โซล์และโมไดเดินตามหลังกลุ่มคนที่พวกเขาพบไปอย่างเงียบๆโดยมีเด็กสาวซึ่งคอยมองด้วยสายตาหวาดระแวงเดินตามหลัง ฟอร์เซ็ตติซึ่งเดินเคียงข้างชายชราที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำซึ่งมิได้กล่าวหรือแม้แต่จะหันกลับมามองพวกเขา แม่ทัพหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยในขณะครุ่นคิด คำพูดของจอมเวทที่ว่าเขามิได้เป็นชาวมาร์วัลลัสยังคงวิ่งวนเวียนอยู่ในใจ
ความจริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่
โซลย์พึมพำโดยสายตานั้นยังคงจับจ้องมองดูด้านหลังของฟอร์เซ็ตติแน่วนิ่ง เสื้อคลุมสีขาวสว่างของเขาดูเหมือนจะมัวหมองลงทุกขณะที่ย่างก้าวลึกเข้าไปในป่าราวกับกำลังถูกความมืดกลืนรวมเข้าไปไว้ด้วยกัน
ดูเจ้าวิตกเหลือเกิน
โมไดกระซิบ แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เด็กหนุ่มจึงพูดต่อไปอีก
พวกเขาจะพาเราไปไหนกันนะ
ที่นครแห่งคำสาป
เสียงฟอร์เซ็ตติตอบกลับมาไม่ดังนัก ทั้งสองคนมองหน้ากันแทบจะทันที
เจ้าจะพาพวกเราไปในที่ที่น่ากลัวแบบนั้นทำไมกัน หรือที่เจ้าพูดว่าไม่ใช่ชาวมาร์วัลลัสนั่นจะเป็นความจริง
โมไดพูดโพล่งขึ้นมา จอมเวทหนุ่มอมยิ้มในหน้า
ถ้าอยากรู้นักก็เดินต่อไปเรื่อยๆและพูดให้น้อยลง มิฉะนั้นแล้วสัตว์ป่าอาจจะลอบตามเจ้าแล้วจับไปฉีกเนื้อกินได้โดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มหุบปากนิ่งเงียบลงไปในทันที เสียงหัวเราะคิกคักอย่างขบขันดังขึ้นจากทางด้านหลัง โมไดหันขวับไปมองด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง
มีอะไรน่าขัน
หน้าของเจ้าไง เด็กสาวตอบ ทำเป็นปากดีแต่ที่แท้ก็กลัวเหมือนกับเด็กๆ
ข้าไม่ใช่เด็ก! โมไดพูดเสียงดัง เจ้าต่างหากที่เด็ก
ข้าอายุสิบห้าเต็มแล้ว ตามกฏของนครของเราข้าคือผู้ใหญ่เต็มตัว
เด็กสาวโต้เสียงดังไม่แพ้กันจนกระทั่งชายฉกรรจ์ที่เดินนำหน้าต้องหันมาเตือน ทั้งสองเงียบเสียงลงในทันที มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังคงจ้องใส่กันด้วยความไม่ยอมแพ้
เรามาถึงทางเข้านครแห่งคำสาปแล้ว
เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น เขาเดินไปหาชายชราซึ่งดึงมีดสั้นเงาวับออกมาจากเอว ทั้งหมดรวมทั้งเด็กสาวก้มตัวลงพร้อมกับยื่นแขนออกไปข้างหน้า คมมีดในมือปาดลงไปบนท่อนแขนของพวกเขา เลือดสีแดงไหลรินออกมา ท่ามกลางสายตาที่ฉายความสนเท่ห์ใจของโซลย์และโมได ทุกคนต่างยื่นแขนไปที่โคนต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งสูงตระหง่านจนไม่สามารถมองเห็นยอดและบีบให้เลือดหยดลงไปบนรากของต้นไม้ต้นนั้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในเงามืดด้านหลัง ฟอร์เซ็ตติพับแขนเสื้อของเขาและหันมามองดูเพื่อนทั้งสอง
พวกเจ้าก็ต้องสละเลือดให้กับอารักษ์ผู้ปกป้องประตูทางเข้าของนครนี้ด้วย
ว่าไงนะ!
