เคียราตื่นขึ้นมาเห็นแสงไฟไหวระริก
ฟ้ายังมืดอยู่ ให้งุนงงว่าที่จริงเธอหลับไปเพียงไม่นาน ทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนได้นอนมายาวนานมากกว่านั้น กระทั่งความง่วงถูกแทนที่ด้วยอาการแสบท้องเชียวหรือ
ที่ข้างตัวเธอคือเจ้าหญิงแอชลีนน์ซึ่งขดพระวรกายใต้ผ้าห่ม กำลังบรรทมสนิท เลยไปอีกคือคนทรายที่กำลังนั่งเฝ้ากองไฟ เขาพูดโดยไม่หันมามองหน้าเธอ
“กินอะไรหน่อยไหม”
ชายหนุ่มหยิบไม้แท่งหนึ่งที่ปักอยู่หน้ากองไฟขึ้นมา มันเสียบนกย่างทั้งตัวซึ่งดูคล้ายไก่ ทว่าใหญ่กว่าฝ่ามือไม่มากนัก
นางกำนัลสาวไม่รู้ว่านั่นเป็นตัวอะไร แต่ภาพของอาหารที่คุ้นตา มิหนำซ้ำย่างเกรียมจนหนังเป็นสีน้ำตาลทองกำลังดียิ่งปลุกความหิว โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่กล้ากินเนื้อกระต่ายเมื่อเย็นวานมากนัก
“นกกระทา ท่านเคยกินสินะ” เขาลุกขึ้นยืน ถือนกย่างเสียบไม้กับถุงหนังใส่น้ำมาให้เธอ “กินให้อิ่มเถอะ วันนี้ทั้งวันท่านยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“ม...หมายความว่าอย่างไร” หญิงสาวตกใจ
“ข้าใช้เวทมนตร์ทำให้ท่านหลับสนิทตั้งแต่เมื่อคืน แล้วก็แบกขึ้นหลังในวันนี้ ท่านจะได้พักเท้าบ้าง”
เคียราก้มลงมองตนเอง ขาและเท้าของเธอมีผ้าห่มอีกผืนคลุมอยู่ แต่ก็ยังรู้สึกผิดแปลก หญิงสาวเลิกผ้าห่มขึ้นเห็นชายกระโปรงรุ่งริ่งร่นขึ้นเหนือเข่า ยังผลให้สีแดงฉีดขึ้นทั่วใบหน้า ก่อนที่เธอจะรีบคลุมผ้าห่มกลับโดยเร็ว รู้สึกเหมือนถูกล่วงเกินอย่างไม่อาจห้าม
“ขอโทษนะ ข้าจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้นชายกระโปรงท่านจะเกี่ยวโน่นเกี่ยวนี่ไปหมด และท่านก็อาจสะดุดล้มได้” ชายคนทรายเอ่ยเรียบๆ “เส้นทางของข้าจะพาเราตรงเข้าไปในจวนของเจ้ามณฑลเลย ท่านจะได้ผลัดเสื้อผ้าใหม่ที่นั่น ดังนั้นอย่าห่วงเลยว่าใครจะเห็น”
พูดได้สิ ก็เจ้าเห็นไปแล้วนี่... นางกำนัลสาวอดนึกไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยใส่กระโปรงที่สั้นกว่าค่อนน่อง แล้วนับประสาอะไรกับให้ผู้ชายเห็นเรียวขาตั้งแต่ใต้เข่าลงมา
อีกฝ่ายเป็นจอมเวท คงอ่านใจเธอออก แต่เขาก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ส่งน้ำกับอาหารให้ แล้วเปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ
“รีบกินเสีย เสร็จแล้วจะได้ลองรองเท้า”
เคียราชะงักค้าง ขณะที่กำลังจะเปิดจุกถุงน้ำ
ชายหนุ่มเดินกลับไปหยิบของบางอย่างจากจุดที่เขาเคยนั่งเฝ้ายาม ก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม
นั่นดูเหมือนจะเป็นรองเท้าของเธอเอง ทว่าเวลานี้มันมีสภาพต่างออกไปแทบจำไม่ได้ หนังขัดเรียบมันปลาบที่ด้านหน้าและหลังของรองเท้าถูกตัดให้ขยายออก และบุด้วยแผ่นหนังที่มีขนนุ่มสีน้ำตาลเทา เช่นเดียวกับภายในรองเท้า หนังผืนใหม่ถูกเย็บเข้าไปด้วยสายเอ็นแน่นหนาทนทาน โดยไม่ได้เก็บซ่อนเพื่อความประณีตใดๆ
“พรุ่งนี้เราต้องเดินต่ออีกวันหนึ่ง แอชเลยบอกให้ข้าเอาหนังกระต่ายมาแก้รองเท้าให้ท่าน พรุ่งนี้เท้าของท่านคงดีขึ้นพอจะเดินต่อได้แล้ว”
เคียราขยับเท้าอยู่ใต้ผ้าห่ม รอยบาดซึ่งมีเลือดไหลซึมเมื่อวานยังแสบน้อยๆ ทว่าความเมื่อยล้าคลายลงไปมาก ...กระนั้น เธอยังคงมองรองเท้าที่แปรสภาพไปอย่างไม่แน่ใจนัก
สุดท้าย เมื่อชายคนทรายไม่ยอมพูดอะไรสักที นางกำนัลสาวจึงได้ตั้งคำถาม “ไม่หลวมเกินไปหรือ”
“ไม่หรอก หากเดินมากๆ เท้าจะขยาย ถ้าทำไว้พอดีกับเท้าตอนเริ่มใส่ พอผ่านไปนานๆ จะคับเกิน”
ก็จริงของเขา... หญิงสาวไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร จึงได้แต่ดื่มน้ำล้างปากและคอที่แห้งผาก ก่อนจะกินเนื้อนกกระทาย่าง ซึ่งมีส่วนมันมากกว่าเนื้อกระต่าย แต่ก็ยังปรุงรสค่อนข้างจืด
ด้วยความหิว เคียรากินนกกระทาทั้งตัวจนหมด และดื่มน้ำอย่างกระหาย โดยไม่เหลือความกลัวว่าจะถูกวางยาในน้ำหรืออาหารอีก บางทีคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าความปลงตก ...หากว่าคนทรายสามารถใช้เวทมนตร์ทำให้เธอหลับไปได้ทั้งวันทั้งคืน มิหนำซ้ำยังฆ่าคนได้ด้วยเวทมนตร์ ก็เห็นจะไม่ต้องลำบากลำบนวางยากันอีก
ที่จริง เขาก็มีน้ำใจ...ใช่ไหมนะ มีอำนาจน่ากลัวถึงขั้นนี้แล้ว ฆ่าเธอทิ้งแทนที่จะเอามาเป็นตัวถ่วงยังง่ายดายเสียกว่า ไม่เห็นต้องมาหาอาหารเพิ่ม หรือช่วยทำรองเท้าให้ ...แต่เอาเข้าจริง หากคนทรายนี่ฆ่าเธอหรือทิ้งเธอไป เจ้าหญิงแอชลีนน์ก็คงจะไม่พอพระทัยไม่ใช่หรือ
นั่นสิ ที่ทำดีกับเธอก็เพื่อเอาพระทัยเจ้าหญิง กับคิดจะซื้อใจเธอกระมัง
และเคียราก็บอกกับตนเองว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะได้ไปจากเธอง่ายๆ
คนทรายเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ราวกับล่วงรู้ความคิด...ไม่สิ แน่ใจได้ว่าย่อมรู้ หญิงสาวจึงบังคับตนเองให้จ้องตอบอย่างไม่ลดละ พร้อมกับรวบรวมความคิด
คนทรายนั่นต้องมีเป้าหมายสักอย่าง ใช้เวทมนตร์ชั่วร้าย หลอกลวงเจ้าหญิงเพื่อให้ตนเองกับครอบครัวได้ยึดครองธีร์ดีเร...
