Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Lemon Sherbet รักเปรี้ยวจี๊ดสุดขีดหัวใจ (บทนำ,บทที่ 1) ติดต่อทีมงาน

ชะเเว้บมาคุยกันหน่อย  สำหรับนิยายเรื่องนี้โนดราม่าค่ะ แหะๆ เป็นนิยายรักใสๆ วัยรุ่นวัยเรียน ออกแนวฮาๆ ไม่พาเครียดเเน่นอน สำหรับใครที่อยากจะอารมณ์ดีอ่านไปยิ้มไป ก็ยินดีต้อนรับสู่นิยายของเรานะคะ ^^  

ขอบคุณมากค่ะ ^/\^


                      Lemon Sherbet รักเปรี้ยวจี๊ดสุดขีดหัวใจ

                                           บทนำ

“กรี๊ดดดๆๆๆ”
“-_-++”
              “ขงจื้อ ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว ชื่อรองคือ จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิท...”
              “อ๊ายย ชั้นไม่ยอมๆๆๆ”
              “=O=;;”
              “... ธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะ...”
             “แก๊ มันทำกับฉันแบบนั้นได้ยังไง ฮือๆๆ”
             “TOT”
             “... สมของความสัมพันธ์ในสังคม ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจศาสตร์สี่แขนง ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และความ...”
           “เว้ย พอที!!!”
           “/TOT\”  สีหน้าของทั้งสองคนที่โดนขัดว่าฉันทำอะไรผิด
          “อะไรกันนักกันหนาฮึยัยเชอร์เบท แกจะแหกปากร้องหาสวรรค์วิมานอะไรไม่ทราบ รู้ไหมว่าฉันหนวกหูกับเสียงร้องดั่งแมวขี้ไม่ออกของแกเอามากๆ ส่วนเธอยัยหมวยหลิงลี่จะมาขยันท่องตำราอะไรเอาตอนนี้เนี่ย นี่มันเวลาพักนะยะ ช่วยผ่อนคลายนิดนึงได้ไหม โอ๊ยยย นี่ฉันประสาทจะแตกตายเพราะมีเพื่อนแบบพวกเธอสองคนนี่แหละ”
ซูซี่เพื่อนชายตัวสูงแต่หัวใจนะยะบ่นออกมายืดยาวก่อนจะเอามือทึ้งหัวตัวเองเหมือนเป็นคนบ้า ฉันกับหลิงลี่จึงได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ แต่คนละอารมณ์กัน
             “ฮือๆๆ ซูซี่แกไม่เข้าใจช้าน แกไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง”
            ฉันยังคงแหกปากโวยวายต่อไปอย่างไม่สนใจท่าทางหมดอาลัยของซูซี่
           “แต่พรุ่งนี้เรามีพรีเซ็นต์วิชาปรัชญานะ ฉันก็ต้องอ่านไว้สิ”
หลิงลี่หมวยน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มกับทรงผมยาวๆ ที่ดัดปลายเป็นลอนน้อยๆ พร้อมกับจับมัดลวกๆ เป็นจุกกลมๆ อยู่กลางหัวทำให้ดูเซอร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ และแว่นตากรอบดำหนาเตอะที่ใส่อยู่บนหน้าอย่างเด็กเนิร์ดผู้คงแก่เรียนส่งเสียงเล็กๆ ออกมาก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนาในมือต่อไป
           “อ้าวเหรอ นี่ฉันลืมไปเลยนะเนี่ย งั้นเธอก็อ่านไปละกัน จำให้แม่นๆ ด้วยนะอย่าให้กลุ่มเราโดนหักคะแนนล่ะ”
ยัยซูซี่พูดอย่างเห็นแก่ตัวสุดๆ พร้อมกับหันมามองหน้าฉันต่อ
          “แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่...”
         “-__-++”
        “โลก.... ฉันว่าฉันอ่านในใจก็ได้เนอะ”      
       น่าสงสารจริงๆ หมวยน้อยของเรา
        “เอาล่ะ ส่วนเธอยัยเชอร์เบท ที่คร่ำครวญอยู่ตั้งนานเนี่ยเป็นอะไร ช่วยแจ้งแถลงไขมาให้ฉันเข้าใจหน่อยซิ”
       ในที่สุดนาย เอ้ย เธอก็หันมาสนใจฉันซะทีสินะยัยซูซี่ ฉันจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามทำอารมณ์ให้คงที่จะได้ไม่ปรี๊ดแตกขึ้นมาอีกรอบ
        “แกไม่เข้าใจช้าน ฮืออ TOT”
       แต่ก็สายไปซะแล้ว
        “โอ๊ย! ยัยนี่นี่ พูดออกมาซะสิฮะ ฉันรอฟังอยู่”
       “ซูซี่แกรู้มั้ย...”
