Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 12 อดีตของฟอร์เซ็ตติ ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 11 นครต้องสาป
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10444663/W10444663.html

<12>

อดีตของฟอร์เซ็ตติ

“เป็นไปไม่ได้” โซลย์พูดขึ้น “ถ้าเจ้าเป็นคนของที่นี่จริงๆแล้วทำไมถึงใช้เวทของชาวมาร์วัลลัสได้ นอกจากนั้นหน้าตาของเจ้าดูยังไงก็ไม่เหมือนคนพวกนี้เลยสักนิด”

“ถ้าเจ้าหมายถึงผิวกายและใบหูของข้า มันเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากสายเลือดของแม่”ฟอร์เซ็ตติตอบ “รวมทั้งอายุขัยและสีของดวงตาข้าด้วย”

“อย่าบอกนะว่าแม่ของเจ้าเป็นชาวเอลฟ์”

โมไดพูดด้วยน้ำเสียงต่ำขณะที่หรี่ตาลงข้างหนึ่งคล้ายไม่มั่นใจในคำถามของตัวเอง เขานิ่วหน้าทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของจอมเวทหนุ่ม

“เจ้าสันนิษฐานได้เก่งนี่ โมได” เสียงระบายลมหายใจแผ่วๆ “แม่ของข้าเป็นชนเผ่าเอลฟ์จากป่าแห่งมนตรา”

คราวนี้โซลย์ถึงกับเลื่อนเก้าอี้มานั่งด้านตรงข้ามกับฟอร์เซ็ตติ เขาประสานมือไว้บนเข่าขณะที่มองคู่สนทนาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าเคยพูดว่าจะไม่ปิดบังอะไรต่อพวกเรา” ตาสีเหล็กจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้ากระจ่างของจอมเวทหนุ่ม “คราวนี้เจ้าคงจะต้องพิสูจน์คำพูดนั้นเสียแล้ว ฟอร์เซ็ตติ”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เขาหลับตาลงคล้ายกำลังเรียบเรียงอดีตที่ผ่านเมื่อนานมาแล้วและลืมตาขึ้น

“อย่างที่ข้าเคยบอก ชาวนักรบเวทถูกคำสาปเลือดจนต้องหนีมาอยู่ในป่าแห่งนี้ พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากชาวมาร์วัลลัสและเป็นที่เกลียดชังของเหล่าเอลฟ์ในฐานะเป็นตัวต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องได้รับความปราชัย คนของที่นี่จึงได้สร้างกำแพงมนตร์ขึ้นและเปิดประตูแห่งแสงเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกโดยอาศัยต้นไม้เป็นอารักษ์คอยปกป้อง การที่พวกเขาให้เจ้ากรีดเลือดลงไปบนต้นไม้นั้นมิใช่เพื่อเป็นการสังเวย แต่เป็นการพิสูจน์ว่าผู้ขอผ่านเป็นคนของที่นี่จริงและหากคนผู้นั้นเป็นอาคันตุกะ การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการดูใจของผู้มาเยือนว่าไม่ได้มาอย่างศัตรู”  

“ข้าพอจะเข้าใจ” โซลย์พูด “แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกันกับเรื่องของเจ้าด้วย”

“พวกเจ้ามักคิดว่าชาวมาร์วัลลัสหรือเหล่าจอมเวทเป็นชนอมตะที่ไม่มีวันแก่ตาย ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ที่มีชนม์ชีพดำรงคงอยู่อย่างไม่มีวันดับสลายมีเพียงชนเผ่าเอลฟ์เท่านั้น ส่วนเหล่าจอมเวททั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่รู้จักแก่ เจ็บและตายเหมือนกันกับมนุษย์อย่างพวกเจ้า เพียงแต่พวกเขาสามารถยืดช่วงอายุขัยให้เนิ่นนานกว่าชนอื่นได้เท่านั้นเอง”

“รวมทั้งคนที่นครแห่งนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ”

