มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๖ : เส้นทางลับ
|
 |
+++ สงกรานต์ปีนี้ไม่ได้เล่นน้ำอีกตามเคย แหะ แหะ แต่ก็ตัวเปียกเพราะน้ำฝนอยู่ดี สงสัยปีนี้เทวดาท่านคงอยากเล่นน้ำด้วยน่ะค่ะ วันที่ 13 เลยมืดฝนทั้งวันเลย แต่วันที่ 14 กะวันนี้แดดออกเช้ง เฮ่อ ให้มันได้แบบนี้สิ+++
บทที่ ๖ : เส้นทางลับ
ล่วงเข้าเพลาสายแสนหลวงจึงกลับเข้ามาในคูหาหินอีกคำรบ ภายหลังจากกลับออกไปเมื่อรุ่งสาง นายโจรหนุ่มผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีสมุนโจรคนใดล่วงล้ำเข้ามาในบริเวณที่เป็นที่พักของมิ่งแก้ว จักเป็นเพราะเข้าใจกันไปเองว่านายเอ็นดูแม่สาวน้อยเต็มที่เมื่อราตรีนี้หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตามแต่ หากเขาก็พอใจนักแล้ว ชายหนุ่มยิ้มมุมปากน้อยๆ อย่างนึกขันตนเอง ลูกน้องเข้าใจว่านายได้เมียเพราะเห็นหายลับเข้ามาในส่วนรโหฐานแล้วอยู่แรมคืนด้วยนางจนตลอดรุ่ง แต่หารู้ไม่ว่านายของพวกมันต้องนอนอยู่กับพื้นเย็นเยียบ แล้วยกให้ 'เมียนาย' นอนบนแท่นหินกว้างที่จัดไว้ต่างเตียงนอนอย่างสบาย โชคยังเข้าข้างที่พวกมันรู้การควรมิควร ไม่มีสายตาแอบมองคู่ใดโผล่มาให้รู้ให้รำคาญใจสักน้อย แต่เขาจักต้องอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้ไปจนถึงเมื่อใดเล่าหนา
มิตรน้อยนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้วเมื่อไปถึง มิ่งแก้วส่งยิ้มมาให้แทบจักทันทีที่เห็นร่างสูงเดินเลี้ยวเหลี่ยมผนังถ้ำเข้ามา รอยยิ้มสดใสทำให้แสนหลวงพลอยสดชื่นไปด้วย จนลืมไปแล้วว่าเมื่อวันวานเขาพานางมาที่นี่ด้วยวิธีใดแลในฐานะใด
กินข้าวงายแล้วรึ
มิ่งแก้วส่ายหน้าพลางเลื่อนขันโตกที่วางแอบไว้มุมหนึ่งออกมาตรงหน้า อดยิ้มขันไม่ได้เมื่อคิดถึงคนที่ยกมันเข้ามาให้ ท่าทางพินอบพิเทาผิดกับวันวานลิบลับ อยากจักใค่หัวก็ใค่หัวมิออก ครั้นจักฉิวก็ไม่ถนัดเช่นกัน ความจริงระหว่างคนสองคนกับความเข้าใจของคนนอกบางทีก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่สำคัญกว่านั้นลองว่าปักใจเชื่อแล้วก็ยากแก้ไขเสียด้วย
ท่า๑พี่อยู่ กินเสียด้วยกัน
ท่าพี่? พี่เอาแน่นอนมิได้หรอกมิ่งแก้ว กินนอนมิเคยเป็นเพลา คราวหน้าอย่าทำเยี่ยงนี้อีกหนา ฉวยพี่กินมาแล้วเจ้าจักหิ้วท้องคอยเก้อ
แต่เห็นทีว่าครานี้มิใช่คอยเก้อแน่ พี่ดูเถิด ข้าวปลานักเยี่ยงนี้ให้คนเดียวกินจักเสี้ยงรึ
