Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 11 นครต้องสาป ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 10 การบุกค่ายแห่งมอร์เซล
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10416131/W10416131.html

<11>

นครต้องสาป

นักเดินทางทั้งสามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้พ้นแนวทุ่งโล่งอันแห้งแล้งได้ทันก่อนค่ำ โซลย์ส่งขนมปังให้กับโมไดและฟอร์เซ็ตติระหว่างการเดินทางโดยไม่ยอมหยุดพัก กระทั่งดวงอาทิตย์เคลื่อนลงต่ำ เงาของแนวป่าอันเป็นเส้นแบ่งเขตชายแดนระหว่างมอร์เซลกับมาร์วัลลัสจึงปรากฏให้เห็นรางๆในสายตา จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสจึงหันมาทางสหายทั้งสอง

“ป่าอาถรรพ์ เขตแดนธรรมชาติของมอร์เซลและมาร์วัลลัส จงระมัดระมังตัวทุกฝีก้าวเพราะป่าแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ จงอย่าได้วางใจแม้แต่กับดอกไม้ดอกเล็กๆที่ขึ้นอยู่ริมทาง”

“ไหนเจ้าบอกว่าอำนาจของจอมมารไม่สามารถแผ่เข้าไปในป่าแห่งนี้ได้ แล้วเหตุใดจึงต้องระวังตัวกันมากถึงขนาดนั้นด้วย”

โซลย์เอ่ยถามด้วยความสงสัย จอมเวทหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

“อำนาจของเขาไม่สามารถทำร้ายชนที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ได้ก็จริง แต่เหล่าบรรดาสัตว์ต่างๆรวมตลอดจนพืชทั้งหลายคงไม่อาจรอดพ้นจากพลังมืดของจอมมารได้อย่างแน่นอน ข้าไม่รู้ว่าสรรพชีวิตในผืนป่าอันอุดมแห่งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นจึงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”

“ชนที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้หรือ” แม่ทัพแห่งมอร์เซลทวนคำด้วยสีหน้าครุ่นคิด “นอกจากพวกเอลฟ์แล้วยังมีชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่ในป่าอาถรรพ์อีกหรือนี่”

“ย่อมมีแน่นนอน” ฟอร์เซ็ตติตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูขรึมกว่าทุกครั้ง เขาเงียบลงและไม่กล่าวอะไรออกมาอีกเลยนอกจากเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้งสามเดินทางโดยไม่พูดจาอะไรต่อกันจนกระทั่งเข้าเขตชายป่าอาถรรพ์ในเวลาใกล้ค่ำ สายลมที่พัดผ่านยอดไม้จนสะบัดไหวโอนเอนไปมาฟังคล้ายเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของคนหลายคน สร้างความวังเวงและเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด

“ป่านี่น่ากลัวชะมัด”

โมไดพูดขึ้น เขามองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง ฟอร์เซ็ตติหันมาเตือน

“จงเดินตามข้าอย่าได้ทิ้งระยะห่างเป็นอันขาด ที่นี่มีสิ่งน่ากลัวชนิดที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นในโลกภายนอกเลย โมได”

เด็กหนุ่มทำท่าคล้ายกับจะพูดโต้ตอบกับฟอร์เซ็ตติ แต่สีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจังมากกว่าทุกครั้งของจอมเวททำให้เขาเปลี่ยนใจและเดินตามไปเงียบๆแต่โดยดี โซลย์กวาดสายตามองไปรอบๆ สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มเต็มไปด้วยความวิตกเมื่อความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อย

“พวกเราต้องรีบหาที่พักโดยเร็ว” เขาพูดกับฟอร์เซ็ตติ “ข้าไม่ไว้ใจป่านี่เลยสักนิดมันเหมือนมีสายตาของอะไรบางอย่างคอยจ้องมองดูพวกเราอยู่ตลอดเวลา”

“ต้นไม้ทุกต้นมีดวงตาคอยเฝ้ามองดูเรา ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เจ้าจะรู้สึกเช่นนั้น”

จอมเวทพูดพลางใช้ไม้เท้าเคาะที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เสียงกิ่งไม้ไหวโอนเอนลั่นเอี๊ยดคล้ายมันกำลังขานรับการทักทายนั้น โมไดถึงกับอ้าปากค้างขณะที่แหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอด

“ต้นไม้พูดได้” เด็กหนุ่มพึมพำ ฟอร์เซ็ตติยิ้ม

“พวกเขาพูดได้ก่อนจะมีพวกมนุษย์อย่างเจ้าเกิดขึ้นมาในโลกนี้เสียอีก เพียงแต่พวกเจ้าไม่เคยที่จะสนใจรับฟังเสียงของพวกเขาต่างหาก”

“แล้วพวกเราจะพักกันตรงไหนดี ขืนเดินบนพื้นในเวลาค่ำคืนแบบนี้คงไม่ปลอดภัยแน่ๆ”

โซลย์พูดขึ้น จอมเวทหนุ่มยกไม้เท้าของเขาชี้ไปด้านหน้าพร้อมกับกล่าว

“ไม่ไกลจากที่นี่ จะมีลานหินกว้าง ที่นั่นมีต้นไม้ขนาดใหญ่สองสามต้นเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากกิ่งของต้นไม้พวกนั้นเหนียวและแข็งแรงพอจะใช้ผูกทำเป็นเปลนอนได้อย่างสบาย”

“เจ้าพูดเหมือนมาที่นี่บ่อยๆ”