โซลย์ถามขึ้น จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะรับ

“นักรบเวทและชาวมาร์วัลลัสที่เคยร่วมรบกับชาวเอลฟ์ในอดีตล้วนแล้วแต่ล้มหายตายจากไปจนเกือบหมดสิ้น พวกที่อยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงรุ่นต่อมาเท่านั้น นอกจากองค์มีย์อาร์ที่ทรงมีพระชนมายุยาวนานกว่าจอมเวทคนอื่น เพราะพระนางได้รับพรพิเศษจากเหล่าเทพเบื้องบนมาโดยตรง

หลังจากที่ผู้นำนักรบเวทคนแรกได้จากไป พ่อของข้าก็ได้เป็นผู้นำคนต่อมา แต่เขาต่างจากผู้นำคนแรกตรงที่มีหัวใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความชิงชังชาวมาร์วัลลัสและเหล่าเอลฟ์ทุกตน พลเมืองภายใต้การปกครองของเขาล้วนแล้วแต่มีความคิดตรงกัน มีหลายครั้งที่พ่อของข้านำคนออกไปลอบทำร้ายเหล่าจอมเวทและชาวเอลฟ์ที่บังเอิญหลงเข้ามาในเขตนี้ แม้พวกเขาจะไม่ถึงกับลงมือสังหารแต่ก็กระทำการรุนแรงเสียจนสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวมาร์วัลลัสและเหล่าเอลฟ์เป็นอย่างมาก ยิ่งเวลาผ่านเนิ่นนานไป หัวใจของทั้งสองฝ่ายต่างก็มีแต่ความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อาคมคำสาปยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวันจนอาณาเขตแห่งนี้กลายเป็นดินแดนต้องห้ามที่ไม่มีพลังใดๆสามารถแทรกเข้ามาได้”

 ดวงตาสีฟ้าของฟอร์เซ็ตติฉายแววเศร้าสร้อยออกมา เขานิ่งไปเล็กน้อยและเริ่มเล่าต่อ

“จนกระทั่งวันหนึ่งนครแห่งนี้มีการเลี้ยงฉลอง พวกเขาได้เสพสุราจนเมามายจึงบังเกิดความฮึกเหิมจนต้องออกไปนอกเขตเมืองและบุกเข้าไปในป่าแห่งมนตราทำลายที่อยู่อาศัยของชาวเอลฟ์จนพังพินาศ เมื่ออาละวาดจนสมใจแล้วพ่อของข้าจึงได้นำคนของเขากลับคืนสู่ป่าอาถรรพ์ โดยได้คร่าธิดาของผู้นำชาวเอลฟ์คนหนึ่งไปด้วย”

หัวใจของโซลย์กระตุกวาบเมื่อเห็นใบหน้าอันแสนเจ็บปวดของจอมเวทหนุ่ม แม้แต่โมไดที่มักจะพูดจาเย้าแหย่เขาอยู่เสมอก็พลอยอึ้งไปด้วย แม่ทัพแห่งมอร์เซลเอ่ยออกมาเบาๆ

“หรือว่าเอลฟ์ตนนั้นคือแม่ของเจ้า”

ดูเหมือนฟอร์เซ็ตติจะไม่ได้สนใจที่จะตอบคำของโซลย์ เขายังคงเล่าเรื่องราวในอดีตไปเรื่อยๆ คล้ายกับต้องการระบายความทุกข์ที่อัดแน่นอยู่ในใจมานาน

“นางถูกกักขังอยู่ในนครของเหล่านักรบเวทอยู่เกือบเดือน จนกระทั่งพระนางมีย์อาร์ทรงไปขอร้องพ่อข้าให้ปล่อยนางด้วยพระองค์เอง เอลฟ์นางนั้นจึงได้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระและเดินทางกลับคืนสู่ป่าของตนพร้อมกับทารกในครรถ์”

“แล้วแม่ของเจ้าทำยังไงต่อไป”