โมไดร้องถามเสียงดังต่างกับโซลย์ที่เพียงใช้สายตาจ้องมองดูจอมเวท เขาผงกศีรษะและเดินไปหยุดยืนข้างฟอร์เซ็ตติ
ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า นครต้องสาปจะสวยเหมือนมอร์เซลหรือไม่
แล้วเจ้าจะต้องแปลกใจ
จอมเวทหนุ่มพูด เขาเหลือบตามองโมไดซึ่งกำลังทำท่าหงุดหงิดไปมาก่อนจะเดินตรงมาทางพวกเขาและยกแขนขึ้น
เจ้าต้องเล่าทุกเรื่องให้ข้าฟังจนกว่าจะหายสงสัย ไม่อย่างนั้นข้าจะทวงเลือดที่เสียไปกลับคืนจนคุ้มเลย เจ้าจอมเวท
ฟอร์เซ็ตติยิ้มแทนคำตอบ คมมีดขาววับตวัดลากผ่านท่อนแขนคนทั้งสามไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อโลหิตของพวกเขาหยดลงไปยังโคนต้นไม้เก่าแก่ แสงสว่างเรืองรองก็ปรากฏขึ้นในช่องว่างระหว่างต้นไม้ โซลย์จ้องดูด้วยความรู้สึกพิศวง เขาหันหน้ากลับไปมองดูป่ารอบๆที่มืดสนิทอีกครั้งจนกระทั่งชายชราเอ่ยขึ้น
เชิญท่านก้าวข้ามประตูแห่งแสงเพื่อเดินสู่นครต้องสาปเถิดท่านแม่ทัพ
แม่ทัพหนุ่มก้าวขาข้ามรากไม้ขนาดยักษ์เข้าไปในแสงที่ส่องเจิดจ้า เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในน้ำที่มีมวลหนาแน่นจนแทบหายใจไม่ได้ เพียงชั่วอึดใจความเย็นยะเยือกของสายลมก็ปะทะกับใบหน้า อากาศที่หนักอึ้งมลายหายไปพร้อมกับแสงที่ดับวูบลง เหลือเพียงไฟจากตะเกียงหลายดวงซึ่งแขวนไว้เป็นระยะตามทางเดิน โซลย์มองสำรวจไปรอบๆ ดวงตาสีเหล็กเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อพบกับกำแพงสูงตั้งตระหง่านเบื้องหน้าไม่ไกลไปจากที่เขายืนนัก โมไดซึ่งก้าวมายืนด้านข้างถึงกับอุทานออกมาในขณะที่ฟอร์เซ็ตติมองดูสิ่งก่อสร้างตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยราวกับคุ้นเคยต่อภาพเช่นนี้มานาน ชายชราผายมือพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญ
พวกเรากำลังรอการมาของท่านอยู่ ท่านฟอร์เซ็ตติ
เขาหันมาทางแม่ทัพแห่งมอร์เซลพร้อมกับก้มศีรษะลง
รวมทั้งท่านด้วย ท่านแม่ทัพ
ท่ามกลางความแปลกใจและสงสัยของโซลย์ ชายสูงวัยเดินนำหน้าพวกเขาไปด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงโดยมีชายฉกรรจ์ตามหลังไปไม่ห่าง เด็กสาวหันมาทางโมไดและฉีกยิ้มที่ดูเหมือนจะเยาะ
อย่าตกใจกับความงดงามของเมืองข้าจนก้าวขาไม่ออกล่ะ เจ้าหนู
โมไดถลึงตาใส่นางทันควัน
ข้าชื่อโมได ไม่ใช่เจ้าหนู จำเอาไว้ให้ขึ้นใจยายเด็กซีด
ข้าชื่อแนชท์! อีกฝ่ายขึ้นเสียงบ้าง อย่ามาเรียกข้าว่าเด็กซีดเป็นอันขาดเจ้าหัวฟาง
แนชท์
เสียงชายชราดุแทรกขึ้นมา โซลย์จึงหันไปทางโมไดและปราม
เจ้าก็เพลาๆลงเสียบ้างโมได อีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงนะ
เชอะ!
