Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กระบี่รันทด ภาค 2.......บทที่ 3 (ส้มตำจำพราก) ติดต่อทีมงาน

==============
ชื่อเรื่อง กระบี่รันทด
ผู้เขียน PSYCHO MAN
บทที่ 3
ส้มตำจำพราก
==============


ความเดิมตอนที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10449290/W10449290.html


ชบวนคุ้มภัยของเฒ่าซกมกกับเฒ่าซกเล็ก มาพัก ณ โรงเตี๊ยมของโฉมสะคราญโรงเตี๊ยม

จอมมารคอหอยปรากฏตัวและชักนำเฒ่าซกเล็กออกไป
เรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป


+++++++


เฒ่าซกเล็กวิ่งตามเงาร่างของจอมมารคอหอยแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่พักหนึ่งพลันพบว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวในถนนนอกตัวเมือง ถนนสายอ้างว้างเดียวดาย มีเพียงสายลมร้อนและทิวไม้อ่อนล้า จอมมารคอหอยไม่ทราบว่ากำลังหลบอยู่บริเวณใด

มันหันรีหันขวางครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเอี๊ยดๆ มาแต่ไกล

มันเห็นรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาอย่างช้าๆเป็นรถเข็นขายอาหาร บางทีอาจเป็นรถขายบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว หรือไก่ย่างส้มตำ คนเข็นรถคล้ายเป็นหญิงชราเก่าแก่พอๆกับตัวรถ ทันใดนั้นเองเฒ่าซกเล็กนึกได้ว่ามันยังไม่ได้กินอาหารเลยก็เกิดเรื่องขึ้นมาก่อน

แต่จะไว้ใจใครได้อย่างไร


++++++


เห็นอยู่ชัดๆว่าอาหารกำลังจะเข้าปาก ยังถูกผู้อื่นยื่นหน้ามางับไปอย่างหวุดหวิดหวาดเสียว ช้างกำลังจะเข้าปากอ้อยแท้ ๆ ยังโดนช่วงชิงไปต่อหน้าต่อปาก

เฒ่าซกเล็กไม่ได้ประมาท ผนึกลมปราณขึ้นมาทันที ท่วงท่าคล้ายโปรดโปร่งคล้ายโล่งใจแต่มือเท้าอยู่ในท่วงท่าลงมือจู่โจมออกไปได้ทุกขณะ ไม่แน่นักว่าจอมมารคอหอยจะซ่อนตัวอยู่บริเวณใด

รถเข็นและร่มสีแดงเก่าคร่ำคร่าคันใหญ่กั้นแดดกันฝน ยังมาไม่ถึงตัวแต่จิตใจของเฒ่าซกเล็กพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันใดเมื่อจมูกของมันได้กลิ่นพิกลพิสดารชนิดหนึ่ง

มันเคยคิดว่าสุดยอดอาหารเลอเลิศในใต้หล้าไร้เปรียบปรานคือซกเล็ก สายตาแทบไม่เคยเหลือบมองอาหารชนิดอื่น  จวบจนวันนี้มันยังคงเชื่อเช่นนั้น หากตอนนี้มันกลับได้กลิ่นอันชื่นชมดมดอมแล้วหอมหวนชวนน้ำลายไหล ไม่ได้หอมจรุงใจจับจิตแทบล้มประดาตาย แต่คล้ายมีมนตร์ขลังประหลาดอบอวลรุมเร้าลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ ในส่วนละเอียดอ่อนที่สุดของจิตใจ

ร่างของมันขยับไหววูบไปยังข้างรถเข็นราวลมหอบ เบิ่งตาจ้องมองไม่กระพริบ

รถรถเข็นมีตู้ไม้ ในตู้ไม้มีพืชผัก พืชผักมีหลายชนิด

ข้างตู้มีวัตถุพิสดารหลายชนิด ข้างวัตถุพิสดารมีเตาย่างเล็กๆ บนเตาย่างมีไก่ย่างส่งกลิ่นหอมสุดบรรยาย มันไม่เคยรู้ว่ากลิ่นไก่ย่างสามารถส่งกลิ่นหอมขนาดนี้

