Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"แก้วนพเก้า" บทที่ ๒๖(เล่ห์มายา) -บทที่ ๒๘(เงา ) [แนวจักรๆวงศ์ๆ] ติดต่อทีมงาน

แก้วนพเก้า ตอนที่ ๑-๙
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/01/W10094105/W10094105.html

แก้วนพเก้า ตอนที่ ๑๐-๑๕

http://www.hongsamut.com/readniyai.php?NiyaiDetailID=3849&niyaiid=364

บทที่ ๑๖ พลังจากธาตุอัคคีศักดิ์สิทธิ์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10232809/W10232809.html


"แก้วนพเก้า" บทที่ ๑๗  ปิลันธโมรา

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10259490/W10259490.html

แก้วนพเก้า ตอนที่ ๑๘(สถาปนา) -๑๙(จำจาก)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10336308/W10336308.html

"แก้วนพเก้า" ตอนที่ ๒๐ -๒๒
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10401500/W10401500.html

"แก้วนพเก้า" บทที่ ๒๓(บรรณาการ) -บทที่ ๒๕(ศลภะนครา)


http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10434680/W10434680.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

"แก้วนพเก้า" บทที่ ๒๖ เล่ห์มายา

เส้นทางที่มุ่งสู่เทือกเขาปราษาณถูกย่นระยะมาได้เกือบครึ่งทาง เพราะตัดตรงออกจากศลภะนคราโดยไม่ต้องเสียเวลาอ้อม หากก็ยังเป็นหนทางที่ยาวไกลสำหรับเด็กน้อยอยู่ดี น้ำค้างแสงจันทร์เป็นเสบียงที่ช่วยให้เดินทางได้โดยแทบไม่รู้
สึกถึงความเหนื่อยล้า ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหยุดพัก

เมื่อพระสุริยาเคลื่อนคล้อยต่ำจากระดับศีรษะลงมาได้ไม่นาน ธีรวงศ์และมโนพัศก็พบลำห้วยลึกพาดขวางอยู่เบื้องหน้า

“แล้วเราจะไปต่อยังไงดี” มโนพัศหันมาขอความเห็นจากผู้ร่วมทาง ธีรวงศ์ทอดสายตามองลำห้วยข้างหน้า ทางด้านต้นน้ำเป็นผาสูงชันที่กระแสธารไหลเชี่ยวกราก หากแต่ทางปลายน้ำริมฝั่งขยายกว้าง ความแรงของสายน้ำลดระดับลง

ห้วยที่ปาลีจากศลภะนคราเอ่ยถึง...

“ดูนั่นสิ มโนพัศ! มีสะพานบนโน้น” ธีรวงศ์ชี้ให้เห็นสะพานเล็กๆที่แกว่งไกวเชื่อมชะง่อนผาสูงสองฝั่งที่แยกออกเป็นช่องเขาขาด แต่นั่นหมายถึงพวกเขาต้องเดินขึ้นเขาสูงเพื่อไปให้ถึงสะพานนั้น

“โห! ต้องเดินขึ้นเขาสูงขนาดนั้นแล้วเมื่อไรจะถึงล่ะ เราว่าด้านล่างโน่นอาจจะมีบริเวณที่ตื้นพอให้เราเดินข้ามไปก็ได้นะ” มโนพัศชี้ให้ธีรวงศ์ดูปลายน้ำที่ขอบตลิ่งแผ่กว้างกว่าด้านต้นน้ำ กระแสน้ำไหลเรียบเรื่อยดูสงบนิ่งกว่าบริเวณที่ทั้งสอง
ยืนอยู่

“งั้นเราลองลงไปดูข้างล่างก่อนก็ได้” ธีรวงศ์คล้อยตาม เดินลงไปยังปลายห้วยเบื้องล่างซึ่งดูน่าจะย่นเวลาและระยะทางได้ดีกว่าที่จะต้องปีนขึ้นไปข้ามสะพานบนบนโตรกสูง

ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่บริเวณปลายลำห้วยที่สายน้ำลดทอนความเชี่ยวกรากลงมาก แต่ความลึกที่ธีรวงศ์ลองใช้ลำไม้ยาวๆ หยั่งไม่ถึงพื้นเป็นอุปสรรคใหญ่

“ถึงน้ำจะไม่เชี่ยวเท่าข้างบนแต่มันก็ดูท่าจะลึกมากพอสมควรนะ แล้วก็กว้างมากด้วย เจ้าว่ายน้ำเป็นรึเปล่า ธีรวงศ์”

“ว่ายน้ำในธารธรรมดาน่ะพอได้ แต่นี่มันเชี่ยวไปหน่อย แถมยังกว้างแล้วก็ลึกอีกต่างหาก” ธีรวงศ์เอ่ยอย่างกริ่งเกรง

“งั้น...เราก็คงต้องปีนขึ้นไปข้ามสะพานบนนั้นแล้วล่ะ” มโนพัศจำยอมเดินย้อนกลับขึ้นไป แหงนมองสะพานแขวนที่มองเห็นเล็กเท่าเส้นเชือกแกว่งอยู่ไหวๆ อย่างไม่มีทางเลือก

“รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน”

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินย้อนขึ้นไปทางเดิม เสียงหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้นเสียก่อน

“พ่อหนุ่มน้อย! พวกเจ้าจะข้ามไปฝั่งกระโน้นรึ”

ทั้งธีรวงศ์และมโนพัศหันไปมองตามเสียงทันที สิ่งที่คิดว่าเป็นขอนไม้ท่อนมหึมาลอยมาติดฝั่ง แท้จริงแล้วคือสัตว์เดรัจฉานจำพวกเลื้อยคลาน ส่วนหางที่คิดว่าเป็นด้านปลายไม้กวัดไกวท่ามกลางสายน้ำ ตากลมโตสีเหลืองวาวกลอกกลิ้งบ่ง
บอกถึงความมีชีวิตนั้น ทำให้กุมารทั้งสองผงะตกใจด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีต่อเดรัจฉานสัญชาติกุมภีล์!