“ก็ไม่เชิง สำหรับข้าป่าทุกแห่งก็เปรียบเสมือนบ้านที่แสนอบอุ่นเพราะทุกอย่างที่เห็นล้วนแล้วแต่เป็นภาพจริงอันแสนบริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย”

โมไดก้มลงมองดูตะขาบตัวใหญ่กำลังเดินผ่านหน้าเขาไป เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงไปในคอพลางบ่น

“ไม่มีพิษภัยเรอะ ข้าคงเชื่อได้ยาก”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสหันมามองเด็กหนุ่มแต่ไม่ได้กล่าวคำโต้ตอบใดออกมา เขายังคงเดินนำหน้าคนทั้งสองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงลานหินโล่งกว้างแห่งหนึ่งจึงหยุด

“คืนนี้เราจะพักกันที่นี่”

“ตรงไหนล่ะ” โมไดถามหลังจากมองไปโดยรอบและไม่พบเถาวัลย์หรือสิ่งใดที่พอจะใช้ทำเป็นเปลนอนได้ ฟอร์เซ็ตติเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดภาษาแปลกๆออกมาสองสามคำ ต้นไม้สองสามต้นที่มีขนาดใหญ่หลายคนโอบโยกเอนไปมาทั้งที่ไม่มีสายลม เสียงกิ่งของมันเสียดสีกันเองลั่นเอี๊ยดอ๊าด จอมเวทหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก

“ห้ามพวกเจ้าก่อฟืนติดไฟในป่านี้เป็นอันขาด ไม่ต้องกังวลเรื่องความหนาวในยามค่ำคืนเพราะต้นไม้เหล่านี้จะสร้างไออุ่นจากกิ่งใบของพวกเขาให้ ห้ามเด็ดหรือทำลายยอดอ่อนหรือกิ่งก้านของพวกเขาโดยเด็ดขาด”

คำพูดประโยคสุดท้ายถูกเน้นไปที่โมได เด็กหนุ่มเบ้หน้าแต่ก็ยอมรับคำ สีหน้าของฟอร์เซ็ตติแสดงความโล่งใจออกมา เขาเงยหน้าขึ้นไปด้านบนและพูดด้วยภาษาที่โมไดและโซลย์ฟังไม่เข้าใจอีกครั้ง เสียงแกรกกรากดังลงมาจากยอดคล้ายมีใครลากกิ่งไม้ไปบนพื้นพร้อมกับเงาสีดำยาวกำลังเคลื่อนตัวลงมาหาคนทั้งสามอย่างเชื่องช้า โมไดกระโดดถอยหลังและเลื่อนมือไปแตะไว้บนด้ามดาบของเขาทันที โซลย์ยื่นมือมาห้ามเขาเอาไว้อย่างว่องไว

“เดี๋ยวก่อนโมได จำที่ฟอร์เซ็ตติสั่งเอาไว้เมื่อครู่ไม่ได้หรือ”

“จำได้ แต่เขาไม่ได้บอกนี่ว่าจะมีงูยักษ์เลื้อยลงมาจากยอดไม้นั่น”

“นั่นมันเป็นงูเสียเมื่อไหร่กันเล่า ดูให้ดีก่อนสิ” แม่ทัพหนุ่มพูดเสียงดุ โมไดจึงเพ่งสายตามองอย่างถ้วนถี่ เขาอ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งที่กำลังเคลื่อนตรงมาหาพวกเขาเต็มตา

“เถาวัลย์”

“ใช่” โซลย์ตอบ “แค่เถาวัลย์ธรรมดาเท่านั้น”

“มีเถาวัลย์ธรรมดาที่ไหนกันเลื้อยไปเลื้อยมาแบบงูได้น่ะ” โมไดเถียง แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ

“ก็คนที่เรามาด้วยน่ะ ‘ธรรมดา’ เสียเมื่อไหร่กัน เจ้าลืมไปแล้วรึ โมได”

เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดด้วยความรู้สึกขัดเคือง เขามองดูจอมเวทซึ่งดูเหมือนกำลังร่ายมนตร์เพื่อสานเถาวัลย์เหล่านั้นให้เป็นตาข่ายขนาดพอที่คนหนึ่งคนสามารถนอนได้อย่างสบาย เขาหันหน้ามาทางสองสหายที่กำลังคุยกันอยู่และถาม

“ใครจะขึ้นไปเป็นคนแรก”

ทั้งโซลย์และโมไดหันมามองหน้ากันคล้ายกำลังเกี่ยงให้อีกฝ่ายเป็นผู้ขึ้นไปก่อน ฟอร์เซ็ตติมองด้วยความรู้สึกรำคาญ

“หรือพวกเจ้าจะนอนบนพื้นหินแข็งๆข้างล่างรอให้สัตว์ป่ามาลากไปกิน”

“ข้าขอเลือกอย่างหลังดีกว่า” โมไดพูดขึ้น “อย่างน้อยข้ายังมีปัญญาสู้กับมันเพื่อเอาตัวรอด”

“แล้วเจ้าล่ะ” จอมเวทหนุ่มถามโซลย์ อีกฝ่ายยิ้ม

“ข้าก็ขอเลือกแบบโมได เพราะอย่างน้อยขาสองข้างของข้าก็ยังยืนอยู่บนพื้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่า ข้าไม่มีเวทป้องกันภัยจากสัตว์ป่าพวกเจ้าต้องดูแลตัวเอง และห้ามก่อไฟ”

