Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เล่ห์รักลวง บ่วงราชันย์ บทที่1 ติดต่อทีมงาน

ลิงค์บทนำค่ะ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10435025/W10435025.html



1...


เธอกำลังยืนต้านสายลมที่คลาคล่ำไปด้วยเม็ดทราย…

อณูละเอียดสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วผ่านใบหน้าแทรกไปตามเรือนผม สัมผัสร่างเธอราวกับว่าเป็นเพียงมายา เบื้องหน้าคือผืนทรายสีทองมีเนินทรายเล็กใหญ่เหลื่อมสลับทับซ้อนกันไปมองคล้ายลูกคลื่นพลิ้วผ่านไกลสุดสายตา


และที่สุดขอบฟ้าสีคราม โอเอซิสอันแสนร่มรื่น เต็มไปด้วยสีเขียวขจีกำลังร้องเรียกอยู่


เธอเผยอยิ้มแล้วออกวิ่ง วิ่งอย่างสุดกำลัง ย่ำลงไปบนพื้นทรายอ่อนนุ่มหากร้อนระอุราวกับทรายในกะทะคั่วเกาลัด


ทว่านั่นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นที่จะไปให้ถึงร่มเงาสีเขียวให้เร็วที่สุด


ไปที่นั่น เร็วๆ เข้า ก่อนที่มันจะจบลงเช่นเดิมอีกครั้ง


วินาทีที่เสียงจากหัวใจเร่งเร้า เท้าก็จมลงในหลุมทรายเล็กๆ ที่ขยายวงกว้างและดูดกลืนเธอลงไปอย่างรวดเร็ว ลึกขึ้น ลึกขึ้น เธอกรีดร้อง ตะเกียกตะกายร่ำไห้ ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัว หากแต่เจ็บใจที่ไม่อาจไปถึงจุดหมาย มือทั้งสองที่จิกลงไปในทรายและกำได้เพียงอณูที่ไหลผ่านรี่เร็วเกร็งแน่น


เธอหลับตาลง หยุดการเคลื่อนไหว ปล่อยกายใจไปกับชะตากรรมอันซ้ำซากที่เคยคิดว่าอาจเปลี่ยนได้ และยามนี้เธอแน่ใจแล้วว่ามันเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ


แต่แล้วในเงาแห่งความสิ้นหวังก็บังเกิดแสงสว่าง ใครคนหนึ่งฉุดเธอขึ้นมา ด้วยอุ้งมือใหญ่ที่แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ เธอลืมตาขึ้นแล้วหลับตาแน่นเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบบางอย่างบาดตา พร้อมสดับเสียงทุ้มต่ำลึกทรงอำนาจกึกก้องในความมืดมนอนธกาล


“ในที่สุดก็ได้พบกัน เมดา”


เมดา...


เม...

“ยัยเม! นี่ยัยเม!”

เสียงเรียกชื่อผสานการเขย่าตัวอย่างเร่งเร้าทำให้เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวดำขลับเป็นประกายน่าสัมผัส และกำลังฟุบหน้าหลับกับโต๊ะเขียนหนังสือ ผวาพรวดขึ้นนั่งหลังตรงเผยให้เห็นปอยผมม้าระกรอบใบหน้ารูปไข่ขาวกระจ่าง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตระหนก ลนลานปิดโน้ตบุ๊คอย่างที่คิดว่าเร็วที่สุดโดยไม่กลัวหน้าจอจะแตกชำรุด อันผิดวิสัยเจ้าตัวที่เป็นคนถนอมข้าวของอย่างมากมาตลอด จนคนที่ยืนกอดอกมองอยู่ถึงกับส่ายหน้า


“ใจเย็นๆ เม นี่พี่เอง”


เมดาที่กำลังจะคว้านิตยสารมาโปะทับซ้ำ ยื่นแขนค้างกลางอากาศชั่วอึดใจก่อนจะหันขวับมาส่งยิ้มจืดให้สาวสวยในชุดสายเดี่ยวสีมะปรางกับกางเกงเดนิมห้าส่วนอวดเรือนร่างสมส่วนสะเทือนใจชาย เรือนผมยาวสยายดัดเป็นลอนใหญ่ทำสีแดงเจิดจ้า ถ้าเป็นหญิงสาวอื่นคงเปรี้ยวจัดจ้านน่าดู หากเมื่อเป็นพี่สาวเธอ ทุกอย่างกลับลงตัว มองแล้วสบายตา


“พี่มูน...สวยจังเลย”


“ไม่ต้องมาทำชมกลบเกลื่อนเลย แล้วนี่อะไรเนี่ย ให้ขึ้นมาแต่งตัวตั้งนานแล้วกลับมานั่งหลับสัปหงกอยู่ได้ ยัยเมเอ๊ย...เอ๊ะ นั่นร้องไห้เหรอ?”