“จระเข้! พูดได้ด้วยเหรอ” มโนพัศอุทานด้วยความประหลาดใจ แม้จะหวาดกลัวแต่ความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแปลกประหลาดมีมากกว่า

“คงไม่ใช่หรอกมั้ง อาจจะเป็นคนอื่นแถวๆนี้” ธีรวงศ์ค้านอย่างไม่แน่ใจนัก เหลียวมองไปรอบๆ แต่นอกจากพวกเขาก็มีแต่เจ้ากุมภีล์นี่เท่านั้น

“เสียงข้าเนี่ยแหละ ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนหรอก ข้าคือพญากุมภีล์!” เสียงจากสัตว์เดรัจฉานที่มีลำตัวมหึมาเกินกว่าสัญชาติเดิมตอบกลับมา “ว่าอย่างไรสหายน้อย พวกเจ้าจะข้ามไปฝั่งกระโน้นรึ”

ในเมื่อมันพูดได้...ก็น่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ!

“ใช่ เราสองคนต้องไปเอาต้นบุษบงทิพย์ที่ยอดเขาปราษาณไปรักษานาคปักษิณ” มโนพัศตอบ แววตาของพญากุมภีล์วาวขึ้นวูบหนึ่งอย่างมีเลศนัย

“ฮ่าๆๆ พวกเจ้านี่ช่างเป็นเด็กที่มีจิตใจเมตตาจริงๆ เอาอย่างนี้สิ ขึ้นมาบนหลังข้า แล้วข้าจะพาข้ามไปฝั่งกระโน้นเอง!” พญากุมภีล์เสนอตัวช่วยที่แสนจะค้านกับลักษณะรูปร่างและสัญชาตญาณอันดิบเถื่อนโดยทั่วไปของสัตว์เลือดเย็น

“แต่ว่ามันจะดีหรือที่ให้พวกเราขี่หลังท่านน่ะ” ธีรวงศ์ถามอย่างเกรงใจ...แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือเกรงกลัว!

“ไม่เป็นไรหรอก เด็กดีมีน้ำใจอย่างพวกเจ้า ข้าก็อยากจะให้ความช่วยเหลือเป็นบุญเป็นทานบ้าง มามะ…มาขึ้นหลังข้าดีกว่า”

“จะเชื่อได้หรือ มโนพัศ” ธีรวงศ์กระซิบถามเพื่อนร่วมทาง...โบราณว่าอย่าไว้ใจสัตว์มีเขี้ยวเล็บ…แล้วนี่เขี้ยวก็ใหญ่กว่าปกติเสียด้วยสิ!

“ก็...ถ้าไม่อยากจะช่วยจริงๆ มันคงกินพวกเราไปตั้งนานแล้วล่ะมั้ง” มโนพัศคะเน บุญเท่าไรแล้วที่เมื่อครู่ไม่เผลอขึ้นไปเหยียบบนหัวพญากุมภีล์ตัวนี้เพราะคิดว่าเป็นขอนไม้

“เอาน่า ธีรวงศ์ มันช่วยย่นเวลาในการเดินทางได้อีกมากเลยนะ...ท่านพญากุมภีล์นี่ใจดีจัง” ว่าแล้วมโนพัศก็พาตนเองเดินไปหาเดรัจฉานที่ลอยน้ำรออยู่  

“เดี๋ยวก่อนมโนพัศ!” ธีรวงศ์รั้งแขนอีกฝ่ายไว้ สร้างความขัดเคืองใจให้กับพญากุมภีล์ไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าแสดงออก...เด็กๆที่น่าเคี้ยวอย่างนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ!

“ก่อนที่พวกเราจะออกจากศลภะนครา ปาลีก็บอกว่าให้ใช้ความมานะพยายามเดินทางไป เราควรเดินขึ้นเขาไปข้ามสะพานดีกว่านะ”

“แต่ว่า...” มโนพัศลังเล

“เฮ้ย! เจ้าหนูน้อย จะเดินทางไปยอดเขาปราษาณน่ะต้องใช้เวลานานเชียวนะ ขืนพวกเจ้าเดินไปแบบนี้เมื่อไรจะถึงล่ะ หรือถ้าไปถึงก็ไม่ทันคืนวันเพ็ญที่ดอกบุษบงทิพย์จะบานหรอก เชื่อข้า! นี่ข้าเห็นว่าพวกเจ้ามีน้ำใจหรอกนะถึงอาสาช่วย
เนี่ย” พญากุมภีล์หว่านล้อม...ขอแค่ลงมาสักคนก็ยังดี จะงับไม่ปล่อยทีเดียว!

“นั่นสิ ธีรวงศ์ พญากุมภีล์อุตส่าห์ออกปากช่วย เจ้าก็อย่าคิดมากเลย นี่ก็ใช่ว่าเราจะไม่พยายามเสียเมื่อไร เท่าที่เราเดินทางรอนแรมในป่ามาแบบนี้ก็นับว่าพยายามมากแล้วนะ”

“แต่เราว่าเดินไปขึ้นสะพานดีกว่านะ เจ้าจำไม่ได้หรือ...ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยไม่พยายาม เราต้องมีความมานะพยายามจึงจักได้มา...” ธีรวงศ์เกลี้ยกล่อมโดยละไว้ซึ่งประโยคสุดท้ายที่เขาเคยกล่าวกับอีกฝ่ายเอาไว้

...ส่วนสิ่งที่ได้มาโดยง่ายนั้นอาจจะแฝงไปด้วยภัยอันใหญ่หลวงก็ได้…

มโนพัศยังจำได้ดี จึงยอมตามใจธีรวงศ์ สะพานก็ไม่ได้ไกลเกินกำลังนัก เดินกลับไปหน่อยก็คงไม่เสียเวลาเท่าไร

“เอาเถอะ เราไปข้ามสะพานก็ได้…ขอบใจมากนะท่านพญากุมภีล์ แต่เราคงรับน้ำใจท่านไม้ได้” มโนพัศขอบคุณในน้ำใจที่เดรัจฉานครึ่งบกครึ่งน้ำมอบให้ แต่ทว่าเมื่อกำลังจะหันกลับ ร่างที่ยาวใหญ่ดุจขอนไม้ก็พุ่งพรวดขึ้นมา ปากที่ใหญ่โต
อ้างับขาโอรสแห่งมัณฑรนครคาบลากลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว!