“ตกลง” โมไดร้องขึ้นด้วยความรู้สึกโล่งใจ เขารีบเดินไปยังโคนต้นไม้และทรุดกายนั่งลงทันที “ข้าขอนอนที่นี่ก็แล้วกัน พวกเขาคงไม่ว่าอะไรนะ”

“ถ้ามือของเจ้าไม่ซุกซนเที่ยวแคะขุดรากของเขาเล่นล่ะก็ ได้”

จอมเวทกล่าวพร้อมกับร่ายมนตร์คลายตาข่ายที่สานไว้ออก เถาวัลย์ทุกเส้นเคลื่อนกลับขึ้นไปด้านบนอย่างเงียบกริบ

“น่าสยองพิลึก”

โมไดบ่นพลางล้วงมือเข้าไปในถุงสัมภาระและหยิบขนมปังออกมาสองสามก้อน เขายื่นส่งให้กับโซลย์และฟอร์เซ็ตติ

“รีบกินรีบนอนดีกว่าข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว”

“ไม่ได้ เจ้าจะต้องอยู่เฝ้าเวรแรก”

โซลย์พูดเสียงเข้ม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งก่อนตอบ

“ทำไมไม่ให้ฟอร์เซ็ตติอยู่เฝ้าเหมือนครั้งที่แล้วล่ะ เขาไม่ต้องนอนก็ได้ไม่ใช่หรือ”

“ถึงใช่ก็ไม่ได้” โซลย์ดึงคอเสื้อของเด็กหนุ่มให้ลุกนั่ง “อย่าเอาเปรียบกันสิโมได”

“ข้าไม่ได้เอาเปรียบ แต่ข้ายังเด็ก พวกเจ้าไม่ละอายใจหรืออย่างไรกันที่บังคับให้เด็กวัยกำลังโตต้องฝืนตาเฝ้ายามแทนที่จะปล่อยให้เขานอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำน่ะ”

“อย่ามากเรื่องมากราวนักได้ไหม โมได!” โซลย์พูดเสียงดังลั่นป่าจนฟอร์เซ็ตติต้องจ้องหน้าราวกับเตือน เขาจึงลดเสียงลง

“เจ้ามักพูดอยู่เสมอว่าโตเป็นผู้ใหญ่ แต่พอข้ามอบหน้าที่ให้เจ้ากลับกล่าวว่ายังเป็นเด็ก ตกลงเจ้าจะเอายังไงกันแน่”

“ข้าก็แค่พูดตามหลักความจริงเท่านั้น”

โมไดเถียงไม่ลดละโดยไม่ทันสังเกตว่าฟอร์เซ็ตติเริ่มขยับตัวและมองไปรอบๆด้วยกิริยาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังจนกระทั่งโซลย์เริ่มเอะใจ เขาหยุดโต้เถียงกับบุตรแห่งเดฟล่อนและหันไปถามด้วยความสงสัย

“มีอะไรหรือฟอร์เซ็ตติ”

“ข้ารู้สึกถึงพลังบางอย่าง” จอมเวทตอบ “มันเป็นพลังที่ไม่รุนแรงนักแต่แฝงไปด้วยความมุ่งร้าย น่าแปลกเหลือเกินที่ข้ารู้สึกคุ้นกับมันอย่างประหลาด”

เขาลดเสียงที่พูดในประโยคท่อนสุดท้ายคล้ายรำพึงกับตัวเอง โซลย์มองดูเขาอย่างไม่เข้าใจ สายตาของแม่ทัพหนุ่มกวาดมองไปโดยรอบขณะที่เลื่อนมือไปแตะไว้ที่ด้ามดาบ เสียงใบไม้ไหวต้องลมดังซู่ซ่าน่าขนลุก แล้วจู่ๆความเงียบก็เคลื่อนเข้ามาครอบคลุมทั่วทั้งป่าอย่างฉับพลัน โซลย์ดึงดาบออกจากฝักทันที

“ไม่เข้าท่าเสียแล้ว” เขากระซิบ “เจ้าบอกว่าป่าแห่งนี้ยังไม่โดนอำนาจของจอมมารครอบงำมิใช่หรือ”

“ถูกต้อง” ฟอร์เซ็ตติตอบ “และข้าก็ไม่คิดว่าผู้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้จะทำร้ายพวกเรา”

ขาดคำเสียงหวีดหวิวของวัตถุขนาดเล็กดังแหวกอากาศพุ่งตรงมาทางพวกเขา โดยมีโมไดเป็นเป้าหมายหลัก โซลย์สะบัดดาบในมือปัดมันออกอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โมไดถึงกับเบิกตากว้าง

“นี่มันอะไรกันน่ะ”

ยังไม่ทันที่จะมีผู้ใดตอบ วัตถุชนิดเดียวกันอีกหลายชิ้นถูกยิงออกมาจากพุ่มไม้หนาของป่าในทุกทิศทุกทาง โมไดและโซลย์กวัดแกว่งดาบสกัดมันไว้อย่างว่องไว เสียงโลหะตกกระทบพื้นดังกราวติดกันหลายครั้ง

“ถ้าอยากจะจัดการกับพวกข้าก็ออกมาเลย อย่าทำตัวเป็นคนขลาดเอาใบไม้ปิดหัวหมกตัวอยู่ในป่าแบบนั้น!”