       “ไม่รู้”
       “อย่าเพิ่งขัดสิ ฮือ... แกรู้มั้ยว่าเมื่อวานฉันไปเจออะไรมา”
       “ทำไม? แกไปเจออะไรถึงได้มาโวยวายแบบนี้ หรือว่าแฟนเก่าควงแฟนใหม่มาเย้ยเหรอ”
       “แกรู้ได้ไง O_O”
       “จริงเหรอเนี่ย ฉันแค่เดานะ”
       “แงงงๆๆๆ มันแค้น มันแค้นอยู่ในอกอะแก๊ มันสองคนควงกันมาเย้ยฉันทั้งที่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นมันเพิ่งจะเลิกกับฉันไปได้ห้าเดือนเองนะ”
ฉันทุบโต๊ะลงไปอย่างแรงด้วยความโมโหและแค้นจัด อูย... เจ็บมือ TOT
        “แล้วยังไง เค้าจะไปมีแฟนใหม่มันก็ช่างเค้าสิ หรือว่าแกยังรักแฟนเก่าแกอยู่ถึงได้มานั่งเวิ่นเว้ออยู่แบบนี้”
“อย่ามาพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้นนะ สิ่งที่ฉันรู้สึกตอนนี้ก็คือฉันแค้นมันต่างหากเล่า กรี๊ดๆ”
“โกรธคือโง่ โมโหคือบ้านะเชอร์เบท”
หลิงลี่เงยขึ้นจากหนังสือเล่มหนามาพูดกับฉัน ถ้าจะพูดแบบนี้ฉันว่าเงียบไปเลยจะดีกว่าไหมหมวยน้อย
“แต่ตอนนี้ฉันบ้าอย่างเดียวไม่ได้โง่ย่ะ”
“จะไปแค้นเค้าทำไม หมอนั่นไปดีแล้วก็ปล่อยเค้าไปสิยะ ถ้าเป็นฉันนะคงจะบอกเลิกแกตั้งแต่สองอาทิตย์แรกที่คบกันแล้ว ไม่รู้ว่าโปเซียร์ทนคบกับแกไปได้ยังไงตั้งสองปี นี่ขนาดเป็นแค่เพื่อนกันฉันยังแทบจะทนแกไม่ไหวเลย”
“อะไรยะยัยซูซี่ ฉันมันไม่ดีตรงไหน”
“ก็นิสัยแกทั้งเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด หวิดจะเป็นกระทิงไปหลายรอบแล้ว ไหนจะอาการขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกระทงหลงทางนี่อีก ถ้าแกดีจริงโปเซียร์จะเลิกกับแกทำไมฮะ”
“ฉันเป็นคนบอกเลิกหมอนั่นเองต่างหากเล่า”
“แล้วจะไปบอกเลิกกับเค้าด้วยเหตุผลแค่นั้นเนี่ยนะ”
“แกไม่มาเป็นฉัน แกไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง”
พอนึกถึงวันที่ฉันกับไอ้บ้าโปเซียร์นั่นทะเลาะกันจนถึงขั้นแตกหัก เพราะว่าฉันไปเจอเขากับ... ฮึ่ย ไม่อยากจะพูด อารมณ์เสีย
“หูย ฉันไม่อยากเป็นแกหรอกย่ะ นิสัยเสีย ใช้แต่อารมณ์แถมยังเอาแต่ใจล่ะก็ที่หนึ่ง โปเซียร์นี่ก็ประสาทนะที่คบกับผีบ้าอย่างแกมาได้ตั้งนาน”
“กรี๊ดดๆๆๆ แกเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าเนี่ยยัยซูซี่”
“พอๆๆๆ อย่ามากรี๊ดใส่หูฉัน กระเทยสุดสวยล่ะปวดเฮด”
ว่าแล้วก็หันไปคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางนางเอกสุดๆ จนฉันยังต้องอาย
“แต่เรื่องนี้ฉันไม่ยอมนะแก มันเป็นอะไรที่แค้นมาก แกไม่รู้หรอกว่าทั้งแฟนเก่าและแฟนใหม่ของแฟนเก่ามันร้ายกาจขนาดไหน แกต้องช่วยฉันนะซูซี่ ฉันรู้ว่าแกต้องช่วยฉันได้แน่ๆ”
“จะพูดให้งงทำไมเนี่ย ไหนเล่ามาซิ”
“ก็คือว่าเมื่อวานนี้เนี่ย...”

