Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
PSYCHO HELL (จอมใจอเวจี 6).........ความรักความหลัง ติดต่อทีมงาน

ตอนที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10443255/W10443255.html

-----------

ไนท์ และเฟรี่ ข้ามแม่น้ำแห่งความตาย มายังดินแดนของปีศาจขาว
แต่กลับได้รับการต้อนรับดีเกินคาด
เฟรี่ได้รับเชิญไปทานอาหารเที่ยง
ในขณะไนท์หายหน้าไป

-----------

“ลองอาหารจานโปรดนี้ดูก่อน อร่อยนะ”

กับคำพูดง่ายๆสั้นๆ แต่พอนางฟ้าตกสวรรค์มองแล้วต้องตาค้างประสาทลั่นครืนปะทุเป็นไฟพะเนียง สมองดูเหมือนว่าจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ

อาหารในจานแรกที่เปิดคือ ศีรษะของไนท์ วางอยู่ท่ามกลางผักมากมาย


+++


เฟรี่ร้องกรี้ดสุดเสียง ลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้ล้มโครมครามถอยออกไปด้านหลังอย่างตกใจสุดขีดกับภาพซึ่งไม่ทันคาดคิดเอาไว้สายตาเหมือนถูกตอกตรึงให้จ้องมองค้างคาอยู่เช่นนั้น

ปีศาจขาวกลับมาท่าทางสงบนิ่งจนเหลือเชื่อ สักพักก็หยิบตะเกียบคู่หนึ่งยื่นปราดออกไปเคาะเบา ๆ บนศีรษะของไนท์ ทันใดนั้นเองภาพเบื้องหน้าพลันสลายไป กลับกลายเป็นผักกองหนึ่งอยู่บนจาน

นางฟ้าตกสวรรค์ปากอ้าตาค้างไปแล้ว

เหตุการณ์ข้างหน้าเหมือนหลุดออกมาจากฝันร้าย แต่ทำให้ยังอกสั่นขวัญแขวน แม้ว่าในจานตอนนี้จะเป็นเพียงผักหลายชนิดเท่านั้น ไม่ใช่ศีรษะของคนแต่อย่างไร

ปีศาจสาวเจ้าของตึกผู้ลึกลับเหมือนกำลังมองหน้าแขกผู้มาเยือนแล้วยิ้มเล็กน้อย พูดช้าๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ไม่มีอะไร เป็นเพียงการทักทายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

“ทักทายอะไรกัน...”

เฟรี่เริ่มได้สติและเริ่มรู้ว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของการล้อเล่นรุนแรงสะเทือนขวัญ

“เอาหัวคนมาวางในจานแบบนี้ไม่ตกใจตายก็บุญแล้ว”

“ไม่ตกใจตายก็บาปแล้วต่างหาก” ปีศาจขาวว่า

“สำคัญว่านั่นไม่ใช่หัวของใครทั้งนั้น เจ้าคิดไปเองแท้ๆ อย่าไปเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามองเห็นสิ อย่าลืมว่าตอนนี้เราอยู่ในดินแดนขอบอเวจี สังคมวัฒนธรรมของดินแดนแห่งนี้ย่อมผิดแผกแตกต่างออกไปจากที่เคยชิน ตั้งสติ ทำใจให้สงบ บางทีจะเห็นความจริง”

“ไม่มีความจริงอะไรทั้งนั้น”

อีกฝ่ายสวนกลับด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์เดือดพล่านภายใน ไม่ได้สนใจว่าคู่สนทนาจะเป็นจอมปีศาจสาวผู้มีกำลังฝีมือร้ายกาจขนาดไหนเพียงไร

“ที่นี่มีแต่ความหลอกลวงไม่จริงใจเสแสร้ง ข้าไม่อยู่ด้วยแล้ว”

พูดจบก็ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ประโยคต่อมาของฝ่ายตรงกันข้ามทำให้ต้องหยุดชะงัก

“จะไปไหน..คิดหรือว่าออกจากห้องนี้ไปแล้วจะรู้ว่าจะเดินทางไปไหนต่อ”

