การเดินทางของดวงดาว...ตอนสาวแปลกหน้ากับผ้าเบรค
|
 |
สาวแปลกหน้ากับผ้าเบรก
กูว่าเค้าต้มเมิงแล้ว เพื่อนชี้ผมบ่น กูไม่ใช่ไข่นะโว๊ย! จะได้โดนต้ม ผมพยายามพูดให้ตลก เพื่อสร้างบรรยากาศของการรอคอยให้ดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อสังเกตจากสีหน้าที่ดูราวกับเหม็นขี้ของมัน เค้า ที่ว่านี้หมายถึง จ๊ะเอ๋ เธอเป็นเซลล์ประจำเขตภาคเหนือของบริษัทผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เธอนัดหมายกับผมไว้ว่าจะมาเจอกันตอนเจ็ดโมงเช้าวันนี้ที่ประตูท่าแพ และเพื่อนของผมก็คงไม่บ่น ถ้าหากว่ามันไม่เลยเวลานัดมาถึงสองชั่วโมงแล้ว เธอรู้จักกับผมทาง WWW.Sabuy.com ที่ผมเข้าไปPost ข้อความหาเพื่อนร่วมทริปเพื่อเดินทางไปทุ่งดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอ จุดประสงค์หลักคือช่วยกันหารค่าอาหารและค่าเดินทางจะได้เป็นการประหยัดเงินเดือนอันน้อยนิดในกระเป๋าของเรา ตามหมายกำหนดการเราจะกินข้าวกันที่แถวๆประตูท่าแพ พร้อมทั้งหารถเช่าไปด้วย จากนั้นก็จะขับไปเที่ยวเป็นวงกลมโดยเริ่มจากไปทางแม่ริม ผ่านห้วยน้ำดัง แวะนอนที่อำเภอปาย แต่หากว่าไม่ถึงปายเราก็จะหาที่นอนกันตามอำเภอใจ โดยที่ไม่ต้องเพิ่ง GSM 2 watts ของนิโคล ปานพุ่มเลย จากนั้นเข้าปางมะผ้า แวะชมพระธาตุดอยกองมูที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน แล้วถึงค่อยไปนอนที่ดอยแม่อูคอเป็นคืนสุดท้าย ดังนั้นหากวันนี้ไร้เงาของจ๊ะเอ๋ แผนการที่วางไว้คงจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพปัจจัยที่เรามี โดยเปลี่ยนจากเช่ารถขับไปเป็นนั่งบขส.หวานเย็นสีส้มแทน ผมพาเพื่อนไปกินโจ๊กเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิด และถ้าหากว่าเลยสิบโมงเช้าแล้วเรายังโทรติดต่อเธอไม่ได้เราคงจะเดินหน้าไปกันต่อแค่สองคนเท่านั้น เมิงว่าเค้าจะน่ารักไหมวะ เพื่อนผมถามคำถามสุดฮิตของผู้ชายทุกคนก่อนที่จะได้เจอกับผู้หญิงแปลกหน้า แล้วเมิงคิดว่าผู้หญิงที่กล้ามาเที่ยวคนเดียวกับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่จะหน้าตาน่ารักไหมล่ะ ผมไม่ตอบแต่ถามมันกลับเพื่อให้มันไปลองคิดเอาเอง อ้วนดำ ตาหยีจมูกบี้ สิวเขรอะ ฟันเหยิน นี่เป็นจินตนาการเกี่ยวกับจ๊ะเอ๋ของเรา ผู้หญิงแปลกหน้าที่หาญกล้าเดินทางคนเดียวร่วมกับชายหน้าแปลกสองคนคงจะมีหน้าตาเป็นอาวุธแน่ๆ แต่บางครั้งโลกของความเป็นจริงก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป
สวัสดีเราชื่อจ๊ะเอ๋ เธอใช่คนที่เรานัดเอาไว้หรือเปล่า ผู้หญิงที่ดูเหมือนเด็กญี่ปุ่นเดินเข้ามาถามผม แว่นสายตาที่ดูเหมือนกับเด็กเรียน บวกกับผิวพรรณที่ขาวราวกับคุณหนูทำให้เรารู้ว่าเราคิดผิดไปในข้างต้น โทษทีนะที่มาช้า ทีแรกคิดว่าจะไม่ไปแล้วล่ะ เพราะเพื่อนเราอีกคนที่ชวนไว้เค้าไปไม่ได้ แต่เราไม่อยากเสียคำพูด สาวหน้าหมวยอธิบายถึงสาเหตุของการล่าช้า อันที่จริงหากเธอคิดจะเบี้ยวไม่มาตามนัด