เด็กหนุ่มพ่นเสียงขึ้นจมูกด้วยความรู้สึกขัดใจอย่างที่สุด หนุ่มสาวทั้งสองแทบไม่มองหน้ากันตลอดเส้นทางเดินจนกระทั่งถึงประตูเมือง ชายผู้สูงวัยจึงหยิบวัตถุขนาดเล็กออกมาจากเสื้อและยกมันขึ้นจรดริมฝีปากแล้วเป่าเสียงหวีดราวเสียงเป่าใบไม้ดังขึ้นพร้อมกับกลอนด้านในลั่น ประตูไม้หนาหนักเปิดออก ชายชราผู้นั้นจึงหันมายิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเป็นมิตรมากขึ้นกว่าครั้งแรก
ยินดีต้อนรับสู่นครแห่งนักรบเวท ท่านแม่ทัพแห่งมอร์เซล
โซลย์ถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อก้าวเดินผ่านบานประตูไม้ขนาดใหญ่เข้าไปภายในพระนคร เมืองลึกลับแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นกลางป่าใหญ่โดยสิ่งก่อสร้างและบ้านเรือนทั้งหมดจะถูกออกแบบให้ผสมกลมกลืนไปกับต้นไม้ทุกต้น หนทางเดินปูด้วยแผ่นหินขัดอย่างดีซึ่งสะท้อนเป็นมันเงาแม้ยามค่ำคืน ตะเกียงน้ำมันหลายดวงถูกแขวนไว้บนเสาซึ่งตั้งเรียงรายไปตลอดเส้นทางเดิน ด้านหนึ่งมีลำน้ำสายเล็กไหลผ่านขึ้นมาจากใต้ผืนดินและไปรวมกันเป็นสระน้ำขนาดกลางก่อนจะลดหลั่นลงกลายเป็นน้ำตกขนาดเล็กและหายกลับลงไปยังใต้พื้นอีกครั้ง สิ่งเดียวที่แม่ทัพหนุ่มรู้สึกว่าเมืองแห่งนี้แตกต่างไปจากสถานที่อื่นก็คือความเงียบ
ทุกหนทุกแห่งที่โซลย์และเพื่อนเดินผ่านไปแม้จะมีพลเมืองเดินออกมามองดู หลายคนก้มตัวลงให้กับฟอร์เซ็ตติซึ่งเขาตอบรับด้วยการส่งยิ้ม แต่ไม่มีผู้ใดสักคนจะเอ่ยคำพูดออกมา ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะหรือร้องเพลง สีหน้าของพวกเขาล้วนแล้วแต่เรียบนิ่งไร้ความรู้สึกจนแม่ทัพหนุ่มรู้สึกอึดอัด ชายฉกรรจ์ที่เดินขนาบคนทั้งสามกระซิบกับผู้นำสูงวัยสองสามคำก่อนจะแยกตัวออกไป เหลือเพียงเด็กสาวผู้มีนามว่าแนชท์เท่านั้นที่ยังคงเดินตามหลังพวกเขาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งชายชราได้มาหยุดลงที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นสถานที่สำคัญเพราะมีขนาดโอ่โถงกว่าที่อื่น เขาเปิดประตูออกและเดินนำเข้าไปด้านในโดยไม่ลืมที่จะหันมาสั่งเด็กสาวด้วยน้ำเสียงขรึม
ไปบอกให้พวกเราจัดเตรียมอาหารและน้ำสะอาดมาต้อนรับแขกของเราโดยเร็ว
แม้จะมีสีหน้าไม่พอใจแต่แนชท์ก็เดินออกไปกระทำตามคำสั่งโดยไม่โต้แย้ง ชายชรานำคนทั้งสามไปจนถึงห้องโถงขนาดใหญ่ เขาหยิบท่อนไม้เล็กๆท่อนหนึ่งซึ่งวางเอาไว้ในถาดข้างเตาไฟและเป่ามันเบาๆ กิ่งไม้นั้นก็ลุกติดไฟสว่างวาบขึ้น ชายผู้สูงวัยโยนกิ่งไม้นั้นลงไปบนกองฟืนในเตาผิง มันลุกสว่างโชติช่วงทันที