นั่นสิ....ออกจากที่นี่แล้วจะไปไหนต่อ โลกแห่งนี้เป็นดินแดนไม่คุ้นเคยแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่มีทางเสียล่ะจะยอมแพ้ง่ายๆ

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็จะไป”

“ท่าทางเจ้าดื้อและเอาแต่ใจพอสมควรเลยนะ”

“นั่นมันเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน ข้าจะไป จะไป จะไป”

ปีศาจสาวนั่งฟังแล้วมุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย นางฟ้าตกสวรรค์คนนี้ท่าทางเอาแต่ใจจริงๆ

“ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะนั่งลงก่อน”

สาวรับใช้ซึ่งยืนอยู่อย่างสำรวมนอบน้อมข้างประตุมองแล้วพยักหน้ายิ้มเหมือนจะบอกว่าให้ทำตามคำแนะนำของเจ้าบ้าน สีหน้าท่าทางเป็นมิตรของคนรับใช้ทำให้อารมณ์เดือดของเฟรี่ค่อยลดลง เดินกลับไปหยิบเก้าอี้ตั้งขึ้น ก่อนนั่งลง แต่ไม่วายทำตาขวางอย่างไม่พอใจ

“เปิดอีกถาดไหม”

เจ้าของบ้านเอาตะเกียบชี้บอก คู่กรณียิ้มแค่นๆ

“คราวนี้จะเป็นหัวของใครอีกล่ะ”

“อาจจะเป็นหัวของเจ้าก็เป็นได้ ว่าไง ไม่อยากเปิดดูหรือ”

น้ำเสียงนั้นมีแววท้าทายอยู่ในที เป็นน้ำเสียงฟังแล้วขวนให้โมโหอย่างบอกไม่ถูก เฟรี่กัดริมฝีปาก รู้สึกว่านัยน์ตาสีขาวจัดจ้านั้นเหมือนกำลังจ้องมองอยู่ แบบนี้เรื่องอะไรจะยอมแพ้ ถึงจะกลัวและระทึกเพียงไรก็ยอมไม่ได้แล้ว

ในที่สุดก็เอื้อมมือไปจับหูของฝาครอบ หลับหูหลับตาเปิดฝาออกโดยไม่ยอมมอง

“เป็นอะไรไป” หูแว่วเสียงถากถาง

“หลับตาเปิดแบบนั้นจะรู้เรื่องอะไร ดูให้ดีสิว่าคราวนี้เป็นหัวของใคร”

ค่อยๆหรี่ตาอย่างช้าๆ และมีชั้นเชิงให้สายตาปรับภาพทีละนิด เห็นอะไรท่าทางไม่ดีจะได้รีบหลับตา ถ้าเป็นหัวของใครต่อใครอย่างน้อยก็พอตั้งหลักได้ เพราะรู้ว่ามันไม่จริง ถ้าตั้งสติให้ดีก็พอจะรับมือได้

ไม่มีหัวของใคร

ที่วางอยู่ในจานเป็นผักหลายชนิด

ยิ้มออกมาได้ แถมยังมีการหันไปมองเจ้าของบ้านแล้วแยกเขี้ยวฉีกยิ้มให้แบบกวนๆเหมือนจะบอกว่า เห็นไหม ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย

“ก็แค่ผักธรรมดา”

“ใช่ ผักธรรมดา ปกติข้าทานผักเป็นประจำ”

“อ๋อ...ทานมังสวิรัติ”

“จะเรียกว่าอะไรก็ช่างเถอะ ความจริงก็คือข้าไม่ทานเนื้อทุกชนิด”

“อ้าว...”