มีเหยื่อเข้ามาหาถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือจะปล่อยให้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา!

“มโนพัศ!!” ธีรวงศ์รีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนที่พญาเดรัจฉานจะลากจมหายไปในน้ำ

“ธีรวงศ์!!! โอ๊ยย!!”

เขี้ยวคมฝังลึกลงในเนื้อหนังมังสาของโอรสน้อย สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก โลหิตแดงฉานลอยคลุ้งปนกับสายน้ำ มโนพัศดิ้นรนสู้สุดใจ แต่แรงของเด็กตัวเล็กๆหรือจะสู้แรงพญาเดรัจฉานที่ว่องไวปราดเปรียวเมื่ออยู่ในน้ำได้

ธีรวงค์พยายามยื้อยุดเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกข้างยึดรากไม้ที่อยู่ใกล้ตัวแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองถลาตามลงน้ำไปด้วย รากไม้ร่อนจากผืนดินขาดออกมาตามแรงกระชาก เขาจึงหันปลายรากที่ฉีกขาดแทงเข้าที่ลูกแก้วสีอำพัน
ด้วยแรงทั้งหมดที่มี มันสะดุ้งเฮือกอ้าปากปล่อยเหยื่ออันโอชะที่อุตส่าห์เข้ามาถึงปากแล้วไปด้วยความเจ็บปวด ร่างมหึมาดิ้นทุรนทุรายตีท้องน้ำแตกกระจาย คาวเลือดของสัตว์สัญชาติเดรัจฉานทะลักออกมาเพิ่มความแดงฉานเหม็นคาวให้
กับผืนน้ำ

“มโนพัศ!” ธีรวงศ์รีบดึงมโนพัศที่กำลังจะจมลงไปในสายน้ำสีแดงขึ้นมา โอรสแห่งมัณฑรนครโผขึ้นมาสำลักน้ำ

ธีรวงศ์ลากอีกฝ่ายขึ้นฝั่งได้สำเร็จ แต่พญากุมภีล์ยังคงกระเสือกกระสนดิ้นพราดจนน้ำแตกกระจาย ดวงตาที่เสียไปข้างหนึ่งทำให้การมองเห็นลำบากขึ้น แต่ก็ยังพุ่งปรี่เข้ามาคาบขามโนพัศลงไปอีกด้วยแรงอาฆาต

“โอ๊ยย!! ธีรวงศ์!” ขาถูกคาบลากลงไปแต่มืออีกข้างนั้นยังคงจับมือของธีรวงศ์ไว้แน่น

“มโนพัศ!! อย่ายอมแพ้นะ มโนพัศ!!!” เสียงของธีรวงศ์ที่เรียกสติ ทำให้โอรสน้อยดึงปิ่นจุฑามณีที่ใช้มุ่นเกศาออกมาเสียบเข้าที่ดวงตาสีอำพันอีกข้าง เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวเจ็บปวด

  มโนพัศหลุดออกมาจากปากเดรัจฉานร้ายได้สำเร็จ ร่างที่เหมือนขอนไม้ใหญ่ดิ้นปัดไปทั่วคุ้งน้ำ ธีรวงศ์รีบลากอีกฝ่ายขึ้นมาบนฝั่ง และฉุดแขนให้ลุกขึ้นวิ่งหนีแต่เพียงแค่ก้าวขา มโนพัศก็ล้มลงตรงนั้นเพราะไม่อาจทนทานบาดแผลไหว

“โอ๊ย! เราเจ็บขา…” บาดแผลที่ถูกเขี้ยวคมฝังลงไปพร้อมขย้ำสะบัดทำให้เนื้อเหวอะหวะ เลือดสีแดงไหลทะลัก

“อดหน่อยทนนะมโนพัศ พยามเข้า เรารู้เจ้าต้องทำได้ มาเราช่วย!” ธีรวงศ์ประคองมโนพัศลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง  ก่อนที่ทั้งสองจะออกแรงกึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีย้อนกลับขึ้นไปตามเส้นทางเดิมโดยพยายามให้ห่างจากริมฝั่งมากที่สุด เพื่อให้พ้น
จากรัศมีการอาละวาดพาลไปทั่วเมื่อเสียดวงตาทั้งสองข้าง

“เราคงไปต่อไม่ไหวแล้วธีรวงศ์...เจ้ารีบหนีไปก่อนเถอะไม่ต้องห่วงเรา” มโนพัศทรุดลงไปอีกครั้ง

“ไม่! เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้อย่างนี้หรอก มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ!” ธีรวงศ์พาดแขนอีกฝ่ายบนไหล่ของตนก่อนจะออกแรงฉุดอีกฝ่ายขึ้นมา มโนพัศมองธีรวงศ์ด้วยความแปลกใจระคนซาบซึ้งใจ

“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา รีบไปกันเถอะ” ธีรวงศ์อ่านสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาออก ประคองร่างเพื่อนให้ลุกขึ้น ทิ้งน้ำหนักตัวของมโนพัศลงบนบ่าของตนเองก่อนออกเดิน