                                              1
                                         แค้นฝังหุ่น

เมื่อวานนี้เวลา 11.38 a.m. ณ ห้างสรรพสินค้า The M
เนื่องจากว่าเพื่อนซี้ทั้งสองคนไม่ว่างมาเดินเล่นเป็นเพื่อนกัน เพราะหลิงลี่หมวยน้อยของเราต้องรีบไปศาลเจ้ากับอาม่าและซูซี่เพื่อนสาวสุดสวยก็ต้องรีบไปทำสวย สงสัยจะไปปรึกษาหมอเรื่องเสริมนมล่ะมั้ง ฉันก็เลยต้องมาเดินสวย
ชิลๆ อยู่คนเดียวเนี่ยแหละ
ในขณะที่กำลังเดินอยู่เพลินๆ จู่ๆ ก็มีคนมาเดินชนกระแทกกับฉันเข้าจนเซไปด้านหลังสามก้าวแทบเกือบหงายหลังตกส้นสูงแต่ดีที่ว่าไอ้คนที่เดินชนมันคว้าแขนฉันไว้ได้ ไม่งั้นคงได้ลงไปนอนหน้าแหกอยู่ที่พื้นให้ได้อายกันไปถึงวงศ์ตระกูลแหงๆ แต่พอตั้งสติได้กะว่าจะหันไปด่ามันซะหน่อย ฉันกลับต้องชะงักอ้าปากค้างกลางอากาศซะอย่างนั้น และฝ่ายตรงข้ามก็คงมีอาการไม่ต่างกันเท่าไรนักเพราะเห็นยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั่นแหละ
ซวยชะมัด... ดันมาเจอแฟนเก่าซะได้!!
‘เอ่อ... โทษที’
โปเซียร์พูดก่อนจะก้มลงเก็บของที่หล่นอยู่บนพื้นส่งให้ฉัน ซึ่งก็เพียงแค่พยักหน้าและรับของมาเท่านั้นก่อนจะรีบเดินออกมา แต่ว่าไอ้บ้านั่นก็ดันเรียกเอาไว้ซะก่อน
              ‘จะไปแล้วเหรอเชอร์เบท’
             แล้วนายจะให้ฉันอยู่ทำซากอะไรล่ะยะ
              ‘อืม’
             ‘หือ? ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ’
             ยิ่งกว่ารู้จักซะอีกย่ะ
             ผู้หญิงหน้าตาสวยเฉี่ยวคนหนึ่งที่กำลังควงแขนโปเซียร์เอ่ยขึ้นและมองมาทางเรา เอ๊ะ ใช้คำว่า ‘เรา’ ไม่ได้สิ ต้องบอกว่ามองมาทางฉันและแฟนของหล่อนน่าจะดีกว่านะ
             ‘อ๋อ นี่เชอร์เบทแฟนเก่าฉันเอง’
            ‘…!!!’
             นี่คือประโยคที่ควรจะแนะนำตัวหรือไงเนี่ยฮะ ฉันถลึงตามองโปเซียร์อย่างตกใจที่กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาต่อหน้าแฟนใหม่ที่กำลังจ้องฉันตาเขม็งเลยล่ะ
             ‘สวัสดีค่ะ ฉันชื่อแป้งโกะ เป็นแฟนใหม่ของโปเซียร์ ^^’
ยัยแป้งร่อนนั่นพูดด้วยท่าทางยิ้มๆ เชิดๆ แต่คำว่าแฟนใหม่นั่นกระแทกเข้าที่หน้าผากฉันเต็มๆ และมีเหรอที่ผู้หญิงแรงๆ แต่มั่นใจอย่างฉันจะยอมอยู่เฉย ฉันเชิดหน้าและแสร้งยิ้มกลับไปแล้วหันไปพูดกับโปเซียร์แทน
           ‘แฟนใหม่เหรอ สวยดีนะ’
           ‘ขอบคุณที่ชมนะคะ ^^’
           ฉันประชดย่ะ ชิๆ
           ‘คบกันนานหรือยังล่ะ’
           ‘ก็ไม่นานเท่าไรหรอกนะ แต่ก็คงจะนานกว่าคบกับเธอล่ะมั้ง’
           ‘=O=’
           กรี๊ดๆๆๆ  ไอ้โปเซียร์มันหักหน้าฉันต่อหน้าแฟนใหม่ ซึ่งยัยนั่นก็ถึงกับหัวเราะพรืดออกมาอย่างไม่ปิดบังจนน้ำลายแทบจะพุ่งใส่เบ้าตาฉันอยู่แล้ว ฮึ่ย เย็นไว้ๆๆ
           ‘เหรอ แล้วจะเลิกกันเมื่อไรล่ะ’
           ‘นี่เธอ!!’