แต่ยังมีกลิ่นหอมอีกชนิดหนึ่งผสมผสานสอดคล้องกลมกลืน ส่งเสริมให้ไก่ย่างคล้ายพยัคฆ์ติดปีกหอมน่ากินขึ้นไปอีกหลายเท่า ทั้งที่กลิ่นสองชนิดนี้ผิดแผกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับผนึกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว  ในโลกยังมีเรื่องราวพิสดารเยี่ยงนี้นับว่า น่าแตกตื่นปางตาย

กลิ่นชนิดที่สองมาจากไหเล็กๆซึ่งวางบนรถเข็น

“มันคืออะไร”

ในที่สุดเฒ่าซกเล็กส่งเสียงถามดังๆ

แม่เฒ่าคนขายยืดตัวขึ้น ทันใดนั้นนางพลันกระจ่างว่ายังไม่ได้ชราภาพมากมายอย่างคาดไว้ในตอนแรก ถึงผ่านกาลเวลามายาวนานสองตายังกระจ่างสุกใสมีชีวิตชีวา

“มันคืออาหารสุดวิเศษ”

นางตอบสั้นๆ ขณะทำท่าจะเข็นรถต่อไป แต่เฒ่าซกเล็กยื่นมือปราดออกจับด้านข้างของรถไว้ เอ่ยปากถามต่อไปอีกว่า

“มันคืออะไร”

แม่เฒ่ายิ้มเล็กน้อย จ้องมองอีกฝ่ายเหมือนมองตัวโง่งม ก่อนตอบช้าๆ ว่า

“มันคือปลาร้า”

“มันคือปลาร้า...”

เฒ่าซกเล็กทวนคำอย่างงุนงง ยอดฝีมืออย่างมันกลับไม่รู้จักปลาร้า

“ถูกต้อง”

แม่เฒ่าพยักหน้ารับคำอย่างยิ้มแย้ม สีหน้าปรากฏแว่วภาคภูมิใจขึ้นมาแวบหนึ่ง ราวแสงสว่างของสายฟ้าสว่างเล็ดลอดม่านเมฆหนาทึบ

“มันคือปลาร้าพันปี ผ่านการหมกบ่มด้วยกาลเวลายาวนาน ทรงคุณค่าทางอาหารมหาศาลฟื้นฟูพละกำลังวังชาอายุวัฒนะยิ่งกว่าบัวหิมะพันปี ประกันว่าต่อให้เป็นบัวหิมะพันปีหรือโสมเกาหลีก็ไม่อาจเทียบเคียง”

“มันเป็นสัตว์ประเภทไหนกัน”

“มันเป็นสัตว์ซึ่งมีตำนานมีที่มาพิสดารเร้นลับสุดบรรยาย เผ่าพันธุ์ของมันก็ไม่อาจระบุได้ชัดเจนยากต่อการจำแนกแยกแยะ บ้างเล็กบ้างใหญ่ บ้างอ้วนบ้างผอม บ้างสูงบ้างต่ำ บ้างดำบ้างขาว บ้างยาวบ้างสั้น บ้างว่ามันอาศัยอยู่ในน้ำจืด บ้างว่ามันอาศัยอยู่ในน้ำเค็ม”

เฒ่าซกเล็กกลืนน้ำลาย ส่งเสียงแหบแห้งว่า

“เราขอซื้อหนึ่งตัว”

“ท่านจะเอามันไปทำอะไร”

“ย่อมเอาไปรับประทาน”

“เงอะ...”  
แม่เฒ่ามองหน้าแล้วแค่นเสียงอย่างเหยียดหยาม

“น้ำหน้าอย่างท่านยังสามารถรู้จักศิลปะวิธีการกินปลาร้าให้ถูกหลักถูกรสนิยม ของวิเศษอย่างนี้ท่านยังคิดแบบไร้รสนิยมคิดสะแตกปลาร้าแบบเปล่าเปลือยเดียวดาย บอกกับท่านว่า ปลาร้าถ้าจะให้มันเปล่งศักยภาพสุนทรียรสออกมาได้เต็มที่ต้องนำมาทำเป็นส้มตำ”

“ส้มตำ”

เฒ่าซกเล็กเบิกตากว้างอีกแล้ว

มันแน่ใจว่าตัวเองผ่านร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำตะลุยเหนือล่องใต้บุกตะวันออกเข้าตะวันตกมากมายหลายทิศ เชี่ยวชาญชำนาญอาหารสารพัดรอบทาง แต่กลับไม่ได้ยินว่ามีอาหาร คือ ส้มตำ มาก่อนเลยในชีวิต

“เงอะ...ท่านไม่รู้จัก..”

