ปริศนารักแชงกรีลา บทที่ 4
|
 |
ตอบ comment ขอบคุณคุณ song 982 สำหรับ comment ค่ะ บทนี้ยาวขึ้นแล้วนะคะ
ขอบคุณ คุณ anidjang ที่ตามมาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :)
บทนำ +ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10441570/W10441570.html
ตอนที่ 2+ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10441625/W10441625.html
บทที่ 4.1
ก่อนออกเดินทางรินได้ขอให้ก้องพาเธอไปยังทะเลสาบที่เขาช่วยเธอขึ้นมาเผื่อเธอจะจำอะไรได้บ้าง
เขาพาเธอขี่ม้าไปประมาณสิบห้านาทีก็ถึงบริเวณทะเลสาบ มันเป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่มีธารน้ำใสสีเขียว แสงแดดยามเช้าส่องกระทบเป็นเงาบนน้ำ กระแสน้ำไหลเอื่อยๆไม่รุนแรงนัก นกเป็ดน้ำหลายตัวว่ายอยู่ไม่ไกลจากฝั่งกำลังก้มลงเอาจงอยปากจิกลงไปในผืนน้ำ หงส์สองตัวว่ายเคียงคู่กันไป มองไปฝั่งตรงข้ามไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นเทือกเขาสูงที่มียอดสีขาวปกคลุมไปด้วย หิมะ มันช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจหากเป็นการเดินทางท่องเที่ยว แต่ภาพนี้มันยิ่งตอกย้ำสำหรับเธอ มันไม่ใช่ประเทศไทย ไม่ใช่นครนายกแน่ๆ นกเป็ดน้ำสองตัวว่ายคู่กันเข้ามาใกล้ฝั่งด้านที่สองหนุ่มสาวยืนอยู่ รินมองภาพนกเป็ดน้ำสองตัวแล้วรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่สุดท้ายก็นึกไม่ออก
เจ้าม้าสีน้ำตาลออกแดงที่มีขนด้านหน้าเป็นแถบขาวยืนแทะเล็มหญ้า แห้งอยู่ไม่ไกลนัก รินเดินเข้าไปลูบหน้าเจ้าม้าบริเวณขนหน้าของมันอย่างเบาๆ เจ้าม้าดูเหมือนจะชอบใจ
เมื่อก้องเดินตามมาเขาจึงถามเธอว่าพร้อมจะ ออกเดินทางแล้วหรือไม่ หญิงสาวพยักหน้าเธอเหยียบโกลนม้าแล้วก้าวขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างสง่างามโดย ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือใดๆจากเขา ชายหนุ่มเฝ้ามองดูอย่างประหลาดใจและกระโดดขึ้นหลังม้าตามเธอไป
การนั่งบนหลังม้าสองคนทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวต้องใกล้ชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเธอเบาๆเมื่อเขาต้องจับบังเหียนม้าโดยโอบรอบตัวเธอ ไออุ่นจากชายหนุ่มช่วยเธอไม่น้อยเมื่อลมพัดผ่านมากระทบในฤดูหนาวเช่นนี้
เส้นทางที่ม้าวิ่งผ่านเป็นทุ่งหญ้าต้นสั้นๆกว้างสุดลูกหูลูกตาที่บัดนี้แห้ง เหี่ยวเนื่องจากอากาศที่หนาวจัด รอบข้างถูกขนาบไว้ด้วยขุนเขาที่ฉาบไปด้วยหิมะสีขาวอยู่บนยอดสูง แสงแดดเจิดจ้าและท้องฟ้าที่สดใสทำให้บรรยากาศค่อนข้างสดชื่น จิตใจที่วิตกกังวลของรินก็ผ่อนคลายลง หญิงสาวสูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอดแล้วรู้สึกว่ามันช่างโล่งและปลอดโปร่ง ผิดจากอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษของกรุงเทพมากมายนัก
ว้าว อากาศสดชื่นดีจัง แต่หนาวชะมัด เอาเถอะน่า อย่างน้อยก็ถือว่าได้แพคเกจมาเที่ยวฟรีไม่เสียซักกะบาท หญิงสาวพยายามคิดปลอบใจตนเอง เธออยากกลับไปเมืองไทยใจจะขาด แต่ว่าเธอจะกลับไปที่ไหนกันล่ะ ทำยังไงเราถึงจะคิดออกได้นะว่าเราเป็นใคร รินรำพึงอยู่ในใจ
"ริน เคยเรียนขี่ม้ามาก่อนเหรอครับ" ก้องถามแทรกขึ้นมาในความเงียบ
"ทำไมพี่คิดอย่างงั้นเหรอคะ" หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
"ใคร เห็นท่ารินขึ้นนั่งบนม้าก็คงคิดอย่างงั้นทั้งนั้น อีกอย่างตอนรินลูบหัวม้าน่ะมันก็ยอมแต่โดยดี แปลว่ารินต้องคุ้นเคยกับม้าแน่ๆ" ก้องตอบ
"เฮ้อ มันแย่ตรงที่จำไม่ได้นี่ล่ะค่ะ" รินตอบ
"อย่าง น้อยร่างกายรินก็จำได้นะ เอาเป็นว่าเรามีตัวบอกใบ้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับรินแล้วนะครับ ว่ารินขี่ม้าได้" ก้องสรุป "การที่รินขี่ม้าได้ถือว่าเป็นโชคดีนะ เพราะที่นี่เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้มาทั้งนั้น พี่เองตอนมาไม่เป็นเลยด้วยซ้ำต้องมาฝึกเอาที่นี่ ตกม้าไปหลายรอบเหมือนกัน" ชายหนุ่มเล่าต่อ เขาพยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก
"จริงสิคะ พี่ก้องมาอยู่ที่นี่นานรึยังคะ"
"สามปีกว่าแล้วครับ" ก้องตอบ
"สามปีเลยเหรอคะ แล้วพี่ได้ลองหาทางกลับบ้านบ้างมั้ยคะ เจอบ้างมั้ย" รินฟังแล้วรู้สึกใจหาย เธอรู้คำตอบอยู่แล้วโดยที่เขาไม่ต้องตอบ ถ้าเขาหาทางกลับบ้านเจอเธอคงไม่ได้มานั่งคุยกับเขาบนหลังม้าเช่นนี้เป็นแน่
"ตอน แรกที่พี่มาที่นี่ พี่ก็นึกว่ามันคงมีทางกลับบ้าน พี่พยายามถามคนที่นี่ว่ารู้จักประเทศจีน อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น หรือไทยบ้างมั้ย ก็ไม่มีใครรู้จัก" ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ
"พี่ขอแผนที่ของดินแดนนี้มาดูก็มีแค่ 5 ดินแดนเท่านั้นและทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาอาเชนดราที่เห็นอยู่ตรงหน้าเรานี่ล่ะ" รินนิ่งอึ้งไป เธอไม่แน่ใจว่าเธอควรถามคำถามนี้หรือไม่ แต่เธอก็ถามออกไป
"แล้วเรามีทางที่จะได้กลับบ้านกันมั้ยคะ" ก้องได้ยินคำถามแล้วก็ถอนหายใจ
"ทางที่พวกเราเข้ามาดินแดนนี้ได้ พี่เชื่อว่ามันเป็นทางลัด แต่พี่ไม่แน่ใจว่าด้วยสาเหตุอะไรทางนี้ถึงเปิดให้พวกเราเข้ามาได้"
"หรือว่า ทะเลสาบนั่นมีประตูลับที่ติดต่อไปยังโลกภายนอกคะ" รินร้องขึ้นมา