ผมก็คงจะทำอะไรเธอไม่ได้นอกเสียจากจะเดินเข้าไปในตลาดสดแล้วซื้อพริกกะเกลือมาเผาแช่งอย่างละถุง 10:09 คือฤกษ์งามยามดีในการออกเดินทางของเรา หลังจากที่แนะนำตัวกันจนคุ้นเคยกันในระดับหนึ่งแล้ว เราได้เจ้าแคริบเบี้ยนสีดำ ดูท่าทางแข็งแรงเป็นพาหนะ จุดหมายในคืนแรกคือค้างคืนที่ ปาย อำเภอที่เงียบสงบอันแสนโรแมนติกของใครหลายๆคน ผมสังเกตเห็นสัมภาระของจ๊ะเอ๋มีกระเป๋ากล้องและขาตั้งมาด้วย แสดงว่าเธอต้องชอบการถ่ายรูปมากพอสมควร และหลังจากที่ได้เห็นรูปถ่ายที่ล้างอัดเรียบร้อยในภายหลังที่มาเจอกันอีกในกรุงเทพฯ มันทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจในการหัดถ่ายรูปมาจนทุกวันนี้ เราแวะที่น้ำตกหมอกฟ้า และห้วยน้ำดัง ซึ่งเธอยังไม่เคยมาส่วนผมกับเพื่อนเคยมากันแล้วเมื่อปีก่อน ผมยังจำเหตุการณ์ที่เราเดินลงกันมาจากที่ทำการอุทยานลงมาซื้อเหล้าที่ร้านค้าตรงปากทางเข้าอุทยานได้ดี ความสุขของการเดินทางคือการที่ไม่รีบเร่งเดินทาง เราตระเวนโอ้เอ้จอดทุกที่ที่น่าสนใจ จ๊ะเอ๋ถ่ายรูปให้เราสองคนที่วัดแห่งหนึ่งระหว่างทางจะเข้าตัวอำเภอปาย รู้สึกจะชื่อว่าวัดห้วยผา สถาปัตยกรรมของหลังคาโบสถ์ดูคล้ายกับวัดในพม่า ยิ่งบวกกับหน้าตาที่คล้ายกะเหรี่ยงของเราจึงเสริมให้ดูเหมือนเข้าไปใหญ่ ออกจากวัดเรามาถึงสะพานเก่าข้ามแม่น้ำปายสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ผมแกล้งหลอกจ๊ะเอ๋ว่าให้ยกมือไหว้อธิษฐานอะไรก็จะได้ตามนั้น แต่เธอไม่ยอมเชื่อ กว่าจะเข้าถึงเมืองปายก็เกือบห้าโมงเย็นแล้วจึงต้องรีบหาที่พัก ซึ่งก็เกือบเต็มหมดแล้วในวันเวลาที่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเช่นกลางเดือนพฤศจิกายนอย่างนี้ เพราะที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแห่กันมาจองตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่เป็นช่วงHigh Season แต่ผมไม่รู้นะว่าฝรั่งเค้าเอาอะไรแห่กันมาระหว่างกลองยาวหรือปี่พาทย์ หลังจากที่ขับรถวนอยู่นานพวกเราก็ได้เกสต์เฮ้าส์เล็กๆน่ารักหลังหนึ่ง แต่ที่น่ารักกว่าก็คงเป็นแคชเชียร์หน้าตาจิ้มลิ้มนิสัยดีคนนั้น บ้านพักลักษณะเป็นบ้านปีกไม้ และที่แสนจะคลาสสิคคือเราต้องเดินข้ามแม่น้ำสายเล็กที่แตกออกมาจากแม่น้ำปายก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้าน เราสองหนุ่มแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการให้เพื่อนหญิงนอนบนบ้านหลังนั้น ส่วนเราสองหน่อก็นอนกางเต็นท์ที่เตรียมมาใกล้ๆใต้ถุนนั่นแหละ