           ‘เมื่อไรไม่รู้ แต่คงไม่เร็วๆ นี้หรอก อย่างน้อยก็น่าจะนานกว่าเธออีกนั่นแหละ’
           ‘โปเซียร์ทำไมนายพูดแบบนี้เนี่ยฮะ’
           คำพูดของโปเซียร์ทำเอายัยแป้งร่อนเต้นเป็นเจ้าเข้าทันที ส่วนหมอนั่นก็เพียงแค่ทำหน้าเบื่อๆ และหันมาพูดกับฉันต่อ
           ‘แล้วนี่มาคนเดียวหรือไง’
           ‘เรื่องของฉัน’
           ‘ที่มาคนเดียวเนี่ยเพราะยังหาใครไม่ได้หรือว่ายังไม่ลืมฉันกันแน่ล่ะ’
           หน็อยๆๆๆ  หลงตัวเองมากไปแล้วย่ะ ฉันตวัดสายตาไปมองหน้าโปเซียร์อย่างไม่พอใจ
           ‘พอดีแฟนฉันไม่ว่าง ฉันก็เลยต้องมาคนเดียวต่างหาก’
           ‘นี่เธอมีแฟนใหม่แล้วเหรอ’
           มีกับผีน่ะสิ ฉันโม้เว้ย
           ฉันเพียงแค่ยักไหล่ให้กับคำถามนั่นอย่างไม่ใส่ใจกับท่าทางตกใจของโปเซียร์ ชิ คิดว่าฉันจะร้องห่มร้องไห้เสียใจเพราะลืมนายไม่ได้จนไม่มีทางหาใครใหม่หรือไง คิดผิดแล้วย่ะ (ทั้งที่เมื่อก่อนมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ)
           ‘เอ๊ะ แล้วนี่โปเซียร์จะไปสนใจอะไรล่ะ กับแค่แฟนเก่า’
ถึงจะเป็นแฟนเก่าแล้วไง ยังไงฉันก็มาก่อนเธอนะยะยัยแป้งร่อน (ไม่เกี่ยว)
           ‘ไม่ได้สนใจอะไรหรอกน่า ฉันก็แค่ถามดูเพราะคิดว่าคงจะไม่มีใครทนยัยนี่ได้ก็แค่นั้น’
           ไอ้.... -__-;;
           ‘งั้นเราไปกันเถอะ แป้งโกะเบื่อจะตายอยู่แล้ว’
           ‘อืม ไปสิ’
           ‘บ๊ายบายนะคะ ‘แฟนเก่า’ ของโปเซียร์’
           แล้วปีศาจสองคนนั่นก็เดินเฉิดฉายผ่านไป ฉันได้แต่ยืนตัวสั่นเหมือนว่ากำลังยืนอยู่ขั้วโลกเหนือที่อากาศติดลบแต่ภายในร่างกายกลับร้อนระอุมากกว่าหมื่นองศาฟาเรนไฮต์ซะอีก อยากจะกรี๊ดดังๆ ให้ลั่นห้างเพราะที่โดนเย้ยขนาดนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ฮึ่ยๆๆๆ เย็นไว้ยัยเชอร์เบท คิดซะว่าเสียงนกเสียงกามาหาอาหารก็แล้วกัน แต่ถ้าทุกคนคิดว่าเรื่องมัน
จะจบแค่นั่นล่ะก็ ขอบอกว่าคิดผิด
           พอทำอะไรไม่ได้ฉันก็เลยเดินเข้ามาสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ ได้ล้างหน้าล้างตาซะหน่อยหวังว่าอารมณ์คงจะดี
ขึ้นล่ะนะ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดนี่สิ เมื่อเจอโจทย์เก่ามายืนมองหน้าฉันผ่านกระจกเงาอยู่ข้างๆ
          ยัยนี่มาสิงอยู่ในส้วมตั้งแต่เมื่อไรกัน
         ‘^_^’
         ‘-__-;;’
         ‘^O^’
         โรคจิตหรือเปล่าถึงได้ยืนยิ้มอยู่ได้ เมื่อกี้แทบจะกระโดดตบกันอยู่แล้วนะ ฉันกระพริบตามองยัยนั่นนิดหนึ่งก่อนจะทำเป็นไม่สนใจและเดินผ่านหลังไป แต่มีเหรอที่ยัยนั่นจะจบง่ายๆ
        ‘ถามอะไรหน่อยสิ’
       ‘อะไร’
       ‘เธอเป็นแฟนกับโปเซียร์มานานเท่าไรแล้วน่ะ’
      ‘ถามทำไม’
       ‘เปล๊า เรื่องของแฟนฉัน ฉันก็แค่อยากรู้น่ะ แต่ก็พอจะรู้น่ะนะว่ามันก็คงไม่ได้สำคัญอะไรนักอยู่แล้ว’
      ฉันมองยัยแป้งร่อนด้วยหางตาอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก นี่เธอต้องการจะสื่ออะไรไม่ทราบยะเนี่ย ฉันว่าก็อยู่ดีๆ เฉยๆ แล้วนะ ทำไมยังไม่ยอมจบซะทีเนี่ย
       ‘หึ! เธอมันก็เป็นได้แค่ของเก่าๆ ที่เค้าไม่เอานั่นแหละ!!’
       ‘..!!!’