เบื้องหลังพญากุมภีล์ที่บาดเจ็บฟาดหัวฟาดหางงุ่นง่านตามกลิ่นอายโลหิตของมโนพัศมาทั้งที่มองไม่เห็นชนกิ่งไม้ตกขวางทางก็งับกัดสะบัดไปทั่ว แต่ยังดีที่มันเป็นสัตว์ที่เชื่องช้ายามอยู่บนบก และกำลังของมันก็ถดถอยลงทุกขณะเพราะ
ความเจ็บปวด



ธีรวงศ์ถอนหายใจออกมาเมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง พบว่าพญากุมภีล์ตามมาไม่ทันแล้ว มโนพัศลอบมองเสี้ยวหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะและจริงจังของอีกฝ่ายอย่างซาบซึ้งใจ ความรู้สึกผิดที่ค้างคามาตลอดการเดินทางนับตั้งแต่
ออกจากศลภะนคราเกิดขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อกัน มันคงจะกลายเป็นสิ่งที่เสียดแทงจิตใจเขาไปตลอดชีวิต

“ธีรวงศ์...เราขอโทษนะ...ที่เราทิ้งเจ้า…ชิงมุ่งหน้าไปเขาปราษาณให้ได้ก่อน เรารู้สึกผิดมาตลอดเลย...เรา...” มโนพัศพยายามจะพูด ทั้งที่ตาจะปิดอยู่แล้ว

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะเราก็ต่างคนต่างทิ้งกัน ถ้าเจ้าผิดที่ทิ้งเรา เราก็ผิดที่ทิ้งเจ้าเหมือนกัน เอาเป็นว่าเราเสมอกันนะ…อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย” ธีรวงศ์รู้สึกโล่งใจที่ทั้งเขาและมโนพัศสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่รู้สึกผิดต่อกันอีก

เขาเองก็ไม่ต่างจากมโนพัศ อยากขอโทษอีกฝ่าย มันกลายเป็นสิ่งเขารู้สึกรังเกียจตนเองมาตลอดที่ละทิ้งเพื่อนและผู้มีพระคุณได้ลงคอ

โอรสน้อยทั้งสองกลับขึ้นไปบนเขาได้สูงพอควร ไม่มีวี่แววว่าพญากุมภีล์ตามมาขึ้นมาทัน มันจะตายหรือแค่บาดเจ็บเขาไม่สนใจ เพราะชีวิตของมโนพัศตอนนี้สำคัญกว่า

“เราไม่ไหวแล้วธีรวงศ์ เจ็บเหลือเกิน” มโนพัศโอดครวญทรุดลงนอนราบบนพื้น ริมฝีปากซีดขาวเนื่องจากเสียเลือดไปมาก

“งั้นเราพักกันตรงนี้ก่อนก็ได้” ธีรวงศ์คุกเข่าลงดูบาดแผลที่ขาของมโนพัศ ภูษาขาดรุ่งริ่งเนื้อขาดจนโลหิตเปรอะเปื้อนไปทั่ว ธีรวงศ์รีบเปลื้องแพรที่คาดเอวของตนมาผูกห้ามเลือดไว้ ก่อนจะปลดสะพายกระบอกน้ำค้างแสงจันทร์ของตนมา
ยื่นให้กับมโนพัศ

“ดื่มสิ จะได้ดีขึ้น”

“แต่ว่านี่มันเป็นส่วนของเจ้านะ” มโนพัศค้านเสียงแห้ง กระบอกน้ำแสงจันทร์ของเขาตกน้ำไปตอนที่ถูกพญาเดรัจฉานคาบลงน้ำ เพราะความประมาทของเขาเอง แล้วจะให้เขาเบียดเบียนดื่มในส่วนของธีรวงศ์ได้อย่างไร

“ไม่เป็นไรหรอก เรายังแข็งแรงดี แต่ดูเจ้าสิ ปากซีดหมดแล้วเลือดก็ไหลไม่หยุด รีบๆดื่มเถอะจะได้มีแรง” ธีรวงศ์กล่าวด้วยความจริงใจ พลางประคองอีกฝ่ายขึ้นยัดเยียดกระบอกน้ำของตนใส่มือมโนพัศที่ยิ้มขอบคุณยกน้ำค้างแสงจันทร์
ขึ้นดื่มจนหมด

พละกำลังกลับคืนมาอีกครั้งพร้อมกับบาดแผลขนาดใหญ่ก็ค่อยๆทุเลาความเจ็บปวด เนื้อที่เหวอะหวะสมานตัวอย่างน่าอัศจรรย์แม้จะไม่สนิทนัก แต่ก็ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อครู่ด้วยสรรพคุณของน้ำค้างแสงจันทร์

“ขอบใจเจ้ามากนะธีรวงศ์ ถ้าไม่มีเจ้า เราคงเป็นอาหารจระเข้ตัวนั้นไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่มีเจ้า เราก็คงนอนตายอยู่ที่ชายหาดหรือไม่ก็ถูกคลื่นพัดลงทะเลไปอีกรอบก็ได้”

“นั่นน่ะ เป็นเพราะพระดาบสบอกเราให้ไปช่วยต่างหาก”

“แล้วก็ตอนที่เจ้าไหวตัวจากอมนุษย์ที่ศลภะนคราอีก คราวนี้พระดาบสไม่ได้บอกเสียหน่อย”

“อืม นั่นเพราะเราไปพบความผิดปกติเข้าซะก่อน แต่ก็เอาเถอะ งั้นเราก็เสมอกันละกัน”

มโนพัศถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ธีรวงศ์เองก็ขบขันที่มานั่งเกี่ยงบุญคุณกันไปมา...สุดท้ายมันก็ต่างไปไม่รอดทั้งคู่นั่นแหละ

“แต่คราวหน้าเราไม่ยอมแพ้เจ้าแน่ ธีรวงศ์!” มโนพัศพูดหนักแน่น ดวงตาสีนิลเปล่งประกายมุ่งมั่น ในขณะที่ธีรวงศ์เองก็ไม่แพ้กัน

“เราก็ไม่ยอมแพ้เจ้าเหมือนกัน มโนพัศ!”

:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:

สะพานที่เชื่อมระหว่างโตรกผาทั้งสองด้านเป็นเพียงเถาวัลย์เส้นอวบหนาขนาดลำแขนพันเป็นเกลียวแน่นหนาปลายแต่ละข้างผูกกับโคนต้นไม้ใหญ่ พื้นเป็นแผ่นไม้กระดานเรียงต่อๆกัน มีบางแผ่นผุร่วงตกลงไปข้างล่าง

ธีรวงศ์และมโนพัศต้องอาศัยความอดทนอย่างมากที่จะไม่ให้พลัดตกลงไป เถาวัลย์เชือกผูกไว้แน่นหนาก็จริง แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่คงมิได้มีผู้ใดผ่านไปมาบ่อยนักทำให้ผุกร่อน โอรสแห่งมัณฑรนครอดที่จะมองลงไปยังกระแสน้ำที่
เชี่ยวกรากข้างล่างไม่ได้...เขาเกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แล้ว

กว่าสองกุมารจะข้ามผ่านสะพานนั้นมาได้ก็ล่วงเข้าสนธยา มองเห็นสุริยนสีแสดลับเหลี่ยมเขาไปเป็นแสงสุดท้ายของวัน ป่าอีกฝั่งของช่องเขาขาดเป็นดงดิบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของใบไม้ที่อับชื้น ดวงจันทราเริ่มลอยสูงส่องสว่างไปทั่วผืน
ป่ามากกว่าคืนไหนๆ เตือนให้รู้ว่าใกล้ถึงคืนเพ็ญเข้ามาทุกทีแล้ว และคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่พวกเขาต้องรีบเดินทางไปให้ถึงยอดเขาปราษาณให้ทันก่อนจะถึงคืนที่ดวงจันทร์เพ็ญตรงศีรษะ

กลิ่นหอมหวนจากดอกราตรีป่าลอยอบอวลมาตามสายลมที่พัดผ่านยามดึก ธีรวงศ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อดื่มด่ำกลิ่นหอมที่ธรรมชาติยามค่ำคืนเสกสรร

“กลิ่นอะไรน่ะ หอมจัง”

“นั่นสิ” มโนพัศเองก็ชุ่มฉ่ำกับกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า แต่เพราะมีภารกิจที่ต้องเร่งกระทำเตือนสติ “แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมธรรมชาตินะธีรวงศ์ รีบๆ เดินทางกันเถอะ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วนะ!”

ธีรวงศ์จึงเลิกสนใจกลิ่นหอมที่ไร้ที่มา พากันย่ำผ่านดงดิบไปในราตรีที่เงียบสงัด ทว่ากลิ่นอบอวลยังคงโชยมาอยู่เรื่อยๆ หมอกควันสีขาวลอยเอื่อยมาตามลมและทวีความหนาขึ้นตามเส้นทางที่ลึกเข้าไป

“มโนพัศ! มโนพัศ!”

ธีรวงศ์เรียกหาเมื่อมองลอดม่านหมอกที่ปกคลุมรอบกายออกไปไร้ร่างของผู้ร่วมเดินทาง ป่าเงียบสงัดไม่มีเสียงสัญญาณใดตอบกลับมา แต่กลับปรากฏร่างของผู้ที่เขาไม่คาดฝันว่าจะได้พบ ก้าวเดินฝ่าสายหมอกตรงเข้ามาหาช้าๆ

ร่างที่ถอดพิมพ์เดียวกันกับเขาไม่ผิดเพี้ยน!

“คีรีจักร!!”

“เจ้าพี่ธีรวงศ์ ในที่สุดหม่อมฉันก็ตามหาเจ้าพี่จนเจอ”

“เจ้า...เจ้ามาได้ยังไง” ธีรวงศ์ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ คีรีจักรควรจะอยู่ที่คีรีรัตน์นครไม่ใช่หรือ แล้วนี่…

“ก็มาตามหาเจ้าพี่น่ะสิพระเจ้าค่ะ กลับคีรีรัตน์นครกับหม่อมฉันเถอะ ยิ่งไม่มีเจ้าพี่อยู่ เสด็จพ่อยิ่งชิงชังหม่อมฉันมากกว่าเดิมเสียอีก” แววเนตรที่มองตอบมาในความมืดแสนจะเศร้าสร้อย

“แต่ว่า...พี่ต้องมาเรียนวิชากับพระดาบสเพื่อไปเอาไออุษณะมาคุ้มครองบ้านเมืองของเรานะ”

“ไม่ต้องแล้วล่ะเจ้าพี่ ท่านโหราทำพิธีบูชาธาตุอัคคีศักดิ์สิทธิ์เชื่อมต่อไออุษณะที่เจ้าพี่ทำแตกได้สำเร็จแล้ว เจ้าพี่ไม่ต้องไปตามหาไออุษณะแล้ว เรากลับบ้านกลับเมืองกันเถอะพระเจ้าค่ะ”

“จริงหรือ คีรีจักร!…ไหนตอนนั้นท่านโหราบอกว่าไม่มีทางทำให้ไออุษณะกลับคืนมาได้ไง” แม้จะดีใจกับข่าวสารที่ได้รับ แต่เขาก็ยังสับสนและงุนงง ทั้งที่เขาเพิ่งมาถึงก็ถูกตามตัวให้กลับเสียแล้ว