แสงสีส้มสุดท้ายของดวงตะวันกำลังใกล้จะเสร็จสิ้นภารกิจของมัน ฝูงนกที่บินตัดกับแสงแดดอ่อนๆในยามเย็นที่หลบมุมอยู่หลังเหลี่ยมเขาหากมองที่ส่วนใดของโลกก็คงจะเหมือนๆกัน เพียงแต่ห้วงเวลาที่มองอยู่นั้นอยู่ที่ว่าเราจะนั่งมองอยู่กับใครที่จะทำให้เกิดห้วงอารมณ์ของความสุข และในตอนนี้ผมกำลังมีความสุขในการมองทิวทัศน์บนพระธาตุแม่เย็นแห่งนี้ กับเธอ จ๊ะเอ๋ คนที่เรียกผิดเป็น พระธาตุช่องเย็น เล่นเอาต้องถามทางกับชาวบ้านจนเกือบจะหาทางขึ้นมาไม่ถูก หรือว่าเธอไม่ได้ทำงานเป็นเซลล์อย่างที่บอก? หากแต่เป็นหมอชันสูติศพเหมือนคุณหมอพรทิพย์ เลยนึกถึงแต่ช่องเย็นเท่านั้น คงเหมือนกับที่ ลี้คิมฮวง เอ่ยเอาไว้ในเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น ว่า ข้าพเจ้าไม่ชมชอบในรสสุรา แต่ข้าพเจ้าชมชอบบรรยากาศในการร่ำสุรา ใช่! สุราไม่ว่าขวดไหนรสชาดก็เหมือนๆกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้นเรากินอยู่กับคนที่พิเศษแค่ไหนนั่นเอง <แล้วตอนนี้เธอเป็นคนพิเศษของเราแล้วหรือยัง? > เธอยังคงคุยอยู่กับฝรั่งวัยรุ่นอยู่อย่างสนุกท่ามกลางฉากหลังที่เป็นระฆังใบโต เหตุการณ์วันนี้ที่ผ่านมาผมว่าจ๊ะเอ๋เป็นผู้หญิงที่พิเศษพอสมควร ดูเธอสมบุกสมบันมากกว่ารูปร่างภายนอกที่เห็น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และที่สำคัญคือ ความกล้า กล้าที่จะมากับคนอย่างพวกเรา แสงสุดท้ายลับหายไปแล้ว เหมือนดั่งสัญญาณเตือนให้เรารีบลงไปหาแสงสว่าง ณ สถานที่แห่งใหม่ต่อไป ถ้าคิดให้เป็นปรัชญาก็คือ ชีวิตเราต้องดิ้นรนหาความรุ่งเรืองต่อไปหากลมหายใจยังไม่หยุดนิ่ง เราขับรถคืบคลานลงมาหาความสว่างของชีวิตจากพระธาตุแม่เย็น ท่ามกลางแสงสว่างจากดวงดาวนับร้อยนับพันช่วยส่องนำทาง รถค่อยๆคลานช้าๆเข้าสู่ตัวเมืองปายที่เราเห็นสงบเสงี่ยม เงียบเหงาเมื่อตอนกลางวันก็พลัน เปลี่ยนเป็นคึกคักสดใสไปด้วยแสงไฟของตะเกียงเจ้าพายุบ้าง น้ำมันก๊าดบ้าง หลอดไฟนีออนบ้างจากผับ บาร์ จนกระทั่งร้านอาหารสไตล์คันทรี่ และล้านนาริมสองฟากถนน ผมไม่รู้ว่า ผับ หรือบาร์แตกต่างกันอย่างไร แต่เท่าที่รู้คือพอเข้าไปแล้วก็เมามันทั้งสองแห่งทุกที เรานั่งกินข้าวกันที่ร้านเล็กน่ารักร้านหนึ่งมีทำเลอยู่ตรงสี่แยกพอดี ร้านตกแต่งสไตล์ทางเหนือ อาหารค่อนข้างอร่อย โดยเฉพาะผัดฟักแม้วปนกับเห็ดหอมน้ำมันหอย น้ำพริกอ่องกับแคบหมูที่เรียงไส้อั่วมาในจานเดียวกันด้วย นักท่องเที่ยวเท่าที่ประมาณได้โดยสายตา ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งซะ 70% ที่เหลืออีก 20% เป็นคนไทย นอกนั้นเป็นคนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เรานั่งอยู่นานจนไม่กลัวว่าเจ้าของร้านจะมาไล่ เพราะว่า อาหารอร่อย คนอร่อย (ผมกับพุ้ยมองจนตาถลนไปเลย โดยเฉพาะสาวๆ) เพลงอร่อย (ผมชอบเพลงของอาจรัล ผู้ล่วงลับมากครับ) บรรยากาศอร่อย และ เหล้าก็อร่อย เรากลับมานั่งกินเหล้ากันต่อที่หน้าเต็นท์ คืนนี้ได้เสพสิ่งอร่อยจนรู้สึกว่าคุ้มมากแล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งว่า ความสุขมีอยู่รอบตัวเราเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะหยิบมันออกมาหรือจะหยิบเอาความทุกข์เข้ามาแทนเท่านั้นเอง อ้าว! พวกเธอกินเหล้ากันด้วยเหรอ? เพื่อนสาวแปลกหน้าของเราส่งเสียงเข้ามาก่อนที่จะตัวเธอจะถึงตัวเรา
