Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
การเดินทางของดวงดาว...ตอนบ้านแม่หมีใน ติดต่อทีมงาน

บ้านแม่หมีใน
เสียงร้องตะโกนเชิญชวนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา  ช่วยบริจาคเงินลงในกล่องกระดาษใบเล็กที่ทำกันขึ้นมาเองอย่างเรียบง่าย  ของน้องๆนักศึกษาเจ้าคุณทหารลาดกระบังที่ยืนกันเรียงรายเป็นหน้ากระดานเรียงหนึ่งบ้างสองบ้างบริเวณตลาดนัดเรือนไทย ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหย่อนเงินลงในกล่องรับบริจาคใบนั้นกับเขาด้วยคน
ในฐานะที่ผมเคยผ่านกิจกรรมค่ายอาสาฯมาก่อน  ภาพความทรงจำค่อยๆชัดขึ้นทีละน้อยทีละน้อย  คนหนุ่ม-สาว จากค่ายอนุรักษ์และค่ายอาสาพัฒนาชนบทกว่า 40 ชีวิตจากพระจอมเกล้าพระนครเหนือกำลังเดินทางไปออกค่ายที่หมู่บ้าน “แม่หมีใน” อ.เมืองปาน จ.ลำปาง
หมู่บ้านแม่หมีในเป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ในหุบเขา  ชาวบ้านเป็นชาวเขาเผ่า  “ปกากะญอ”
รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้  มีเพียงทางเดินเท้าเล็กๆที่พอจะผ่านได้เฉพาะมอเตอร์ไซด์เท่านั้นเอง
หลังจากลงรถไฟกันที่สถานีรถไฟลำปางก็มีรถที่ทาง Staff ได้ติดต่อประสานงานกับทางนายอำเภอเมืองปานเอาไว้มารับ มันเป็นรถ 6 ล้อสภาพสมบุกสมบันพอสมควร ตัวรถมีคราบสนิมเป็นหย่อมๆเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนตัวกระบะเป็นโครงไม้ พวกเราเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาเป็นแรงงานพม่าขึ้นไปยืนแออัดกันบนรถคันนั้น
ช่วงออกจากตัวเมืองลำปางใหม่ๆ เรายังได้ยืนชมวิวทิวทัศน์และวิถีชีวิตสองข้างทางกันอย่างสนุกสนาน  แต่พอเลยออกจากเมืองไปทางน้ำตกแจ้ซ้อนเท่านั้นแหละ  เราแทบจะหาผ้าหรือหมวกมาคลุมหัวกันแทบไม่ทันจากฝุ่นลูกรังสีแดงเพลิง  รถขับมาส่งเราที่หมู่บ้านแม่หมีนอก    อันเป็นจุดสุดท้ายที่ยานพาหนะตั้งแต่สี่ล้อขึ้นไปจะเข้าถึงได้ ถึงตอนนี้พวกเราก็เปลี่ยนสถานะอีกครั้งจากแรงงานพม่ากลายเป็นฝรั่งหัวแดงกันหมด
เราต้องขนสัมภาระที่มีน้ำหนักมากอย่างเช่น ถุงปูนซีเมนต์กับกระสอบข้าวสารใส่ท้ายรถมอเตอร์ไซด์ของชาวบ้านบรรทุกขนขึ้นไป  แต่ก็ยังเหลือของบางอย่างนอกจากเป้หลังเราเองที่ยังมีน้ำหนักพอสมควรอยู่  ก็จำพวกถุงเสบียงอาหาร หนังสือและสื่อการสอนต่างๆ  พลั่วสนาม ฯลฯ
ผมชำเลืองดูของที่เหลือแล้วจึงตัดสินใจเสียสละด้วยการหยิบเอากีตาร์มาถือแล้วออกเดินมุ่งหน้าเข้าหมู่บ้านทันทีโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของพวกผู้หญิง  
ระยะทางจากหมู่บ้านแม่หมีนอกไปยังหมู่บ้านแม่หมีในประมาณสามกิโลกว่า  แต่ในความรู้สึกของผมมันเหมือนสิบกิโลเลยเชียวล่ะ   ทางเดินเป็นทางราบสลับกับสูงชันเป็นบางครั้ง  บางช่วงเราต้องเดินลุยน้ำระดับเข่าสลับกันไปกับทิวสนและป่าไผ่ทำให้ผ่อนคลายได้ไม่น้อยเลย  แต่สิ่งที่ไม่ทำให้การเดินเงียบเหงาซะทีเดียวก็คือ เสียงกรีดร้องของพวกผู้หญิงเวลาที่โดนทากเกาะ ตามแขนขา  ส่วนผมน่ะไม่กลัวว่ามันจะมาเกาะที่ขาเท่าไหร่หรอก  แต่กลัวว่ามันจะมาเกาะที่ทากตัวน้อยของผมมากกว่า  