เชิญพวกท่านพักผ่อนกันได้ตามสบาย เรื่องต่างๆที่ท่านทั้งสองสงสัย พวกข้าจะมาตอบให้กระจ่างในวันพรุ่งนี้
เขาหันไปทางฟอร์เซ็ตติและก้มศีรษะลง
ราตรีสวัสด์ ท่านฟอร์เซ็ตติ
ราตรีสวัสดิ์ ท่านไรด์
ทันทีที่ชายชราก้าวออกจากห้อง โซลย์หันมาหาจอมเวทหนุ่มทันทีพร้อมกับพูดขึ้น
ดูเหมือนเจ้าจะปิดบังอะไรบางอย่างกับพวกเราอยู่นะ ฟอร์เซ็ตติ
จอมเวทหนุ่มเม้มปากของตนแน่นก่อนจะกล่าวตอบ
ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดสิ่งใดกับพวกเจ้า
แล้วเรื่องที่ว่าเจ้าไม่ใช่ชาวมาร์วัลลัสล่ะ แม่ทัพหนุ่มหันหน้ามาประจันกับอีกฝ่าย แล้วยังเรื่องที่พวกเขามีท่าทางนอบน้อมต่อเจ้าอีก จริงๆแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ แล้วคนที่นี่เป็นพวกไหน
เสียงบานประตูดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าของคนหลายคนเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับถาดอาหาร พวกเขาวางถาดทั้งหมดไว้บนโต๊ะแล้วหันมาค้อมตัวให้กับฟอร์เซ็ตติด้วยท่าทางอ่อนน้อมก่อนจะเดินออกไป โมไดรีบเดินไปสำรวจอาหารทันที
ปลากับผัก สงสัยคนพวกนี้คงไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ เด็กหนุ่มพูด เขาคว้าปลาย่างขึ้นมาดมสองสามครั้ง พอกินแล้วพวกเราจะกลายเป็นอาหารเหมือนหมู่บ้านผีดิบหรือเปล่า
พวกเขาไม่ใช่ผีดิบ ฟอร์เซ็ตติพูดเสียงกระด้างจนโซลย์รู้สึกแปลกใจ เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้และหยิบผลไม้ลูกหนึ่งขึ้นมา
ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับคนเหล่านี้เป็นอย่างดี เขามองจอมเวทซึ่งหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าเตาผิง สีหน้าของฟอร์เซ็ตติมีรอยเศร้าอยู่จางๆ
ข้ารู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี จอมเวทหนุ่มตอบ เพราะพวกเขาก็เป็นจอมเวทแห่ง มาร์วัลลัสเช่นเดียวกัน
ข้าไม่เข้าใจ โซลย์วางผลไม้ในมือลงบนจาน ถ้าพวกเขาเป็นจอมเวทจริงแล้วทำไมจึงมารวมกลุ่มตั้งเมืองแยกตัวออกมาอยู่ในกลางป่าทึบห่างไกลจากนครมาร์วัลลัสเช่นนี้
เสียงถอนหายใจเบาดังออกมาจากใบหน้าที่เศร้าหมองของฟอร์เซ็ตติ ดวงตาสีฟ้าจ้องเปลวไฟที่เต้นระริกอยู่ในเตาผิงแน่วนิ่ง
จอมเวทนั้นมิได้เก่งกาจไปเสียทุกด้านอย่างที่พวกเจ้าคิด พวกเขาแต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญอาคมที่แตกต่างกันออกไปแต่จอมเวทส่วนใหญ่มักจะสร้างอาวุธไม่เป็นและไม่รู้จักกลวิธีการต่อสู้ พูดง่ายๆก็คือ พวกจอมเวทไม่มีความเป็นนักรบอยู่ในตัวเลย