        กลับมาสู่ปัจจุบันฉันแค้นเธอ
       “กรี๊ดดๆๆๆ ฉันไม่ยอมนะๆ”
       เอ่อ... พอเล่าจบแต่ทำไมกลับกลายเป็นว่ายัยซูซี่ของขึ้นแทนฉันไปแล้วล่ะ ฉันก็รีบแย่งหนังสือที่หลิงลี่อ่านอยู่มาปิดหน้า เพราะคนอื่นๆ เริ่มมองกันมาที่กลุ่มเราเพราะเสียงแปดหลอดของยัยซูซี่นี่แหละ ถ้าทุกคนจินตนาการเสียงของยัยซูซี่ไม่ออกก็ขอให้นึกถึงเสียงของเจ้มดแดง ในรายการแฉแต่ตอนบ่ายนั่นแหละ เหมือนกันเด๊ะเลย
       “นี่ยัยซูซี่ แกช่วยเบาๆ หน่อยได้ไหม ฉันอายคน”
       “จะมาอายอะไรกันตอนนี้ฮะ ทีตอนแกแหกปากน่ะไม่เห็นอาย”
       “แต่เสียงฉันเบากว่าแกนะ”
      “นี่แกยอมมันไปได้ยังไง มันมาเยาะเย้ยกันขนาดนี้แล้วเนี่ย ทั้งผู้หญิงผู้ชายเลวพอกันทั้งคู่เลย ถ้าเป็นฉันนะป่านนี้ยัยแป้งเปียกอะไรนั่นได้ลงไปอยู่ในถังส้วมแล้ว พูดแล้วแค้นๆๆ”
       “เค้าชื่อแป้งร่อน”
       “แป้งโกะไม่ใช่เหรอเชอร์เบท”
       อาหมวยน้อยแก้ให้ถูกต้องก่อนจะหันไปปลอบซูซี่ที่ใกล้จะอกแตกตาย
        “ยุบหนอ พองหนอ -_-”
       “หน้าอกเธอที่ยุบกับพุงเธอที่กำลังพองใช่ไหมยัยหมวย”
        “ง่า~ ฉันก็แค่หวังดีนะ TOT”
       “ไม่ต้องการย่ะ แบร่ :p”
        ผิดเวลาไปนิดนึงนะหมวยน้อย
        “ตกลงฉันหรือแกที่เป็นแฟนเก่าโปเซียร์กันแน่ ถึงได้เดือดร้อนซะขนาดนี้ฮะซูซี่”
       “หมอนั่นก็หล่อดีไม่ใช่เหรอ”
       “นี่แกแอบชอบแฟนฉันงั้นเหรอ TOT”
       “แฟนเก่าย่ะ”
       ไม่ต้องย้ำได้ไหมเนี่ย ไม่ได้ร้องขอเลย ฮือๆ
       “ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้ฉันแค้นจนแทบจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว แกต้องช่วยฉันนะซูซี่ ฉันไม่ยอมให้ยัยนั่นมาเย้ยฉันฝ่ายเดียวหรอก เอ๊ะ! นั่นจั่นเจานี่นา จั่นเจาๆ ทางนี้”
       ฉันที่กำลังขอร้องซูซี่ให้ช่วยแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นจั่นเจาหนุ่มสุดหล่อ หน้าตาเกาหลีหล่อตี๋อินเทรน ที่มีโลกส่วนตัวสูงกำลังเดินผ่านมาทางนี้พอดี จะบอกอะไรให้อีกอย่างนะ หมอนี่เป็นเพื่อนสนิทกับแฟนเก่าฉันล่ะ
จั่นเจาเดินมาหยุดตรงหน้าก่อนจะปรายตาตี่ๆ นั่นมองมาทางพวกเราก่อนจะไปหยุดอยู่ที่... ยัยหมวยน้อย ส่วนยัยซูซี่ที่พอเจอผู้ชายหล่อๆ แล้วก็จัดการสะกิดแขนฉันใหญ่เลย พร้อมกับกระทืบเท้าใต้โต๊ะเบาๆ แรดกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะ >O<
         “เธอจะเรียกทำไมเสียงดังเนี่ยฮะ ฉันอายคน =_=”
         “ทำไมล่ะ ชื่อนายน่ารักดีออก คิกๆ”
         “อย่าเอาคำนั้นมาใช้กับฉันเลยเหอะ ขอร้อง”
         สงสัยตอนแม่นายท้องคงชอบดูเปาบุ้นจิ้นแน่ๆ เลย แต่ในเรื่องจั่นเจาก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ ที่ฉันดูท่านเปาแห่งศาลไคฟงก็เพราะมีองครักษ์จั่นเจาเป็นแรงดึงดูด >O<
          “หือ? นี่นายตัดผมใหม่เหรอ ปกติมันยาวกว่านี้นา”
          “คิดว่าฉันอยากจะตัดมันนักหรือไง -_-;;”
          “อ้าวแล้ว....”
         “ไปถามยัยซิ้มเพื่อนเธอเอาเองสิ”
           “TOT”
         จั่นเจาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้น อะไรของเขาน่ะ
          “มีอะไรกันเหรอหลิงลี่ เธอไปอะไรๆ กับหมอนั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน”
          “บ้าเหรอ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เค้าคงจะโมโหหิวล่ะมั้ง”
          “ฉันว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันนะ -_-;; มาเรื่องของเราต่อดีกว่ายัยซู...”
           “*O*”
          “เฮ้! ยัยนี่ จั่นเจาเดินไปถึงสุไหงโก-ลกแล้วแกยังน้ำลายไหลไม่หยุดอีกเรอะ เลิกกรี๊ดกร๊าดได้แล้วย่ะ”
          “หล่อม้ากกก”
          มันฟังฉันอยู่บ้างไหมเนี่ย
         “นายสมศักดิ์!!”