“หือม เปล่านี่” เมดาบอกหน้าเหรอหากมิวายยกมือขึ้นปาดแก้มดู ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสหยดน้ำใสก็นิ่งขึง อึ้งไปเหมือนกัน เปิดโอกาสให้พี่สาวดึงมาคาดคั้นถามอย่างเป็นห่วง


“ใครทำอะไร เมเหรอ? ทะเลาะกับแม่อีกแล้วใช่มั้ย แม่ว่าอะไรอีก บอกพี่ซิ”


“เปล่าสักหน่อย เมรีบตื่นขึ้นมา ตาปรับแสงไม่ทันก็ระคายเคืองจนน้ำตาไหลแบบนี้ประจำแหละพี่มูนก็รู้ คิดมากไปได้” เด็กสาวร่ายยาวแล้วหลบสายตายาวรีที่มองมาอย่างค้นคว้าโดยหันไปหยิบกระดาษมาซับหน้าพลางหัวเราะอย่างขบขัน


แต่คนมองไม่ขำด้วย


“...ฝันเรื่องนั้นอีกแล้วสิ?”  ไม่ต้องถามซ้ำ ไหล่ที่ไหวสะท้านกับดวงหน้าเผือดสีที่ผินกลับมานั้นยืนยันคำตอบได้ดีที่สุด มุทิตาถอนใจเฮือก


“พี่คงต้องบอกแม่”


“อย่าค่ะ!” เมดาร้องเสียงหลง โผเข้ามากอดแขนกลมกลึงไว้แน่น “เมขอร้องนะพี่มูน ถ้าแม่รู้แม่ต้องห้ามไม่ให้เมไปงานแต่งงานพี่มูนที่อเล็กซานเดรียแน่ เมไม่ยอมหรอก”


“ไม่ต้องมาพูดโน่นพูดนี่เลย เมไม่ทำตามข้อตกลงเอง อย่านึกว่าพี่ไม่รู้นะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังโน้ตบุ้ค “บอกแม่ว่าเอาไว้เล่นเฟซบุ๊ค ออนเอ็มกับเพื่อน แต่พอเผลอก็เปิดหาแต่ภาพพีระมิดกับทะเลทราย  เมทำแบบนี้ได้ยังไง แม่เป็นห่วงเมมากแค่ไหนไม่รู้หรือ เพราะหมกมุ่นกับมันมากนั่นแหละถึงได้เอาไปฝัน ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที!”


“รู้ค่ะรู้ แต่เมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนจะต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนกับมันด้วย มันก็แค่ความฝันน่ะ” แววตากลมโตทอประกายดื้อดึงอย่างน้องคนเล็กที่ได้รับการเอาอกเอาใจเสมอ


“อ้อ ก็คงไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อนหรอก ถ้าฝันบ้าๆ นั่นจะไม่ทำให้คนที่เรารักร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรทุกครั้งที่ตื่น!”


มุทิตากระแทกเสียงอย่างขุ่นมัว ก่อนที่หน้าจ๋อยๆ ของผู้เป็นน้องจะลดทอนอารมณ์ลงให้เหลือเพียงความอ่อนอกอ่อนใจ


“เอาเถอะ พี่จะยกให้อีกสักครั้ง รีบอาบน้ำแต่งตัวเข้า จะได้ออกไปเลือกซื้อชุดสวยๆ สำหรับงานวันเกิดคุณย่าคืนพรุ่งนี้กัน”


“ค่า รู้แล้วค่าคุณพี่มูน”


เมดาลุกขึ้นรับคำเสียงใสซึ่งแน่นอนว่าเธอเสแสร้งแกล้งทำและหวังว่าผู้เป็นพี่สาวจะไม่สงสัย และทันทีที่ร่างสมส่วนก้าวออกไปจากห้อง ดวงตากลมโตรื้นประกายระยับพริบพราวราวนัยน์ตากวาง ก็เปลี่ยนจากกระตือรือร้นเป็นทอประกายหม่นหมองเช่นคนที่มีบางสิ่งบางอย่างติดค้างในใจ