โซลย์ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ เงาไหววูบเคลื่อนที่ไปมาระหว่างต้นไม้อย่างรวดเร็ว แสงสะท้อนของโลหะสว่างวูบขึ้น มันพุ่งตรงดิ่งไปที่ลำคอของโมได ฟอร์เซ็ตติรีบยื่นมือของเขาออกไปคว้ามันเอาไว้ได้ทัน

“อาวุธอะไรกันนี่”

“ซาเบลลอท”

ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยสีหน้าราวกับคาดไม่ถึง เขาแบมือออกและมองวัตถุสีเงินแวววาวที่มีลักษณะคล้ายมีด ยาวราวสี่นิ้วและกว้างเท่าหัวแม่มือ ปลายด้านหนึ่งของมันมีรอยตัดเป็นแนวเฉียง ที่แปลกคืออาวุธนี้มีลักษณะเหมือนท่อกลวงตั้งแต่ปลายด้านหนึ่งทะลุไปยังปลายอีกด้านหนึ่ง จอมเวทหนุ่มกำวัตถุประหลาดเอาไว้ในมือแน่นพลางเลื่อนสายตามองไล่ไปตามคบไม้ในขณะที่โมไดดึงรันนิ่งออกมาจากซอง

“อย่า!”

เขากระซิบห้ามพร้อมกับจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความขัดใจ

“จะปล่อยให้ไอ้ท่อนเหล็กนี่มันเจาะทะลุอกข้าก่อนหรือยังไงกัน”

“ข้ารู้จักเจ้าของอาวุธนี่”

ฟอร์เซ็ตติบอกโดยที่สายตายังคงไล่มองไปตามเงาของต้นไม้ แล้วจู่ๆจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสก็เคลื่อนไหวตรงไปยังโคนต้นไม้ต้นหนึ่งด้านหน้าอย่างรวดเร็วชนิดที่โซลย์และโมไดมองตามไม่ทัน เขาเอื้อมมือยื่นเข้าไปในเงาของต้นไม้และดึงคอเสื้อของเด็กคนหนึ่งออกมา

“เจ้าเป็นใครกัน” จอมเวทหนุ่มถามด้วยสีหน้าแปลกใจไม่ต่างไปจากแม่ทัพแห่งมอร์เซลและ โมไดที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ร่างในอุ้งมือของเขาดิ้นรนไปมาและร้องตอบเสียงดัง

“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเจ้า ไอ้พวกจอมเวท!”

คิ้วของฟอร์เซ็ตติขมวดเข้าหากันทันที เขาดึงร่างเล็กๆนั้นให้เดินตามมาแต่อีกฝ่ายกลับสบถเสียงดังและใช้อาวุธที่ถืออยู่แทงลงไปบนมือของเขา จอมเวทหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อเห็นเลือดสีแดงเข้มไหลปรี่ออกมาจากช่องกลวงของอาวุธนั้น เสียงโมไดอุทานออกมา สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธ แต่จอมเวทกลับโบกมือห้าม

“เจ้าได้อาวุธนี่มาจากไหน”

ฟอร์เซ็ตติถามพลางใช้มืออีกข้างดึงอาวุธนั้นออก เขายื่นมันส่งกลับให้กับเด็กสาวคนนั้น นางรับมาถือไว้ด้วยสีหน้างงเล็กน้อยก่อนตอบ

“มันเป็นของแม่ข้า”

“แม่ของเจ้าหรือ” เขาจ้องหน้าเด็กสาวซึ่งคะเนอายุน่าจะอยู่ในราวสิบสี่หรือสิบห้าปีนิ่งคล้ายพิจารณา “นางชื่อฟราร์ใช่หรือไม่”

เด็กสาวหยุดการดิ้นรนและเงยหน้าขึ้นมองดูฟอร์เซ็ตติด้วยสายตางงงัน นางเม้มปากตนเองแน่นและออกแรงสะบัดตัวเต็มที่จนหลุดจากมือของเขาและกระโดดถอยห่างออกไป

“จอมเวทอย่างเจ้ารู้จักแม่ของข้าได้อย่างไรกัน”

“ไม่เพียงมารดาของเจ้าเท่านั้นที่ข้ารู้จัก” จอมเวทตอบเขายกมือขึ้นลูบไปบนแขนของตัวเอง เลือดที่กำลังไหล หยุดและแห้งหายไปเช่นเดียวกับรอยแผล สายตาเลื่อนมองไปยังเด็กสาวที่กำลังจะถอยหลังเข้าไปในเงาไม้

“ถึงเจ้าจะใช้มนตร์กำบังกายก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของข้าไปได้ สาวน้อย จงหยุดยืนอยู่ตรงนั้นและอย่าคิดทำร้ายเพื่อนของข้าเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับผลตอบแทนที่น่ากลัวชนิดที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันลืม”

ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเมื่อเห็นเด็กสาวทำท่าจะพุ่งอาวุธในมือเข้าใส่โมไดและโซลย์ บุตรแห่งเดฟล่อนยิ้มแยกเขี้ยว

“กับแค่ท่อนเหล็กเล็กๆนั่นจะทำอะไรข้าได้”

“เจ้าไม่รู้จักซาเบลลอทจึงกล้าเอ่ยคำผยองเช่นนั้นออกมา” จอมเวทหนุ่มพูด “มันอาจจะดูเป็นเพียงอาวุธโลหะชิ้นเล็กๆ แต่เมื่อใดที่ซาเบลลอทปักลงไปบนหัวใจหรือลำคอของเจ้า เลือดในกายจะไหลออกมาอย่างไม่มีวันหยุดแม้จะดึงมันออกมาแล้วก็ตาม”