นางว่ากลั้วหัวเราะ แสนหลวงมองดูอาหารในสำรับแล้วก็ทำหน้าพิพักพิพ่วน แท้ดั่งที่อีกฝ่ายว่า แค่ข้าวนึ่งห่อตองตึงใบใหญ่นี่ก็มากพอที่ให้สามคนกินเสียด้วยซ้ำ ส่วนกับข้าวอื่นๆ นั้นยังมิเท่าใด มาสะดุดเอาที่ไข่ไก่ที่มิรู้ว่าพวกมันไปเสาะหามาจากที่ใดถึง ๕ ฟองมาหมกไฟวางรวมมาในโตก เจ้าพวกนี้เห็นทีจักรู้ดีเกินไปเสียแล้ว นายโจรหนุ่มเงยหน้ามองมิ่งแก้วพลางยิ้มปุเลี่ยนๆ มิรู้จักเอ่ยวาจาเยี่ยงใด มิ่งแก้วเสียอีกที่ยิ้มชอบใจแล้วหยิบไข่ไก่หมกไฟฟองหนึ่งมาต่อยเข้ากับขอบโตกและแกะเปลือกออกให้
กินเถิดพี่ ข้าจักแกะให้
มิ่งแก้ว นี่เจ้าแสร้งไม่รู้หรือไม่รู้แท้ๆ กันแน่
คนถูกถามไม่ตอบ กลับเงยหน้าขึ้นมองคนถามโดยไม่พูดจาว่ากระไร หากนิลน้ำงามคู่นั้นเป็นประกายพราวอย่างทะเล้นแกมซุกซนแทนคำตอบสิ้นแล้ว มิหนำยังยื่นไข่จ่อมาถึงปากของแสนหลวงเสียอีก โจรหนุ่มจำใจต้องรับมากัดกินจนหมดแล้วจึงบ่นอุบ
นี่ถ้าเจ้าเป็นน้องสาวพี่แท้ๆ พี่เห็นจักต้องตีเสียหน่อยแล้ว เป็นแม่ญิงทำเยี่ยงนี้ได้ฤๅ
มิ่งแก้วหัวเราะคิกกับประโยคท้าย ถ้อยคำที่ได้ยินเสียจนชาชินมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ อุตส่าห์หลีกเร้นเข้ามาสู่รังโจรแล้ว ยังมิวายที่จักได้ยินวาจาเยี่ยงนี้จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าชุมโจรอีก หากเอื้องคำตามมาแลได้ยินเข้าคงจักได้เพื่อนมาขนาบกิริยาวาจาของนายอีกคนแล้ว เคราะห์ดีนักที่ไม่ยอมให้นางตามมาด้วย
แม่ญิงมิใช่คนฤๅไร ไยต้องแบ่งแยกว่านี่ชายทำได้ แม่ญิงทำไม่ได้
มันไม่งาม
อันใดคือความงามไม่งามเล่าพี่ แม้นมองด้วยฮีตคลองแล้วข้าไม่เถียงหรอกหนา แต่จักให้ฮีตคลองมากั้นเสียจนขยับมิได้เลยก็ล้ำไป ข้าคงเป็นแม่ญิงที่แปลกอยู่สักหน่อยกระมัง ข้าจึงคิดจึงมองไม่เหมือนคนอื่นเขา
มิใช่แปลกหรอกมิ่งแก้ว พี่เชื่อว่าคนที่คิดเยี่ยงเดียวกับเจ้านั้นมีอยู่ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่เขามองแลตัดสินมาแล้วว่าสิ่งนั้นงาม สิ่งนี้ไม่งาม ถึงจักไม่เห็นคล้อยก็ขอให้ฟังสักน้อย อาจจักฝืนใจบ้างแต่ก็มิได้หนักหนาที่จักทำตามมิใช่ฤๅ
แสนหลวงว่าเสียงอ่อนด้วยเห็นว่าแม่ญิงเยี่ยงมิ่งแก้วนั้น หากใช้ไม้แข็งกับนาง ใช่เพียงมิยอมฟังเท่านั้นแต่จักยังแย่งไม้มาหักขว้างเอาเสียด้วย นางมิใช่คนดื้อแต่อย่างใด เพียงใช้ไม้อ่อนกับนางนางก็ยินดีจักรับฟัง ถึงจักเปลี่ยนความคิดนางมิได้ก็ตามที หากนั่นก็จักทำให้นางหยุดฟังแลตรองตามคำสอนนั้น เขายิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยมีรอยครุ่นคิด