[นี่ล่ะมั้งที่เค้าว่ากันว่า ความสงสัยของผู้หญิงเดินทางได้เร็วกว่าเสียง] ก็กินกันนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวหมดแบนนี้ก็นอนแล้วล่ะ ผมพูดเพื่อให้เธอสบายใจ แน่นอน เราไม่ได้กินที่ร้านอาหารเพราะไม่อยากให้ผู้หญิงที่เพิ่งร่วมเดินทางมาด้วยกันต้องระแวงว่าผู้ชายสองคนที่มาด้วยกันขี้เหล้า แล้วเธอก็จะขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ไอ้ผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พุ้ยเพื่อนผมน่ะสิมันมีภารกิจที่ต้องขับรถ แต่เราสองคนน่ะสนิทจนรู้ใจกันอยู่แล้ว เรานอนไม่หลับน่ะ เห็นเธอคุยกันเสียงดังก็เลยลงมาดู แล้วนี่ วิช ขับรถไหวเหรอ? วิช เป็นชื่อที่เป็นทางการของ พุ้ย แล้วเธอก็ถามในสิ่งที่พวกเรากลัวว่าเธอจะกังวลใจออกมาจริงๆ ทำไมทีเวลาแทงบอลไม่เห็นถูกอย่างนี้เลย? เธอเล่าให้ฟังว่าที่กลัวก็เมื่อปีก่อนเธอเหมารถตู้ไปเที่ยวกับครอบครัว และเกือบประสบอุบัติเหตุจากคนขับรถเมาทำให้เธอรู้สึกฝังใจมาจนทุกวันนี้
อา เป็นอะไรกันมั่งหรือเปล่าครับ? ผมถามเสียงสั่นเครือออกไปในโทรศัพท์มือถือ จากข่าวที่รู้ว่ารถตู้คันที่น้องๆกับญาติเหมากลับกรุงเทพฯหลังเสร็จงานศพย่าตกเขา ดีแต่ว่าได้ต้นไม้ข้างทางมาเป็นกำแพงธรรมชาติช่วยกั้นเอาไว้จากหุบเหว
[นี่ล่ะมั้งที่เค้าว่ากันว่า ความคิดถึงห่วงใยเดินทางได้เร็วกว่าแสง] เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกเธอได้เป็นอย่างดี ใช่สินะ! คนเราจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นก็ต่อเมื่อเราได้ผ่านความรู้สึกนั้นมาก่อน คนอกหักเข้าใจคนอกหัก คนสูญเสียย่อมเข้าใจคนสูญเสีย คนที่ทุกข์ยากย่อมเห็นใจคนที่ยากลำบากด้วยกัน คนเหงาย่อมเข้าใจคนเหงาพอสายตาเศร้าๆส่งมาทักทายกัน และคนหล่อแต่ไม่มีแฟนก็เข้าใจคนที่ไร้แฟนด้วยกันอย่างผม จ๊ะเอ๋ นั่งคุยกับเราอยู่นาน คงเป็นเพราะนอนไม่หลับเหมือนกัน เราจึงย้ายที่นั่งไปกินกันที่หน้าเฉลียงเกสต์เฮาส์หลังน้อยของเธอ ก่อนที่จะบริจาคเลือดในตัวเราให้กับ เจ้ายุง สัตว์ที่ผมไม่ต้องการให้มีมันอยู่ในโลกไปมากกว่านี้ ผมบอกเธอไปว่า จริงๆแล้วการที่เธอไม่มีเพื่อนมาด้วย เธอจะบอกยกเลิกเราก็ได้ เพราะการที่ไปไหนโดยลำพังกับคนที่ยังไม่รู้จักกันดีพออาจเป็นอันตรายได้ ถ้าหากว่าเกิดไปเจอคนที่ไม่ดีเข้า เราจึงแนะนำว่าทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก บางครั้งการที่บอกปฎิเสธออกไปจะทำให้เสียความรู้สึก แต่ก็ยังดีกว่าต้องเสียเวลา เสียทรัพย์สิน หรืออาจจะเสียอะไรที่มีค่ามากกว่านั้น และเธอก็รับฟังเราอย่างดี คุยกันได้พักใหญ่ก็มีอาคันตุกะตัวใหญ่ ถือเบียร์ขวดใหญ่เดินขึ้นมาบนบ้านของพวกเรา Hello