          “ซูซี่ย่ะ”
          ทีอย่างนี้ล่ะรีบแก้โดยเร็วเลยนะ เพียงแค่ฉันเรียกชื่อจริงตามบัตรประชาชนแค่นั้นเอง
          “มันก็ชื่อเดียวกันนั่นแหละน่า”
           “ถ้าเรียกชื่อจริงฉันอีกครั้งเดียวฉันจะไม่ช่วยแกแก้แค้นแน่”
          “กรี๊ด แสดงว่าแกจะช่วยฉันแล้วใช่ไหม”
          “เยส!! ถึงแม้ว่าแกจะสวยกว่าฉันแต่ก็จะถือซะว่าทำบุญก็แล้วกันน่ะนะ”
          ฉันโผเข้าไปเกาะแขนซูซี่อย่างดีใจ แต่ก็ต้องเสียอารมณ์เพราะหมวยน้อยของเราอีกแล้ว
          “ทำไมไม่รู้จักปล่อยวางซะบ้างล่ะเชอร์เบท ต่างคนต่างอยู่เถอะนะอย่าไปจองเวรกันเลย บาปกรรมเปล่าๆ เหมือนดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า...”
         “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดช้ายย~”
        “และก็คำคมของโปรตุเกสที่ว่า...”
         “$)&@_*$*)$*&Q*@(*$)#@”
         “-__-;;”
        ฉันกับยัยซูซี่จีบปากจีบคอต่อสุภาษิตให้อย่างคล้องจองและก็ทำไม้ทำมือประกอบท่าเหมือนนางเอกงิ้วที่ท้ายตลาดก่อนจะประสานเสียงหัวเราะกันออกมาดังลั่น ทำเอายัยหมวยหน้าบูดเสียเซลฟ์ไปเลย
        ฉันลืมบอกอะไรไปอีกแล้วใช่ไหมว่าหลิงลี่หมวยน้อยเพื่อนรักเนี่ย มีงานอดิเรกคืออ่านหนังสือธรรมมะและนั่งสมาธิ ทุกวันพระเธอจะไปวัดทำบุญและถ้ามีเวลาว่างมากพอก็จะไปถือศีลหลายวันเลยล่ะ นี่ฉันมีเพื่อนเป็นแม่ชีหรือเปล่าก็ไม่รู้แฮะ
“นี่! ถ้าแกอยากแก้แค้นนะยัยเชอร์เบท แกก็ไปควงแฟนที่แกบอกไปเย้ยสองคนนั้นสิ ง่ายจะตาย”
“โอ๊ย ถ้าฉันมีอย่างที่ว่าจริงๆ แกคิดว่าฉันจะมานั่งทึ้งหัวตัวเองอยู่แบบนี้เหรอยะ”
“หมายความว่า...”
“ใช่ ฉันโม้ต่างหากเล่า TOT”
“ตายแล้วยัยเชอร์เบท พูดอะไรทำไมไม่คิดฮะ ถ้าโปเซียร์มารู้ทีหลังว่าแกยังไม่มีแฟนมันคงจะหัวเราะแกไปอีกสามชาติครึ่งแน่ๆ”
“ก็ตอนนั้นฉันโมโหนี่นา เรื่องอะไรจะยอมให้หมอนั่นหลงตัวเองแบบนั้นกันล่ะ”
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะที่แกยังลืมเค้าไม่ได้”
“ฉันลืมไปแล้วย่ะ ไม่มีอะไรน่าจดจำเลยสักนิด”
“แกยังไม่ลืม”
“ลืมไปแล้ว!”