เราเดินมาได้หนึ่งอึดใจจะขาดดิ้นก็ถึงตัวหมู่บ้านท่ามกลางการต้อนรับของน้องๆชาวเขาทำให้ความเหนื่อยที่สะสมมาหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ผมสังเกตดูสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านก็เหมือนกับหมู่บ้านชาวเขาทั่วๆไป  ตัวบ้านและหลังคาทำมาจากไม้ไผ่และใบตองตึงปลูกลดหลั่นไล่กันสูงต่ำขึ้นไปตามไหล่เขา  แต่บ้านทุกหลังจะไม่มีรั้วกั้นแสดงอาณาเขตเพราะถือว่าคนในหมู่บ้านเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน  จะเดินเข้านอกออกในไปไหนได้ทั่วหมด  และจะไม่มีการลักเล็กขโมยน้อย  หรือทำผิดกฎของหมู่บ้านเลย
ไม่เหมือนคนในสังคมเมืองที่เจริญด้วยวัตถุแต่ไม่ค่อยเจริญเติบโตทางด้านจิตใจ  
ค่ายของเราเป็นค่ายเชิงอนุรักษ์  จึงเน้นที่การสอนและแนะแนวให้ชาวบ้านรู้สึกหวงแหน  และอนุรักษ์การดำรงชีวิตและประเพณีท้องถิ่นที่กำลังจะเสื่อมสลายเอาไว้  มากกว่าการที่จะเน้นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย  หรือการมอบสิ่งของหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากคนเมืองเพื่อไปทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขา
เราแบ่งการทำงานออกเป็นทั้งหมด 4 โครงงานในแต่ละวัน ซึ่งสมาชิกในค่ายทุกคนจะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำหน้าที่ในแต่ละโครงงานภายในระยะเวลา 20 วันที่อยู่ด้วยกัน
โครงงานแรกคือ “โครงสร้าง” มีหน้าที่ก่อสร้างแท็งก์น้ำเอาไว้ใช้เก็บน้ำในยามขาดแคลน
เพราะน้ำที่ชาวบ้านใช้เป็นระบบประปาภูเขาที่อาศัยแหล่งน้ำจากธรรมชาติ  พอเวลาหน้าแล้งน้ำจะน้อยมาก  ส่วนผมนั้นโชคดีที่จับสลากได้อยู่โครงสร้างตั้งแต่วันแรกเลย
ก่อนสร้างเราก็จะเลือกทำเลก่อนโดยปรึกษากับพี่สมชายหัวหน้าหมู่บ้านที่พอจะพูดสื่อสารภาษาไทยได้คล่องแคล่ว  จากนั้นก็เริ่มปรับพื้นที่จากที่เอียงอยู่ประมาณ 60 องศา ให้เป็น 90 องศาด้วยจอบ
ส่วนอีกกลุ่มก็จะทำหน้าที่เตรียมวัตถุดิบ คือ ทรายกับหิน  เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับการผสมปูนซีเมนต์  ทรายนั้นหาได้จากการใช้พลั่วตักขึ้นมาจากลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้านนั่นแหละ  จากนั้นก็ใช้ปุ๋งกี๋ขนเอามาเทกองรวมกันไว้  ส่วนหินเราก็ได้เด็กๆในหมู่บ้านมาช่วยกันเก็บจากลำธารอีกเช่นเดียวกัน
  วันนี้เราได้แค่เตรียมวัตถุดิบไว้เท่านั้นฟ้าก็เริ่มจะสลัวมัวมืดลงแล้ว  ส่วนการประกอบแบบหล่อที่มีลักษณะเป็นโครงเหล็กโค้งๆ  เหมือนกับเสาตอม่อของทางด่วนนั่นจะยกยอดไปเป็นวันพรุ่งนี้ และก็เป็นการอู้ของเราชนิดแนบเนียนให้เพื่อนกลุ่มหลังมาสานต่อ