What are you doing? ฝรั่งรูปหล่อผมบลอนด์ตะโกนทักทายพวกเรา Drinking ผมตอบศัพท์ที่ผมถนัดที่สุด Thiss not my home? เขาถามต่อ Yes พวกเราตอบเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งสามคน ไม่อย่างนั้นคืนนี้มีเสียเอกราชแน่ๆ พอรู้ตัวว่าจำบ้านผิดหลังแทนที่จะรีบกลับไปหาดันหย่อนตูดนั่งคุยกับพวกเรายาวเลย แต่คนที่คุยกับเขาส่วนใหญ่จะเป็นจ๊ะเอ๋ซะมากกว่า ส่วนผมกับพุ้ยก็คอยแทรกบ้างบางจังหวะ แต่จะหนักไปทางภาษามือซะส่วนใหญ่ นี่ถ้าใครไม่รู้คงนึกว่าเราสองคนเป็นผู้บรรยายข่าวให้คนพิการทางหูฟังทางช่อง 11 อย่างแน่นอน ภาษาอังกฤษของเธอค่อนข้างดี คุยกันพอจะมั่วได้ว่าเค้าชื่อ อังเดร เป็นชาวเบลเยี่ยมมาด้วยกันกับเพื่อนสองคน เช่ามอเตอร์ไซด์วิบากแบบมอเตอร์ครอสขับมาจากเชียงใหม่ นอนอยู่ที่ปายนี่ได้สองคืนแล้ว และพรุ่งนี้จะไปค้างที่แม่ฮ่องสอน เราเลยชวนเค้าไปเที่ยวที่ดอยแม่อูคอด้วยกัน แต่อังเดรบอกเราว่าได้ SET โปรแกรม และจองห้องพักไว้ล่วงหน้าที่แม่ฮ่องสอนเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนี้เบียร์เขาก็หมด ผมยื่นเหล้าในมือส่งให้ แต่เขาโบกมือขึ้นมาเป็นปางห้ามเหล้า แล้วบอกว่ากินเบียร์ตีกับเหล้าเดี๋ยวจะแฮงค์ ผมเลยคิดในใจว่า <ฝรั่งก็กินสี่คูณร้อยไม่ได้เหมือนกันนี่หว่า>* ผมอาสาเดินไปซื้อให้ในตลาด แต่พุ้ยบอกจะมาเป็นเพื่อน เราสองคนเลยให้อังเดรนั่งจีบเพื่อนสาวของเราไปพลางๆก่อน เรากลับมาพร้อมกับเบียร์ช้างอีก 1ขวด เค้าขอบคุณและรู้สึกแปลกใจในความมีน้ำใจของคนไทยมากทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน ถ้าเป็นที่บ้านเมืองเค้าจะไม่มีแบบนี้แน่นอน จ๊ะเอ๋รีบบอกว่า นี่แหละ! เป็นนิสัยของคนไทยที่มีความโอบอ้อมอารี ผมถามเขาว่าทำไมถึงชอบดื่มช้าง อังเดรตอบเป็นภาษาไทยที่คงเพิ่งจะหัดเรียนมาว่า มันแล้งดี
* สี่คูณร้อยเป็นศัพท์ในวงเหล้า คือการกินเบียร์กับเหล้าด้วยกัน บางคนเรียกสังขยา จะปวดหัวมากเวลาสร่างเมา ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน และอังเดรก็รู้แล้วว่าบ้านพักของเขาอยู่หลังไหน ด้วยเสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนเขาที่ตะโกนมาจากทางหลังบ้านของเรานี่เอง คงเป็นเพราะว่าได้ยินเสียงอังเดรนั่งคุยอยู่กับเรานั่นแหละ ก่อนกลับเราชวนเขาให้มากินข้าวต้มด้วยกันกับเราในตอนเช้า เพราะว่าเราขนเสบียงกันมาเยอะพอควร คำนวณดูแล้วกลัวว่าจะเหลือซึ่งมันจะลำบากในการขนกลับ ผมไม่รู้จะแปลคำว่า ข้าวต้ม เป็นภาษาอังกฤษยังไง จึงบอกไปด้วยความเมาว่า กุ๊ยซุป และดูเหมือนเค้าจะเข้าใจ อาจจะเป็นเพราะว่ามีคำว่า ซุป อยู่ด้วยก็ได้ เช้าวันรุ่งขึ้น อย่าว่าแต่ตื่นขึ้นมาต้มข้าวเลย ไฟไหม้เราก็คงนอนตายในกองไฟโดยไม่รู้ตัว เราตะลีตะลานกันเก็บเต็นท์กับสัมภาระทันที ผมรู้สึกว่ามีรังสีอำมหิตจ้องมาทางพวกเราอยู่ พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบตากับเจ้าของดวงตาคู่นั้น เธอเพิ่งกลับมาจากปั่นจักรยานถ่ายรูปยามเช้ามา เราถามถึงอังเดร เธอหันมาค้อนแล้วบอกว่า เค้ามาตั้งแต่หกโมงเช้าแล้วย่ะ พอไม่เห็นพวกเธอ ได้ยินแต่เสียงสีข้าวกันอยู่ในเต็นท์ ก็เลยหัวเราะแล้วออกเดินทางไปก่อน เรามาเจออังเดรอีกครั้งกับเพื่อนตรงจุดพักชมวิวก่อนจะถึงอำเภอปางมะผ้า