แม่เฒ่ามองหน้ามันด้วยสายตาหยามหยันอีกแล้ว

“กระทั่งส้มตำท่านยังไม่รู้จัก ยังจะมาบังอาจลืมตาอ้าปากคิดสอยเด็ดส้มตำลงมารับประทานนับว่าไม่เจียมตัวมากมาย”

“เราไมรู้จัก วานท่านชี้แนะ”

“ก่อนอื่นท่านจ่ายมาก่อนห้าสิบเหรียญสากล”

นางแบบมือยื่นออกมา เฒ่าซกเล็กสะดุ้ง มองหน้า ร้องเสียงดังอย่างไม่เชื่อ

“อะไรกัน....ทำไมราคาหูดับตับไหม้ขนาดนี้ และที่เราต้องการคือปลาร้า มิใช่ส้มตำ”

“ท่านอย่าบังอาจลืม ปลาร้านี้เป็นปลาร้าพันปี  มิใช่ได้มาโดยง่าย ต้องบุกบ่าฝ่าฟันเส้นทางยาวไกล สำคัญคือปลาร้าจะต้องใส่กับส้มตำ จึงจะเปล่งศักยภาพ และพลานุภาพถึงขีดสุดสิ้นดินฟ้า”

ว่าพลางนางยื่นมือออกไป เผยอฝาครอบไหปลาร้าออกมาเล็กน้อย

กลิ่นวิจิตรพิสดารกรรโชกวูบทันที

เฒ่าซกเล็กปากอ้าตาค้างไปแล้ว

กลิ่นปลาร้ามีมนต์มายารุมเร้าให้สติสัมปชัญญะเลอะเลือนลุ่มหลง กระทั่งชาติหน้ามันก็ไม่มีวันลืมกลิ่นนี้เด็ดขาด มือของมันล้วงตั๋วแลกเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงในยื่นให้แบบไม่รู้ตัว ลืมเลือนไปแล้วว่าตัวเองกำลังปฏิบัติงานไล่ล่าจอมมารคอหอย

“รีบปรุงส้มตำปลาร้าให้เรา”

แม่เฒ่ารับคำอย่างยิ้มแย้ม มาตรว่าอายุมากแล้วประกายตายังแจ่มใสปราดเปรียว หรือว่าเป็นเพราะกลิ่นไอของปลาร้าซึ่งรุมเร้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะส่งเสริมบันดาลกายใจนางแข็งแรงคึกคักแจ่มใส
นางสะบัดมือวูบหนึ่ง พริกเม็ดจำนวนหนึ่งร่วงลงไปในครกหินโบราณ

มือขวาของนางจับสาก้า (สาก้า เป็นคำศัพท์โบราณที่ใช้ในยุคนั้น หมายถึงไม้ตีพริกในปัจจุบัน)สะบัดหมุนอย่างคล่องแคล่ว ขณะมือซ้ายหยิบเส้นของ มะละก้า (มะละก้า เป็นศัพท์โบราณที่ใช้ในยุคนั้น หมายถึงมะละกอในปัจจุบัน) โรยรายปรายโปรยอย่างสวยงามพิสดาร นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของพืชผักอีกหลายชนิด

เสียงสาก้า กระทบกับครกดังกึกกัก.กึงกัง หนักบ้างเบาบ้าง เป็นจังหวะท่วงทำนองพิสดารคล้ายเสียงดนตรีง่ายๆหากเร้าใจพาใจจิตใจเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยไปสู่อดีตกาล เฒ่าซกเล็กฟังแล้วหวนจิตคิดถึงเรื่องราวมากมายผ่านมา คิดถึงรักแรกของมัน เสียงสาก้าทำให้ใบหน้าของนางอันเป็นที่รักลอยกลับมาให้ห้วงคิดคำนึงอีกครั้ง สมัยจูงมือเกี่ยวก้อยกันเดินไปตามตลาดสด ขี้ขวนกันเลือกซื้อข้าวปลาอาหารด้วยท่าทางคึกคักแจ่มใส

กลิ่นหอมของปลาร้าบันดาลให้มันได้กลิ่นไอธรรมชาติทิวเขาแมกไม้สายลมเย็นของหน้าฝน คำนึงถึง เพื่อนพ้องสมัยฝึกวิทยายุทธ์ คิดถึงรักสลายล่มของมันครั้งแรกเมื่อนางเห็นว่ามันสนใจซกเล็กมากกว่านาง เรื่องราวมากมายทำให้น้ำตาของมันไหลรินเป็นทาง

“เป็นอะไร หรือว่าพริกกระเด็นเข้าตาท่าน” เสียงถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่ใช่...”

“ลูกผู้ชาย หลั่งน้ำลายได้ แต่ไม่ควรหลั่งน้ำตา”
แม่เฒ่าให้ความเห็น หากคู่สนทนาส่ายหน้าปฏิเสธ

“มีบางเรื่อง ไม่ว่าลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย ก็ควรค่าแก่การหลั่งน้ำตา”

วาจาของเฒ่าซกเล็กนับว่าไม่ไร้ความหมายเสียเลยทีเดียว

ในโลกนี้มีมากเรื่องหลายราว ควรค่าแก่การหลั่งน้ำตา สมควรหลั่งน้ำตา หลั่งจนชีวิตหมดสิ้นขาดหายเป็นตะเกียงไร้ไส้ไร้เชื้อ

“มีเรื่องอะไรสมควร” นางถามอีก

“เรื่องของหัวใจ”

“เรื่องของหัวใจสำคัญขนาดนี้จริงๆ”

“ยังมีอะไรเป็นเรื่องบันดาลใจมากกว่านี้อีก””

เฒ่าซกเล็กยันยันหนักแน่น พลางปาดน้ำตาแล้วหันมาถามว่า

“หรือส้มตำ ไก่ย่าง กระทั่งตัวท่าน ไม่มีที่มาหรือเรื่องราวอันควรค่าในการหลั่งน้ำตา”

คนไม่สามารถกระทั่งหลั่งน้ำตาเป็นคนเช่นไร

สายตาของแม่เฒ่าคล้ายจ้องมองไปแสนไกล

ต้นมะละก้า ยืนต้นตระหง่านท้าลมฝน ลมแรง ฝนซัด

นางยืนจ้องมองลูกมะละก้า สูงขึ้นไปห้าหกวา ผิวมะละก้าราบลื่นสดใส นางกำลังต้องการนำไปฝึกฝนการตำส้มตำให้บรรลุขั้นสูงสุดยอดคืนสู่จาน มิใช่เรื่องกระทำโดยง่ายดายหลายคนพากเพียร ล้มไปแล้วล้มอีก ยังไม่บรรลุแก่นแท้ของจิตวิญญาณของส้มตำสุดขอบฟ้า

คนรักนางก็ยืนมองดู

สายตาของนางคล้ายละลายจางหาย

อึดใจต่อมา คนรักของนางหันหลังกลับ ทุ่มเทวิชาตัวเขาวิ่งสุดชีวิต

นางตื่นตะลึง

วูบนั้น นางพลันนึกออก

คนรักของนางรับส้มตำร้อยก้าว แต่ไม่ยอมรับว่านางเป็นเจ้าแม่ส้มตำในอนาคต คนขายไก่ย่างส้มตำเป็นคนเช่นไร คนรับประทานไก่ย่างส้มตำเป็นคนเช่นไร ในโลกนี้ยังมีคนสามารถเข้าใจ มันไม่ต้องการเป็นคนปีนต้นมะละก้า ถึงหลบลี้หนีหน้า