สายตาของฟอร์เซ็ตติมองจ้องเด็กสาวตรงหน้านิ่ง

“เท่าที่รู้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ใช้อาวุธน่ากลัวชนิดนี้”

“แม่ของข้าสอนวิธีใช้อาวุธนี่ให้กับข้า” เด็กสาวพูดโพล่งขึ้นมา “รวมทั้งมนตร์กำบังกายด้วย”

“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด”

“แล้วเจ้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน”

นางย้อนถามฟอร์เซ็ตติด้วยสีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง เขามีสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อยขณะที่ตอบ

“นางเป็นเพื่อนของข้า”

“เพื่อนรึ” เด็กสาวหัวเราะเยาะขึ้นมาในทันที “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกจอมเวทนับชนเผ่าของข้าเป็นเพื่อน” สีหน้าของนางเคร่งเครียดขึ้น ซาเบลลอทในมือถูกระชับแน่นจนสั่นระริก

“เจ้าและเพื่อนของเจ้าบุกเข้ามาในเขตของพวกเรา ซ้ำยังกล้าแอบอ้างว่ารู้จักกับแม่ของข้าหน้าตาเฉย ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเจ้าเดินออกไปจากที่นี่ทั้งยังมีลมหายใจอยู่โดยเด็ดขาด”

อาวุธในมือถูกซัดออกไปอย่างรวดเร็วจนมองด้วยตาเปล่าแทบไม่ทัน โซลย์รีบยกดาบของเขาขึ้นปัดมันออกด้วยความว่องไวในขณะที่โมไดยังคงยืนนิ่ง เหล็กแหลมแท่งหนึ่งพุ่งเฉียดใบหน้าของเด็กหนุ่มไปไม่ถึงนิ้วก่อนจะไปปักติดแน่นอยู่ที่โคนต้นไม้ เขาร้องด้วยความโกรธและดึงรันนิ่งออกมา

“อย่าโมได!”

ฟอร์เซ็ตติร้องห้าม เขาหมุนไม้เท้าในมือปัดซาเบลลอทอีกชุดที่พุ่งตามมาและร่ายเวทสั้นๆ คริสตัลบนยอดไม้เท้าส่องแสงสว่างวาบขึ้น มันเจิดจ้าเสียจนทำให้ดวงตาของทุกคนพร่ามัวลง เด็กสาวร้องอุทานด้วยภาษาแปลกหูขณะที่ยกมือขึ้นปิดป้องดวงตา จอมเวทจึงฉวยจังหวะนั้นตวัดไม้เท้าตีลงไปยังข้อพับของนางจนเข่าอ่อนล้มทรุดลงจากนั้นจึงกดร่างของเด็กสาวคนนั้นเอาไว้ด้วยส่วนปลายของไม้

“อยู่เฉยๆถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว”

เขาเตือนด้วยน้ำเสียงดุ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจฟัง

“ฆ่าข้าเสียเลยสิเจ้าจอมเวท ชาวมาร์วัลลัสชอบกำจัดคนที่ไม่เหมือนพวกตัวเองอยู่แล้วนี่”

“ข้าไม่ใช่คนของมาร์วัลลัส” ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา โซลย์และโมไดมองหน้าเขาพร้อมกันด้วยความรู้สึกแปลกใจ เด็กสาวผู้นั้นหัวเราะ

“เห็นว่าข้าเป็นเด็กจึงคิดจะหลอกกันอย่างนั้นหรือเจ้าจอมเวท จากการแต่งตัวและการร่ายเวทของเจ้าก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นวิธีของชาวมาร์วัลลัส ถ้าข้าเชื่อก็คงโง่เต็มทน”

“ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าเชื่อ” จอมเวทหนุ่มพูด “ข้าเพียงแค่พูดความจริงให้เจ้าฟังเท่านั้น”

“เจ้าไม่ใช่ชาวมาร์วัลลัสอย่างนั้นหรือ” โซลย์ถามขึ้น “แล้วทำไม.....................”

“ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังในภายหลัง แต่ตอนนี้....” เขากดน้ำหนักของไม้เท้าที่อยู่บนหลังของเด็กสาวคนนั้นลงไปอีกเล็กน้อย “ข้าขอคุยกับสาวน้อยคนนี้ก่อน”

“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับคนอย่างแก ไอ้พวกลวงโลก!” นางตะโกนตอบเสียงดัง “คอยดูนะถ้าข้าหลุดไปได้ล่ะก็ ข้าจะตรึงแกไว้กับต้นไม้ด้วยซาเบลลอทและกรีดร่างให้เป็นริ้วปล่อยให้เลือดในตัวไหลออกมาจนแห้งตายเลย”

“น่าสนแฮะ” โมไดพูดยิ้มๆ “ลองปล่อยนางก่อนจะดีไหมเจ้าจอมเวท ข้าอยากเห็นว่านางจะตรึงเจ้าไว้กับต้นไม้ได้จริงอย่างที่คุยหรือเปล่า”

“แกก็ด้วยอีกคนเจ้ามนุษย์!” เด็กสาวคำราม “ข้าจะเชือดคอหอยของแกหลังจากฆ่าเจ้าจอมเวทจอมปลอมนี่เป็นรายต่อไป รวมทั้งแกด้วยเจ้าแก่!”