โมไดถามโพล่งขึ้นมา จอมเวทหนุ่มยิ้มอย่างเศร้าสร้อย

“นางไม่ได้ละทิ้งข้าตั้งแต่ยังแบเบาะดังที่เจ้าคิดหรอก โมได เหล่าเอลฟ์ไม่ได้ใจดำถึงขนาดนั้น พวกเขาไม่เคยทำร้ายทารก ต่อให้ข้ามีสายเลือดของผู้ที่พวกเขาชังอย่างที่สุดก็ตาม ท่านแม่เลี้ยงดูข้าเป็นอย่างดีจนกระทั่งข้าอายุได้สามขวบ องค์มีย์อาร์จึงทรงตรัสขอนำข้าไปเลี้ยง พระนางได้สอนเวทต่างๆให้กับข้ารวมทั้งสร้างไม้เท้านี่พร้อมกับตั้งฉายาใหม่แทนชื่อที่มารดาเคยใช้เรียก”

“ฟอร์เซ็ตติ เทพแห่งความเที่ยงธรรมน่ะหรือ” โซลย์ถาม “เหตุใดนางจึงเลือกชื่อนี้ให้กับเจ้าแทนที่จะเป็นชื่อของเทพซอนเนสซาร์ผู้อารักษ์”

“ในครั้งแรกข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จนกระทั่งข้ามีอายุห้าขวบ จอมเวทระดับสูงผู้หนึ่งได้กล่าวคำเหยียดหยามดูแคลนมารดาและพ่อของข้า อีกทั้งยังร่ายเวททำร้ายข้าอย่างรุนแรง ข้าโกรธจนขาดสติและเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ กว่าองค์ราชินีจะผนึกพลังของข้าลง วังของพระนางก็พังไปครึ่งหนึ่งพร้อมกับร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเจ้าจอมเวทคนนั้น”

“ข้าพอจะนึกภาพออก”

โมไดกล่าวขัดขึ้นแล้วยิ้มแห้งๆเมื่อเห็นสายตาดุของโซลย์

“ตัวข้าไม่ได้รับผลจากคำสาปเลือดเหมือนเหล่านักรบเวทเพราะพลังชีวิตที่สูงส่งของชาวเอลฟ์ซึ่งไหลเวียนอยู่ในกาย แต่ความบ้าคลั่งและการกระหายในความรุนแรงชนิดที่ไม่อาจควบคุมได้จะบังเกิดขึ้นทุกครั้งที่ข้ารู้สึกโกรธ หรือบังเกิดความขุ่นแค้นจนไม่อาจระงับอารมณ์ให้สงบ ข้าเหมือนกับเป็นคนสองคนในร่างเดียวคือมีทั้งความมืดและแสงสว่างอยู่เท่ากัน”

“แล้วทำไมร่างของเจ้าจึงเปลี่ยนแปลงไปมากถึงขนาดนั้นล่ะ ไหนว่าคำสาปเลือดไม่มีผลกับตัวของเจ้าไง”

เสียงโมไดพูดไม่เบานัก ฟอร์เซ็ตติหัวเราะในลำคอ

“เพราะความชิงชังของพ่อที่มีต่อชาวมาร์วัลลัสและเหล่าเอลฟ์มันมีมากเสียจนกลายเป็นคำสาปที่ตราลงไปในร่างของแม่ตอนที่ยังอยู่ในนครแห่งนี้ มันซึมซับเข้าไปในทุกอณูของกายและสะสมอยู่ในกระแสเลือดที่ก่อขึ้นเป็นร่างของข้าซึ่งเป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์”

โซลย์ถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาอันแสนปวดร้าวของจอมเวทหนุ่มซึ่งเลื่อนสายตากลับไปมองดูไฟในเตาผิงอีกครั้ง

“แล้วที่เจ้าบอกว่าที่นี่คือบ้านล่ะ”

โมไดถามขึ้นหลังจากที่เห็นทุกคนเงียบไปนาน จอมเวทหนุ่มกุมไม้เท้าในมือแน่นและคลายออกช้าๆก่อนจะตอบ