โครงงานต่อมา คือ “โครงงานสอน” ใครที่ได้อยู่ที่โครงงานนี้ วันนั้นก็จะแฮบปี้มีความสุขไปทั้งวัน เพราะเราจะไปช่วยคุณครู (ขออภัยที่จำชื่อคุณครูไม่ได้แล้วครับ) ที่โรงเรียนสอนหนังสือ เล่นเกมส์ ร้องเพลง เล่นกีฬา และทำกิจกรรมอื่นๆ

โรงเรียนจะเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว  มีห้องเรียนห้องเดียว  ห้องพักครูห้องเดียว และก็แน่นอนมีครูเพียงคนเดียว  ที่ไม่มีคือโรงอาหารกับห้องน้ำ  ซึ่งเด็กๆจะวิ่งกลับไปใช้บริการที่บ้านใครบ้านมันแทน  เพราะอยู่ห่างจากโรงเรียนกันไม่กี่เมตรก็ถึงแล้ว  ผมมารู้ทีหลังว่าห้องน้ำที่นี่เพิ่งจะมีเมื่อปีที่แล้วนี้เองจากการมาสร้างเอาไว้ของรุ่นพี่ปีก่อน  
ตอนที่อยู่โครงนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณครูแล้วรู้สึกชื่นชมในตัวเธอมาก  เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวที่ทำงานเพื่ออุดมการณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง  ทุกเดือนคุณครูจะต้องเดินลงจากหมู่บ้านเพื่อที่ไปรับเงินเดือนข้าราชการอันน้อยนิดในอำเภอเมืองปาน  ผมพยายามขอลงไปรับแทนเพื่อแบ่งเบาภาระ  แต่คุณครูรู้ทันเลยบอกปฎิเสธอย่างสุภาพว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
โครงงานที่สามเป็น “โครงเกษตร” พวกเราจะออกไปช่วยชาวบ้านทำนาและเลี้ยงสัตว์กัน นาที่ทำก็เป็นนาแบบขั้นบันไดที่เราเห็นในรูปภาพนั่นแหละ ผมรู้จักรสชาดของความยากลำบากของชาวนาก็ตอนที่อยู่โครงเกษตรนี่เอง ชาวนาพื้นราบนั้นหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน แต่พวกเราหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดอย
ช่วงที่เราไปข้าวเริ่มออกรวงเหลืองหมดแล้ว  การทำนาของเราจึงเป็นการเกี่ยวข้าวเสียมากกว่า  ผมไม่ลำบากในการเกี่ยว แต่ลำบากในการยืนเพื่อไม่ให้ไถลลงไปที่ตีนดอยในความลาดชันประมาณ 60 กว่าองศาได้   รองเท้าที่เราใส่กันมาถูกถอดเขวี้ยงลงไปกองรวมกันอยู่ที่เชิงดอยด้านล่าง แล้วใช้นิ้วเท้าช่วยจิกยึดกับต้นข้าวและดินเอาไว้เพื่อการทรงตัว  
ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ☼  พวกเราพยายามหามุขตลกๆมาเล่าให้พวกน้องๆฟังเพื่อให้ลืมความเหน็ดเหนื่อย  พอเล่าจนหมดมุขไม่รู้จะคุยอะไรแล้วน้องๆก็เลยสอนภาษา ปกากะญอ ให้พวกเรา  ผมยังจำได้ประโยคเดียวมาจนทุกวันนี้คือคำว่า “ยะแอนนา” ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “ฉันรักเธอ” มีน้องคนหนึ่งรู้สึกว่าจะชื่อ หน่อตา นี่แหละที่หลอกให้ผมเอาไปพูดกับ กาญจน์ สาวสวยประจำค่าย เพราะหน่อตาหลอกผมว่าหมายถึง “เหนื่อยไหมครับ” มารู้ตัวว่าถูกหลอกก็ต่อเมื่อพวกน้องๆกับเพื่อนๆหัวเราะกันลั่นดอย คงมีแต่ผมกับกาญจน์เท่านั้นที่ทำหน้างงกันอยู่สองคน