“ก่อนอื่น ข้ากับครอบครัวไม่ได้คิดที่จะยึดครองธีร์ดีเร และข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ก็ด่าว่าข้าคนเดียว อย่าได้ลามไปถึงครอบครัว พ่อแม่พี่น้องข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย” จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดเสียงเครียดขึ้นทันที “และข้ามีชื่อ ท่านอาจจะชินเรียกข้าในใจว่า ‘คนทราย’ แต่หากเปลี่ยนเป็น ‘อาเมียร์’ ได้ก็ย่อมดี และคงไม่ลำบากนัก เพราะทั้งสองคำก็แค่สองพยางค์เท่ากัน นอกจากนี้ เวทมนตร์ไม่ได้ชั่วร้ายไปเสียหมด และข้าไม่ได้หลอกลวงเจ้าหญิง”
นางกำนัลสาวรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง ขณะที่นัยน์ตาสีดำเรียบเฉยของอีกฝ่ายดูราวกับมีเปลวไฟลุกโพลงอยู่ภายใน เป็นไฟเย็นซึ่งสะกดตรึงเธอไว้ไม่ให้เบือนหลบ
นี่คือเวทมนตร์อีกหรือ
“ไม่หรอก ข้าไม่ได้ใช้เวทมนตร์ แต่...ถ้าอย่างอื่นก็ไม่แน่” คนทราย...ไม่สิ อาเมียร์หันหน้าหลบไปเอง “เอาเถอะ ข้าไม่ได้คิดจะซื้อใจ หรือดึงท่านมาเป็นพวกอยู่แล้ว หากทำเช่นนั้นได้ก็อาจจะมีประโยชน์ แต่ไม่ได้ก็ใช่จะเสียประโยชน์”
“งั้นให้ข้ามาด้วยทำไม” เคียรากลั้นใจถาม “ทำไมไม่ฆ่าข้า หรือปล่อยข้าไว้ในเมืองตามพระประสงค์ของเจ้าหญิง”
“ข้าเกลียดการฆ่า...หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ทำ และให้ท่านมาด้วยจะดีต่อเจ้าหญิงมากกว่า”
“แล้วให้เจ้าหญิงเสด็จหนีพิธีอภิเษกอย่างนี้ดีต่อพระองค์หรือ!” หญิงสาวยังคงกลัว แต่ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ “ข้าไม่เข้าใจ ทุกสิ่งกำลังจะเรียบร้อยดีแล้ว ทำไมท่านถึงทำให้พระองค์ทรงคิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีก ท่านดูลัสเองก็ไม่ใช่คนเลว เขาจะเป็นกษัตริย์ดี...และพระสวามีที่ดีของเจ้าหญิงแน่”
“และเจ้าหญิงก็จะเป็นราชินีที่ทุกข์ระทมไปตลอดพระชนม์ชีพ” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ “ธีร์ดีเรก็จะไม่มีวันพ้นจากความชั่วช้าอุกอาจที่เคยถูกกระทำไว้”
“ความชั่วช้าอะไร”
“บอกไปตอนนี้ ท่านก็คงไม่เชื่อหรอก” อาเมียร์ลุกขึ้นยืน และเดินกลับไปนั่งที่เดิมซึ่งอยู่ห่างออกไป ก่อนจะเติมฟืนลงกองไฟ “หากอยากรู้ ก็ถามเจ้าหญิงของท่านเองแล้วกัน”
“งั้นท่านทำอะไรให้เจ้าหญิงทรงเชื่อ” นางกำนัลสาวจับจ้องชายตรงหน้าอย่างระแวดระวัง “ท่านใช้มนตร์อะไรล่อลวงเจ้าหญิงกันแน่”
เขาดูเหมือนคนธรรมดา แม้โครงร่างไม่สูงนักเมื่อเทียบกับชาวธีร์ดีเร ผมดำและผิวคล้ำกว่า ก็ยังมีเครื่องหน้าคมสัน สง่างามอย่างรูปสลัก
แต่ไม่ได้...เคียราบอกตนเองว่าจะปล่อยให้รูปลักษณ์ภายนอกหลอกลวงตนไม่ได้เป็นอันขาด เธอเห็นปีกสีดำที่เคยแผ่กว้างอยู่เบื้องหลังชายคนนี้ ตลอดจนเวทมนตร์นอกรีตน่าสะพรึงกลัวที่เขาใช้ต่อหน้าต่อตาแล้วไม่ใช่หรือ