หญิงสาวร้องเสียงสูงแบบไม่เชื่อ
“ท่านเป็นปีศาจตามหลักสากลก็ต้องกินเนื้อสดๆดิบๆ ดื่มเลือดเป็นอาหาร ไม่ใช่หรือ”

“ใครบอกเจ้าแบบนั้น”

“คนบ้าๆใส่หน้ากากบ้าๆนั่น”

“ไนท์”

ใช่”

เฟรี่พยักหน้ารับ นึกภาพคนบ้ากับหน้ากากบ้าๆเดินหายลับไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น คิดแล้วแค้นเหลือเกิน คนบ้าอะไรไม่มีมรรยาทเลยสักนิด

“เจ้าเชื่อเขา”

“ข้าไม่เชื่อใครทั้งนั้น”

“แล้วตามเขามาทำไม”

ปีศาจขาวยังคงถามต่อไปเรื่อยๆ แขกผู้มาเยือนทำหน้าบอกบาปไม่รับแล้วพุดอย่างไม่พอใจว่า

“ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรนี่นา ข้าไม่มีทางเลือกก็ต้องเลือกทางที่พอมีอยู่เท่านั้น แม้ว่าทางเลือกนั้นจะไม่เข้าท่าอะไรเลยก็ตาม”

“ทางเลือกไม่เข้าท่าหรือ”

“แน่นอน”

ปีศาจสาวหัวเราะในลำคอ ยกตะเกียบทำท่าบอกเป็นการเชิญชวนให้ลองกินอาหารเบื้องหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย

“เจ้าไม่ลองกินดู ผักที่นี่อร่อยนะ หรือว่าเจ้าจะกินเนื้อ ข้าจะให้คนครัวจัดทำมาให้”

“ไม่ต้องแล้ว ข้ากินผักได้”

หญิงสาวรีบบอก ไม่แน่ใจว่าเนื้อที่ว่าจะเป็นเนื้ออะไร บางทีอาจจะเป็นเนื้อปีศาจอสุรกายย่างไฟหรือทอดกรอบมาก็เป็นได้ หรืออาจเป็นเนื้อดิบๆฉ่ำเลือดแบบนั้นใครจะไปกินลงคอ

ผักเรียงรายบนจานดูแล้วไม่คุ้นเคยเลยสักนิด สมัยเรียนแน่ใจว่าวิชาพฤกศาสตร์ของเธอทำคะแนนได้ดี แต่พืชพักพวกนี้ไม่คุ้นหน้าค่าตาเอาเสียเลย

ลองเขี่ยๆดูสองสามสี่ครั้ง จะเป็นเนื้อปลอมตัวเป็นผักมาไหมนะ..

แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหมือนจ้องมองอยู่แบบกึ่งเชิญชวนกึ่งท้าทาย ก็ตัดสินใจเอาตะเกียบคีบผักขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กลั้นใจกัดฟันใส่ปาก หลับหูหลับตาเคี้ยวดูแบบเตรียมพร้อมจะถ่มทิ้งทันทีถ้าเห็นท่าไม่ดี

แต่แล้วก็ทำตาวาวเป็นประกายอย่างไม่เชื่อ เรียนกว่าอ้าปากค้างพักหนึ่งก็ว่าได้ ในที่สุดก็ยิ้มและหัวเราะออกมาเสียงใสก่อนบอกอย่างตื่นเต้นว่า

“อะไรกัน ผักนี้อร่อยมากเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีของแบบนี้”

“ในโลกของเจ้าไม่มีพักแบบนี้เลยหรือ”

“ไม่มี”

เฟรี่สั่นหน้าตอบ แล้วเริ่มใช้ตะเกียบคีบฝักในจานเข้าปาก ลืมเรื่องตื่นเต้นตกใจในตอนแรกไปจนหมดสิ้น

“ในโลกของข้าไม่มีผักอะไรอร่อยแบบนี้  ว่าแต่กินมากๆจะเป็นอะไรไหมนี่”

“วางใจได้”

ปีศาจเจ้าบ้านบอก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอยู่เล็กน้อยกับอาการของแขกผู้มาเยือนซึ่งเปลี่ยนอารมณ์ได้ง่ายเหลือเกิน

“ถึงที่นี่จะเป็นโลกของปีศาจแต่การรับรองแขกผู้มาเยียนของเราไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแอบแฝงอยู่แน่นอน ไม่มีการวางยา ไม่มีการปรุงสารพิษอะไรทั้งนั้นไว้ใจได้ และผักพวกนี้มันดีต่อสุขภาพด้วยนะ”

