพี่ชายเคร่งเครียด เขาไม่รีรอแม้แต่จะนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแต่ยืนตระหง่านเงื้อมเหนือร่างน้องสาวสุดที่รัก

      “ก็ไอ้ผู้กองพระแสงน่ะสิ ท่าทางว่ามันจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเราเสียแล้วล่ะ”

   “พระแสง?”

   คราวนี้หล่อนลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อของบุรุษในดวงใจ

    “มีข่าวว่า มันติดต่ออยู่กับไอ้ผู้กององอาจ... พวกมันเป็นเพื่อนกัน”

     นายหัวฉัตรเอ่ยช้าๆระหว่างการเล่าเรื่องราวสำคัญทั้งหมดที่ได้รับฟังมา เขาคิดว่าเรื่องนี้รสลินสมควรจะได้รับรู้ไปพร้อมกันเสียแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกันหล่อนออกไปนอกวงเหมือนเป็นเพียงคนนอกอีกต่อไป ชิงฉัตรมองเห็นว่ารสลินน่าจะเป็นนางนกต่อสำคัญที่จะล่อให้ผู้กองเจ้าอุดมการณ์คนนั้นเข้ามาติดกับ แล้วจากนั้นก็ให้ทางเลือกสองทางกับมัน

      การแปรพักตร์และหรือไม่ก็เก็บมันซะ!!

      “ผู้กององอาจ คนที่เพิ่งถูกย้ายไปโคกโพธิ์น่ะหรือคะ”

      หล่อนยังจำได้ว่า นายตำรวจจองหองคนนั้นพยายามมาสืบเรื่องทุจริตในการค้าปาล์มน้ำมัน ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัวโดยตรง ครั้งนั้นเกือบจะมีเรื่องต้องปะทะกับคนของชิงฉัตร ดีแต่ว่าเกิดเรื่องการเสียชีวิตของโกสุ่นเข้ามาเสียก่อน นายตำรวจตงฉินคนนั้นก็เลยต้องวางเรื่องนี้เพื่อไปรับผิดชอบดูแลคดีการเสียชีวิตของนักการเมืองเก่าแก่ผู้นั้นแทน

    ไม่แน่เหมือนกันว่า ถ้าองอาจยังดันทุรังจะสืบสวนต่อไป... อาจจะได้เจอมากกว่าคำสั่งย้ายก็เป็นได้!! แต่อย่างน้อยในเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ทำให้โกฉัตรรู้สึกไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายจนเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องการเผาผีกันเลยทีเดียว

     และยิ่งไม่นึกว่า มันจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับ “ว่าที่น้องเขย” คนที่เขากำลังจับตาดูอยู่พอดี!!

    ชิงฉัตรค่อนข้างพอใจที่เห็นน้องสาวนิ่งฟังโดยสงบตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ปริปากแก้ตัวหรือเอ่ยอะไรทั้งสิ้น ธาตุของเขาและหล่อนเหมือนกัน... สมกับเป็นสายเลือดเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอันเป็นวิกฤติสำคัญที่จำต้องเผชิญหน้า รสลินก็มีสติพอที่จะรับรู้และพร้อมจะแก้ปัญหาไปพร้อมกับเขาโดยไม่ตีโพยตีพายให้น่ารำคาญ

  “แล้วแกจะว่ายังไง อาหลิน?”

     เขาถามหยั่งเชิงออกไปหลังจากเอ่ยปากเล่าทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดเปลือก รสลินยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่เขาส่องกระจกมองเห็นตัวเองในนั้นทุกเช้า รอยยิ้มเยือกเย็นและอำมหิต!