น้ำตาของนางร่วงลงดุจสายฝน

หยดน้ำฝนหล่อเลี้ยงบุปผาในหัวใจ หยาดน้ำตาหล่อเลี้ยงความรักในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นบุปผา หรือหัวใจต่างต้องการแรงบันดาลใจหล่อเลี้ยง

ส้มตำออกจากครกลงสู่จานแล้ว

เป็นส้มตำปลาร้า

ยังไม่หยิบใส่ปาก ทั้งแม่เฒ่าส้มตำและเฒ่าซกเล็กต่างฝ่ายคล้ายบรรลุความจริงแก่นใจไปอีกระดับแล้ว

“ท่านเป็นไร”
เฒ่าซกเล็กพยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอ่ยปากถาม

“เราไม่เป็นไร เพียงฝุ่นพริกเข้าตาเรา”

ว่าพลางรีบปาดน้ำตา เป็นแม่ค้าไม่อาจร่ำไห้ต่อหน้าลูกค้า นางมิอาจรับว่าหลั่งน้ำตา เพียงรับว่าฝุ่นเข้าตา ไม่คาดว่าประโยคนี้ยังคงจะถูกนำไปใช้ในโอกาสต่อไป ทุกยุคทุกสมัย หลายคนไม่ยอมรับว่าหลั่งน้ำตา หากยอมรับว่าฝุ่นผงเข้าตาจึงหลั่งน้ำตา

เฒ่าซกเล็กยังคงจมอยู่กับความรักความรัก น้ำตาคงหลั่งไหล มันไม่บอกฝุ่นผงเข้าตา เนื่องเพราะมันเป็นลูกผู้ชาย กล้ารัก กล้าร้อง กาลเวลาผ่านไป กัดกร่อนวัย หากไม่อาจกัดกร่อนปณิธานแน่วแน่แท้รัก

แม่เฒ่าพลันหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ มันรับมาเช็ดน้ำตาแต่แล้วพลันกระโดดปราดขึ้น แผดร้องสุดเสียง เมื่อนัยน์ตาของมันบังเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาโดยกะทันหัน

“อ้าว ข้าขอโทษ หยิบผ้าผิด นั่นเป็นผ้าเช็ดครก ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า”

“โอย.! ตาเรา....ตาเรา”
เฒ่าซกเล็กถึงกับเช็ดน้ำตาไปมาอย่างแตกตื่นเร่งร้อน ส้มตำยังไม่ได้ทันชิมไม่ทันกินกินก็ไม่อาจมองเห็นเสียแล้ว

พลันมีเสียงเย็นยะเยียบดังข้างหูของมัน

“ท่านมองไม่เห็นแล้ว จะรับประทานส้มตำได้อย่างไร”

รับฟังจนใจหายวาบ นั่นเป็นเสียงจอมมารคอหอยขัดๆ ซึ่งคงคอยซุ่มดูจังหวะจะลงมือโจมตี เฒ่าซกเล็กกระโดดขึ้นเตะเท้าขวาออกไปสุดแรง ปฏิกิริยาของมันยังคงปราดเปรียวสมกับเป็นยอดฝีมือ

จอมมารคอหอยถอยหลัง หลบออกไปได้อย่างง่ายดาย หัวร่อเย้ยหยันพลางร้องว่า

“ท่านโดนค่ายกลส้มตำแล้ว ยินยอมให้เราจับตัวแต่โดยดี ประกันว่าเราไม่ทำอันตรายท่าน ไม่แย่งส้มตำของท่าน”

คำตอบของเฒ่าซกเล็กคือร่างถาโถมเข้าหาดังพายุ

จอมมารคอหอยพลันล้มตัวลงกับพื้น เตะใส่ข้อเท้าของอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเป็นปกติธรรมดาเฒ่าซกเล็กย่อมหลบหลีกได้จนใจว่าตอนนี้นัยน์ตาของมันมองไม่เห็นเสียแล้ว ร่างจึงล้มกลิ้งลงกับพื้น ศีรษะโหม่งเข้ากับโขดหินอย่างจังจนแน่นิ่งไป

จอมมารคอหอยหัวร่ออย่างลำพองผยองใจ เดินตรงไปล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงในของเฒ่าซกเล็กหยิบนกหวีดไร้เงาของมันออกมา

มันต้องการนกหวีดไปทำอะไร

หลังจากเก็บนกหวีดไว้ในแขนเสื้อมันก็เดินอย่างยิ้มแย้มมายังนางเฒ่าส้มตำพลางบอกว่า

“ขอบใจท่านที่ร่วมมือกับเรา”

“เงอะ..”