 “อย่ากล่าวคำไร้มารยาทแบบนั้นต่ออาคันตุกะที่หลงเข้ามาในป่าของเรา แนชท์”

เสียงทุ้มห้าวดังขึ้น เงาตะคุ่มของคนจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ชายชราที่มีรูปร่างหน้าตาสง่าน่านับถือก้าวออกมาข้างหน้า สายตาที่คมกริบกวาดมองไล่สำรวจโซลย์ โมไดและหยุดลงที่ฟอร์เซ็ตติซึ่งกำลังยกไม้เท้าออกจากหลังของเด็กสาว นางรีบลุกพรวดพราดขึ้นพร้อมกับเงื้ออาวุธในมือ แต่ต้องชะงักเมื่อชายชราผู้นั้นร้องห้ามด้วยน้ำเสียงดุดัน เขาเดินตรงเข้าไปหาจอมเวทหนุ่มซึ่งกำลังยืนนิ่งเฉยอยู่และยิ้มกว้าง

“ท่านฟอร์เซ็ตติ”

มือทั้งสองผายออกในขณะที่ชายฉกรรจ์สี่ห้าคนซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังค้อมตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ดวงตาของชายชราฉายแววแห่งความเป็นมิตรออกมา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

*/*/*/*/*/*

กระแสร้อนพัดกรรโชกอย่างรุนแรงผ่านร่างของดาร์คเอลฟ์สาวผู้เฝ้าเขตชายแดนแห่งเซฟเวจย์จนเรือนผมสีเทาพลิ้วกระจาย นางเงยหน้าขึ้นและจ้องร่างในผ้าคลุมสีดำสนิทที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างฉับพลัน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยเมื่อเห็นร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งถูกผลักออกมา

“ข้ามีบางสิ่งจะถามเจ้า”

เสียงทรงอำนาจดังขึ้น รัคเชนน์ลุกขึ้นจากกิ่งไม้ที่นางกำลังนั่งอยู่และเดินตรงมาหาเขา พร้อมดวงตาซึ่งฉายแววย้อนถาม คอร์ฟคาคาร์สเบนสายตาย้อนกลับไปมองในทิศทางที่ตั้งของอาณาจักรมอร์เซล

“ตอนข้าผ่านป่าที่อยู่ในเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างมอร์เซลและมาร์วัลลัส มีเงาดำครอบคลุมบริเวณพื้นที่ใจกลางของป่า มันมีพลังประหลาดที่อำนาจของข้าก็ไม่สามารถแทรกเข้าไปได้”

ใบหน้าอันน่ากลัวของจอมปิศาจหันกลับมาทางรัคเชนน์อีกครั้ง

“ภายใต้เงาดำนั่นมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ เจ้ารู้หรือไม่”

“ข้าเคยได้ยินพวกมาร์วัลลัสพูดถึงเมืองต้องสาป” รัคเชนน์ตอบด้วยสีหน้านิ่ง “ชนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่มีสายเลือดแห่งความมืดซึ่งถูกเหล่าจอมเวทตราคำสาปและขับไล่ออกไปจากอาณาเขตพระนคร”

“ชนแห่งความมืดหรือ” จอมมารพูดทวนคำพร้อมกับยิ้ม “ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าสนใจ”

“พวกเขาไม่เคยคิดจะเข้าร่วมกับชนอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นจอมเวท เอลฟ์ มนุษย์หรือแม้แต่จอมปิศาจอย่างท่าน ดังนั้นหากคิดจะไปหว่านล้อมให้พวกเขามายืนข้างแซฟเวจย์แล้วล่ะก็ ขอให้ลืมไปได้เลย”

ดาร์คเอลฟ์สาวพูดขึ้นราวกับล่วงรู้ในความคิดของอีกฝ่าย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีด้วยความขัดใจ ราชันย์ปิศาจพ่นลมหายใจออกมา

“ในเมื่อไม่คิดจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับข้า พวกมันก็ไม่มีความหมายพอที่จะเก็บเอาไว้ให้รกหูรกตา”

รัคเชนน์หัวเราะออกมาเมื่อฟังคำกล่าวของเขา สร้างโทสะให้บังเกิดขึ้นกับจอมมารจนดวงตาลุกวาวน่ากลัว

“มีอะไรน่าขัน!”

“ท่านไม่มีทางร่ายคาถาแทรกผ่านเข้าไปทำลายแผ่นดินต้องสาปนั่นได้แน่ ท่านจอมมาร เพราะอาคมที่ใช้ตราคำสาปแช่งนั้นแกร่งกว่าคาถาสำหรับการปกป้องเสียอีก”

รอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าเย็นชา จอมปิศาจหัวเราะกระหึ่มในลำคอ

“พลังของข้าอาจจะไม่สามารถแทรกอาคมแห่งการสาปแช่งเข้าไปได้ แต่ธรรมชาติและเหล่าสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น ป่านนี้พวกมันคงได้รับน้ำจากแม่น้ำนิรันดร์ซึ่งมีโลหิตของข้าเข้าไปจนแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของร่างกาย” รอยยิ้มแสยะกว้างขึ้น

“ข้าจะใช้พวกมันเป็นตัวบ่อนทำลายนครแห่งนั้นให้พินาศภายในคืนเดียวเหมือนกันอาณาจักรมาร์วัลลัสและแซฟวี สิ่งที่พวกมันเคยใช้เป็นอาหาร สถานที่ที่พวกมันใช้ซุกหัวอาศัยจะย้อนกลับมาสังหารผลาญชีวิตของพวกมันเอง แค่คิดภาพก็สนุกแล้ว รัคเชนน์”