ผมส่งเบียร์ให้แต่เขาบอกว่าพอแล้ว เค้าดูหล่อกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีกยามที่แสงอาทิตย์ส่องหน้า(เขา)ส่องตา(เรา)ให้ดูชัดเจนขึ้น อังเดรแนะนำให้เรารู้จักกับเพื่อนเขา เพื่อนเค้าชอบเพลงที่เราร้องเมื่อคืน เขาชมว่าเพลงไทยเพราะดีเหมือนกันนะ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไรเพราะว่าเราร้องไปหลายเพลงอยู่ แต่มาคิดเอาทีหลังว่าน่าจะเป็นเพลงอมตะที่ชื่อว่า เดือนเพ็ญ เราคุยกันสักพักก็ลาจากมา ถึงตอนนี้ผมแอบชำเลืองเห็นแววอาลัยในดวงตาของเพื่อนสาวทางกระจกมองข้างตรงฝั่งที่ผมนั่ง เรามาถึงแม่ฮ่องสอนประมาณบ่ายสามกว่าๆ ทีแรกตั้งใจว่าจะเข้าไปรับประกาศนียบัตรสำหรับนักเดินทางที่ผ่านมาได้ 1864โค้ง แต่กลัวว่าจะไปไม่ทันตั้งแค้มป์ เพราะว่าอำเภอขุนยวมอยู่ห่างออกไปอีกมากพอสมควรจึงต้องยกเลิกความคิด น่าเสียดายที่เวลามีน้อยเราเลยไม่ได้ไปเที่ยวที่ วัดจองคำ ที่ผมเห็นภาพจากโปสการ์ดดูสวยงามมาก เราได้แต่แวะพระธาตุดอยกองมูเท่านั้น เมื่อขึ้นไปบนวัดพระธาตุจะมองเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนชัดเจน รถมันเบรกไม่ค่อยอยู่แล้วว่ะ พุ้ยบอกกับผม แต่ก็คงเหมือนจะบอกจ๊ะเอ๋ด้วยนั่นแหละ ในช่วงที่เราแวะกินข้าวเที่ยงกันอยู่ อันที่จริงผมก็เริ่มได้กลิ่นเหม็นไหม้มาตั้งแต่ออกจากปางมะผ้าแล้ว แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากนัก เพราะว่าเจ้าของร้านเช่าเค้าคงต้องตรวจเช็คมาก่อนล่วงหน้าแล้ว และที่สำคัญก็คือ ทุกทริปที่ขึ้นเหนือผมก็จะได้กลิ่นเหม็นไหม้ของผ้าเบรกแทบทุกครั้ง ไม่ว่าจะโดยสารด้วยรถอะไรไปก็ตาม
เราไปกันเรื่อยๆก็แล้วกันไม่ต้องรีบร้อน เหลือค้างที่แม่อูคออีกคืนเดียวพรุ่งนี้เราก็เข้าเมืองแล้ว ผมปลอบใจเพื่อนๆ พวกเราเริ่มกังวลกับผ้าเบรก พุ้ยต้องเข้าเกียร์ต่ำช่วยฉุดอยู่ตลอดเวลาในช่วงที่ทางลงลาดชันและโค้งหักศอก แต่พอเริ่มที่เข้าสู่เส้นทางที่มุ่งสู่ดอยแม่อูคอพวกเราก็ลืมเรื่องเบรกกันไปเลย จากสีเหลืองที่รายละลานตาล้อมเต็มสองข้างทาง ผมบอกให้เพื่อนจอดแวะถ่ายรูปดอกเสี้ยนฝรั่งของชาวเขาก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์จุดแรก ที่นี่เราได้พบกับคุณยายคนหนึ่ง แกอายุเจ็ดสิบกว่าแล้วแต่ดูท่าทางยังแข็งแรง แกสะพายเป้หลังมาคนเดียว แล้วโบกรถมาเรื่อยๆจากลำปางเข้าเชียงใหม่ไล่มาจนถึงแม่ฮ่องสอน แกเล่าให้ฟังว่าแกทำงานราชการ ส่วนลูกหลานแกก็โตมีครอบครัวกันหมดแล้ว พอเกษียณอายุแกก็ออกเดินทางท่องเที่ยวลุยเดี่ยวแบกเป้แบบ Backpack เพราะเป็นความฝันตั้งแต่สมัยยังสาวๆ ณ เวลานั้นผมรู้สึกได้เลยว่า คนเราหากหยุดซึ่งความฝันและความรักแล้ว คนผู้นั้นย่อมสิ้นสุดซึ่งลมหายใจ มื้อเย็นของวันนี้เป็นมื้อแรกที่เราได้ทำอาหารกินกันเอง จากที่ตั้งใจว่าจะทำในตอนเช้าที่ผ่านมา แต่อุปสรรคต่อมานอกเหนือจากเบรกรถก็คือผมดันลืมเอามีดทำครัวมาด้วย ที่สำคัญดันไม่ใช่ผมลืมคนเดียวแต่เป็นพุ้ยอีกคน