แม่เฒ่าแค่นเสียง มองอย่างเหยียดหยาม

“นี่เป็นเพราะเห็นแก่ท่านเป็นสหายเก่า จึงยอมช่วยเหลือ และสำคัญคือเห็นแก่เงิน 100 เหรียญสากล ท่านจ่ายมาได้แล้ว”

จอมมารคอหอย ยื่นตั๋วแลกเงินส่งให้ ท่าทางของมันเกรงใจๆไม่น้อย มันพลันมองไปยังจานส้มตำครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“ข้าขอส้มตำจานนี้”

“ไม่ได้” นาง ปฏิเสธเสียงแข็ง

“ทำไมไม่ได้ ท่านได้เงินเรา 100 เหรียญไปแล้ว”

“เงอะ...นั่นเป็นค่าจ้าง ไม่ใช่ค่าส้มตำ”

“ท่านควรจะแถมให้เรา”

จอมมารคอหอยแสยะยิ้ม.. ยิ้มของมันแฝงแววชั่วร้ายสามสิบสองประการ สายตาของมันกลอกกลิ้งไปมาไม่หยุดยั้ง รักษาภาพชักชวนผู้คนไล่ล่าทุบตีสุดแสน

“วาจาผีสาง”

แม่เฒ่าตวาดอย่างไม่พอใจ ส้มตำของนางมิใช่ว่ามีเงินแล้วจะสามารถเอาเงินฟาดก้านคอนาง เพื่อกินส้มตำได้ง่ายๆ

“ส้มตำจานนี้เป็นของเฒ่าซกเล็ก มันจ่ายเงินแล้ว ย่อมเป็นของมัน”

“มันไม่มีโอกาสกินแล้ว” จอมมารคอหอยยังไม่เลิกพยายาม

“ถึงไม่มีโอกาส ย่อมยังคงเป็นของมัน”

“ก็ได้....ก็ได้”

จอมมารคอหอยหัวร่อฮิฮะ หันหลังก้าวออกเดิน แม่เฒ่าส้มตำลอบถอนหายใจ
แต่แล้วเหตุการณ์กลับแปรเปลี่ยนกะทันหัน จอมมารคอหอยพลิกตัวกลับอีกครั้งราวสายฟ้า ตะกุยมือออกยื่นใส่ไก่ย่างของนางอย่างรวดเร็วแต่ฉกฉวยโอกาสไม่ทันระวังตัว มันถึงกับคิดฉกฉวยไก่ย่างแบบหน้าศิลาสุดแสน

“ท่านกล้า!”

แม่เฒ่าส้มตำตวาดสุดเสียง แม้ว่าไม่ทันระวังตัว แต่สาก้าในมือก็พุ่งปราดออกไปราวฝนซัด เป็นปฏิกิริยารวดเร็วเกินจิตใจ อันแสดงว่าอาวุธประจำกายกับนางถึงขั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไร้เขา ไร้เรา สาก้าคือนาง นางคือสาก้า มาตรว่าไม่ใช่มือกระบี่ซึ่งผนึกกายใจและกระบี่เป็นหนึ่งเดียว แต่พลานุภาพไม่ผิดแผกแตกต่างเด็ดขาด

ถึงเป็นจอมมารคอหอยก็ไม่คาดหมาย มันชะงักท่าร่าง ฝ่ามือทั้งสองเคลื่อนมาปิดใบหน้าก่อนตีลังกาปราดออกไป

พอเท้าแตะพื้นมันพลันยกมือกุมตาขวาเช็ดไปมาแผดร้องสุดเสียง

“ท่านใช้วิชาใด..เราแสบตา แสบตาเหลือเกิน”