ฟอร์เซ็ตตินิ่งไปเล็กน้อย ราวกับกำลังรวบรวมถ้อยคำแล้วจึงเล่าต่อ
ต่อมาพวกเขาได้เกิดข้อวิวาทกับเหล่าเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งมนตรา ชนพวกนี้เก่งกาจทางด้านการสร้างศาสตราลงอาคมและชำนาญในการบงการธรรมชาติซึ่งได้เปรียบกว่าเหล่าจอมเวททั้งหลายมาก เพราะกว่าพวกเราจะใช้คาถาแต่ละครั้งต้องเสียเวลาในการร่ายเวทจึงเป็นเหตุให้ มาร์วัลลัสเพลี่ยงพล้ำจนเกือบจะเสียเมือง แต่แล้วจู่ๆก็มีจอมเวทคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอาวุธที่ลงอักขระมนตราอันรุนแรง เพียงเขาเหวี่ยงอาวุธชิ้นนั้นเข้าใส่กองทัพเอลฟ์แค่สามครั้ง ศาตราของพวกนั้นก็ถูกทำลายจนพินาศ เหล่าเอลฟ์จึงถอยร่นกลับไปอยู่ตามป่าอีกครั้งและไม่กล้าออกมาก่อความวุ่นวายกับชาวมาร์วัลลัสอีกเลย
แล้วมันเกี่ยวกับคนเหล่านี้ยังไงกัน
โมไดถามแทรกขึ้น เขาหยิบผลไม้ส่งเข้าปากขณะที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ ฟอร์เซ็ตติเหลือบสายตามองดูเด็กหนุ่มเล็กน้อยจึงเล่าต่อ
ราชาผู้ปกครองมาร์วัลลัสในเวลานั้นพอใจชัยชนะที่ได้รับเป็นอย่างมากจึงได้จัดการคัดเลือกจอมเวทที่มีความรู้ทางด้านการรบและมอบหมายให้พวกเขารับผิดชอบหน้าที่การสร้างอาวุธเวทรวมทั้งคิดค้นมนตราที่รุนแรงเพื่อใช้สำหรับการต่อสู้ และเรียกเขาเหล่านั้นว่านักรบเวทแต่ก็มีจอมเวทบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ พวกเขาพยายามต่อต้านกลุ่มนักรบอย่างเงียบๆ มีการแบ่งระดับชนชั้นเพื่อกีดกันมิให้นักรบเหล่านี้มีอำนาจ เพราะพวกเขาคิดว่าการเป็นจอมเวทเป็นความวิเศษเหนือสิ่งอื่นใดดังนั้นจึงไม่ควรที่จะต้องสร้างอาวุธหรือศาสตราอาคมใดขึ้นมา ในที่สุดผู้นำเหล่านักรบเวทก็หมดความอดทน พวกเขาบุกเข้าไปในราชวังและพยายามจะจับองค์ราชาแห่งมาร์วัลลัสเพื่อสร้างข้อต่อรอง แต่พระองค์ทรงต่อสู้ขัดขืนจนผู้นำพลั้งมือสังหารกษัตริย์ของเขา
เป็นสิ่งที่แย่มาก
โมไดโพล่งขึ้น แต่ฟอร์เซ็ตติกลับส่ายหน้า
เหล่านักรบเวทถึงจะเจ็บใจที่ถูกกดขี่แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภักดีต่อกษัตริย์ เมื่อเหตุการณ์ร้ายแรงบานปลายไปจนถึงขนาดนั้น ผู้นำนักรบจึงยอมแพ้และเนรเทศตนเองเข้าไปอยู่ในป่าโดยไม่ยอมแตะต้องการสร้างอาวุธอาคมอีกเลย