“มนตราที่เรียกว่า ‘ความจริง’ กระมัง” อีกฝ่ายเพียงยักไหล่และยิ้มน้อยๆ ...แต่เป็นยิ้มที่เครียดขรึม
“งั้นก็ใช้มนตร์นั้นกับข้าเหมือนกันสิ” หญิงสาวเสนอ “หากทำให้เจ้าหญิงทรงเชื่อได้ ก็น่าจะทำให้ข้าเชื่อได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าท่านพร้อมจะเชื่อหรือเปล่า” อาเมียร์พูดเหมือนกับไม่ใส่ใจนัก
“แล้วท่านพร้อมจะทำให้ข้าเชื่อไหมล่ะ”
“พร้อม แต่ไม่ใช่เวลานี้” ชายหนุ่มเอนหลังพิงต้นไม้ และหลับตาลง “ข้าต้องพักผ่อน ท่านลองรองเท้าแล้วก็บอกในตอนเช้าเถอะนะ ว่าจำเป็นต้องแก้ไขอะไรอีก เมื่อถึงเคนมาราแล้วยังมีเวลาพูดกันอีกมาก”
เขาเงียบไป ...ไม่มีประโยชน์ที่จะรบเร้า เคียรานิ่งเฉยอยู่อีกครู่ จึงได้หยิบรองเท้าที่แก้ไขแล้วมาลองสวมบนเท้าของตน...ซึ่งเธอเองเพิ่งสังเกตว่าพันแผลใส่ยาสะอาดสะอ้าน ราวกับเพิ่งเปลี่ยนผ้าพันแผลมาใหม่ๆ
พวกมันทั้งสองข้างหลวมไปถนัดใจ แต่ก็นุ่มสบายในที่ที่เคยกัดเท้าของเธอจนเจ็บระบม หญิงสาวขยับเท้าไปมาก่อนจะลุกขึ้นเดินวนอยู่กับที่ ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดปกปิดขาตั้งแต่เข่าลงไป...ก็ยิ่งหนาวและอายแม้จะไม่มีใครมอง มิหนำซ้ำเสียงสัตว์กลางคืนที่ดังแว่วมาทำให้ไม่กล้าออกไปไกลจากกองไฟ…แม้จะรู้อยู่ว่าชายคนทรายคงกางกำแพงล่องหนไว้เหมือนวันก่อนๆ ก็ตาม
คืนฤดูร้อนเช่นนี้ในป่าคงมียุงอยู่มาก ทว่ารอบบริเวณที่พักดูเหมือนจะไม่มีแมลงกล้ำกรายเข้ามาสักตัว
ต้องขอบคุณเขางั้นหรือ
เคียรานึกแล้วก็ถอนใจ เธอนั่งลงที่เดิม ก่อนจะถอดรองเท้าทั้งสองข้างออกวางคู่กันเรียบร้อย และขดตัวลงนอนห่มผ้า ทั้งที่จิตใจว้าวุ่น
คนทราย...ไม่สิ...อาเมียร์คนนั้นประหลาดพิกล
ดูแลเธอเป็นอย่างดีไม่แพ้เจ้าหญิง...แค่พิจารณากับผ้าพันแผลและรองเท้าที่ทำให้ก็บอกได้ แต่ก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมหรือโน้มน้าว ไม่ได้เซ้าซี้ให้เธอเชื่อใจ เขาอ่านใจเธอออก แต่ก็เพิ่งเอ่ยปากเหมือนดุว่าเมื่อเธอล้ำเส้นจนเกินไปในเมื่อครู่ที่ผ่านมา
กับเจ้าหญิงแอชลีนน์เล่า... เขาไม่ได้ใช้ราชาศัพท์หรือนบนอบต่อพระองค์ กระนั้นการพูดจาที่ดูสนิทสนมนั้นยังฟังสุภาพและให้เกียรติ เจ้าหญิงทรงมอบพระทัยให้เขา และเขาเองก็เหมือนจะตอบรับ ทว่าสิ่งที่ต่างฝ่ายมีให้กันดูเหมือนจะมีเพียงวาจาฉันมิตรผู้มีฐานะเท่าเทียมกัน มากกว่าเกี้ยวพาราสี กระทั่งการสัมผัสยังจำกัดอยู่เพียงจับมือในยามจำเป็น เช่นชายหนุ่มยื่นมือให้เป็นหลักยามข้ามลำธารตื้นๆ ...และในเวลานั้นเขาก็ส่งมือให้เคียราก่อนด้วยซ้ำ
อาเมียร์ไม่ได้วางตัวเหมือนคนเถื่อน หรือจอมเวทกระหายอำนาจน่าสะพรึงกลัว แต่ดูเป็นสุภาพบุรุษราวกับอัศวิน ขุนนาง หรือ...กระทั่งเจ้าชาย
หากเทียบกับท่านดูลัส...