“ไม่ว่าชาวมาร์วัลลัสหรือนักรบเวท พื้นฐานแท้จริงดั้งเดิมก็คือมนุษย์ธรรมดาสามัญเท่านั้น เพียงแต่ว่าพวกเขาได้รับพรพิเศษมาจากเหล่าเทพให้มีพลังแตกต่างจากคนอื่น แม้จะมีอายุขัยยืนนานกว่ามนุษย์โดยทั่วไป แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความแก่ ป่วยไข้และตายไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พ่อของข้าเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อข้ามีอายุได้ยี่สิบปี พระนางมีย์อาร์ได้ทรงบอกให้ข้ามายังนครแห่งนี้เพื่อดูแลบิดาซึ่งกำลังป่วยหนัก ครั้งแรกข้าเพียงแค่คิดว่าจะเข้ามาดูหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อสักครั้งเท่านั้น แต่พอเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเขาแล้วข้าจึงตัดสินใจอยู่ปรนนิบัติเขาในฐานะของบุตร ช่วงระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ทำให้ข้ารับรู้ถึงสาเหตุแห่งความชังของเหล่านักรบเวทที่มีต่อเอลฟ์และชาวมาร์วัลลัสและได้รับเอาความรู้สึกเหล่านั้นฝังเข้าไปในจิตใจทีละน้อย แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับความรู้สึกของคนที่นี่ แต่ข้าก็ตัดสินใจว่าจะไม่มีวันกลับไปยังมาร์วัลลัสในฐานะของจอมเวทอีกต่อไป”

สายตาของฟอร์เซ็ตติจ้องไปยังรันนิ่งซึ่งอยู่ในซองหนังข้างเอวของโมไดและเอ่ยเบาๆ

“รันนิ่งคืออาวุธเวทชิ้นแรกที่ข้าสร้างขึ้นจากการสอนของพ่อเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าข้าคือสายเลือดของนักรบเวทเช่นเดียวกัน เมื่อท่านสิ้นชีวิตลงข้าถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำแทน ข้าพยายามลบล้างความชังทั้งหลายที่ชาวนครต้องสาปแห่งนี้มีต่อชาวมาร์วัลลัสให้บรรเทาเบาบางลงและสัมฤทธิ์ผลในรุ่นต่อมา

หลังจากนั้นข้าจึงขอสละตำแหน่งผู้นำและออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังทุกแคว้น เสาะหาความรู้รวมทั้งเวททุกแขนงเพื่อหาทางชำระล้างด้านมืดให้หลุดพ้นไปจากใจจนกระทั่งจอมมารปรากฏตัวขึ้นและทำลายเมืองต่างๆจนพินาศจากนั้นข้าจึงเดินทางไปยังมอร์เซลและพบกับพวกเจ้า”

“ตอนที่มาร์วัลลัสถูกรุกราน เจ้าไปอยู่เสียที่ไหนกัน” โซลย์ถามขึ้นด้วยความสงสัย จอมเวทหนุ่มก้มหน้าลงพร้อมกับตอบ

“องค์ราชินีได้ทรงเรียกให้ข้าไปพบและเล่าถึงการปรากฏตัวของจอมมารรวมถึงภัยร้ายที่กำลังจะตามมา พระองค์สั่งห้ามมิให้ข้าปะทะกับเขาตรงๆ แต่กลับมอบแหวนห้าวงและสั่งให้ข้าเดินทางมายังมอร์เซลเพื่อนำเพื่อนร่วมทางออกไปค้นหาศาสตราแห่งเดราเนียร์ซึ่งเป็นอาวุธเพียงชนิดเดียวที่สามารถสังหารจอมมารได้”

เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแม่ทัพแห่งมอร์เซลและโมได โซลย์รู้สึกแปลกใจที่เห็นประกายแปลกๆกำลังเต้นไหวอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น

“คำสั่งของราชินีแห่งมาร์วัลลัสคงมิได้มีเพียงแค่นั้นใช่หรือไม่”

ฟอร์เซ็ตติพยักหน้าแทนคำตอบและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“พระนางทรงบอกแก่ข้าว่า เพื่อน เหล่านั้นจะช่วยชำระล้างความมืดที่อยู่ในใจของข้าให้หมดสิ้น อีกร่างหนึ่งของข้าจะถูกมิตรภาพและความเสียสละกำจัดให้สูญสิ้นไปตลอดกาล”

“พวกข้าคงไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือเจ้าได้” โซลย์กล่าว “จะมีก็แต่เพียงความจริงใจและมิตรภาพเท่านั้นที่สามารถมอบให้ ข้ายินดีและเต็มใจแม้กระทั่งต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องสหายเช่นเจ้าให้ปลอดภัย และนี่ก็ถือเป็นคำมั่นสัญญาของลูกผู้ชาย”