ทุกอย่างควรจะยุติถ้าเหล่าจอมเวทยอมรามือ ระหว่างที่รอให้มาร์วัลลัสมีกษัตริย์องค์ใหม่มาปกครอง บรรดาจอมเวททั้งหลายก็เริ่มแย่งชิงและทำลายอาวุธลงอาคมของเหล่านักรบ รวมทั้งหาเรื่องจับกุมพวกเขามาลงโทษด้วยความผิดที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ เหล่านักรบเวทจึงเริ่มลี้ภัยไปรวมตัวกันอยู่ในป่า
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต่อต้านหรือขัดขืน เหล่าจอมเวททั้งหลายจึงรวมตัวกันร่ายอาคมแห่งเลือด สาปแช่งให้เหล่านักรบเวทต้องตกอยู่ในเงามืด และเริ่มไล่ล่าพวกเขาอย่างไร้ความปราณีโดยอ้างว่าชนเหล่านี้มีสายเลือดชั่วช้าเลวทราม
ในที่สุดเหล่านักรบเวทที่เหลือรอดจึงถอยไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าด้านเหนือติดกับชายแดนมอร์เซล เมื่อราชินีมีย์อาร์ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ พระนางได้ร่ายกำแพงมนตร์อันแข็งแกร่งล้อมรอบนครแห่งนี้ไว้ อาคมที่พระองค์ใช้เป็นเวทแห่งคำสาป หากแต่เป็นคำสาปซึ่งสร้างขึ้นเพื่อปกป้องเหล่านักรบมิให้ถูกชาวมาร์วัลลัสบุกเข้าไปล่าสังหารตามใจชอบได้อีกต่อไป
แล้วคำสาปที่พวกจอมเวทใช้กับชนเหล่านี้คืออะไร
โซลย์ถาม ฟอร์เซ็ตติกัดปากตนเองขณะตอบ
พวกเขาจะมีสภาพดุจตกนรกทั้งเป็นทุกคืนที่พระจันทร์มืดลงทั้งดวง
ยังไง โมไดถามขึ้นมาบ้าง คราวนี้จอมเวทหนุ่มกลับไม่ตอบ เขาเอนกายพิงพนักเก้าอี้และหลับตาลง เด็กหนุ่มทำท่าจะซักถามต่อด้วยความอยากรู้แต่โซลย์กลับห้าม
ข้าว่าน่าจะพอแล้วสำหรับคำถามต่างๆ เจ้าน่าจะรีบกินแล้วไปนอนพักจะดีกว่านะ
แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้านั่นมารู้จักกับคนที่นี่ได้ยังไงกัน โมไดพูดอย่างดื้อดึง แม่ทัพหนุ่มถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา
ไว้เราค่อยถามเขาวันหลังก็ได้
แต่ข้าอยากรู้ตอนนี้ เพราะถ้าเกิดเขาไม่ใช่พวกมาร์วัลลัสขึ้นมาจริงๆ แล้วที่เขาอ้างว่าได้รับคำสั่งมาจากองค์มีย์อาร์นั่นอาจจะเป็นแผนอะไรบางอย่างก็เป็นได้
เด็กหนุ่มพยายามหาข้ออ้าง โซลย์เม้มปากตนเองคล้ายพยายามระงับโทสะที่กำลังปะทุขึ้นมาแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจ
ข้าอุตส่าห์ยอมสละเลือดเข้ามาที่นี่กับเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องรักษาคำพูดของตัวด้วย เจ้าจอมเวท ว่ายังไง! ทำไมเจ้าจึงได้รู้จักคุ้นเคยกับคนของที่นี่ แล้วที่ว่าเจ้าไม่ใช่คนของมาร์วัลลัสนั่นมันหมายความว่าอะไร ที่สำคัญทำไมตาแก่นั่นถึงได้พูดทำนองว่าดีใจที่เห็นเจ้ากลับมาบ้าน
เพราะข้าเป็นคนของที่นี่ ฟอร์เซ็ตติโพล่งขึ้น พ่อของข้าเป็นนักรบเวทผู้สืบสายเลือดมาจากผู้นำในอดีตกาล
หา!