ไม่มีผู้ใดทำถูกใจผู้อื่นทั้งหมดหรอกมิ่งแก้ว แลไม่มีผู้ใดที่จักเห็นคล้อยตามเราได้ทั้งหมดเฉกกัน ด้วยเหตุนี้เพื่อมิให้เกิดการกระทบกระทั่งอย่างหนึ่งอย่างใด เจ้าจักต้องหาตรงกลางที่เราแลผู้อื่นคิดแลเห็นไปในทางเดียวกันให้ได้ การที่เรายอมเขามิใช่เราแพ้หนา
มิใช่สอนนางเพียงประการเดียว หากยังสอนตนเองไปในคราวเดียวกัน สิ่งที่เขาได้ตัดสินใจครานี้จักมีผู้เห็นด้วยสักกี่คนก็สุดรู้ ฝ่ายมิ่งแก้วได้ฟังก็นั่งนิ่งไปพักใหญ่ แสนหลวงเองก็มิได้เอ่ยวาจาต่อความว่าอย่างใดอีก คงปล่อยให้นางไตร่ตรองด้วยตนเองโดยมิได้รบกวน นานเท่านานกว่าที่นางจักเอ่ยเอื้อน
ข้าขอขอบใจพี่นัก พี่แสนหลวง
นายโจรหนุ่มมิได้เอ่ยวาจาตอบไป คงยิ้มรับแต่เพียงนั้นก่อนจักแบ่งข้าวนึ่งออกเป็นสองก้อนแล้วยื่นส่งให้อีกฝ่ายก้อนหนึ่ง มิ่งแก้วรับมาแล้วมองหน้าเข้มคมนั้นด้วยสายตาที่ยากจักหยั่งใจนางได้ว่าเพลานี้นางรู้สึกเยี่ยงใด นางมองแสนหลวงอยู่เช่นนั้นอยู่ชั่วอึดใจก่อนจักเริ่มลงมือกินข้าวงายโดยไม่ได้พูดจาอันใดต่อกันอีก
สองร่างเดินจูงมือเคียงกันออกมาจากด้านในถ้ำ ลักษณาการเยี่ยงนั้นทำให้สมุนโจรหลายคนฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่ระวังกิริยา บ้างก็ก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม แสนหลวงมองกิริยาท่าทางเหล่านั้นแล้วก็อดที่จักระบายลมหายใจยาวมิได้ เมื่อเหลือบมองมาทางคนตัวเล็กที่เดินเคียงข้างก็เห็นวางตัวเป็นปกติดีอยู่ก็นึกชมอยู่ในใจ มือบางที่เกาะกุมนั้นบีบลงเสมือนหนึ่งเตือนให้เขาอย่าลืมเลือนว่าได้ทำการสิ่งใดอยู่ แสนหลวงบีบมือตอบกลับแล้วค่อยจูงมือนางเดินต่อไป กิริยาอาการที่เป็นธรรมชาติเฉกหนุ่มสาวข้าวใหม่ปลามันที่ทั้งสองแสดงออกนั้น มากพอที่จักทำให้สมุนโจรเชื่อโดยสนิทใจ หากมีสายตาคู่หนึ่งกลับมองเห็นแผกออกไป ทว่าเมื่อแสนหลวงเบนสายตามา เจ้าตัวก็รีบซ่อนแววสงกานั้นเสีย
ข้าจักพามิ่งแก้วไปเดินเล่นสักน้อย ตะวันตรงหัวจักกลับมา
นายท่านจักพาแม่ญิง เอ้อ นายหญิงไปที่ใดเจ้า
คำแปงเอ่ยถามเสียงขรึม นัยน์ตาจ้องจับผู้ที่ตนเรียกว่านายหญิงอย่างไร้ซึ่งความเคารพ ไม่ว่าจักอย่างใดในสายตาเขา แม่ญิงผู้นี้มีบางสิ่งที่มิควรไว้วางใจ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนายจึงปกป้องแลให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนี้ คำแปงนึกย้อนถึงเมื่อวันวานที่เขากระซิบถามเรื่องจักให้นางเป็นศรีชุมโจร ทว่าคนเป็นนายมิได้พยักหน้ายินยอมดั่งเคย