“ข้าเองก็เช่นเดียวกัน” โมไดเอ่ยขึ้น “ถึงข้าจะเป็นเด็กในสายตาของเจ้า แต่หัวใจและความคิดของข้าก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด ข้าให้สัญญาว่าจะมอบความซื่อสัตย์และยอมเสียสละทุกๆอย่างเพื่อให้เจ้าและท่านโซลย์เดินทางไปให้ถึงแซฟเวจย์จนสำเร็จ จะไม่มีอาวุธใดๆมาทำร้ายเจ้าทั้งสองคนได้ตราบใดที่ข้ายังมีรันนิ่งและลมหายใจ”

ฟอร์เซ็ตติมองเพื่อนทั้งสองของเขาด้วยสายตาที่แสดงความคาดไม่ถึง รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความยินดีปรากฏบนใบหน้า เขาก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าว

“ข้าไม่เคยบังเกิดความรู้สึกปิติยินดีกับการได้มีชีวิตอยู่มากเท่านี้มาก่อน โชคดีเหลือเกินที่ได้พบสหายเช่นเจ้าทั้งสอง ข้าเคยมุ่งหวังว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้หลุดพ้นกับความมืดอันแสนทรมาน บัดนี้ความต้องการนั้นกลายเป็นเรื่องไร้ค่าไปเสียแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับข้าที่สุดในเวลานี้ก็คือ การได้ร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันอย่างกล้าหาญ เวททุกบทที่ข้าได้ศึกษามานับร้อยปีจะมีไว้เพื่อปกป้องเพื่อนที่ดีที่สุดของข้าแม้ว่าจะต้องสละวิญญาณนิรันดร์ก็ตาม”  

โซลย์ยิ้มกว้างและวางมือของเขาลงบนบ่าของจอมเวทหนุ่ม โมไดพยักหน้าในขณะที่ยกมือขึ้นวางลงบนไหล่อีกข้างหนึ่งของฟอร์เซ็ตติ

“อย่ามัวแต่จมอยู่กับความมืดในอดีต ชีวิตของเจ้าคือปัจจุบัน จงต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างให้หลุดพ้นเพื่ออนาคตเถิด ท่านจอมเวท”

เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังเป็นครั้งแรก จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้ม

“ไม่เคยคิดว่าคนเช่นเจ้าจะรู้จักพูดจาได้น่าฟังเหมือนกับคนอื่น”

คิ้วของโมไดขมวดเข้าหากันทันที เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆและถอยหลังกลับไปนั่งเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำพูดโต้ตอบอะไร อารมณ์อันขุ่มมัวก็มลายลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมา

“ขอบใจเจ้ามาก โมได”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าและดวงตาที่แสนอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาเกาคางตนเองสองสามครั้งและเอ่ยปากถาม

“ข้าสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง” เขาทำท่าไตร่ตรองและพูดต่อ “หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวในอดีตของเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกสับสนกับช่วงอายุของพวกเหล่าจอมเวทเหลือเกิน ความจริงแล้วพวกเขามีอายุเท่าไหร่กันแน่”

“ถ้าหมายถึงช่วงอายุขัยของพวกเขา อย่างเต็มที่ที่สุดไม่เกินร้อยห้าสิบปี”

โมไดผงกหัวและจ้องหน้าฟอร์เซ็ตตินิ่ง

“แล้วอายุจริงๆของเจ้าล่ะ มันเท่าไหร่กันแน่เจ้าจอมเวท”

“สามร้อยกับอีกยี่สิบห้าปี”

เขาตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดาต่างจากโมไดที่อ้าปากค้าง

“สะ...สามร้อยปี ไหนว่าพวกเจ้ามีอายุไม่เกินร้อยห้าสิบไง”

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ข้ามีเลือดและพลังชีวิตของชาวเอลฟ์อยู่ในตัว แค่สามรัอยปีนี่ยังเด็กเหลือเกินสำหรับช่วงชีวิตที่แสนยาวนานของพวกเขา”