ทั้งโมไดและโซลย์พากันร้องอุทานออกมาพร้อมๆกันด้วยความตกใจในสิ่งที่ได้ยิน
*-*-*-*-*-*
เนื่องจากวันนี้เป็นวันมหาสงกรานต์ นับเป็นวันปีใหม่ของไทยเรา มูนนี่ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข แคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง ปละประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่หวังและตั้งใจค่ะ
มาคุยกัน
เอิ๊กซ์..จะเป็นลมกับฉากหนอนๆ อียซ์.. จับมาทอดกรอบกินซะให้หมดดีไหมนี่ เอ๊อกซ์... จอมเวทของเรากับโซลย์ก็ถือว่าคุยสนิทกันขึ้นมาได้อีกระดับ โมไดยังออกอาการเจง่ายๆตามเคย คงเป็นเพราะยังเด็กกว่าใครเขานั่นเอง ^^ จากคุณ : Psycho man - อ่านแล้วนึกถึงรถด่วนทอดเลยนะคะ ฮี่ ส่วนจอมเวทของเรา ยังมีการพัฒนามากขึ้นกว่านี้อีกค่ะ ^^
ถึงว่าทำไมสาวๆถึงได้กรี๊ดนายฟอร์เซ็ตติ กันนัก ก็คุณคนเขียนวาดออกมาสวยมากนี่เองครับ อิจฉาครับ มีแต่สาวรุมตอมรองจากจอมมาร แถมชอบไม่พอยังมีหนีบลับบ้านอีกด้วย แซวคุณมนเล่นนะครับ หลังจากที่ได้ยินเสียงกรี๊ดมาหลายตอนแล้ว จอมเวทเราเริ่มเปิดใจมากขึ้น โดยเฉพาะกับโซลย์นี่ เป็นพัฒนาการที่ดีครับ จากคุณ : kaburapat - นอกจากหล่อแล้วอาจจะเพราะนิสัยแนวซึนหน่อยๆด้วยมั้งคะเลยทำให้ฟอร์เซ็ตติดูน่ารัก ส่วนจอมมารออกแนวหนุ่มโฉด มีน้องๆบางคนชอบความกวนของดมไดเหมือนกันค่ะ
โอ ฟอร์เซ็ตติน่ารักจัง ขอเขกกะโหลกเจ้าโมไดซัก 19 ที จากคุณ : scottie - อย่างโมไดน่าจะโดนสักร้อยที กวนเหลือเกิน
ใช่ โมไดใช้รันนิ่งได้คล่องขึ้นมาก พึ่งพาได้เยอะแล้ว แต่ยังคงความกวนไว้อย่างคงเส้นคงวา จากคุณ : zoi - พึ่งพาได้แยะ ถ้ามองข้ามความยียวนกวนอารมณ์ไปนะคะ ^^
อ้อ ครับ ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ ^^ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่ผมชอบมากครับ จากคุณ : zeros - ขอบคุณมากค่า ดีใจจังที่มีคนชอบ มูนนี่เองก็รักนิยายเรื่องนี้มากที่สุด
วันนี้ขอลงภาพการ์ตูนสั้นๆของสามหนุ่มระหว่างการเดินทางนะคะ สบายๆรับวันสงกรานต์
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากๆค่ะ ^____^
จากคุณ |
:
moony (Moony_Lupin)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันมหาสงกรานต์ 54 10:43:58
|
|
|
|