“ฟังแบบนี้ค่อยยังชั่ว”

เฟรี่ยิ้มไปพูดไปกินไป

“กินแล้วไม่อ้วนด้วย พลังงานต่ำทำให้อิ่ม ตำราบอกว่าโลกของปีศาจมีแต่สิ่งของไม่ดี เห็นท่ากลับไปจะต้องเขียนหนังสือร้องเรียนเบื้องบนเสียแล้วว่าเนื้อหาหนังสือมันผิดพลาดไปหมด”

คราวนี้เจ้าบ้านสาวฟังจนหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก ก่อนถามว่า

“เจ้าจะร้องเรียนใคร”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ตอบแบบหน้าตาเฉย กินต่อไปแบบไม่ยอมหยุดไม่ต้องเกรงใจเจ้าบ้าน อยากเชิญมากินดีนัก กินเสียให้เข็ดการสนทนาหยุดไปครู่หนึ่งจนเฟรี่เงยหน้าขึ้นมาจากจาน เอามือลูบท้องเป็นทีบอกว่าอิ่มกินไม่ไหวแล้ว สาวรับใช้นำแก้วน้ำมาวางให้ทันใจ หญิงสาวยกดื่มแบบไม่สงสัยระแวงอะไรอีก เพราะถ้าจะโดนวางยาจริงๆ คงโดนตั้งแต่กินผักมายกใหญ่แล้ว

“ขอบใจท่านมากสำหรับอาหารมื้อเที่ยง”

บอกอย่างยิ้มแย้มและเป็นกันเองมากขึ้น ภาพอันน่ากลัวของปีศาจขาวผู้โหดร้ายคลุ้มคลั่งค่อยๆเลือนหายไป สตรีซึ่งนั่งข้างหน้ารูปลักษณ์ภายนอกแม้จะดูน่ากลัวโดยเฉพาะนัยน์ตาสีขาวจัดจ้าในขอบตาสีดำ แต่พอยิ้มแย้มออกมาก็ดูอบอุ่นและเป็นมิตรไม่น่ากลัวอะไรมากมายอย่างที่คิด

“ข้าดีใจที่เจ้าชอบ”

“ว่าแต่ท่านท่าทางจะมีเรื่องจะคุยกับข้านะ”

หญิงสาวตั้งข้อสังเกต พอท้องอิ่มอารมณ์ก็เริ่มดี แม้ยังจะไม่ทายถึงอนาคตของตนเองในภายภาคหน้าได้ก็ตาม

“ก็ไม่เชิง”

ปีศาจเจ้าบ้านวางตะเกียงลงเช่นกัน หันไปหยิบน้ำมาดื่มช้าๆไม่รีบร้อนจะพูดจะคุย แขกผู้มาเยือนต่างหากท่าทางอยากพูดอยยากคุยอยากรู้อยากเห็นมากกว่า

“ข้าคิดว่าบางทีเจ้าอาจจะรู้จักใครบางคน”

ในที่สุดปีศาจขาวก็เริ่มต้นสนทนา

“คนๆนั้นอยู่ในโลกของเจ้า บางทีเจ้าอาจจะช่วยข้าได้ ข้าเพียงอยากรู้ข่าวของคนๆนั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้”

เฟรี่สงบปากสงบคำฟังอย่างตั้งใจ ถึงจะเป็นคนเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจไม่ค่อยมีเหตุผลแต่ก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควรไม่ใช่จะเอาแต่อารมณ์ไม่ลืมหูไม่ลืมตา

“ข้ามีภาพและมีชื่อของเขาด้วย”

บอกพลางยื่นมือออกมา ส่งกระดาษเล็กๆใบหนึ่งให้ เฟรี่รับมาพลิกดูอย่างสนใจ นั่นเป็นภาพของบุรุษวัยกลางคนอายุอานามประมาณไม่ได้แต่คงใกล้เคียงกับเจ้าบ้านสาวคนนี้ ด้านหลังมีลายมือหวัดๆเขียนคำสั้นๆ