ในขณะที่เกี่ยวข้าวเราก็จะให้ความรู้ทางวิชาการไปด้วย เช่น การปลูกพืชทดแทนหลังจากว่างจากการทำนาเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน  แนะนำให้ชาวบ้านเลือกใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่ราคาแพง  แมลงและสัตว์เล็กบางชนิดที่เป็นประโยชน์ในทางนิเวศน์วิทยา  แต่ก็ไม่ได้มีเพียงเราที่ให้ความรู้แก่ชาวบ้านเพียงฝ่ายเดียวหรอกนะ  เพราะเรื่องบางอย่างเราก็ได้ความรู้กลับคืนมาจากชาวบ้านเหมือนกัน  เช่น  การหาหนอนจากลำไม้ไผ่โดยการสังเกตรูตามดที่ลำไผ่และการเคาะฟังเสียง  สมุนไพรบางชนิดที่รักษาโรคได้   ผมพยายามหาสมุนไพรที่กินแล้วทำให้หน้าตาดีขึ้นแต่น้องๆแนะนำให้ไปเกิดใหม่แทนจะได้ผลเร็วกว่า

เวลาที่อยู่โครงเกษตรนี่เราจะเสียเปรียบพวกที่อยู่ประจำโครงงานอื่นๆก็ตรงที่ได้อาบน้ำทีหลังเพื่อน  เพราะกว่าที่เราจะเดินกลับจากนาเข้าสู่หมู่บ้าน  โครงงานอื่นๆก็อาบน้ำแต่งตัวสวยหล่อกันเสร็จอย่างสบายใจแล้ว  หากแต่ที่ลำบากกว่าเราอีกก็คือพวกผู้หญิงที่ต้องรอเราพวกผู้ชายอาบเสร็จก่อนจึงจะอาบได้ เนื่องจากที่นี่มีกฎของหมู่บ้านห้ามผู้หญิงอาบน้ำบริเวณทางต้นน้ำที่อยู่สูงกว่าผู้ชาย ไอ้ครั้นจะอาบพร้อมกันแต่ต้องอาบทางใต้น้ำ พวกผู้หญิงก็คงไม่อยากจะเสี่ยงอาบ ฉี่ ขี้มูก น้ำลายที่พวกผู้ชายปล่อยลงมาล้านเปอร์เซ็นต์
ฉะนั้นเวลาที่กลับจากการเกี่ยวข้าวทีไร เราผู้ชายต้องรีบอาบกันอย่างรวดเร็วเหมือนกับทหารเกณฑ์ไม่อย่างนั้นจะได้ยินเสียงตะโกนด่าเจี๊ยวจ๊าวเล็กใหญ่มาจากทางท้ายน้ำทุกที
ส่วนโครงสุดท้าย  อันที่จริงน่าจะเรียกว่ากลุ่มมากกว่า  คือกลุ่มที่คอยเตรียมอาหารไว้ให้ชาวค่าย อาหารหลักของเราก็คือ  โปรตีนเกษตรกับผักต่างๆ  เนื้อสัตว์ไม่มีเพราะทางStaff ต้องการให้ทานมังสวิรัติ   จนบางครั้งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเรามาค่ายอนุรักษ์หรือมาบวชเณรภาคฤดูร้อนศึกษาธรรมกันแน่วะ แต่ที่พวกเราไม่ยอมอย่างเด็ดขาดและพอจะอนุโลมให้ทานได้ก็คือไข่ไก่  
ใครก็ตามที่มาอยู่กลุ่มนี้จะต้องมีความสามารถพิเศษในการประยุกต์ให้โปรตีนเกษตรแปรสภาพให้กลายเป็นอะไรก็ได้ที่ดูแล้วเหมือนกับได้กิน หมู เห็ด เป็ด ไก่ต่างๆ
ตัวผมกับเบิ้มได้ทำงานอยู่ในกลุ่มคหกรรมนี้เพียงวันเดียวแล้วก็ไม่เคยได้กลับมาประจำการอีกเลย คงเป็นเพราะข้าวต้มทรงเครื่องสูตรพิสดารความคิดของมันแท้ๆ ที่เพื่อนในค่ายพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า “สูตรอ้วกหมา” นั่นเอง
ช่วงหลังๆเราจึงเน้นที่จะจัดคนไปอยู่ในแต่ละโครงงาน ตามความสามารถและความถนัดซะมากกว่า  และผมกับเบิ้มก็ได้ประจำอยู่ที่ โครงสอนจนกระทั่งจนจบค่ายเลยทีเดียว
คงเป็นเพราะเบิ้มเป็นนักพูดตัวยง  และก็มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่พอจะเอามือข่วนกีตาร์ให้กลายเป็นเพลงได้งูงูปลาปลา…. เนื่องจากโครงสอนจะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการร้องเพลงเยอะ ทั้งเล่นเกม และเล่านิทาน