“สามร้อยยี่สิบห้า” โมไดบ่นพึมพำและหันไปมองหน้าโซลย์ซึ่งกำลังยืนเลิกคิ้วมองดูท่าทางของเขา เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดัง

“หน้าของเจ้ายังดูหนุ่มกว่าหน้าของคนอายุสามสิบห้าที่ยืนอยู่แถวนี้เสียอีก”

“โมได!” โซลย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเหลืออด แต่เด็กหนุ่มกลับกระโดดหนีออกไปยืนทำท่าหยอกล้ออยู่อีกห้องหนึ่ง

“เจ้าไม่มีทางจับข้าได้ทันหรอก เจ้าแก่”

“เจ้าเด็กแสบคนนี้นี่” แม่ทัพหนุ่มบ่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดระคนขบขัน ฟอร์เซ็ตติยิ้ม

“เขายังเด็กนักอย่าไปโกรธเคืองกับคำพูดเย้าหยอกของเขาเลย”

เสียงโมไดตะโกนข้ามห้องกลับมาอีกครั้ง

“ข้าจะไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะโซลย์ พักผ่อนบ้างล่ะฟอร์จีเซล”

“เจ้านี่!” ฟอร์เซ็ตติขยับตัวทันทีแต่โซลย์รีบดึงไหล่ของเขาเอาไว้พร้อมกับหัวเราะ

“เจ้านั่นยังเด็ก อย่าไปถือสากับคำพูดไร้สาระของเขานักเลยท่านจอมเวท”

ฟอร์เซ็ตติระบายลมหายใจออกมา และหันมาหาแม่ทัพหนุ่มซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลัง

“ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็สมควรรีบไปนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ที่นี่มีเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอดเวลาไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครบุกรุกเข้ามาทำร้ายเราได้ในยามค่ำคืน”

“เจ้าก็ด้วยฟอร์เซ็ตติ ตั้งแต่เดินทางมาด้วยกันข้าเห็นเจ้าแทบไม่ได้กินอะไร ซ้ำดูเหมือนเจ้าจะไม่เคยเอนกายลงนอนพักอย่างเต็มที่เลยสักครั้ง ในเมื่อที่นี่เปรียบเสมือนบ้านของเจ้า ก็สมควรปล่อยวางและหลับตานอนลงเสียบ้างนะ”

“ตกลง”

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปนอนก่อน เจอกันพรุ่งนี้เช้า ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์ ท่านแม่ทัพ”

ฟอร์เซ็ตติยืนรอจนกระทั่งเสียงประตูห้องของโซลย์ปิดลงจึงเดินออกไปยืนที่ระเบียงด้านนอก สายลมอันแสนเยือกเย็นพัดผ่านกายของเขาไปอย่างแผ่วเบา จอมเวทหนุ่มปลดฮู้ดของเขาออกปล่อยเรือนผมสีเงินสว่างให้พลิ้วกระจายไปตามกระแสลมยามค่ำคืน เขาเงยหน้าขึ้นมองดูจันทร์เสี้ยวสีซีดที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า

“คืนพรุ่งนี้เจ้าต้องพาพวกเขาออกไปจากที่นี่”

“เวลาของพวกท่านยังมาไม่ถึงมิใช่หรือ”

ฟอร์เซ็ตติย้อนถามเสียงแผ่วเบา ผู้เฒ่าไรด์เดินอย่างเงียบกริบออกมาจากเงาของต้นไม้ เขาหยุดยืนอยู่ข้างจอมเวทและแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าเช่นเดียวกัน

“อำนาจของจอมมารไม่สามารถแผ่เข้ามาในแผ่นดินแห่งนี้ได้ก็จริง แต่พลังของมันก็สั่นคลอนอาถรรพ์แห่งเวทต้องสาปได้เหมือนกัน พวกเราบางคนเริ่มมีอาการผิดปรกติเร็วกว่ากำหนด บางรายถึงกับเล็ดลอดออกไปล่าสัตว์ภายนอกโดยไม่ยอมบอกกล่าว ข้าเกรงว่าสักวันพวกเราอาจจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมเช่นเดียวกับชาวมาร์วัลลัสไปไม่พ้น”