“มารอส”

กึ่งเอ่ยกึ่งถามเมื่ออ่านชื่อนั้นออกมา

“ใช่..นั่นชื่อของเขาล่ะ”

“เขาเป็นใครกัน”

เฟรี่ถามแม้จะเริ่มเดาออกแล้วว่าคนๆนี้เกี่ยวข้องกับปีศาจสาวคนนี้ได้อย่างไร

“เขาเป็นคนรัก..ไม่สิ เป็นอดีตคนรักของข้ามากกว่า”

นั่นไง... เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ปีศาจสาวผู้นี้มีเรื่องราวลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่คาดคิดไว้จริงๆ ไปๆมาๆกลับกลายเป็นตำนานความรักข้ามมิติไปแล้ว

“นานมาแล้วพวกเราเคยพบกันนอกมิติ”

ปีศาจสาวเล่าความหลัง

“เจ้าก็คงไม่เชื่อว่าความรักมันไม่มีขอบเขตไม่มีอะไรจะมาห้ามมาขัดขวางได้ถ้าคิดจะรักใครสักคนแต่ไม่ว่าความรักนั้นจะยิ่งใหญ่มั่นคงมากมายเพียงไรสุดท้ายก็ถูกความจริงดึงให้ห่างจากกัน เขาจำเป็นต้องกลับโลกของเขา ข้าจำใจกลับโลกของข้า หลังจากนั้นเราไม่เคยพบกัน”

แววตาของเฟรี่เริ่มมีประกายความเห็นอกเห็นใจขึ้นมาทีละน้อย

ความรักความจริงเป็นสิ่งมีมนตร์ขลังมีอาถรรพ์พิสดาร อยู่นอกเหนือเหตุผลและตรรกศาสตร์ใดๆ แต่นั่นล่ะมีอำนาจอันไม่อาจสลัดได้ของมัน คนมีความรักจะต้องเตรียมใจเตรียมกาย รับมือกับอีกด้านหนึ่งของความรักเช่นกัน จะเลือกรับรู้เพียงความหวานชื่นรอยยิ้มโดยไม่ยอมรับความทุกข์และหยาดน้ำตาไม่ได้

“ข้าไม่รู้จักเขา”

เฟรี่บอกช้าๆ ขณะสายตายังจ้องมองภาพในมืออย่างใคร่ครวญ

“แต่ไม่ยากหรอกถ้าข้ากลับไปได้ ข้าจะตามหาจนพบแล้วจะหาทางติดต่อกลับมายังท่านเอง ดังนั้นท่านต้องหาทางส่งข้ากลับให้ได้”

“เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของข้าสักหน่อย”

“อ้าว...งั้นข้าจะกลับได้ยังไง ใครจะตามหาข่าวคนรักของท่านให้”

“เจ้ามีคนนำทางอยู่แล้ว”

ปีศาจสาวบอกยิ้มๆ คนฟังทำหน้าไม่เข้าใจ อีกฝ่ายพูดอะไรอีกปล่อยให้คิดเอง ในที่สุดธิดาตกสวรรค์ก็พอจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

“ถ้าจะหมายถึงคนบ้าๆกับหน้ากากบ้าๆนั้น เขาหนีไปแล้ว ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วไม่รู้”

พูดถึงคนบ้าๆ หน้ากากๆ บ้าๆ นั้นอารมณ์พลอยขุ่นมัวขึ้นมาอีกเล็กน้อยถึงปานกลาง ทั้งแค้นทั้งโมโห

“เขาไม่ได้หนีเจ้าไปสักหน่อย เขาหาที่พักรักษาตัวเท่านั้น คนบ้าๆนั้นบาดเจ็บจวนเจียนตาย หากนิสัยอันไม่ยอมให้ใครยุ่งยากลำบากใจเลยหลบไปหาที่เงียบๆ เท่านั้น ไม่ต้องห่วง เขาหนีไปไหนไม่ได้ ข้าจับเขาตรึงไว้กับผนังถ้ำแล้ว”

จากคุณ : GTW
เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 21:02:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com