ก็กูนึกว่าเมิงจะเอามานี่ ปกติไม่เห็นเมิงพลาด มันรีบโยนอุจจาระให้ผม แล้วทีนี้จะเอาอะไรหั่นหมูกับผักล่ะวะ เมิงลองเดินไปขอยืมเต็นท์อื่นหน่อยสิเผื่อเขาจะมี คราวนี้เป็นทีผมโยนภาระให้มัน เฮ้ย! กูว่าเค้าก็ต้องเอาไว้ทำของเค้าเหมือนกันนา มันแย้งด้วยเหตุผลหรือว่าเพราะความขี้เกียจเดินก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เค้าอาจจะเอามากันหลายคนก็ได้นี่วะ ผมบอกมันอีก ยังไม่ทันที่พุ้ยจะพูดอะไรต่อ ก็มีมือขาวๆยื่นมีดสั้นประมาณหนึ่งเชียะ* สองหุนออกมาให้ผมจากเต็นท์ของเธอ เอาของเราก็ได้นะ เรามี เสียงเพื่อนใหม่ลอยตามมือออกมา เธอคงนั่งฟังเราเถียงกันอยู่ในเต็นท์ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตลอดเวลาที่ร่วมทางมากับเรา เธอก็ระแวงเราอยู่ตลอดเหมือนกันโดยการพกมีดสั้นเล่มนี้เอาไว้กับตัวไม่ห่าง และถ้าหากขืนเราทำอะไรที่ส่อให้เห็นถึงการไม่น่าไว้ใจ หรือฉวยโอกาสกับเธอล่ะก็ เราคงต้องโดนมีดสั้นเธอซัดทะลุคอหอยแน่ๆ
*เชียะ เป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งเชียะ เท่ากับ สิบนิ้ว คืนนี้ผมเล่นกีตาร์นานกว่าเมื่อคืน หลังจากเมื่อคืนก่อนไม่อยากเล่นนานเกินไปเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนฝรั่งร่วมเกสต์เฮาส์ ดู จ๊ะเอ๋จะสนุกกว่าเมื่อคืน คงเป็นเพราะเริ่มคุ้นเคยกับเราสองคนมากขึ้น เธอเริ่มร้องเพลงแนวป็อบที่เธอถนัด ผมก็เล่นมั่วคลอตามเธออย่างถนี่ อีกอย่างหนึ่งคือวันนี้เราเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อวานด้วย กำลังสนุกอยู่ได้ไม่นานฝนหลงฤดูก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทั้งที่มันเป็นกลางเดือนพฤศจิกายนแท้แท้ เราสามคนต้องย้ายเข้าไปนั่งอัดกันในเต็นท์ของผมซึ่งเป็นเต็นท์ที่ใหญ่ที่สุดที่จะนั่งรวมกันได้ทั้งหมด อากาศภายนอกถึงจะหนาวแต่ภายในอบอุ่น อุ่นไปด้วยมิตรภาพของกันและกัน เช้าวันสุดท้าย เราทำอาหารเช้ากินกันเองอีกมื้อหนึ่ง มื้อนี้ผมเลยถือโอกาสให้ ทายาทของลี้คิมฮวง มีส่วนร่วมในการหั่นผักกาดดองกับกุนเชียงซะเลย เส้นทางกลับจากดอยแม่อูคอเข้าเชียงใหม่นั้นสามารถกลับได้สองทางด้วยกัน -เส้นทางแรก จากดอยแม่อูคอเลี้ยวขวากลับทางเดิมที่เรามาเมื่อวานเข้าสู่เส้นทางแม่สะเรียง ผ่านแม่ลาน้อย ออบหลวง เข้าอ.ฮอด จากนั้นตรงดิ่งเข้าเมืองเชียงใหม่ -ส่วนอีกทางหนึ่งเลี้ยวซ้าย ผ่านบ้านแม่นาจอน วิ่งไปเรื่อยๆจนถึงอำเภอ แม่แจ่ม แต่เท่าที่เห็นลูกสาวแจ่มกว่าเยอะ จากนั้นเลาะขึ้นเขาผ่านอุทยานแห่งชาติดอยอินนนท์แล้วไปลงด้านอำเภอจอมทอง (ทางที่คนนิยมใช้ขึ้นดอยอินนนท์นั่นแหละ) ก็จะย่นระยะทางไปได้อีกมากเพราะไม่ต้องผ่านอำเภอ ฮอดที่อ้อมกว่ามาก เราตกลงกลับทางแม่แจ่ม เพราะเราเห็นว่ารถจะน้อยกว่าทางแม่สะเรียงมาก วิวสองข้างทางสวยกว่า ที่สำคัญคือระยะทางสั้นกว่า
แล้วก็เกือบจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายโดยที่ไม่อาจให้เราแก้ตัวอีกเลย!