มันหลบรอดจากสาก้าไร้เงาได้ แต่ไม่อาจหลบพ้นน้ำปลาร้าและเศษพริกไปได้ สาก้าจู่โจมไม่ถึงเป้าหมายแต่น้ำปลาร้าและเศษพริกยังคงพุ่งต่อไปตามพลังเฉื่อย

“ท่านคิดแทะเล็มไก่ย่างเรา สมควรโดนน้ำปลาร้าร้อยก้าว”

น้ำตาของจอมมารคอหอยหลั่งริน หลั่งรินตาเดียว คนหลั่งน้ำตาข้างเดียวหาชมไม่มากนัก พริบตานั้นมันคล้ายสูญเสียบุคลิกภาพ เกียรติภูมิและความมั่นใจไปโดยสิ้นเชิง กระทั่งน้ำปลาร้ายังไม่อาจหลบพ้น

มันยังเหลือนัยน์ตามองเห็นอีกข้าง

ความเดือดเดือดของมันทะลักทลาย คำรามสุดเสียงกระโดดปราดขึ้นในอากาศ

“ท่านทำเช่นนี้ เราจะทำลายไหปลาร้าของท่าน”

จอมมารคอหอยคล้ายถูกอาถรรพ์ของปลาร้าบันดาลให้คลุ้มคลั่งเลอะเลือนไปแล้ว
อาหารในช้อนจวนเจียนเข้าปากผู้อื่น มันยังฉกฉวยยื่นหน้าไปงับลับลาจำพราก นับประสาอะไรกับไหปลาร้าของสตรีแก่เฒ่านางหนึ่ง ดังนั้นมันมั่นใจในการลงมือครั้งนี้ ฝ่ามือกระแทกลง ไหปลาร้าต้องแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แต่ที่มันไม่คาดคิดคือสองมือสองเท้าของแม่เฒ่ายังคงปราดเปรียวว่องไว นางตบพื้นรถเข็นโครมหนึ่ง ประกายสีเขียวสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นมาทันที

นั่นเป็นเคล็ดวิชา “พริกเม็ดเจ็ดก้าว”

ใครที่รับประทานพริกเม็ดเข้าไป จะต้องเผ็ดภายในเจ็ดก้าว แต่ให้เป็นยอดฝีมือระดับไหนก็ไม่อาจทานทน

จอมมารคอหอยรับรู้พลานุภาพของพริกไร้เงามาแล้ว พลันใจหายวาบ พลิกตัวกลางอากาศพุ่งร่างออกไปด้านข้างอย่างหวุดหวิด

แต่ที่คาดไม่ถึงอีกชนิดหนึ่ง คือด้านข้างนั้นมีบาทาไร้เงาของคนผู้หนึ่ง จอมมารคอหอยใช้พลังหลบหลีกจนสุดล้าแล้วไหนเลยจะต่อต้านหลบพ้นบาทาไร้เงา

เสียงดังสนั่น ร่างของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ปลิวลอยไปด้านข้างทันที

เจ้าของบาทาพลิกพลิ้วกายลงข้างรถเข็น

กลับเป็นเฒ่าซกเล็ก

น้ำตาของมันเริ่มเหือดแห้งแล้ว ศีรษะของมันแตกโลหิตไหลอาบ ทั้งน้ำตาและโลหิตผสมผสานกันเป็นภาพอันน่าแตกตื่น

จอมมารคอหอยลอยไปปะปะต้นสนข้างถนนโครมใหญ่แล้วร่วงลงทรุดกับพื้น ก่อนอ้าปากกระอักซกเล็กออกมาคำหนึ่ง ย่อมเป็นซกเล็กที่มันแย่งชิงผู้อื่นกลืนกินเข้าไป

มันจ้องมองผู้มาขัดจังหวะด้วยสายตาเคียดแค้น ร้องขึ้นว่า

“ท่านฉกฉวยลอบลงมือ นับว่าไร้ยางอาย”