หญิงสาวที่เพิ่งผ่านพ้นงานวันเกิดครบรอบยี่สิบสองปีมาไม่นานถอนใจเฮือกพลางยื่นมือไปเปิดตู้เสื้อผ้าแบบบิลต์อิน


แต่แล้ว รอยแดงจางๆ ตรงข้อมือก็ทำให้ต้องชะงักกึก


เธอนิ่งมองมันนิ่งงัน  แล้วค่อยๆ ใช้มือลูบไล้บริเวณที่เห็นเป็นรอยช้าๆ  ความฝันล่าสุดแวบผ่านเข้ามาในสมอง


ฝันที่ทุกครั้งจะเริ่มต้นตรงเธอพยายามจะวิ่งเข้าไปหาโอเอซิสเขียวชอุ่มและจบลงตรงจมลงสู่หลุมทราย ทุรนทุรายอย่างทรมานกว่าจะตื่นด้วยลำคออันแห้งผาก


หากครานี้ มี เขา...ช่วยไว้



‘ในที่สุดก็ได้พบกัน เมดา’

คุ้นเคยเหลือเกิน เสียงห้าวทุ้ม ทรงอำนาจ ที่ทำให้เธอแทบเข่าอ่อนทรุดลงคุกเข่าศิโรราบ พลันน้ำตาที่พยายามกักเก็บเอาไว้อย่างสุดกำลังก็ถะถั่งไหลลงมาอาบแก้ม พร่างพรูราวกับไม่มีคำว่าสิ้นสุด


ความรู้สึกโหยหาอันท่วมท้นนี้คืออะไรกัน?


เมดาปิดหน้าสะอื้นฮัก ไม่อาจตอบตัวเองได้ รู้เพียงสัมผัสที่หลงเหลือจากในฝันยืนยันว่ามันอาจเป็นจริง


ไม่ใช่แค่ฝัน เขา...มีตัวตน และสัมผัสเธอจริงๆ


ความปีติยินดีอย่างล้นเหลือเอ่อออกมาจากในหัวใจประหนึ่งน้ำเต็มแก้วที่ไหลล้นปรี่ ความรู้สึกเหมือนได้ของล้ำค่ากลับคืนมา หลังจากที่มันหายไปเนิ่นนาน


อยากพบ...อยากพบ...อยากพบเหลือเกิน!.


ภายนอกหน้าต่างกระจกยาวจรดพื้น เหยี่ยวตัวใหญ่เกาะอยู่บนราวเทอเรซหินอ่อน ดวงตานักล่าจ้องเขม็งยังร่างแน่งน้อยบอบบางแล้วหันขวับไปมองท้องฟ้าคล้ายมีคนเรียกหา ก่อนขยับปีกโผบินขึ้นสู่อากาศแล้วกลายเป็นประกายสีทองระยับหายไปในเปลวแดดแรงร้อนยามบ่าย


“ อ้าว ก็ไหนว่าจะขึ้นไปตามน้อง แล้วทำไมไม่ลงมาด้วยกัน หรือยัยเมเกิดเป็นอะไรไปอีก?”


คุณรวิกานต์วางนิตยสารในมือลง มองมาร่างบอบบางที่เดินเข้าในห้องนั่งเล่นอย่างกังวล


“จะเป็นไรล่ะคะ เล่นfacebookจนหลับสัปหงกหัวจะโขกโต๊ะตาย มูนต้องไล่ไปอาบน้ำแต่งตัว” คนตอบจงใจเลี่ยงความจริง ยอมบาปที่โกหกดีกว่าให้อีกฝ่ายรับรู้แล้วตีโพยตีพายให้วุ่นวายไปทั้งบ้านเช่นทุกครั้ง  


อาจเพราะมีสุขภาพที่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็กๆ เมดาจึงมักจะถูกมารดากักเอาไว้กับตัวและคอยประคบประหงมอย่างดี มากกว่าเธอที่เป็นคนแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งตลอดมาเธอก็หาได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใดไม่ ด้วยรักและเห็นใจผู้เป็นน้องสาวที่ได้แต่นั่งจับเจ่าอ่านหนังสืออยู่กับบ้านมากกว่าที่จะได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก


 และผลจากการที่อ่านหนังสือมากมายโดยเฉพาะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศต่างๆ อันมีมากมายในห้องสมุดซึ่งเป็นห้องทำงานของบิดานี่เอง ทำให้เมดามีความฝันอยากไปท่องเที่ยวทั่วโลก และประเทศแรกที่เลือกไปคืออียิปต์ ดินแห่งพีระมิดและสุสานฟาโรห์  