คอร์ฟคาคาร์สเปล่งเสียงหัวเราะดังก้องไปทั้งป่า เขาหันมาทางดาร์คเอลฟ์สาวอีกครั้ง

“ข้าฝากนังเด็กน้อยคนนี้ไว้กับเจ้าสักครู่ นางเป็นบรรณาการชั้นดีอย่าให้กายนุ่มๆมีริ้วร้อยเป็นอันขาด”

จอมมารสั่งและจางหายไปทันที รัคเชนน์เม้มปากจนเป็นเส้นตรงขณะที่ก้มหน้าลงมองดูลินซ์ซึ่งกำลังมองไปรอบๆด้วยสีหน้าแสดงความแปลกใจมากกว่าหวาดกลัว

“ประหลาดเหลือเกินที่เจ้ารอดจากเขามาจนถึงที่นี่ได้น่ะ เด็กน้อย”

ดาร์คเอลฟ์สาวเอ่ยขึ้นก่อนหมุนตัวเดินไปนั่งบนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่เอนลงมาจนเกือบจรดพื้นดิน นิมป์ตัวหนึ่งบินลงมาเกาะที่บ่าของนาง มันส่งเสียงที่ฟังคล้ายกระดิ่งเงินสองสามครั้ง
รัคเชนน์ยิ้ม

“แค่เด็กมนุษย์ตัวเล็กๆเท่านั้นอย่ากังวลไปเลย”

ลินซ์ยืนจ้องมองดูดาร์คเอลฟ์กับนิมป์สนทนากัน สายตาไร้เดียงสาฉายแววทึ่งอยู่ในใจอย่างที่สุด เด็กน้อยเดินตรงไปหารัคเชนน์พร้อมกับพูดเสียงใส

“นางฟ้า”

ดาร์คเอลฟ์สาวหันมามองหน้าลินซ์ด้วยความรู้สึกแปลกใจ นางปิดปากตนเองและหัวเราะด้วยความรู้สึกขบขันในสิ่งที่บุตรีแห่งเดฟล่อนพูด

“ข้าไม่ใช่นางฟ้า เจ้าดูผิดไปแล้วเด็กน้อย”

“ท่านคือนางฟ้า” ลินซ์ยืนยันคำพูดตัวเองด้วยสีหน้าขึงขัง รัคเชนน์หยุดหัวเราะและเอนตัวลงไปหาร่างน้อยๆที่ยืนตรงหน้า

“ข้าเป็นปิศาจต่างหาก”

“นั่นเป็นแค่เงาที่ท่านสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะของตัวเอง” ลินซ์เอียงหน้าดวงตาสีฟ้าใสจับจ้องมองดูใบหน้าของรัคเชนน์นิ่ง นางยิ้มอย่างอ่อนหวานน่ารัก

“ตัวจริงของท่านสวยและใจดีมากเลย”

“ไร้สาระ!” รัคเชนน์ตวาดเสียงดังจนลินซ์สะดุ้งสุดตัว มือทั้งสองข้างของดาร์คเอลฟ์ยื่นออกมาคว้าไหล่เล็กๆและบีบอย่างแรง

“อย่าได้ริอ่านมาทำเป็นสู่รู้กับเรื่องของข้า เด็กมนุษย์ จอมมารอาจจะสั่งให้ข้าดูแลเจ้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องมานั่งทนฟังคำพูดโง่ๆจากปากของเจ้า”

แม้จะตกใจกับความกราดเกรี้ยวของหญิงสาวตรงหน้า แต่ลินซ์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเกรงนางเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเด็กหญิงกลับมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของรัคเชนน์ มือน้อยๆยื่นออกไปสัมผัสบนทรวงอกด้านซ้ายของนางอย่างแผ่วเบา

“หัวใจของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าและความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยว” ลินซ์พูดด้วยสีสลด “ท่านกำลังฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ”

ดาร์คเอลฟ์สาวผลักร่างของเด็กน้อยออกไปพร้อมกับลุกพรวดขึ้น ดวงตาสีเทาที่แสนเย็นชาฉายแววหวาดหวั่น

“จะ...เจ้า....รู้ได้ยังไงกัน”

“หัวใจของท่านบอก” ลินซ์ตอบพลางหันไปรอบๆ “รวมทั้งป่าแห่งนี้ทั้งหมดด้วย พวกเขากำลังสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจของท่านออกมาให้เห็น”

“ป่าจะบอกอะไรกับเจ้าได้”

รัคเชนน์พูดเสียงห้วน เด็กน้อยยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับดุจแสงสะท้อนของแดดที่ตกกระทบบนผิวน้ำใสสะอาด ความไร้เดียงสาของร่างอันแสนบริสุทธิ์ก่อให้เกิดพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากกายของลินซ์ มันเป็นพลังที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างที่ดาร์คเอลฟ์สาวไม่เคยสัมผัสมาก่อน กายที่งามสง่าสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้

“ป่าที่ท่านอยู่อุดมสมบูรณ์และเขียวขจีก็จริง แต่มันไม่มีชีวิต ต้นไม้ทุกต้นล้วนแล้วแต่เติบโตขึ้นราวกับคนป่วย มันไร้เรี่ยวแรงและอ่อนล้าเหมือนหัวใจของท่าน นางฟ้า พฤกษาเหล่านี้ล้วนกำลังร่ำไห้”

“นี่ไม่ใช่คำพูดของเด็ก” รัคเชนน์พูดเสียงห้วน “เจ้าเป็นใครกันแน่!”