    “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเพื่อนกันก็ตาม แต่เพื่อนก็คือแค่เพื่อน ไม่ใช่ผัวเมียกันสักหน่อย! หลินไม่แคร์หรอกเฮีย สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือหลินต้องการผู้ชายคนนี้ให้ได้ และคิดว่าไม่ยากถ้าเฮียเองจะยอมให้หลินตัดสินใจด้วยตัวเอง

      หลินสัญญาว่าจะให้เขามาเป็นคนของเราด้วยวิธีการของหลิน... วิธีที่แม้แต่นังเด็กป่านเจ้ามารยานั่นก็ไม่มีวันจะทำได้ และเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ต่อให้เป็นเพื่อนซี้กันสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่เขาจะเห็นไอ้ผู้กององอาจนั่นดีกว่าเมียอย่างหลินเด็ดขาด!!”

        “ว่าแต่... แกจะทำยังไง?”

      ชิงฉัตรยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย รอยยิ้มเย็นยะเยียบของบนกลีบปากสีแดงสดเผยกว้างจนเห็นไรฟันขาวเรียบราวไข่มุกเม็ดงาม รสลินตวัดปลายขาขึ้นไขว่ห้างแล้วเอนกายลงกับพนักโซฟาร์อย่างสบายใจ

        “หลินรู้ดีว่าผู้กองเป็นคนยึดมั่นในสัจจะและความรับผิดชอบมาก... มากจนบางครั้งหลินเองยังรำคาญ มันเป็นทั้งศักดิ์ศรีและความทระนงของเขา แต่ก็เพราะไอ้สิ่งนั้นนั่นแหละที่เป็นเสมือนดาบสองคม หลินก็จะเอาจุดนี้มาใช้เป็นข้อได้เปรียบของเรา ให้ด้ามคมอีกด้านหนึ่งย้อนกลับมาบังคับตัวผู้กองพระแสงเอง โดยไม่มีทางปฏิเสธ!”

        หล่อนเล่าแผนการที่คิดเอาไว้ให้ผู้เป็นพี่ชายฟังอย่างละเอียด และนักเลงผู้คุ้นเคยกับการห้ำหั่นในเกมการต่อสู้ทุกชนิดอย่างโกฉัตรก็ถึงกับอึ้งและทึ่ง เมื่อรู้ว่าพิษสงของผู้หญิงในการจัดการคู่ต่อสู้ในอีกด้านหนึ่งด้วยเล่ห์แห่งมารยาหญิงนั้นก็ร้ายแรงลึกล้ำไม่น้อยไปกว่าการต่อสู้ในแบบ “ตาต่อตาฟันต่อฟัน”ของผู้ชาย...

       “และ... งานนี้เราก็ได้ประโยชน์ทั้งสองต่อ ผู้กองเป็นของหลินส่วนยายคุณหนูป่านเจ้ามารยานั่นก็จะได้ตกเป็นของเฮียยังไงล่ะ”

        หล่อนพูดเหมือนกับกำลังแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์อะไรสักอย่างร่วมกัน แต่เขาก็ยิ้มอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นในงานแซยิดของยอดธง ทับคีรีที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า...

             **************************

         ร่างสูงล่ำสันของนายตำรวจหนุ่มเดนตายนั่งคู้ตัวงองุ้มอยู่บนเก้าอี้ไม้ ศีรษะทุยได้รูปทรุดก้มต่ำลงแทบชิดอก   ร่างกายและสองมือสั่นสะท้านระหว่างพยายามควบคุมมันเอาไว้สุดความสามารถ

      ก็สองมือนี้แหละที่ได้ปิดเปลือกตาให้กับพี่อาจ ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต!!

     ศาปานต์มองเห็นภาพนั้นทันทีเมื่อหล่อนและสิชลก้าวเข้าไปถึงหน้าห้องชันสูตรศพภายในโรงพยาบาล สภาพของผู้กองพระแสงผู้แข็งแกร่งคนที่หล่อนรู้จัก เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ก่อให้เกิดความสะเทือนใจจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
   
     หล่อนได้ยินข่าวที่เขาเล่าให้น้องสาวฟังมาคร่าวๆระหว่างเช่ารถนั่งมาโรงพยาบาลแห่งนี้แล้ว ผู้กององอาจเพื่อนรุ่นพี่ร่วมสถาบันที่รักใคร่สนิทสนมไม่ต่างกับ “เพื่อนตาย” ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาในระยะเผาขน

    ศาปานต์อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ มือบอบบางของหล่อนแตะลงบนแผ่นหลังกว้างผึ่งผาย สัมผัสอ่อนโยนนั้นเองที่ทำให้นายตำรวจเงยหน้าขึ้น หล่อนเห็นนัยน์ตาของเขาแดงก่ำแม้ว่าจะไม่มีหยาดน้ำตาปรากฏขึ้นแม้แต่หยดเดียว...

       “ผู้กองคะ ป่านเอ้อ... เสียใจด้วยนะคะ...”

     “ขอบใจมากครับ... ป่าน”

    เขาเงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าเป็นหล่อนก็พยักหน้ารับช้าๆ ในสายตาเข้มจัดแกมดุอย่างเคยนั้น บัดนี้มีแววขอบอกขอบใจแฝงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มหน้าเข้มที่หล่อนไม่รู้สึกไม่ถูกชะตาแต่แรกจะกลายเป็นคนที่ทำให้ศาปานต์เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเป็นเข้าใจและเห็นใจได้อย่างน่าประหลาด รับรู้ถึงความทุกข์ใจของเขาจนเหมือนกับหล่อนเป็นคนแบกรับความทุกข์นั้นร่วมกันกับเขาไปด้วย

     เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาวสะอาดกำลังเข็นร่างผู้เสียชีวิตในสภาพคลุมด้วยผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าผ่านห้องชันสูตรศพออกมาช้าๆ หล่อนสัมผัสถึงมือชายหนุ่มที่กำลังกำหมัดแน่น ศาปานต์ทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง

      “แล้วผู้กองพอจะรู้ไหมคะว่าเป็นฝีมือของใคร?

      “ถ้าผมรู้ ผมสาบานว่าจะต้องหาทางเอาตัวพวกมันมาลงโทษให้ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ในเวลานี้ก็ตาม”

       ศพผู้ตายถูกนำผ่านออกไปแล้ว และหลังจากให้ปากคำข้อมูลกับแพทย์ผู้ชันสูตรจนเสร็จสิ้น บัดนี้ชายหนุ่มก็หยัดกายลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไป ไม่เหลือความโศกเศร้าในแววตานอกจากประกายเย็นเยียบและเฉียบขาดของผู้กองพระแสงคนเดิม นายตำรวจหนุ่มหันมามองน้องสาวและศาปานต์ก่อนจะพยักหน้าให้กลับไปพร้อมกัน เขามีสิ่งสำคัญที่รอคอยให้ทำอยู่เบื้องหน้า

         เมื่อนั้นเอง ในยามที่เขาคลายกำมือออกจากกันหล่อนจึงเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในอุ้งมือ  มันคือแฟลชไดร์ฟชิ้นสำคัญ ที่จะเป็นพยานหลักฐานทั้งหมดนั่นเอง!!

                         *******************

      ร่างของไอ้ผู้กองหนุ่มและผู้หญิงสองคนนั้นเดินกลับออกไปแล้ว ประตูกระจกในห้องข้างๆก็เลื่อนออกจากกันช้าๆ บุรุษหน้าเข้มในจมูกโด่งงุ้มก้าวออกมาช้าๆ มันคือคนๆเดียวกับที่ตามสังเกตการณ์นายตำรวจหนุ่มที่บ้านของมะแอมาก่อนนั่นเอง

      รวมถึงการลอบสังหารผู้กององอาจด้วยฝืมือแม่นยำระดับพระกาฬของมันด้วยเช่นเดียวกัน!