“ยังไม่ลืม”
“บอกว่าลืมไปแล้วๆๆ”
“เออ แกลืมแล้วก็ได้”
“ฉันยังไม่ลืม”
“นี่แกพูดเองนะ -_-;;”
ยัยบ้านี่พาฉันเคลิ้มตามไปได้ไงเนี่ย ฮ่วย
“อย่างนี้เค้าเรียกว่า ‘ไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่จำทุกรายละเอียดที่มันทำกับฉัน’ ต่างหากเล่า พอๆๆ ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตกลงจะให้ฉันทำยังไงดี”
ซูซี่หันมามองหน้าฉันด้วยสายตาเบื่อๆ และถอนหายใจออกมาเสียงดังพรืด ก่อนจะนั่งเท้าคางมองนู่นมองนี่เหมือนกำลังจะใช้ความคิด แต่ความจริงฉันว่าแกแอบเหล่ผู้ชายโต๊ะข้างๆ มากกว่าล่ะมั้ง รู้ทันหรอกย่ะ
“ถ้าแกจะหาคนไปเย้ยน่ะ ก็ต้องหาคนที่ดีกว่าหมอนั่นทุกอย่าง มันจะได้เจ็บใจไงที่แกหาได้ดีกว่า”
“จะมีเหรอแบบนั้นอะ”
“ประวัติหมอนั่นดีเลิศนักเหรอไงฮะถึงได้บอกว่าไม่มี ไหนแกลองบอกคุณสมบัติของโปเซียร์มาซิ”
“หมอนั่นหล่อ”
“ต้องเติมคำว่า ‘มาก’ เข้าไปด้วยย่ะ”
“แล้วก็รวย”
“ดูจากรถที่ขับก็พอรู้น่ะนะ”
“เรียนเก่ง กีฬาเด่น กิจกรรมเป็นเลิศ รักเด็ก ชอบเลี้ยงสัตว์ ให้เงินขอทาน อนุรักษ์ธรรมชาติ และมาในมาดพระเอก”
“นี่ถ้าแฟนเก่าแกเลิศขนาดนี้ แกยังเลิกกับมันอีกเหรอ”
“ฉันบอกแล้วไงถ้าใครมาเจอแบบฉันก็รับไม่ได้หรอก”
“แต่สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คิดก็ได้นะเชอร์เบท”
“-__-;;”
ฉันปรายตาไปมองหลิงลี่ที่พูดแทรกขึ้นมาจนทำให้ยัยนั่นถึงกับสะดุ้งและรีบก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปทันที ส่วนยัยซูซี่ก็ได้แต่นั่งกลอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ
ในเมื่อสิ่งที่ฉันเห็นมันคือความจริง ใครจะทำไมล่ะ เชอะ
“อุ๊ย! นั่นๆๆ แกดูนั่นสิ”
ฉันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่จู่ๆ ยัยซูซี่ก็เนื้อเต้นระริกระรี้เหมือนปลากระดี่โดนน้ำร้อนลวกเขย่าแขนฉันแล้วชี้ไป
ทางด้านหลัง ที่มี...
“ถังขยะเปียกนั่นเนี่ยนะ”
“ยัยบ้า ฉันจะให้แกดูถังขยะไปเพื่ออะไรฮะ ฉันชี้ให้แกดูตรงนู้นต่างหากเล่า”
ฉันหันไปมองอีกครั้งก็พบกับตัวต้นเหตุที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนๆ ของเขา เพียงแค่นั้นก็ทำให้ยัยซูซี่เนื้อเต้นได้แล้ว เก็บอาการหน่อยสิเพื่อน
“พี่โชน!”
“ฮะ! มาริโอ้มาที่มหา’ลัยเราเหรอซูซี่”
“คนนี้หล่อกว่ามาริโอ้อีกย่ะยัยหมวย”
ฉันว่าเธอนั่งเฉยๆ จะดีที่สุดนะหลิงลี่ ท่าทางคงจะดูหนังมากไปหน่อย  
“นั่นพี่โชนที่เป็นประธานนักศึกษาของที่นี่ยังไงล่ะ จากประวัติเท่าที่ฉันรู้เนี่ยนะ นอกจากพี่เค้าจะหล่อไม่แพ้
โปเซียร์แล้ว อย่างอื่นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางบ้าน การเรียน กีฬา กิจกรรม แถมนิสัยนะก็ดี๊ดี ใจเย็น สุขุม รอบคอบ สุภาพ และก็แม๊นแมน สุภาพบุรุษม้ากมาก ถ้าแกบอกว่าโปเซียร์ของแกเป็นพระเอกล่ะก็นะ ฉันก็คิดว่าพี่โชนคงได้ตำแหน่งเจ้าชายไปครองแน่นอน”
ฉันนั่งเท้าคางฟังซูซี่ร่ายกาพย์ยานีว่าด้วยเรื่องประวัติส่วนตัวของพี่โชนมาอย่างละเอียดเหมือนกับว่าตัวเองไปสิงอยู่ใต้ท้องรถของพี่เขาอย่างนั้นแหละ
“หมอนั่นไม่ใช่ของฉันย่ะ แล้วนี่มาร่ายเรื่องของพี่โชนให้ฉันฟังทำไม”
“นี่แกจะซื่อบื้อไปจนถึงวันโลกแตกเลยหรือไงฮะ พูดมาขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีก”
“=O=;;”  หนูทำอะไรผิด
“ฉันก็จะให้แกใช้พี่โชนเป็นเครื่องมือแก้แค้นยังไงล่ะ”
“เฮ้ย!! แกจะบ้าเหรอ คนอย่างพี่โชนจะมาสนใจอะไรกับผู้หญิงธรรมดาอย่างฉันกัน”
“พี่โชนเค้าไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะสมศักด์ เอ้ย ซูซี่ เธอไม่ควรดึงพี่เค้าเข้ามาเกี่ยวนะ ตัวเองทำบาปไม่พอยังจะ
ดึงคนอื่นมาร่วมด้วยหรือไงกัน”
“ยัยหมวย นี่เธอด่าฉันเรอะ!”