“แต่ตอนนี้ไออุษณะเชื่อมต่อได้แล้ว กลับกันเถอะพระเจ้าค่ะ...หม่อมฉันคิดถึงเจ้าพี่ เรากลับไปเล่นด้วยกันเหมือนเดิมนะพระเจ้าค่ะ” แม้จะสงสารและคิดถึงอนุชามากเพียงใด แต่ธีรวงศ์ก็ยังไม่ลืมผู้ร่วมทางอีกคนที่หายไป

“แต่ตอนนี้พี่มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้สำเร็จก่อนนะคีรีจักร ลูกนาคปักษิณกำลังรอความช่วยเหลืออยู่ พี่ต้องไปช่วยมโนพัศนำต้นบุษบงทิพย์มาให้ได้ก่อนถึงจะกลับไปกับเจ้าได้”

“จะช่วยทำไมล่ะ เขาอยากเป็นศิษย์พระดาบสก็ปล่อยให้เขาจัดการเองสิ!” นัยน์ตาของคีรีจักรวาวโรจน์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ธีรวงศ์แทบผงะเมื่อได้เห็นอนุชาของตนในด้านที่ต่างไปจากเดิม

เมื่อนั้นคีรีจักรจึงรู้สึกตัว ความเศร้าหมองน่าสงสารกลับมาอีกครั้ง

“หม่อมฉันเพียงแต่คิดถึงและห่วงเจ้าพี่มากเกินไป และไม่อยากให้เจ้าพี่เห็นคนอื่นสำคัญกว่าบ้านเมือง เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็กำลังรอเจ้าพี่อยู่...กลับกันเถอะพระเจ้าค่ะ”

คีรีจักรเอื้อมมือไปหาพระเชษฐาอย่างรอคอย แต่ธีรวงศ์กลับลังเลที่จะยื่นมือออกไปหาผู้เป็นอนุชาที่ยืนอยู่ตรงหน้า!

:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:

“ธีรวงศ์! เจ้าอยู่ที่ไหนน่ะ” มโนพัศวิ่งวนอยู่ภายในม่านหมอกที่กระจายตัวปกคลุมป่ารอบด้าน ซึ่งบัดนี้มีเพียงตนอยู่ผู้เดียว

“มโนพัศ...”

โอรสน้อยหันไปตามเสียงเรียกนั้น เสียงอ่อนหวานอย่างที่เขาถวิลหา...สตรีที่งดงามทั้งเรือนกาย ผิวพรรณผุดผ่อง เนตรเปล่งประกายสุกใสระยับดุจดวงดาว

เนตรที่ประดุจดั่งดวงตาของเขา!

ราวกับดวงตาของมโนพัศถอดแบบออกมาจากสตรีผู้นี้มิมีผิดเพี้ยน…มโนพัศรู้ได้ทันที!

“เสด็จแม่...” เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาราวกระซิบด้วยความเต็มตื้น เมื่อได้เห็นพระมารดาของตนเป็นครั้งแรก

มเหสีภัทราวดีแห่งมัณฑรนครแย้มสรวลตอบรับ เพียงเท่านี้มโนพัศก็ไม่เหลือสติอันใดให้คิดอีกแล้วว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นพระมารดาของเขาจริงหรือไม่

เพียงแค่ได้พบ ได้สบเนตร ความโหยหาอาวรณ์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ลืมไปหมดสิ้นว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน ขอเพียงแค่ได้สัมผัสอ้อมกอดของพระมารดาที่โหยหามานานทั้งชีวิตก็เพียงพอแล้ว

“มากับแม่สิลูก แม่จะพาลูกไปหาเสด็จพ่อ เราจะได้อยู่ด้วยกัน...พร้อมหน้าสามคนพ่อแม่...และลูก” มเหสีภัทราวดีแย้มสรวลให้มโนพัศพร้อมยื่นหัตถ์ออกไปรอให้โอรสส่งมือตอบกลับมา

มโนพัศจับหัตถ์ของพระมารดาอย่างว่าง่าย นางแย้มสรวลก่อนพามโนพัศก้าวสู่เส้นทางอันมืดมิดเบื้องหน้า โอรสน้อยเดินตามไปอย่างไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว นอกจากจะได้กลับไปอยู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:

“เจ้าไม่ใช่คีรีจักรน้องเรา!” ธีรวงศ์ถอยห่างจากร่างที่ยืนตรงหน้า “เจ้าเป็นใคร!”

คีรีจักรมองธีรวงศ์ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะตัดพ้ออย่างน้อยใจ

“หม่อมฉันคือคีรีจักร น้องของเจ้าพี่จริงๆพระเจ้าค่ะ เจ้าพี่ไม่เชื่อหม่อมฉัน ไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”

หากแววตาเว้าวอนนั้นไม่อาจหลอกลวงธีรวงศ์ได้อีกต่อไป

“หึ! คีรีจักรน้องของเรามีจิตเมตตาและมีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ...ต่างกับเจ้า!...และเราก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าเรากับมโนพัศแข่งขันกันเป็นศิษย์พระดาบส แล้วคีรีจักรจะรู้ได้ยังไง”

คีรีจักรนิ่งเงียบ ไม่อาจโต้ตอบได้

“ที่สำคัญ เราฝากฝังคีรีจักรให้อยู่ดูแลเสด็จแม่แทนเรา ไม่มีทางที่คีรีจักรจะทิ้งหน้าที่นี้มาตามหาเราถึงนี่ได้…เจ้าเป็นใครกันแน่!”

ธีรวงศ์ถามด้วยน้ำเสียงกร้าว แต่ในหัวใจอันเข้มแข็งก็ยังแฝงไว้ซึ่งความกลัวเฉกเช่นเด็กทั่วไป…กลัวในเรื่องที่ยังไม่รู้ แต่เขาจะแสดงออกให้ศัตรูล่วงรู้ไม่ได้!