เด็กๆที่นี่มีอยู่หลายคนค่อนข้างหัวดีทีเดียว  อย่าง คนุต นี่เก่งคณิตศาสตร์มาก  แถมยังเล่นกีฬาดีอีกด้วย  และกีฬาสุดฮิตตามสภาพพื้นที่อันจำกัดก็คือ เซปัดตะกร้อ  ครับ.. ผมไม่ได้เขียนผิดหรอก  เพราะถ้าเป็นเซปักตะกร้อเค้าจะกระโดดตีลังกาฟาดข้ามเน็ทกัน  แต่พวกเราเน้นใช้มือปัดข้ามกันซะมากกว่า
จำได้ว่าช่วงที่เราไปถึงหมู่บ้านวันแรกๆ พวกน้องๆยังไม่ค่อยกล้าที่จะคุยกับพวกเราเท่าไหร่
คงไม่แน่ใจว่าเราเป็นโจรแบ่งแยกดินแดนหรือว่านักศึกษากันแน่ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง++ ที่ดูจะขี้อายมากกว่าพวกเด็กผู้ชาย แต่ว่าเวลาขี้คงจะอายเท่ากันทั้งเด็กชายและหญิง แต่หลังๆพวกเราแทบจะไม่ค่อยได้หลับได้นอนกันเลย เพราะน้องๆจะคุยอยู่กับเราจนดึกดื่นแทบทุกวัน



เราต้องคอยตอบคำถามเด็กๆเกี่ยวกับชีวิตในเมืองกรุง ที่ไม่ค่อยศรีวิไลเท่าไหร่นัก  เหมือนนามสกุลของดารารุ่นเก่า เราไม่รู้จะอธิบายยังไงกับวิถีชีวิตที่ต้องแข่งขันกันตั้งแต่เกิด  แข่งกันสอบเข้าโรงเรียน มหาวิทยาลัย แย่งกันไปบนถนน แข่งกันจีบสาว เข้าทำงานบริษัทดีดี จนกระทั้งแย่งกันจองศาลาวัดดังๆตอนตาย  แต่ถึงอย่างไรในท่ามกลางกระแสธารสังคมของการแก่งแย่งแข่งขัน  ผมยังคงเห็นน้ำใจที่สะสมบ่มไว้อยู่ในหัวใจคนอยู่บ้าง  อย่างน้อยก็ในใจเพื่อนๆที่เสียสละเวลามาทำค่ายในครั้งนี้
เด็กเด็กอยากจะลองขึ้นบันไดเลื่อน อยากเที่ยวสวนสนุก อยากเห็นวัดพระแก้วสักครั้ง สิ่งเหล่านี้คือความฝัน บางครั้งผมรู้สึกผิดที่คอยยัดเยียดความคิดแต่การอนุรักษ์เพียงอย่างเดียว โดยหารู้ไม่ว่าบางทีก็เป็นการทำลายความฝัน และจำกัดความคิดของเขาให้อยู่ในกะลาทางอ้อม
หากหมดเรื่องคุยเราจะร้องเพลงกัน  น้องๆชอบให้ผมเล่นกีตาร์เพลง “โรงเรียนของหนู” ทุกคืน ผมยังให้น้องที่โตขึ้นมาหน่อยแปลเนื้อร้องจากภาษาไทยเป็นภาษา ปกากะญอ แล้วร้องคลอไปด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันหายไปซะแล้ว
บางคืนเราจะเอาสมุด สื่อสายใย ของเพื่อนๆแต่ละคนในค่ายมานั่งอ่านให้กันฟัง อันที่จริงน่าจะเรียก ประจาน มากกว่า  ที่สมุดจะมีชื่อเจ้าของเขียนอยู่บนปกด้านหน้า  จากนั้นใครที่อยากระบายความรู้สึกอะไรกับเจ้าของสมุดก็จะแอบมาเขียนเอาไว้โดยที่ไม่ให้เจ้าของรู้ตัว และก็ไม่รู้ด้วยว่าคนเขียนเป็นใครเพราะทุกคนจะใช้นามแฝงกันหมด
ถึงตรงนี้ผมรู้สึกเสียดายสมุดสื่อสายใยของผมมาก  มันหายไปนานแล้ว คงเป็นเพราะจากการที่ย้ายหอพักบ่อยๆ แต่ก็ยังพอจะจดจำข้อความบางข้อความได้บ้าง อย่างเช่น
***” กุ๊ก…..อาหารมื้อหน้าขอเป็นแบบที่มนุษย์กินได้นะโว๊ย จากสหายหิว”***
….. “นายเล่นเพลงของคนอื่นไม่เป็นเหรอ เราเห็นเล่นแต่ของ คาราบาว?” ….