ก่อนจะถึงแม่แจ่มประมาณห้ากิโลเมตร เจ้าแคริบเบี้ยนคันแกร่งก็เบรกไม่อยู่เสียแล้ว มันจะไม่เป็นไรเลยถ้ามันเบรกไม่ได้บนถนนที่เอียงเล็กน้อยสัก 20 องศา หากแต่ว่ามันอยู่บนความลาดชันที่เอียงประมาณเกือบ 60 องศาแถมโค้งหักศอกด้วยพอควร พุ้ยถอนคันเร่งพร้อมกระชากเกียร์ลงมาที่เกียร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว ท้ายรถเสียการทรงตัวเล็กน้อย ผมใจหายจนแทบไม่หายใจ จากที่เห็นล้อหน้าด้านซ้ายแฉลบเลยไหล่ทางไปจนเกือบหล่นไปถึงไหล่เขา หากว่าแรงส่งของตัวรถมากกว่านี้อีกสักหน่อยเราคงตกลงไปกองอยู่เหวข้างล่างไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร รถหยุดนิ่ง เราใช้เกียร์หนึ่งสลับกับเกียร์ว่างลงเขามาตลอดด้วยความเร็วยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่แน่ บางทีอาจจะต่อชั่วโมงครึ่งซะด้วยซ้ำไป
แม่แจ่มเป็นอำเภอเล็กๆอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่างอินนนท์ ทิวทัศน์และบรรยากาศโดยรอบสงบสวยงาม คนใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย และแน่นอนอู่ซ่อมรถก็เรียบง่าย สภาพอู่ที่เราเห็นผมมองไม่ออกว่ามันจะเป็นอู่ซ่อมรถยนต์หรือว่าซ่อมมอเตอร์ไซด์ ที่แย่ก็คือ ไม่มีผ้าเบรกของแคริ้บเบี้ยน ช่างต้องดัดแปลงผ้าเบรกจากรถรุ่นอื่นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นรถกระบะด้วยการเอามาวัดกับฝักเบรกของรถเราแล้วเจียรผ้าเบรกให้ได้รูปร่างตามนั้น กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็นแล้วทำให้ถึงเชียงใหม่ก็มืดพอดี ดีที่ว่าเราถึงเชียงใหม่ยังไม่ถึงสามทุ่ม เพราะผมกับพุ้ยจองตั๋วรถทัวร์เอาไว้เวลานั้น ส่วนจ๊ะเอ๋จองตั๋วกลับบ้านของเธอที่โคราชตอนสี่ทุ่ม เรายังมีเวลาหาอะไรกินแถวๆสะพานนวรัตน์ หลังจากที่ออกจากดอยแม่อูคอมาเราเร่งทำเวลาจนไม่ได้กินอะไรกันเลย ช่วงนั้นเป็นงานประเพณียี่เป็ง*พอดี แสงไฟประดับสะพาน กระทง และพลุหลากสีทำให้บรรยากาศการดินเนอร์ของเราดูโรแมนติคไม่น้อย ทั้งที่กินแค่ข้าวราดแกงกับก๋วยเตี๋ยวกัน เสร็จจากมื้อค่ำจ๊ะเอ๋มาส่งเราที่อาเขต พร้อมทั้งเอาสัมภาระที่ฝากเอาไว้แล้วก็ร่ำลาอาลัยกัน พุ้ยหลับเป็นตายเมื่อหัวแตะกับพนักพิง จากการที่ขับรถขึ้นดอยมาตลอดสองวันเต็มๆ ส่วนผมนั้นนอนไม่หลับเพราะยังมัวคิดถึงเหตุการณเมื่อช่วงบ่ายอยู่เลย นึกแล้วยังหวาดเสียวไม่หายจริงๆ ดีที่เพื่อนผมขับรถมาชำนาญพอควร ถ้าหากว่าเป็นมือใหม่ล่ะก็กล้ารับประกันว่าได้เปลี่ยนชีวิตใหม่ด้วยแน่ๆ ป้ายหลักกิโลบอกว่าอีก 10 กิโลเมตรจะถึงลำปาง เวลาที่นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาสามทุ่มห้าสิบนาที ผมพยายามข่มตาให้หลับบ้างเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องทำงานวันแรก แต่ก็ยังมัวคิดถึงเรื่องผ้าเบรกอยู่จนหลับไม่ลง เปล่า! ผมไม่ได้คิดถึงผ้าเบรกของรถที่เช่าขับคันนั้นแล้วล่ะ แต่คิดห่วงถึงผ้าเบรกของรถทัวร์คันที่กำลังจะออกจากขนส่งอาเขตไปสู่โคราช เที่ยว4ทุ่มคันนั้นแทน
*ประเพณียี่เป็งเป็นประเพณีเรียกการลอยกระทงของชาวจังหวัดเชียงใหม่
จากคุณ |
:
khumklao
|
เขียนเมื่อ |
:
12 เม.ย. 54 11:59:33
|
|
|
|