แทนคำตอบ จู่ๆรอบกายของลินซ์ก็บังเกิดดอกไม้ป่างอกงามขึ้น มันผลิดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปจนทั่วบริเวณ เหล่าไม้ยืนต้นพากันแกว่งไกวกิ่งก้านคล้ายกำลังส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านร่างของรัคเชนน์

“เทพวาลิ”

ดาร์คเอลฟ์สาวรำพึงออกมา นางทรุดกายนั่งลงตรงหน้าลินซ์ราวกับสิ้นเรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม

“น....นี่ข้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้.....”

“หัวใจของท่านกำลังแสดงสิ่งที่มันอยากจะทำมานานแล้ว” ลินซ์ตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหานาง มือน้อยๆยกขึ้นและเช็ดหยาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นจากปลายนิ้วซึบซับผ่านผิวและกระจายไปจนทั่วร่างกาย รัคเชนน์กุมมือข้างนั้นไว้และยกขึ้นมาจุมพิต

“โปรดอย่าได้เปิดหัวใจของข้าให้มากเกินไปกว่านี้เลย เด็กน้อย ชีวิตของข้าดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะความแข็งแกร่งและเย็นชาที่ตัวข้าสร้างขึ้น หากไร้มันเมื่อใด ลมหายใจของข้าก็จะดับลง”

“สักวันหนึ่งจะมีคนมากระทำหน้าที่นี้แทนข้า” บุตรีแห่งเดฟล่อนกล่าว “และเมื่อนั้นท่านก็จะหลุดพ้นจากความหนาวเหน็บที่ต้องทนอยู่กับมันมานับร้อยปี”

“คงไม่มีคนเช่นที่เจ้ากล่าวรอดชีวิตมาจนถึงดินแดนแห่งนี้อย่างแน่นอน” รัคเชนน์พูดพร้อมกับลุกขึ้น “เจ้ามัวแต่ห่วงใยในชีวิตของผู้อื่น ระวังตัวของเจ้าเองให้ดีเถิดเด็กน้อย จอมมารคงไม่ปล่อยเจ้าให้เดินเล่นอยู่ในปราสาทของเขาเฉยๆแน่”

ดวงตาสีเทาแสนเย็นชากลับคืนมาอีกครั้ง ดาร์คเอลฟ์สาวหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนกิ่งไม้อันเป็นที่ประจำของนางเช่นดังเดิม ปล่อยให้ลินซ์ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังท่ามกลางดอกไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉาและแห้งสลายกลายเป็นฝุ่นดิน เพียงไม่นานร่างของจอมมารก็ปรากฏขึ้น เขาเดินเข้ามาหารัคเชนน์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหยิ่มยินดี ร่างสูงกำยำหยุดยืนข้างลินซ์มือข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าไหล่ของเด็กน้อยและบีบ

“อีกสามคืนนับจากนี้จะไม่มีนครลึกลับในป่าอาถรรพ์นั้นอีกต่อไป” ดวงตาสีดำอันแข็งกร้าวก้มลงมองดูใบหน้าของเด็กน้อย เขาแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ตรงมุมปาก

“นับเป็นโชคดีของเจ้าที่บังเอิญข้าได้พบกับบริวารของดาม่อนก่อนจะมาที่นี่ เด็กที่พวกมันพามาด้วยเหม็นสาบไปสักนิด แต่ก็พอประทังความหิวของข้าไปได้”

รัคเชนน์มองดูราชันย์มารนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย

“ท่านจะนำเด็กน้อยคนนี้กลับไปด้วยหรือ”

“เป็นคำถามที่แปลก” คอร์ฟคาคาร์สตอบขณะที่ดึงลินซ์เข้าหาตัว “เด็กนี่คืออาหารชั้นดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ ข้าจะเก็บมันเอาไว้สำหรับการฉลองชัยที่ได้ครอบครองทุกอาณาจักรอย่างบริบูรณ์”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า” ดาร์คเอลฟ์สาวพูด จอมปิศาจมองดูนางพลางหรี่ตาลงด้วยความรู้สึกระแวง

“ขอบใจ” เขาพูดเสียงห้วน ดวงตาน่าสะพรึงตวัดมองไปทางนิมป์ที่บินวนอยู่ข้างกายของ
รัคเชนน์มิได้ห่าง ดูเหมือนภูตตัวน้อยกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นจนไม่ทันสังเกตว่า
คอร์ฟคาคาร์สกำลังเพ่งจิตของเขามา คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อจอมปิศาจพานพบเพียงแต่ความว่างเปล่าอยู่ในหัวใจของภูตตัวเล็กตนนั้น มือแข็งแรงกดลงบนไหล่ของลินซ์

“หมดธุระของข้าแล้ว หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่อาจรับมือต่อกรกับมันได้ก็จงเอ่ยนามข้า” เสียงหัวเราะกระหึ่มในลำคอ “ซึ่งก็คงจะไม่มีแล้วในเวลานี้”

ร่างของลินซ์ถูกดึงเข้าไปหาด้วยกิริยาที่ไร้ความปราณี ดาร์คเอลฟ์สาวมองดูราชันย์ปิศาจที่กำลังจางหายไป นางเอนตัวพิงต้นไม้ที่ใช้นั่ง ดวงตาสีเทามองเหม่อขึ้นไปดูดวงดาวบนท้องฟ้าพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา

“ต่อให้มีคนที่แกร่งกว่าข้าหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินแห่งนี้จริง ข้าก็จะไม่มีวันเอ่ยนามของเจ้าเป็นอันขาด จอมมาร”

*-*-*-*-*-*-*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 54 10:27:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com