บ้านวุ่นวายเกิดกลียุคขึ้นมาทันทีที่เมดานำเรื่องนี้บอกต่อผู้เป็นบุพการีทั้งสอง บิดาอนุญาตเพราะเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวเหมือนกันและอยากให้หัดเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่อายุน้อยๆ อีกทั้งเธอเองก็อาสาจะไปเที่ยวเป็นเพื่อนน้องอยู่แล้ว แต่มารดากลับออกโรงคัดค้านหัวชนฝา สร้างความเสียใจให้เมดาเป็นอย่างมาก และเธอก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครในบ้านคาดคิดว่าคนหัวอ่อนอย่างเธอจะกล้า นั่นคือแอบหนีไปดินแดนในฝันตามลำพังคนเดียว ก่อนจะหายสาปสูญไปในพิพิธภัณฑ์ไคโรอย่างไร้สาเหตุ


ในขณะที่มารดาร้องไห้เป็นลมล้มพับไปหลายรอบ เธอและบิดาประสานงานกับสถานทูตไทยในอียิปต์ออกตามหาน้องสาวคนเล็กอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ว่าพบเมดานอนไม่ได้สติอยู่ในกอปาปิรุสริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ไม่มีใครสงสัยอะไร ความยินดีที่ได้ดวงแก้วกลับมาอีกครั้งนั้นเหนือกว่าความประหลาดใจ หากไม่นานก็ถูกลดทอนลงเรื่อยๆ เมื่อเมดากลายเป็นโรคประหลาด


น้องสาวที่ร่าเริงสดใสตามวัยกลับกลายเป็นคนเก็บตัวเหมือนสมัยเด็กอีกครั้ง ทุกวันเฝ้าแต่ค้นหาภาพทะเลทรายจากในอินเตอร์เนตและมักจะฝันประหลาดๆ เช่นเดินหลงทางในพายุ ดูดาวกับใครบางคนที่ไม่รู้จักในโอเอซิสก่อนจะตื่นขึ้นมาด้วยน้ำตานองหน้า บางคืนร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจเสียด้วยซ้ำ สร้างความกลัดกลุ้มระคนหวาดหวั่นให้คนรอบข้าง โดยเฉพาะมารดาที่เป็นหนักขนาดเผาหนังสือตำหรับตำราเกี่ยวกับอียิปต์ทิ้งจนหมด


ใครบางคนบอกว่าเวลาสามารถสร้างและลบล้างบางสิ่งได้ เธอเองก็เชื่อเช่นนั้นเมื่อเมดากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอกลับไปเรียนจนจบ หัวเราะอย่างสดใสเหมือนคนเก่าจนทุกคนวางใจ ทว่าในวันนี้เธอรู้แล้วว่าคิดผิด ตลอดมาน้องสาวปิดบังความรู้สึกไว้อย่างแนบเนียน


หากไม่มีใครในครอบครัวโกรธลง


ต้องใช้ความอดทนสักเพียงไหนนะที่พยายามกล้ำกลืนความทุกข์ใจที่ไม่สามารถจดจำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้ไว้เพียงคนเดียว เมดาจะต้องเจ็บปวดมาก และนั่นทำให้ไม่มีใครใจร้ายพอที่จะขัดขวางห้ามปรามน้องน้อยไม่ให้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานของเธอที่กำลังจะมีขึ้น ทั้งยังแอบหวังว่าการได้ล่องเรือสำราญชมแม่น้ำไนล์และงานเลี้ยงแบบชนเผ่าทะเลทรายโบราณอาจทำให้อีกฝ่ายจดจำอะไรขึ้นมาได้บ้างก็เป็นได้  


“คุณแม่ไปกับเราสิคะ เผื่อจะได้คอลเลคชั่นใหม่มาใส่ในงานวันเกิดคุณย่า” มุทิตาหมายถึงร้านเพชรเจ้าประจำที่เคยคุ้นกันดี และมักมีดีไซน์ใหม่ๆ ในช่วงใกล้สิ้นเดือน หากมารดาส่ายหน้า


“โอ๊ยพอเถอะจ้ะแม่คุณ ที่มีนี่ก็ใส่ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ว่าแต่น้องเราเถอะ  ตกลงจะแสดงอะไรในงานคืนพรุ่งนี้ หลานๆ สายโน้น แม่กุ๊กกับแม่ไก่น่ะ เขาคงจะตีขิมละมั้ง” คุณรวิกานต์เอ่ยถึงลูกสาวฝาแฝดของพี่ชายด้วยเสียงเอ็นดูไม่ต่างจากลูกตน ด้วยนิสัยอ่อนหวานน่ารักเข้าหาผู้ใหญ่อย่างไม่เกี่ยงงอนของสองสาวนั่นเอง