เคียราสั่นศีรษะ และบอกตนเองให้รีบหลับพักผ่อนโดยเร็ว ก่อนจะคิดอะไรไม่เข้าเรื่องมากไปกว่านี้
* * * * *
ดูลัสคิดว่าตนรวบรวมเรื่องที่ควรถามพระมหาเถระลูเธียนไว้เรียบร้อย ทบทวนในใจไม่ให้ตกหล่นสักประเด็น แต่เมื่อถึงเวลามานั่งอยู่ตรงหน้านักบวชหนุ่มซึ่งมีอายุห่างจากตนไม่กี่มากน้อย ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลังเล
เวลานี้เขานั่งอยู่ในห้องรับรองของอารามกับพระมหาเถระเพียงลำพัง ฟีอาคราซึ่งติดตามมาได้รับคำสั่งให้เฝ้าอยู่เพียงข้างนอก
ต่อให้มั่นใจในความจงรักภักดีขององครักษ์และอาจารย์ พระคู่หมั้นหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจว่าควรให้หัวหน้าหน่วยเรเวนรู้เรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์...ทั้งของอาเมียร์และมาดาย กระนั้นยังอดระแวงไม่ได้ว่าพระมหาเถระลูเธียนเองก็อาจมีจุดประสงค์แอบแฝง...เช่นเดียวกับนักบวชชราอีกรูปหนึ่ง
หากว่าพระเถระมาดายเองก็ใช้เวทมนตร์แห่งความมืด เป็นจอมเวทชุดดำที่ร่วมมือกับท่านพ่อลอบปลงพระชนม์ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าลูเธียนซึ่งปล่อยตัวคนทรายมีเวทมนตร์ไปโดยง่ายไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน ...หรืออย่างเดียวกัน
ดูลัสไม่ใคร่ศรัทธาในเทพเจ้า และมองว่าศาสนจักรเองก็มีความฉ้อฉลของมันอยู่แล้ว การชิงอำนาจหรือกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตนของนักบวชไม่อาจทำให้เขาประหลาดใจ...มากเท่ากับการเห็นตำตาว่ากระทั่งสาวกของเทพแห่งแสงสว่างก็มีอำนาจของมารร้าย
ชายหนุ่มพยายามทำใจให้นิ่ง และถามตรงประเด็นทันที หลังจากคำทักทายไต่ถามสุขภาพตามธรรมเนียม
“คนทรายนั่น...ข้าหมายถึงอาเมียร์...ไม่มีเวทมนตร์อยู่ในตัวแล้วจริงๆ หรือ”
“สิ่งใดที่ไม่ใช่ของตน ย่อมไม่อาจดึงรั้งไว้กับตัวได้” นักบวชหนุ่มกลับตอบเป็นปริศนา
“หมายความว่าอย่างไร” พระคู่หมั้นหนุ่มถาม แม้ตนเองจะยังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน
หากว่าเวทมนตร์นั้นไม่ใช่ของมัน...ก็แสดงว่ามันไม่มีเวทมนตร์อยู่ในตัวอีกแล้ว
แต่หากใช่...หากว่ามันมีเวทมนตร์อยู่ในตัวมันเอง ไม่ใช่เพราะถูกสิงสู่ ก็หมายความว่ามันยังมีเวทมนตร์อยู่
หรือว่า...ลูเธียนไม่ได้พูดถึงอาเมียร์ แต่กำลังพาดพิงถึงเขา ...เจ้าหญิงไม่ใช่ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรั้งพระองค์ไว้ได้