*** “กางเกงตัวที่นายใส่อยู่มันเป็นของเรานะ ส่วนของเธอมันมีคราบเลอะๆสีขาวตรงเป้าย่ะ” จากคนผสมสี************
[ไม่เหนื่อยเหรอ เราเห็นเธอคุยทั้งวันเลย จาก คนแอบมอง]
< ขอบคุณที่มาช่วยโครงสร้างทำงานวันนี้นะ ขอให้เป็นคนมีน้ำใจอย่างนี้ตลอดไปนะ>
บางมุข ไม่ต้องเล่นก็ได้นะ  อย่าลืมสิว่าเราเป็นผู้หญิง
\ไอ้กุ๊ก ค่าเหล้าหารกันคนละสี่สิบบาท เหลือเมิงคนเดียวที่ยังไม่จ่าย/ จากปีศาจสุรา
“ถามจริงๆ ทำไมนายไม่ชอบใส่กางเกงในวะ เวลาเตะตะกร้อเรากลัวน้องๆใจแตกว่ะ”
ฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯฯล
ในบรรดาเด็กๆในหมู่บ้านมีอยู่สองคนที่สนิทกับผมมาก เรียกว่าติดเป็นตังเมเลยเชียวล่ะ คนแรกคือ “เจ้าอุดม” อุดมนี่เป็นเด็กเจ้าปัญหา ไม่ได้มีปัญหาทางบ้านนะ แต่ว่าเค้าจะชอบตั้งคำถามยากๆที่ผมหาคำตอบให้เค้าไม่ได้ ตัวอย่างเช่น

“คนเราตายแล้วไปไหน?”
“บนฟ้ามีดาวกี่ดวง?”
“แล้วตกลงไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?”
“ใครมาอยู่ที่อำเภอเมืองปานเป็นคนแรก?”

ส่วนอีกคนชื่อ “หน่อโบ” เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน่ารัก ชอบมานั่งฟังผมร้องเพลง เวลาที่เขินก็จะยิ้มโชว์ฟันหลอคู่หน้า แต่ป่านนี้คงจะโตเป็นสาวสวยน่ารักแล้วแน่เลย
หน่อโบจะถามคำถามที่ตอบง่ายกว่าอุดม แต่เป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบ เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิ่งเร้าแก่พวกเขา ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ในการมาทำค่ายครั้งนี้ของเรา อย่างเช่น
“กางเกงยีนส์นี่แพงมากไหม?”
“เพจเจอร์นี่ดีไหม?”