แววตาของคีรีจักรเรืองโรจน์แดงเหมือนนัยน์ตาพยัคฆ์ต้องแสงไฟ ริมฝีปากแสยะจนแลเห็นเขี้ยวเรียวขาว และน้ำเสียงที่คร่ำครวญก็เปลี่ยนไป

“ฉลาดมากเด็กน้อยที่รู้ว่าข้าไม่ใช่น้องชายของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ ก็อย่าหวังว่าจะรอดไปง่ายๆ เลย!” สิ้นเสียง ร่างที่ราวกับถอดพิมพ์เดียวกันออกมาก็กลับกลายเป็นสมิงลายพาดกลอนตัวใหญ่สูงเทียมศีรษะย่างสามขุมเข้าหา แยกเขี้ยวขู่กรรโชกสนั่น

โฮกกกกกกกกก!!

ธีรวงศ์ผงะถอยหนี ดวงหทัยเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังมีสติพอที่จะคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากคมเขี้ยวสมิงไพร

...จริงสิ! ท่านอาจารย์เคยสอนว่าสัตว์ร้ายมักกลัวไฟ…ท่านอาจารย์เคยสอนคาถาพลังเตโชให้ คิดสิ! คาถา...คาถาว่ายังไงนะ...

ธีรวงศ์พยายามรวบรวมสมาธิพลางคิดทบทวนถึงคาถาเตโชธาตุที่อาจารย์รามเสนเคยพร่ำสอน

“...ขอเตโชธาตุจงมอบพลังให้แก่เรา...”

ธีรวงศ์ร่ายคาถา อัคคีลูกเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนฝ่ามือ แล้วขว้างใส่พยัคฆ์ร้ายที่กำลังจู่โจมเข้ามา ดวงอัคคีตกลงปะทุกับใบไม้แห้งบนพื้น ติดไฟลุกโชนขึ้นตรงหน้าเขาและสมิงร้าย แม้จะเป็นเพียงแค่ไฟกองเล็กๆ แต่ก็คงจะช่วยถ่วงเวลาไม่ให้
มันเข้าถึงตัวเขาได้ชั่วคราว

ธีรวงค์วิ่งหนีพลางสอดส่ายสายตามองหามโนพัศท่ามกลางแสงจันทร์สลัว หมอกหนาครอบคลุมไปทั่วผืนป่า ทั้งยังกลิ่นหอมที่ยังคงลอยอบอวลชวนให้ง่วงงุนจนสติพร่าเลือน ธีรวงค์สะบัดเศียรตั้งสติให้มั่น ใช้กำลังใจเป็นเครื่องนำทาง ป่า
ค่อยๆ เปิดออกด้วยกระแสจิตที่เข้มแข็ง ก่อนจะได้เห็นมโนพัศที่อยู่หลังสายหมอก กำลังเดินตามหลังเสือสมิงอีกตัวไปอย่างเลื่อนลอย

“มโนพัศ!” เสียงของธีรวงศ์ไม่อาจดังเข้าไปถึงสติสัมปชัญญะที่เลือนรางของอีกฝ่ายได้ ธีรวงศ์พยายามวิ่งตามไป แต่กลับถูกขวางหน้าด้วยเสือสมิงตัวเดิม โอรสน้อยชะงักถอยหลังไปตั้งหลักก่อนจะใช้พลังเตโชธาตุขวางกั้นถ่วงเวลาเอาไว้
หากคราวนี้สมิงร้ายกลับแสยะเขี้ยวเย้ยหยัน

“คิดหรือว่ากองไฟแค่นี้จะขวางข้าได้ เด็กน้อย” สมิงร้ายก้าวผ่านกองไฟเข้ามาอย่างไม่ยี่หระต่อความร้อน ลายสีเหลืองพาดดำเป็นเงาเหลือบแสงไฟน่าหวั่นเกรง

ก่อนจะช่วยมโนพัศ เขาคงต้องหาวิธีช่วยตัวเองให้ได้เสียก่อน…เอาไงดี...นี่ถ้าไม่โดดเรียนพระเวทย์กับท่านอาจารย์รามเสนแล้วไปเรียนคีตศิลป์อยู่บ่อยๆ คงจะไม่ต้องจนมุมแบบนี้ คิดแล้วก็ยิ่งเจ็บใจในความโง่เขลาของตนเอง ธีรวงศ์
เหลือบไปเห็นมโนพัศเดินห่างออกไปทุกที ก็พลันคิดได้

ไม่ลองไม่รู้...ไหนๆ ก็เรียนทางด้านคีตามามาก!

ธีรวงศ์หยิบขลุ่ยแก้วออกมาจรดริมโอษฐ์ ขับขานบทเพลงสำเนียงบาดโสตประสาท เสือสมิงที่ย่างเข้ามาหมายทำร้ายเขาชะงักไปอย่างงงงัน
ท่วงทำนองดนตรีแทรกผ่านม่านหมอกอันหนาทึบเข้าไปถึงโสตประสาทเรียกสติผู้ที่กำลังหลงใหลภาพมายาให้กลับคืนมา ภาพพระมารดาผู้ทรงโฉมแปรเปลี่ยนเป็นเดรัจฉานตัวสูงใหญ่ลายดำขวางพาดไปทั้งลำตัวสีเหลืองอ่อน

“เสือ!!”