“ข้าอยากได้คำตอบชัดเจน ว่าเวลานี้อาเมียร์ยังคงมีเวทมนตร์หรือไม่” ดูลัสพยายามข่มความขุ่นมัว และเปลี่ยนคำถามช้าๆ
“โดยตัวเขาเองนั้น ไม่มี”
“แล้วมีสิ่งใดทำให้เขามีเวทมนตร์งั้นหรือ”
“สิ่งที่ทำให้เขามีเวทมนตร์ไม่เป็นปัญหาสำหรับเราอีกต่อไป” ลูเธียนประสานมือเข้าด้วยกัน และนั่งเอนพิงพนักเก้าอี้ราวกับเบื่อหน่าย “มันถูกควบคุมได้แล้ว”
“‘ควบคุม’ ของท่านมีความหมายอย่างไร กำจัดหรือจองจำ”
“ตราบใดที่ยังมีแสงสว่าง เงามืดย่อมไม่อาจถูกขจัดออกไปได้ นั่นคือสิ่งที่เราต้องยอมรับ”
“พระมหาเถระ” พระคู่หมั้นเรียกเสียงหนัก “ข้าต้องการคำตอบตามตรง และเข้าใจง่าย”
“แต่ข้าไม่มีหน้าที่ต้องให้คำตอบเช่นนั้นไม่ใช่หรือ” อีกฝ่ายเสยผมที่ค่อนข้างยาวสำหรับนักบวชไปพ้นใบหน้า “หรือท่านกำลังไต่สวนข้า”
ดูลัสจำต้องยอมรับในที่สุด...ว่าเขาไม่ชอบนักบวชคนนี้เลย
“ข้าเพียงแต่เห็นสมควรถาม เพราะอาเมียร์อาจเป็นภัยต่อธีร์ดีเร”
“ด้วยเหตุใด”
“ก็เขาเคย...” ชายหนุ่มกลั้นคำว่า ‘ลักพาตัว’ เอาไว้ “พาเจ้าหญิงออกไปจากวัง ครั้งนั้นท่านก็เห็นว่าเขาเคยใช้เวทมนตร์สังหารผู้อื่น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีกจะเป็นอย่างไร”
“ข้ารับรองได้ด้วยเกียรติของข้า ว่าอาเมียร์จะไม่สังหารใครอีก...นอกจากเพื่อป้องกันชีวิตของตนและผู้อื่น ส่วนตอนนี้เจ้าหญิงก็ยังประทับอยู่ในวังไม่ใช่หรือ” ลูเธียนตอบด้วยสีหน้าปรกติของตน “หรือเจ้าหญิงทรงเป็นอะไรไป พระคู่หมั้นอย่างท่านถึงได้เดินทางมายังต่างมณฑล ทั้งๆ ที่ควรจะคอยอยู่ใกล้ๆ พระองค์มากกว่า”
ดูลัสอดนึกไม่ได้ ว่าอีกฝ่ายย่อมรู้เรื่องที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงหายไป แต่ก็ยังแสร้งถามอย่างนั้น
แต่ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ก็เห็นชัดว่าทางเดียวที่จะเจรจาต่อไปให้ได้ความ คือต้องบอกออกไปชัดเจน
“เจ้าหญิงทรงหายพระองค์ไปจากวังโดยไร้ร่องรอย เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ ดังนั้นหากอาเมียร์ยังมีเวทมนตร์อยู่ เรื่องนี้ก็อาจกระจ่างขึ้น”
“ว่าเขาเป็นคนร้ายสินะ” พระมหาเถระเอ่ยราวกับไม่เห็นเห็นเรื่องสลักสำคัญ “พระเถระมาดายบอกท่านหรือ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์”
พระคู่หมั้นขมวดคิ้วทันควัน
“ต่อให้ผู้มีเวทมนตร์ไม่ได้บอก ก็เห็นกันอยู่ชัดเจนแล้ว เราไม่พบร่องรอยของคนร้ายเลย”