“ฉันไม่ได้ด่านะ ก็แค่เตือนเธอเฉยๆ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เธอเลือกเอาก็แล้วกันนะเชอร์เบทว่าจะคบกับคนพาลหรือบัณฑิต”
ยัยหลิงลี่เธอกำลังหลอกด่าซูซี่อยู่สินะ แต่ยัยซูซี่กลับยักไหล่อย่างไม่สนใจกับธรรมมะสอนใจนั่น อย่าคิดว่าพวกฉันจะโกรธหรือโมโหอะไรกับคำพูดแดกดันของหลิงลี่หรอกนะ เพราะฉันชินแล้วล่ะ ถ้าจะเอาตรงๆ ก็คือมันด้านแล้วนั่นเอง
“งั้นแกก็เลือกเอาแล้วกันนะยัยเชอร์เบท ว่าแกจะเลือกคนพาลอย่างฉันที่สามารถทำให้แกแก้แค้นได้อย่างสะใจ หรือว่าจะไปคบบัณฑิตแม่ชีอย่างยัยหลิงลี่ที่จะชวนแกไปวัดแล้วก็ยุบหนอพองหนอให้แกลืมไปว่าถูกเยาะเย้ยอะไรเอาไว้บ้าง”
ฉันนิ่งคิด อืม... ที่ซูซี่พูดมาก็มีเหตุผลนะ ตอนนี้จิตใจฉันมันว้าวุ่นไม่ปกติเอามากๆ เพราะมีอะไรมารบกวนอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นฉันควรจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ความรู้สึกนี้มันหายไปใช่ไหม ฉันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองเพื่อนรักทั้งสองคนที่จ้องฉันตาแป๋วอย่างรอคำตอบ”
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าคนดีๆ อย่างฉันเนี่ยควรจะเลือกอะไร”
“จะไปวัดกับฉันใช่ไหม”
“ฉันจะไปทัวร์นรกกับยัยซูซี่ต่างหากล่ะ”
“TOT”
“เยส!! ฉันช่วยแกได้อยู่แล้วล่ะย่ะ”
ซูซี่กับฉันตีมือกับอย่างชอบใจโดยตัดหลิงลี่ออกไปจากสารบบชั่วคราว
“แกมีแผนแล้วงั้นเหรอ”
“แน่นอน ไม่มีคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ในพจนานุกรมของซูซี่หรอกย่ะ”
“ฉันควรจะเชื่อแกดีไหมเนี่ย”
“แล้วแกมีฉันไว้ทำอะไรยะ”
“ก็ไว้สร้างปัญหาไง โอ๊ย ตีแขนฉันทำไมอ่า TOT”
ฉันเบ้หน้าพลางลูบที่ต้นแขนตัวเองไปมา ยัยบ้านี่ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองยังอยู่ในร่างของผู้ชาย ฟาดมาทีนี่เหมือนกับถูกงวงช้างฟาดเลยนะ
“ทำเป็นพูดดีไป แกลืมสโลแกนของฉันไปแล้วหรือไง”
“ไม่ลืมหรอก ไอ้ที่ว่า ‘นายสมศักดิ์ หลอนนมย้อย ผู้ชายต้องถอยไปไกลๆ’ น่ะเหรอ”
“กรี๊ดๆๆ หยาบคายที่สุด ไม่ใช่อันนั้นย่ะ มันคือ ‘ซูซี่เซ็กซี่ซู่ซ่า สวยเต็มร้อย ผู้ชายต้องชะม้อยตาแล’ “
ไอ้ชะม้อยตาแลเนี่ยมันเป็นยังไงใครก็ได้ช่วยทำให้ฉันดูหน่อยได้ไหม ยัยซูซี่พูดออกมาด้วยความมั่นใจพร้อมกับสะบัดบ๊อบให้อีกทีหนึ่ง ฉันแอบเบ้ปากออกมาเล็กน้อยอย่างหมั่นไส้ กระเทยอะไรมั่นใจจริงๆ
“แล้วตกลงว่าแผนแกเป็นยังไงไหนว่ามาซิ”
“แน่นอนว่าซูซี่จัดให้ได้อยู่แล้ว”
“จัดอะไร”
“จัด จั๊ด จา ดา ดั๊ด จัด จา จ๊า ด่า ดั๊ด วู้ ^O^”
“-__-;;”
ไปสมัครเป็นแดนซ์เซอร์ของพี่ไอซ์เลยดีมั้ย
“เอาหูมานี่”
ฉันกับหลิงลี่มองหน้ากันก่อนที่เราสองคนจะเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ซูซี่ที่ทำท่าลึกลับเหมือนกับกำลังประชุมวางแผนล่อซื้อยาบ้า
กระซิบๆๆๆ
“หือ? แน่ใจเหรอว่าจะได้ผล”
ว่าแล้วยัยซูซี่ก็ชูสองนิ้วขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้าอย่างมั่นใจให้กับแผนอันชาญฉลาดของตัวเอง นี่ฉันชักไม่แน่ใจกับแผนของแกซะแล้วสิ

(( โปรดติดตามตอนต่อไป ))

จากคุณ : Muxing
เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 54 13:11:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com