ตรงข้ามกลับตวาดปฏิเสธเสียงแข็งเสียด้วยซ้ำ มิหนำยังพานางขึ้นไปบนลานแสงดาว สถานที่ซึ่งโจรทุกคนมิเคยเหยียบย่างขึ้นไปหากนายมิได้อนุญาต แต่กับนางผู้นี้ แสนหลวงกลับจูงมือนางขึ้นไปบนนั้นแลอยู่ด้วยกันจนดึกดื่นค่อนคืน เขาใคร่จักคิดว่านายมีจิตปฏิพัทธ์ในตัวนางแล้ว หากมิได้เห็นสายตาบางอย่างของนายโจรหนุ่ม
แถวนี้ล่ะหนา มิไกลหรอก
แสนหลวงตอบอย่างระมัดระวัง ใบหน้าคมเข้มเรียบนิ่งเฉกเดียวกับแววตา ซึ่งนั่นทำให้มิมีผู้ใดกล้าถามเอาความสืบต่อไป แม้แต่คำแปงเองก็มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาอีกแม้สักครึ่งคำ หากทุกคำถามที่สงกาดังอึงอลอยู่ในใจตน เขามองตามแสนหลวงที่จูงมือมิ่งแก้วเดินผละไปด้วยแววตาครุ่นคิด แลภาวนาขอให้สิ่งที่ได้เห็นจากนัยน์ตาสีเหล็กคู่นั้นจงเป็นเพียงความเข้าใจผิดของตนเถิด ขออย่าให้แสนหลวงหลงลืมวาจาที่ได้ลั่นไว้เมื่อครั้งออกจากเวียงตองเทียนนั้นเลย
พ้นอาณาเขตที่พักแล้ว อาณาบริเวณโดยรอบล้วนเป็นทางเดินดินแดงปนหินแลลาดชันทั้งสิ้น แต่ก็กว้างพอที่จักให้คนสองคนเดินเคียงกันไปได้ มิ่งแก้วเห็นแล้วจึงแจ้งใจว่าเหตุใดแสนหลวงจึงบอกเมื่อวันวานว่าไม่มีที่พอจักให้เลี้ยงม้า ด้วยแถบนี้แทบไม่มีหญ้าอันเป็นอาหารของพวกมันขึ้นอยู่เลย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าไม่มีแหล่งน้ำเอาเสียด้วย การผูกม้าเลี้ยงไว้ด้านล่างจักง่ายแลสะดวกกว่ามากนัก อาจจักขลุกขลักอยู่บ้างเพลาลำเลียงเสบียงขึ้นมาด้านบน แต่ก็มิได้ลำบากมากนัก มิ่งแก้วกำลังจักเอ่ยปากถามว่าเหตุใดจึงไม่พาพวกมันขึ้นไปเลี้ยงบนลานแสงดาว นายโจรหนุ่มก็คล้ายจักล่วงรู้ใจนางจึงพูดขึ้นเสียก่อนว่า
ลานแสงดาวมีหญ้ามากพอให้เลี้ยงก็จริง แต่พี่ถือเรื่องจักเอาสัตว์ขึ้นไปเลี้ยงบนหัวนอน อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่มีโจรคนใดกล้าขึ้นไปบนลานหากมิได้รับอนุญาตจากพี่
เป็นที่หวงห้ามฤๅ
ก็มิเชิงเป็นดั่งนั้น แสนหลวงว่ากลั้วหัวเราะ เพียงแต่ที่นั่นเป็นที่ที่พี่ชอบขึ้นไปเพลามีเรื่องไม่สบายใจ พี่ชอบขึ้นไปนอนดูดาวตากน้ำค้างเยี่ยงที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ เจ้าพวกนั้นเห็นพี่ขึ้นไปก็มิกล้าตาม เมินเข้าเลยเป็นของพี่คนเดียว