“อ้อ” ลูเธียนพยักหน้าช้าๆ พร้อมกับกอดอก “ก็ดี”
“‘ก็ดี’ ของท่านหมายความว่าอย่างไร” ดูลัสยิ่งไม่เข้าใจ
“ก็ดี...ที่เขาเรียนรู้ที่จะไม่แทรกแซงสถานการณ์ของอาณาจักรท่านมากไปกว่านี้ เช่น แล่นเข้าไปกลางศาล แล้วฆ่าผู้ต้องสงสัยแทนที่จะสะกดและคุมตัว ทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จคดี”
หรือจะหมายความว่าพระมหาเถระวัยหนุ่มไม่พอใจพระเถระวัยชรา...และอาจเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน แต่ดูลัสวางใจไม่ได้ บางทีลูเธียนอาจร่วมมือกับมาดาย จึงแสดงละครให้เขาตายใจก็เป็นได้
“ข้าคิดว่าเรากำลังคุยกันเรื่องของอาเมียร์ ไม่ใช่พระเถระ”
“หลังเสร็จคดี ข้าก็ไม่ได้ติดต่ออาเมียร์กับครอบครัวอีกเลย แต่ข้าสัมผัสได้ว่าไม่มีการใช้มนตร์มืดในทางมิชอบในเขตมณฑลนี้ ในตอนนี้จึงรอรวบรวมข้อมูลและร่องรอยของคนใช้เวทมนตร์ชุดดำนั้นอยู่”
หากว่าพระมหาเถระพูดความจริง ก็แสดงว่าต่อให้อาเมียร์เล็ดลอดออกไปจากยาร์ลาธจริง เขาก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์อย่างที่ดูลัสคาดหมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ลูเธียนจะเข้ามาเกี่ยวข้อง ในฐานะตัวแทนของศาสนจักร
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ล้วนแต่มีเลศนัย แม้จะมีจุดร่วมตรงที่ล้วนแต่พุ่งไปเข้าข้างอาเมียร์
พระคู่หมั้นหนุ่มเริ่มทำใจว่าคงได้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าคนทรายจากพระมหาเถระลูเธียนเพียงเท่านี้ แต่กลับประหลาดใจมากเมื่อตนเอ่ยขอตัว และอีกฝ่ายพลันทักขึ้นมา
“ท่านยังพกเครื่องรางของมาดายอยู่หรือเปล่า”
“หือม์” ดูลัสขมวดคิ้ว “...ไม่แล้ว ทำไมหรือ”
นั่นเป็นความจริง ตั้งแต่มาดายเผยว่าตนร่วมมือกับพ่อของชายหนุ่ม และขู่จะฆ่าเขาหากแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ดูลัสย่อมไม่กล้านำสายประคำใหม่ที่ได้จากมาดายมาพกติดตัวอีก พูดให้ถูกคือไม่กล้ากระทั่งจะพกสายประคำหรือเครื่องรางอื่นใดด้วยซ้ำ
“ก็ดี” ลูเธียนเพียงแต่รับ ก่อนจะบอกให้พระคู่หมั้นหนุ่มกลับออกไปได้ โดยไม่อธิบายมากไปกว่านั้น
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้ยาวนิด เลยหั่นแบบค่อนๆ ตอนหน่อย แล้วพบกับฉากปาร์ตี้น้ำชาที่บ้านของซิอ์บุลในคราวหน้าครับ :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
11 เม.ย. 54 23:03:22
|
|
|
|