“ข้าน่าจะอยู่ดูแลพวกท่านที่นี่”

“ท่านอาจจะเคยเป็นผู้นำของเหล่านักรบเวทมาก่อน แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว ผู้ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของท่านได้ล้มหายตายจากไปจนหมดสิ้น ข้าเข้าใจในความเป็นห่วงของท่านที่มีต่อพวกเรา แต่บัดนี้ภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่กำลังรออยู่ โปรดละความวิตกและเดินทางไปกระทำการอันสำคัญให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปเถิด”  

ฟอร์เซ็ตตินิ่งด้วยความจำนนในเหตุผลของชายชรา เขาเม้มปากและทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้า

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่ขอยุ่งกับเรื่องราวของชาวนักรบเวท แต่มีบางอย่างที่คงต้องฝืนดื้อดึงขัดคำสั่งของท่าน”

“มีเรื่องใดที่ท่านต้องการจะกระทำกัน ท่านฟอร์เซ็ตติ”

“ข้าขอพักที่บ้านของข้าต่ออีกหนึ่งคืน”

ผู้เฒ่าไรด์ยิ้มกว้างพลางหัวเราะออกมา เขามองหน้าฟอร์เซ็ตติด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณาก่อนเอ่ย

“ข้าไม่ไร้น้ำใจจนถึงขนาดขับไล่ผู้คืนถิ่นให้ออกไปจากบ้านเรือนของเขา สำหรับตัวท่านอาจจะพำนักอยู่ต่อไปอีกสักกี่คืนก็ย่อมได้ แต่เพื่อนของท่านทั้งสองคงจะวางตัวลำบากหากคืนนั้นมาถึง”

“ข้าเข้าใจ” จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เมื่อถึงเวลาเช้าก่อนตะวันจับขอบฟ้า ข้าจะพาพวกเขาออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็ว”

“นั่นเป็นสิ่งที่เหมาะควรที่สุดสำหรับมนุษย์ที่ดีอย่างพวกเขา” ผู้เฒ่าไรด์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม”เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านสมควรจะไปนอนพักให้ร่างกายคลายความเมื่อยล้าจากการที่ต้องเดินทางมาเป็นระยะทางไกล ส่วนตัวข้าจะออกไปเดินตรวจตรารอบๆเมืองอีกครั้ง ราตรีสวัสดิ์ท่าน
ฟอร์เซ็ตติ”

“ราตรีสวัสดิ์ท่านไรด์ ขอบคุณท่านมาก”

ชายชราหมุนกายเดินหายไปในเงามืดอย่างไร้สุ้มเสียงดังเช่นเมื่อตอนเข้ามา ฟอร์เซ็ตติยืนมองดูพระจันทร์อยู่อีกสักครู่จึงหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องของเขาอย่างเงียบๆเช่นเดียวกัน

*-*-*-*-*

อากาศของเช้าวันรุ่งขึ้นในนครต้องสาปก็มีความสดชื่นแจ่มใสไม่แตกต่างไปจากบรรยากาศของดินแดนอื่น จะมีก็แต่เพียงสีหน้าของไรด์ซึ่งกำลังยืนสนทนากับชายฉกรรจ์ที่ออกไปกับเขาเมื่อคืนเท่านั้นที่มีริ้วรอยแห่งความวิตกกังวลอย่างหนัก ผู้เฒ่าเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนักด้วยเกรงว่าคำพูดคุยของพวกเขาจะล่วงรู้ไปถึงหูของฟอร์เซ็ตติ

“เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ เกล”

“ข้าได้ตรวจดูอย่างแน่ใจแล้ว ท่านไรด์ เมื่อคืนนี้มีคนในนครของเราบางคนลอบหนีออกไปข้างนอกเพราะความร้อนรุ่มในคำสาปซึ่งมีผลต่อเขาเร็วกว่ากำหนด ข้าพบซากของกวางตัวหนึ่งนอนตายอยู่ไม่ไกลไปจากประตูอารักษ์ ที่น่ากังวลก็คือกวางตัวนั้นเป็นกวางที่ได้รับพิษจากจอมมารจนมีรูปร่างผิดเพี้ยนไป ข้าคิดว่าคนของเราน่าจะได้รับผลนั้นตามมาด้วย”