มิ่งแก้วพยักหน้ารับรู้ นางนิ่งเงียบไปอย่างชั่งใจว่าควรถามอีกฝ่ายดีฤๅไม่ แต่สายตาไม่เป็นมิตรของคำแปงที่มองนางเมื่อครู่ก็ยังตามมารบกวนจิตใจมิรู้วาย สายตาเยี่ยงนี้หากมองว่าเกิดขึ้นเพราะนางเป็นแม่ญิงแปลกหน้าที่ร่วมอยู่ในชุมโจร แลเข้าสนิทสนมด้วยตัวนายภายในเพลาเพียงชั่วข้ามคืนก็ได้อยู่ แลจักมองว่าเป็นการประกาศศัตรูก็ได้เฉกกัน มิ่งแก้วคิดทบทวนตรองหาเหตุผลมารับรองข้างที่ว่านางเป็นคนแปลกหน้าที่ก้าวสู่ชั้นนายหญิงแล้ว ก็มิเห็นเหตุผลอันใดที่คำแปงต้องใช้สายตาเยี่ยงนี้หากเขาเชื่อว่ามิ่งแก้วเป็นแม่ญิงธรรมดา
คิดอันใดอยู่มิ่งแก้ว
เสียงทุ้มถามมาเมื่อเห็นคู่สนทนาจู่ๆ ก็เงียบไป มิ่งแก้วมองหน้าแสนหลวงอยู่สักชั่วอึดใจก่อนตัดสินใจถาม
คำแปงเป็นคนอย่างใดฤๅพี่
ครานี้แสนหลวงเป็นฝ่ายนิ่งไปน้อยหนึ่ง ใช่เขาจักไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่คำแปงแสดงออก นายโจรหนุ่มระบายลมหายใจยาวอย่างหนักอก
คำแปงเป็นสหายพี่ เราเป็นนายกองของเวียงตองเทียนเช่นเดียวกัน กล้าได้กล้าเสียแลยึดมั่นในคำสัตย์นัก เมื่อก่อนเขาเป็นคนใจดีโอบอ้อม แต่พอเกิดเรื่องขึ้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นคนละคน ดุดัน พร้อมจักเข่นฆ่าทำลาย ฝีมือการต่อสู้ก็ยากจักหาผู้ใดเทียบ แต่จุดอ่อนของคำแปงคือความเลือดร้อนมุทะลุ มคิดหน้าหลังให้รอบคอบ
นายกองของเวียงตองเทียนรึ
มิ่งแก้วทวนคำเบาๆ เวียงตองเทียน เวียงเล็กๆ เบื้องหรดีที่มีชายแดนประชิดกับธาตวากร ซึ่งเคยเป็นทางยาตราทัพของเวียงภูแก้วเมื่อครั้งศึกจินแสงมาก่อน แลเวียงเดียวกันนี้เองที่กลายเป็นเส้นทางเดินทัพธาตวากรมารุกรานอาณาจักรเวียงภูแก้วที่เคยมีความสัมพันธ์ดั่งมิตร มิ่งแก้วยังจำได้มิรู้เลือน มิใช่การศึกเมื่อครั้งนั้นหรอกฤๅที่ช่วยล้างมลทินร้ายแรงให้กับเจ้าหลวงเมืองคำ ข้างเจ้าหลวงเวียงตองเทียนเองก็ได้ความดีความชอบในราชการศึกไม่น้อย แล้วนี่เกิดอันใดขึ้นกับเวียงนั้น
ธาตวากรส่งทัพย่อยมาประชิดชายแดน เจ้าหลวงทรงหมายว่าจักพิชิตศึกได้ตามลำพัง จึงมิได้ส่งใบบอกเข้ามาทางเวียงภูแก้วแต่อย่างใด แลพวกเราพลาด พวกเราประเมินกำลังของพวกมันผิดไป กว่าจักรู้ตัว กว่าจักแก้ไขก็สายเสียแล้ว พวกมันรุกเข้าเวียงได้แลจับเจ้าหลวงปลงพระชนม์ ธาตวากรให้อัคนีแม่ทัพที่คุมพลมาขึ้นนั่งเมืองแทน ประชาชนเวียงตองเทียนเดือดร้อนหนักเพราะมันขูดรีดภาษี แลทำตนเป็นโจรปล้นเสียเอง คุ้มหลวงที่เคยเป็นที่ว่าราชการ บัดนี้กลายเป็นชุมโจรดีๆ นี่เอง แลใช่เพียงปล้นประการเดียว พวกมันยังฉุดคร่าแม่ญิงไปย่ำยีแล...ฆ่า
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
วันเถลิงศก 54 19:06:34
|
|
|
|