มโนพัศรีบปล่อยมือออกจากปลายหางที่เมื่อครู่เขาเห็นว่าเป็นหัตถ์ของพระมารดาด้วยความตกใจ สิ่งที่อยู่ใกล้มือถูกคว้าตีแสกหน้าเสือสมิงที่วกกลับมากระโจนสวนเข้าใส่โดยแรงจนมันสะเทือนไป ทว่าแรงตะปบของเสือร้ายก็ผลักให้ร่างเล็กๆล้มกลิ้ง มโนพัศคลุกคลานไปกับพื้น คมเล็บฝากรอยข่วนยาวจนโลหิตซึมออกมา

นางพาดกลอนตัวนั้นแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธที่ถูกอีกฝ่ายตอบโต้กลับ ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาอีกครั้ง

“ไฟ! มโนพัศ เสือมันกลัวไฟ!!” ธีรวงศ์ตะโกนบอก ในขณะที่ตนเองก็พยายามหลบหลีกเสือสมิงตัวเดิมที่จ้องจะเล่นงานอยู่ทุกครั้งที่เผลอตัว และใช้พลังเตโชธาตุสร้างดวงอัคคีให้ใหญ่ขึ้น มิใช่เพื่อสร้างกองไฟล้อมรอบป้องกัน หากคราวนี้
ดวงอัคคีพุ่งเข้าปะทะกะโหลกใหญ่ที่แยกเขี้ยวคำรามพอดี มันเสียหลักสะบัดความร้อนที่พุ่งเข้าหน้าเซไถลไปไม่รู้ทิศทาง

มโนพัศจึงใช้วิชาเกี่ยวกับเตโชธาตุที่เคยฝึกฝนมาซัดดวงอัคคีขนาดใหญ่เข้าใส่นางสมิงตัวที่จ้องเล่นงานเขา มันส่งเสียงร้องโหยหวนลั่นป่า

“หนีเร็วมโนพัศ!” ธีรวงศ์ตะโกนก่อนจะออกวิ่งนำไป แต่คนที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บจากพญากุมภีล์และต้องมาปะทะกับสมิงไพรก็เสียหลักวิ่งสะดุดล้ม ทำให้บาดแผลที่ยังไม่หายสนิทกระทบกระเทือนจนเลือดซึมออกมาอีกครั้ง โอรสน้อยเจ็บ
จนแทบลุกไม่ขึ้น กลิ่นดอกราตรีหอมอบอวลเริ่มลอยมาอีกครั้ง ภาพสมิงที่ย่างกรายเข้ามากลายเป็นพระมารดาผู้อ่อนหวาน

“มโนพัศ เจ็บมากมั้ยลูก มาสิแม่จะพาเจ้าไปทำแผล” สมิงไพรในรูปของมเหสีภัทราวดียื่นหัตถ์ส่งให้มโนพัศ โอรสน้อยทั้งสับสนทั้งโหยหาอ้อมกอดของพระมารดา

“มาอยู่กับแม่นะลูก” นางแย้มสรวลอ่อนหวานสะกดให้เด็กน้อยเชื่อสนิทใจ

“อย่าไปเชื่อนะมโนพัศ! นั่นไม่ใช่เสด็จแม่ของเจ้า มันเป็นเสือสมิง!!” ธีรวงศ์ตะโกนเรียกสติ เมื่อหันไปเห็นมโนพัศที่วิ่งตามมาล้มอยู่เบื้องหลัง และกำลังถูกมายาของนางสมิงหลอกล่ออีกครั้ง

“นี่แม่จริงๆนะมโนพัศ แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน เราไปอยู่ด้วยกันนะลูก” รูปลักษณ์มายาเบื้องหน้ายังคงล่อหลอกด้วยเสียงหวานหู

“ลูกก็คิดถึงเสด็จแม่เหมือนกันพระเจ้าค่ะ”


โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก...

สมิงร้ายอีกตัวที่คอยคำรามรุกไล่ขัดขวางทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงตัวมโนพัศได้ ดวงอัคคีลูกสุดท้ายนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้มันได้พอที่มันจะไม่กระโจนเข้ามาตรงๆ เอาแต่วนเวียนคอยหาโอกาส

“มโนพัศ! นั่นไม่ใช่เสด็จแม่ของเจ้า เจ้ากำลังถูกมันหลอกนะ มันคือเสือสมิง เสด็จแม่ของเจ้าตายไปแล้วนะ มโนพัศ!!”

“ลูกไม่รักแม่…ไม่อยากอยู่กับแม่หรือมโนพัศ…แม่จะพาลูกกลับไปหาเสด็จพ่อ...กลับไปอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา…ลูกไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ”

“ลูกรักเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ อยากอยู่กับเสด็จแม่...”

“ไม่นะมโนพัศ!!”

ธีรวงค์ตัดสินใจจรดขลุ่ยแก้วอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นสำเนียงไพเราะเสนาะหูราวขับกล่อม เดรัจฉานสัญชาติพยัคฆ์ที่เริ่มสร่างจากแรงความร้อนหยุดนิ่ง ดวงตาวาวโรจน์หม่นแสงลงก่อนจะค่อยๆหมอบคู้ เสียงคำรามเบาๆยังคงดังออกมา แต่ก็ไร้ซึ่งฤทธิ์เดชเช่นเดียวกับสมิงอีกตัวที่กำลังหลอกล่อมโนพัศ

ยามนี้ใครที่ได้ยินเสียงหวานของคีตดนตรีต่างก็ถูกขับกล่อมให้จมอยู่ในห้วงนิทรา

ไม่เว้นแม้แต่มโนพัศ…ภาพของพระมารดายังติดตรึงอยู่ในห้วงแห่งความฝัน...


                 มนตร์เสียงขลุ่ยกึกก้อง   กังวาน
            ขับกล่อมพยัคฆ์มาร             หลับใหล
            คีตะร่ำขับขาน                   ดุจมนตร์ เทพไท
            มโนพัศนั้นไซร้                    สู่ห้วงนิทรา


***************************************

แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 54 12:27:06

จากคุณ : บทเพลงปีศาจ
เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 54 12:24:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com