         ด้วยความสงสัยซึ่งมีมากเหนือกว่าทุกอย่าง ทำให้มันตกลงกับเพื่อนร่วมงาน แล้วเดินทางย้อนรอยกลับมาที่ “เหยื่อสังหาร” อย่างหนึ่งก็เพื่อให้แน่ใจว่า “การเก็บกวาด”เป็นไปอย่างเรียบร้อยไร้ที่ติ  ผู้กององอาจเสียชีวิตจริงๆโดยไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐานใดๆเอาไว้ และนอกเหนือจากนั้นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้มันหาญกล้าย้อนกลับมา โดยไม่กลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้กองใจเพชรอย่างพระแสงก็คือ

          สัญชาตญาณของมันเอง!

         การส่งมอบข้อมูลบางอย่างตามที่มันได้รับมอบหมายให้ติดตามสืบหา เกิดขึ้นจริงระหว่างสองนายตำรวจผู้นั้น แม้ว่าการค้นหาที่บ้านพักผู้กองพระแสงจะไร้ผลก็ตาม แต่คืนนี้มันพบว่าไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

           โดยเฉพาะเมื่อมันเห็นชิ้นส่วนแฟลชไดรฟ์ในกำมือ นั่นจะเป็นสิ่งสำคัญที่มันจะต้องชิงเอามาให้ได้!

               ****************************

         ในความสับสนวุ่นวายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดวันและคืนนั้น ศาปานต์ก็ยังไม่ลืมที่จะโทรศัพท์ติดต่อกลับไปหาคุณมัลลิกาผู้เป็นมารดาตามคำสัญญา แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามอ้อนวอนให้หล่อนกลับมา

            “ไม่ต้องห่วงป่านนะคะ ป่านสบายดี อีกไม่กี่วันก็คงจะกลับแล้วล่ะค่ะ ยังไงป่านจะโทรฯบอกแม่อีกทีนะคะ”

       รีบวางสายลงก่อนจะตัดใจไม่ได้ ศาปานต์สัมผัสถึงความห่วงใยของมารดาที่มีต่อลูกสาวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่... เพียงคนเดียว! วูบนั้นหล่อนยิ่งรู้สึกโหวงลึกในทรวงอกด้วยความอาดูร ไม่! ในสัมผัสประหลาดที่ได้รับมา หล่อนเห็นพี่ปอยังมีชีวิตอยู่และรอคอยให้หล่อนไปช่วย ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งกลางท้องทะเลลึก

        ... เกาะนกยูง?

        วูบนั้น คำบอกเล่าของบุรุษปริศนา นามสิงหบดียังติดตาตรึงในใจอยู่ไม่เสื่อมคลาย

       “บุหรงปุระคือราชธานีของท้าวจักรานิงรัต ทรงมีพระธิดาผู้ทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่ง นางผู้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการค้นพบเรือนแก้วติกาหลังปัตรา ของล้ำค่าคู่แผ่นดิน จึงได้รับการเฉลิมพระนามว่าเจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัด หรือในความหมายแห่งเรือนแก้วหนึ่งเดียวในแผ่นดิน”

        ภาพเรือนแก้วเรืองแสงประหลาดยังปรากฏเด่นในมโนภาพ

       “เรือนแก้วล้ำค่า คือของศักดิ์สิทธิ์ ท่านสังปะติแหงะหรือฤาษีแห่งราชสำนักได้พยากรณ์ ว่า เรือนแก้วนั่นเป็นเสมือนตัวแทนของบุหรงปุระ เฉกเดียวกับกริชกุหนุงมัส หรือมหาขุนคีรีพระสุเมรุราชอันเป็นของล้ำค่าคู่ราชวงศ์กุรุงปักกาของมหารายาบุหลันรัศมี  สองสรรพสิ่งวิเศษเป็นเสมือนเทวประทานจากองค์ปะตาระกาหลา ดังนั้นติกาหลังปัตราจึงเป็นดั่งดวงชะตาแห่งบุหรงปุระที่จักมีเหนือราชอาณาจักรอื่นรายรอบคาบสมุทรแห่งนี้ และนั่นจึงเป็นที่มาของการใช้กลศึกสงคราม เพื่อช่วงชิงเรือนแก้วติกาหลังในเวลาต่อมา...”