"ถ้าพี่มาจากทะเลสาบเหมือนรินก็คงจะเป็นอย่างงั้น แต่ว่า..." ก้องพูดแล้วหยุดไป
" แต่ว่า" หญิงสาวทวนคำ
"พี่ มาจากทะเลทรายโกบี พี่กำลังขี่อูฐเที่ยวทะเลทรายอยู่ๆก็มีพายุทะเลทรายพัดมาอย่างแรง พี่โดนพายุพัดปลิวแล้วก็หมดสติไป ฟื้นมาอีกทีก็มาอยู่ที่ทะเลทรายของลามู" ชายหนุ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าอย่างประหลาด
"อืม ทะเลสาบ ทะเลทราย มันเกี่ยวข้องกันยังไงนะ" รินพึมพำเธอพยายามคิด จากนั้นทั้งสองคนก็เงียบไปต่างคนต่างอยู่ในห้วงภวังค์ของตนเอง
“เดี๋ยว เราจะแวะพักที่เมืองข้างหน้าก่อนนะครับ พี่อยากให้ม้าได้พัก เพราะต้องรับน้ำหนักคนสองคนมาสามชั่วโมงแล้ว พอดีพี่มีธุระต้องทำที่นี่ด้วย” ก้องพูดขึ้นมาเมื่อใกล้ถึงเมือง
เมืองข้างหน้าที่ว่าเป็นเมืองที่อยู่กลางทุ่งกว้างล้อมรอบด้วยขุนเขา บ้านเรือนในหมู่บ้านไม่ได้เป็นบ้านเป็นหลังอย่างที่รินคิดหากแต่เป็นกระโจม ทรงกลมยอดแหลมขาวมากมายกระจายตามท้องทุ่งกว้าง เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่าแต่ละกระโจมนั้นมีความแตกต่างกันที่ประตูและ บริเวณหลังคาที่มีการตกแต่งต่างกันไป และแล้วม้าก็มาหยุดที่หน้ากระโจมหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งประตูถูกตกแต่งเป็นสี แดงลายคล้ายๆสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
ก้องเดินไปสั่นกระดิ่งที่ถูก แขวนไว้เหนือประตูหลังจากนำม้าไปผูกไว้ที่เสาผูกม้าที่อยู่ใกล้ๆกับกระโจม ไม่เกินห้านาทีหลังจากนั้นก็ปรากฎร่างหญิงสาววัยประมาณ สามสิบปี ผิวขาว ตาเรียวยาวชั้นเดียวแต่งกายด้วยชุดติดกันยาวที่มีแขนยาวสีขาวขลิบด้วยปลายขน สัตว์และทับด้วยชุดลักษณะคล้ายกั๊กยาวสีน้ำเงินพร้อมด้วยหมวกสีดำมีลวดลายบน ศีรษะและลูกปัดเรียงร้อยลงมาด้านข้าง
“ท่านหมอนารัน ยินดีต้อนรับค่ะ ข้ากำลังรออยู่เชียว ส่วนท่านผู้นี้… ”
หญิงสาวจากกระโจมทักทายก้องหรือหมอนารันซึ่งมาจากชื่อจริงของเขาที่ชื่อนรัญญ์ นั่นเอง เธอหันมามองหญิงสาวที่ยืนข้างเขาด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากสภาพของรินตอนนี้ถูกห่อด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ใหญ่เกินตัวเธอไป มากอีกทั้งศีรษะเจ้าหล่อนยังถูกครอบด้วยหมวกใบยักษ์ที่บดบังใบหน้าไปเกือบ ครึ่งหน้า
“นางชื่อริน เป็นญาติห่างๆของข้ามาจากชนเผ่าในทะเลทราย นางจึงพูดภาษาซารานมิได้” ก้องอธิบายเมื่อเห็นสายตาประหลาดใจคู่นั้นของหญิงสาวผู้ออกมาจากกระโจม จากนั้นทั้งหมดก็เดินเข้าไปในกระโจม
จากคุณ |
:
moonlightsonata
|
เขียนเมื่อ |
:
12 เม.ย. 54 19:03:57
A:94.36.103.25 X: TicketID:313202
|
|
|
|