“เซอร์ไพรส์ ใครเขาจะบอกกันล่ะคะ” มุทิตายักไหล่แบบสาวสังคมจ๋า ที่ทำเอามารดาอยากยื่นมือไปตีไหล่สักเผียะ


“แล้วนายฟาเบียงที่บอกว่าจะมาให้เปิดตัวในงานวันเกิดคุณย่าล่ะ เขาจะมาเมื่อไหร่ บอกก่อนนะว่าอย่ามาทำให้แม่ขายหน้าได้เชียว เท่าที่แม่ยอมให้หมั้นกันก่อนที่อิตาลี คุณพ่อก็โกรธแม่ ไม่พูดด้วยเสียพักใหญ่ นี่ถ้าพ่อคนนั้นเกิดไม่ว่างติดธุรกิจพันล้งพันล้านขึ้นมา เป็นได้เสียหน้ากันไปทั้งวงศ์”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฟาเบียงโทรมาบอกแล้วว่าจะมาถึงเมืองไทยวันนี้”


หญิงสาวอมยิ้ม แก้มเจือสีกุหลาบระเรื่อเมื่อนึกถึงคู่หมั้นหนุ่ม


ภายนอก เมฆดำพาดผ่านดวงอาทิตย์ก่อเกิดเงามืดขึ้นชั่วขณะ  สายลมร้อนพัดผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนาน  เล่าขานและเพรียกหากัน

ณ ช่วงเวลาหนึ่ง…

สู่เวลาหนึ่ง…



ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสากลสีขรึมสองคนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในสนามบิน ทันทีที่เดินออกมายังอาคารผู้โดยสารขาออกพร้อมกับผู้ติดตามกลุ่มใหญ่


หนึ่งในนั้นมีใบหน้าคร้ามคมดูเคร่งขรึม ดวงตาคมกริบทอดมองออกไปไกลๆ เสมือนไม่ใส่ใจสิ่งใดรอบกาย ผมหยักศกสีเข้มยาวระบ่าช่างเข้ากันกับผิวสีทองนวลเนียน ราวกับรูปสลักสำริดมากกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ ในขณะที่อีกคนมีผิวสีขาวกระจ่าง ผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้าพราวระยับ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีดูน่ามอง ผู้ที่เห็นต่างอดจินตนาการถึงที่มาของสองหนุ่มสองอารมณ์ซึ่งเครื่องแต่งกายยิ่งเสริมส่งให้น่าค้นหามากขึ้นไปต่างๆ นานาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจต่างชาติหรือแม้แต่มาเฟียจากยุโรป


หลายคนที่เผลอสบตาหนึ่งในสองซึ่งมีผิวสีทองราวกับทรายต้องแสงตะวัน แทบจะเข่าอ่อนไปกับอำนาจบางอย่างในแววตาสีนิลกาฬลึกลับ ก่อนลอบถอนใจอย่างโล่งอกทันทีที่พวกเขาเดินตรงไปยังคาดิลแล็คสีดำที่มาจอดรอด้านหน้า นำพาบรรยากาศอึดอัดราวกับถูกกดทับสมองจนมึนชาอย่างน่าประหลาดไปด้วย


“น่ากลัว…”สาวน้อยคนหนึ่งพึมพำออกมา เพื่อนที่ยังมองตามไปหันกลับมาบอกยิ้มๆ


“บ้า หล่อออก โดยเฉพาะคนที่ผิวคล้ำๆ หน่อย หน้างี้เนี้ยนเนียน”


คนถูกค้านเงียบกริบแล้วหันไปหยิบป้ายที่เตรียมมารับเพื่อนชาวอเมริกัน เธอเลือกที่จะไม่บอกเพื่อน ทั้งที่คันปากยิบ ปล่อยให้อีกฝ่ายเพ้อไปอย่างนั้นน่าจะดีกว่า


ก็ใครล่ะจะไปกล้าบอกว่าคนหน้าเนียนคนนั้นของหล่อน มีงูเห่าสีทองตัวเขื่องตาแดงจ้าพาดทับเรือนผมหยักศกของเจ้าตัวลงมาถึงหน้าผากน่ะ!!

แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 54 01:54:26

จากคุณ : หวัสสา
เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 01:46:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com