        “บุหรงปุระหรือคะ ป่านไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เป็นเมืองในตำนานของท้องถิ่นนี้หรือ?”

        ใบหน้าคมคายราวภาพวาดจากจิตรกรเอกยิ้มน้อยๆคล้ายเอ็นดูคนถามยิ่งนัก

         “บุหรงปุระคือแคว้นคู่แฝดกับอีกราชธานีหนึ่งซึ่งต่างก็มีต้นกำเนิดจากบรรพบุรุษในตำนานร่วมกัน เล่ากันว่าบรรพบุรุษของบุหรงปุระและแคว้นคู่แฝด คือกลุ่มผู้อพยพมาจากนุสันตารา* เมื่อนับกว่าพันปีมาแล้ว พวกเขาต่างออกล่องเรือในมหาสมุทรแสวงหาดินแดนใหม่ จนมาตั้งรกรากอยู่ที่นาควารินทร์นับร้อยปีต่อมา

        ตราบจนเมื่อความเจริญถึงขีดสุด จึงมีสองบุรุษผู้แกว่นกล้าเดินทางออกเสาะแสวงหาเพื่อสร้างอาณาจักรใหม่ร่วมกัน คนทั้งคู่ได้มาค้นพบเกาะสองเกาะที่มีชัยภูมิอันเหมาะสม ได้ร่วมกันก่อร่างสร้างแผ่นดิน สถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้าปกครองว่าแคว้นด้วยสัตย์สัญญาเสมือนบ้านพี่เมืองน้องต่อกัน จำเนียรกาลผ่านไป

     ณ ที่แห่งนั้นจึงกลายเป็นมหาอาณาจักรคู่แฝดที่มีเอกราชอธิปไตยเป็นของตนเอง หนึ่งนั้นคือองค์ปานึมบาฮาน** แห่งบุหรงปุระผู้สืบทอดสันตติวงศ์มาจากเจ้าครองแคว้นผู้พี่ โดยมีติกาหลังปัตราเป็นสิ่งวิเศษคู่บารมี ติกาหลังปัตราที่กล่าวกันมาแต่เบื้องบรรพ์ว่า เป็นเทวประทานมาจากองค์ศิวเทพ หรืออีกนัยหนึ่งคือ องค์ปะตาระกาหลาในภาษาชวา ตามความเชื่อฮินดู-พุทธในยุคนั้น และมันก็ได้สูญหายไปในเวลาต่อมา ตราบจนปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัดทรงถือกำเนิดขึ้นพอดี”

   “แล้วอาณาจักรแฝดของบรรพบุรุษผู้น้องล่ะคะ?”

   รอยแย้มยิ้มจากสิงหบดียิ่งเบิกกว้างขึ้นเมื่อเอ่ยคำนั้นออกไป

    “อาณาจักรนั้นปกครองด้วยราชันย์ผู้สืบทอดนาม “ปักกา” มาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ราชธานีนั้นจึงมีนามว่า... กุรุงปักกา กุรุงคือ "กรุง"หรือเมือง นั่นก็คือเมืองแห่งองค์ท้าวปักกา ปานึมบาฮาน!!”
                     *************************

         “เกาะนาควารินทร์?”

      ในถ้อยคำหนึ่งที่ศาปานต์ได้ยินจากคำบอกเล่าของสิงหบดี ยิ่งทำให้อดรู้สึกพิศวงไม่ได้ หล่อนเรียนภาษาและวรรณคดีไทยมา ทำให้พอคุ้นชื่อดังกล่าวอยู่พอสมควร นั่นหมายถึง นาควารินทร์สินธุ์สมุทรในจินตนิยายเอกของรัตนกวีสี่แผ่นดิน... สุนทรภู่

    จากกลอนนิทานเรื่องพระอภัยมณีนั่นเอง!!