บางครั้งผมก็ตั้งคำถามกับพวกเขากลับบ้างเหมือนกัน ผมถามทั้งคู่ว่าโตขึ้นมาอยากจะเป็นอะไร ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่แสนจะเชยและเรียบง่าย เพียงแต่ว่าในความเชยและเรียบง่ายนี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเคยถูกถามมาเหมือนกันหมด   ใช่!.ถูกถามมาจากหัวใจของเราเอง
จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ใหญ่บางคนยังตอบไม่ได้เลยเช่นกันว่าสรุปแล้วเค้าอยากเป็นอะไรกันแน่
“อุดมอยากเป็นทหารครับ?” อุดมตอบอย่างมั่นใจ
“อ้าว ทำไมถึงอยากเป็นทหารล่ะ?” ผมถามต่อ  
“เพราะจะได้ยิงปืน” แต่ผมยังซักอุดมต่ออีก
“ทำไมถึงอยากยิงปืนล่ะ เป็นตำรวจก็มีปืนยิงได้เหมือนกันนะ” ผมอยากรู้เหตุผลของอุดม
“ปืนตำรวจมันสั้นกว่าปืนทหารครับ แล้วที่อยากยิงปืนก็จะได้เอาไว้ยิงคนไม่ดีไง โลกเราจะได้มีแต่คนดีดี” พออุดมพูดจบ พวกเราก็ฮากันชุดใหญ่
“แล้วหน่อโบล่ะอยากเป็นอะไรครับ?” ผมหันมาถามคู่หูตัวเล็กฝ่ายหญิงบ้าง
“อยากเป็นครูค่ะ” เธอตอบ
“หน่อโบชอบสอนหนังสือเหรอ” เพื่อนๆที่นั่งฟังอยู่ชักนึกสนุกเลยถามต่อบ้าง
“ไม่ชอบเท่าไหร่ แค่อยากมาช่วยคุณครู เพราะที่นี่มีคุณครูคนเดียว”
คำตอบของเธอทำให้เรารู้สึกว่ามีก้อนสะอื้นมาสะดุดที่ลำคอ






เมื่อเวลาแห่งความสุขผ่านไป เวลาแห่งความเครียดย่อมเข้ามาทดแทน ในบางคืนที่พวกเราถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายในที่ประชุม  กับกลุ่มStaff หัวอนุรักษ์ซ้ายจัดในเรื่องกฎระเบียบและข้อห้ามที่ดูหยุมหยิมจนเกินไป กลุ่มฝ่ายขวาอ่อนๆอย่างพวกเราไม่เห็นด้วยในการที่จะปกปิดหรือต่อต้านเทคโนโลยี อุปกรณ์เครื่องมือสมัยใหม่ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในอนาคต เพราะเราคงจะวิ่งต่อต้านสิ่งเหล่านั้นไม่ให้เข้ามาสัมผัสพวกเขาอยู่ได้ตลอดเวลาหรอก
ลองมองดูวิถีชีวิตรอบตัวเราในปัจจุบันสิ สื่อการสอนธรรมมะออนไลน์ หนุ่มสาวจ่ายค่าไฟทางโทรศัพท์ มือถือที่ถ่ายรูป เล่นเกมส์ ต่ออินเทอร์เน็ทได้
คล้อยหลังที่พวกเรากลับไป  สักวันพวกเขาก็ต้องมีทีวี มีตู้เย็น นุ่งกางเกงยีนส์ เพียงแต่ว่าเราจะช่วยแนะแนวทางให้เค้าปรับตัวรับสภาพอย่างไร ให้รู้ข้อดีข้อเสียในความต้องการอย่างพอเพียงอย่างที่ในหลวงทรงรับสั่ง ดีกว่าที่จะคอยปิดหูปิดตา อย่าลืมว่ามนุษย์เรานั้นยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ การสนใจใฝ่แสวงหาสิ่งใหม่ๆมันมีมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์แล้ว ไม่งั้นป่านนี้เราคงยังใช้หินจุดไฟหุงข้าว แล้วกินข้าวด้วยใบตองกันอยู่สิ และที่สำคัญก็คือ ตัวพวกเราเองแท้ๆยังปฎิเสธเทคโนโลยีไม่ได้เลย
วันที่เราเดินทางกลับ น้องๆวิ่งตามมาส่งเราต่างร้องไห้กันจ้าไปหมด ไม่มีใครที่ไม่มีหยดน้ำตาบนใบหน้า  ‘หยดน้ำที่กลั่นออกมาจากดวงตาเพียงแต่ถูกบีบคั้นออกมาจากก้อนเนื้อของหัวใจ’
โดยเฉพาะอุดมนี่แถมขี้มูกอีกโป่งหนึ่งด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดถึงผมหรือว่าดีใจที่คนขี้อำอย่างพวกเรากลับบ้านกันซะที และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะได้เป็นทหารกับคุณครูกันตามที่ฝันเอาไว้หรือเปล่า ผมเองก็มีความฝันที่อยากจะให้โลกใบนี้มีแต่คนที่ดีดีอย่างที่อุดมว่า  และหากว่าอุดมได้เป็นทหารอย่างที่อุดมตั้งใจเอาไว้แล้วล่ะก็  
“พี่ก็อยากจะขอยืมปืนกับอุดมการณ์ของอุดมให้มาช่วยทำความฝันของเราทั้งคู่ให้เป็นจริงเสียที”

จากคุณ : khumklao
เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 54 11:47:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com