เฒ่าซกเล็กเช็ดเลือดออกจากศีรษะ สายตาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉื่อยชาแล้วพูดขึ้นช้าๆว่า

“เราอาจไร้ยางอาย แต่ท่านอาจไร้ยางอายมากกว่า เป็นบุรุษกลับลงมือใส่สตรีแบบนี้ นับว่าเป็นลูกผู้ชายครอกใดกัน คิดทำลายไหปลาร้าคนอื่นมีที่ใดน่าภาคภูมิใจ”

บุรุษลงมือต่อสตรีไม่อาจนับเป็นลูกผู้ชายได้โดขาด

จอมมารคอหอยแสะยิ้ม เช็ดซกเล็กออกจากมุมปาก บอกว่า

“นางหลอกลวงท่าน ท่านยังช่วยนาง”

“เราเพียงคิดกินส้มตำของเรา”

เฒ่าซกเล็กยังไม่ลืมว่ามันยังไม่ได้กินส้มตำปลาร้า มันมิอาจไม่กินเนื่องเพราะมันจ่ายเงินไปแล้ว

“ฮา...เชิญท่านกินให้อร่อยปางตาย เราไปแล้ว วันนี้ไม่เป็นมารคอหอยท่านสักวัน”

กล่าวจบร่างของมันพุ่งปราดออกไปในดงไม้ แต่ยังแว่วเสียงของมันผ่านเงาไม้ออกมาว่า

“เราไม่ยุ่งกับสองท่าน แต่เราของยืมนกหวีดของท่านไปใช้งานสักเล็กน้อย เสร็จสิ้นภารกิจย่อมนำมาน้อมประคองส่งคืน”

นกหวีดถูกฉกฉวยไป ย่อมเป็นเรื่องไม่น้อย ขนาดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงในยังถูกค้นพบ นับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายจนสุดทนทาน  แม่เฒ่าส้มตำมองหน้ามันอย่างเห็นใจยิ่ง อ่อนโยนยิ่ง ในที่สุดกล่าวขึ้นว่า

“เราผิดต่อท่าน เช่นนี้เราแถมไก่ย่างข้าวเหนียวให้ท่านโดยไม่คิดมูลค่า”

เฒ่าซกเล็กรับฟังจนพลุ่งพล่านตื้นตัน มันย่อมทราบแล้วว่าแม่เฒ่าคนนี้ร่วมมือกับจอมมารคอหอย แต่นางกลับดูไม่เลวร้ายนัก และมันเองก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรมากมาย สตรีหลายครั้งก็กระทำเรื่องราวตามอารมณ์ตามความพิสดารอันยากยิ่งต่อการเข้าใจ แต่เพียงเป็นสตรีมันย่อมให้อภัยไปล่วงหน้าแล้วสามส่วน

มันหยิบส้มตำขึ้นมาใส่ปาก ตามด้วยข้าวเหนียว ไก่ย่าง

“อา...”

เสียงอุทานแตกตื่นปากอ้าตาค้าง

มีมันรสชาติใดกัน ทั้งเผ็ดละมุนกลมกล่อม เนื้อมะละก้าเหนียวนุ่มยืดหยุ่นราวมีสปริงเล็กๆในตัวนับร้อยนับพันบันดาลให้ตื่นเต้นเร้าใจทุกลมหายใจของการขบเคี้ยว ความเค็มอบอุ่นโปรงกลางมีมิติของปลาร้าและกลิ่นร่ำหอมจรูงจิตจนลมหายใจแทบขาดห้วง

เฒ่าซกเล็กรู้สึกหน้ามืด ขณะจะล้มคว่ำลง สองหูยังได้ยินเสียง

“เราลืมไปว่า การใช้ผ้าเช็ดหน้าของเราไม่ใช่แผนที่วางไว้แต่แรก ความจริงแผนแรกของเราคือใส่ยาสลบลงในส้มตำ เราเลอะเลือนลืมหลงไปแล้วจริงๆ”

น้ำเสียงของนางบอกความเสียใจจริงใจ แต่สติของเฒ่าซกเล็กก็ดับวูบลงเรียบร้อยแล้ว

++++++

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 54 11:19:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com