...แล้วว่ากูปู่เจ้าเขาคีรี ทะเลนี้มิใช่แคว้นแดนมนุษย์
ปรอทแร่แม่เหล็กก็มีมาก ชื่อว่านาควารินทร์สินธุ์สมุทร
 ฝูงนาคมาอาศัยด้วยไกลครุฑ ถ้ายั้งหยุดอยู่ที่นี่จะมีภัย...

     กลอนบทนี้เกิดขึ้นในตอนที่นางสุวรรณมาลีแห่งเมืองผลึกไปท่องทะเล แล้วเกิดมหาพายุซัดกระหน่ำจนต้องลอยลำอยู่กลางมหาสมุทรไม่รู้ว่าเป็นที่แห่งหนใด นาควารินทร์จึงหมายถึงทะเลในจินตนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงในแผนที่ทางภูมิศาสตร์

   จริงหรือ??

    สถานที่แห่งหนึ่งบนโลกนี้จะมีอยู่จริงจากจินตนาการในวรรณคดี??

    ในการศึกษาวรรณคดีวิเคราะห์และการตีความในบทกวีนิพนธ์ ที่เพิ่งเรียนเสร็จสิ้นในปีสุดท้ายนั้นเอง ที่บอกหล่อนว่า จินตนาการของกวีบางครั้งก็มาจากการหลอมรวมญาณทัศนะและประสบการณ์ที่สั่งสมมาผนวกเข้าไปรวมอยู่ด้วย

     โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวรรณคดีเอกของมหากวีสุนทรภู่เรื่องนี้ ได้สอดแทรกจินตนการล้ำยุคทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลแผนที่ทางภูมิศาสตร์หลายแห่งเอาไว้อย่างแยบยล หนังสือเล่มหนึ่ง*** ที่หล่อนนำมาใช้ประกอบการศึกษา กล่าวถึง กรุงรัตนาบ้านเกิดเมืองนอนของพระอภัยมณีและศรีสุวรรณว่ามีความหมายย่อมาจาก กรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นสถานที่พำนักรับราชการในกรมอาลักษณ์ของยอดกวีสี่แผ่นดินนั่นเอง!!

    “อย่างหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว
     ถึงลับตัวแต่ก็ชื่อเขาลือฉาว
     เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว
     เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร ”****

       การตีความในพระอภัยมณีของหนังสือเล่มนี้ จึงต่อยอดออกไปยังเมืองต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากโลกทัศน์ของท่านสุนทรภู่ที่ได้ผ่านพบและรับฟังมา ฉากในเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทัพและเดินทางไปตามท้องทะเล หากท้องทะเลในเนื้อเรื่องพระอภัยมณีกลับมิได้หมายถึงอ่าวไทยภาคตะวันดังที่หล่อนเคยเข้าใจ แต่คือเส้นทางฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ชวา มลายู หมู่เกาะต่างๆในทะเลอันดามัน จนข้ามอ่าวเบงกอลไปทะลุออกเมืองลังกา ซึ่งก็คือประเทศศรีลังกาในปัจจุบันนั่นเอง!!

      แม้แต่นามแห่ง “เกาะแก้วพิสดาร” ที่เคยเข้าใจว่าหมายถึงเกาะเสม็ด ในจังหวัดระยอง ริมฝั่งทะเลอ่าวไทย การตีความจากโลกทัศน์สุนทรภู่ในหนังสือเล่มนั้นอธิบายว่าความจริงแล้วน่าจะเป็นเกาะที่อยู่ทางใต้ของแถบทะลอันดามัน ในเขตสุมาตราและเกาะชวาของอินโดนีเซียเสียมากกว่า

      ถ้าเช่นนั้น คำว่า... นาควารินทร์เล่า?

    เด็กสาวพยายามทบทวนเนื้อหาเลคเชอร์ที่เคยเรียนมาชนิด“หลับๆตื่นๆ”หลายครั้งหลายหน แม้จะมีความสนใจอยู่เป็นต้นทุนเดิม แต่วัยรุ่นยุคปัจจุบันอย่างหล่อนก็มีเรื่องเพลิดเพลินอื่นๆมาแบ่งเวลาไปบ้างเหมือนกัน

     “นาคในความหมายทางอุษาคเนย์หมายถึงคนเปลือย เป็นชื่อเรียกที่ต่างชาติใช้เรียกขานคนพื้นเมืองในแถบสุวรรณภูมิที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า และในแผนที่โบราณมักจะระบุเมืองท่าชายฝั่งตั้งแต่แหลมมลายูจรดเกาะลังกา จะต้องมีชื่อภาพนาควารีและคนเปลือยทุกฉบับ”

       อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งเคยพูดเอาไว้ ตอนสมัยที่หล่อนไปเข้าร่วมฟังคอร์สบรรยายของนักศึกษาปริญญาโท อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิท่านนั้น แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเชื่องช้าตามวัยและลักษณะบุคลิกส่วนตัวของท่าน แต่น่าแปลกที่คำบรรยายสั้นๆในช่วงเวลานั้นกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งในห้วงเวลานี้ได้

      “อย่างคำว่า “อันดามัน” มีผู้สันนิษฐาน ว่า อันดามาจาก “อันตร” หรือ "อันตรา" ซึ่งแปลว่าระหว่าง และ “มัน” ก็คือ “มรรคา”ซึ่งหมายถึงทาง รวมความแล้ว ทะเลนี้เปรียบเสมือนเส้นทางค้าขายเชื่อมต่อระหว่างสองแผ่นดิน คือชมพูทวีปและสุวรรณภูมิทวีป...

    นาควารีหรือนาควารินทร์จึงเป็นเกาะหนึ่งในแถบบริเวณท้องทะเลแห่งนี้... ที่เรียกขานกันในนามหมู่เกาะนิโคบาร์ในปัจจุบันนั่นเอง”

     ...นิโครบาร์ ซึ่งในตำนานนิทานชาดกเรียกขานกันว่า นาลิเกร์ทวีป... นาลิเกร์หรือนาฬิเกร์ อันหมายถึงเกาะแห่งต้นมะพร้าวอันอุดมสมบูรณ์ในอดีตกาลนั่นเอง

     แล้วถ้าเช่นนั้น ราชอาณาจักรที่ถือกำเนิดขึ้นในคาบสมุทรมลายูดังเช่นที่หล่อนได้ยินจากสิงหบดีนั้นเล่า? บุหรงปุระและกุรุงปักกา? ไฉนจึงไม่เคยมีตัวตนในประวัติศาสตร์ เหมือนกับอาณาจักรศรีวิชัย ตามพรลิงค์ ลังกาสุกะ มัชฌปาหิตของชวา หรือแม้แต่สิงหัดส่าหรีซึ่งเป็นยุคสมัยร่วมกับต้นกำเนิดวรรณคดีเรื่องอิเหนา?

     ชื่อกุรุงปักกาคล้ายจะวูบผ่านเข้ามาพร้อมกับเกิดอาการหนาวยะเยือกขึ้นอีกครั้ง นามที่ศาปานต์รู้สึกเหมือนกับคำต้องห้าม และพยายามหลีกลี้ไปให้ไกลแสนไกลที่สุด ถ้าเพียงแต่มันจะไม่เกี่ยวข้องพี่ปอของหล่อน...
    กุรุงปักกา... ปกาสัย?

              ************************
* นุสันตารา สันนิษฐานว่าคือประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน
** ปานึมบาฮาน ในภาษาชวา คือ เจ้าเหนือหัว
*** จากหนังสือ ภูมิศาสตร์สุนทรภู่ โดยกาญจนาคพันธุ์
***** จาก เพลงยาวถวายโอวาท สุนทรภู่

ส่วนตอนที่ 12 จะรีบนำลงต่อ ขอเวลานิดหนึ่งนะครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 15:51:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com