“แบบนี้ย่อมไม่เป็นการดีแน่” ไรด์กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เร่งสืบหาให้เร็วที่สุดว่าใครกันที่ฝ่าฝืนกฏและจัดการกับเขาโดยเร็วและเงียบที่สุด”

สายตาอันคมกริบของผู้เฒ่าแห่งเผ่านักรบเวทเลื่อนมองผ่านร่างของเกลไปทางด้านหลัง เขาลดน้ำเสียงให้เบาลงกว่าเดิม

“และจงระวังอย่าให้ท่านฟอร์เซ็ตติล่วงรู้เป็นอันขาด”

เกลเหลือบตามองไปทางด้านหลัง เขาผงกหน้ารับอย่างเข้าใจเมื่อเห็นร่างในชุดสีขาวเดินตรงเข้ามาหา ชายทั้งสองก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ท่านฟอร์เซ็ตติ”

“อรุณสวัสดิ์ท่านไรด์ ท่านเกล” จอมเวทหนุ่มมองหน้าของคนทั้งคู่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ”

“แค่เรื่องคำสาปที่ส่งผลเร็วกว่าเดิมดังเช่นที่ข้าได้สนทนากับท่านไว้เมื่อคืนนี้ พวกเขากังวลว่าเพื่อนของท่านจะไม่เข้าใจ”

“พวกเขาเป็นคนที่พูดคุยรู้เรื่อง ไม่ต้องกลัวไปสำหรับเรื่องนั้น”

“ข้าคิดว่าพวกเขาคงเข้าใจได้ยาก หากได้รู้ความจริง” เกลกล่าวเสียงห้าวและนิ่งลงเมื่อเห็นสายตาดุดันของไรด์ เขาจึงรีบพูดขอตัวและเดินแยกออกไป ฟอร์เซ็ตติมองตามหลังชายผู้นั้นไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด ไรด์จึงรีบเอ่ยขึ้น

“เกลเป็นผู้ดูแลความสงบที่ออกจะจริงจังไปบ้าง แต่เขาก็มีความรักและห่วงใยคนในนครแห่งนี้
ไม่แพ้ผู้ใด”

“ข้ารู้ดีในข้อนั้น” ฟอร์เซ็ตติกล่าวด้วยสีหน้าขรึม เขาเลื่อนสายตากลับมาหาไรด์ “และข้าก็จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองของเหล่านักรบเวทนี่ตามที่ท่านขอ”

ไรด์นิ่งไปเล็กน้อย เขารู้ดีว่าแม้คำพูดจะกล่าวออกมาเช่นใด แต่หัวใจของจอมเวทที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ยังคงมีความเป็นห่วงกังวลกับความปลอดภัยของพวกตนอยู่เสมอไม่เสื่อมคลาย ชายชราจึงรีบเบนเรื่องสนทนาไปในทันที

“เมื่อคืนนี้แนชท์ไปสร้างความวุ่นวายให้กับพวกท่านมิใช่น้อย”

“นางทำไปเพราะรักและเป็นห่วงบ้านเกิดของตนเท่านั้น”ฟอร์เซ็ตติตอบและเริ่มออกเดิน โดยมีผู้เฒ่าแห่งชาวนักรบเวทเดินเคียงข้าง

“อายุนางยังน้อยนัก” ไรด์กล่าวต่อไปเรื่อยๆ “แต่ฝีมือการต่อสู้กลับร้ายเกินตัว”

จอมเวทหนุ่มถึงกับยิ้มออกมา

“ร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำ” เขาหันไปทางชายชราและเอ่ยถาม “นางเป็นบุตรีของ ฟราร์อย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้องแล้วท่านฟอร์เซ็ตติ” ไรด์ตอบ จอมเวทหนุ่มพยักหน้าและกล่าวต่อ

“แล้วฟราร์ล่ะ นางเป็นอย่างไรบ้าง”

“ฟราร์เสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน” ชายชราตอบด้วยสีหน้าเศร้า “นางได้รับบาดเจ็บจากการถูกพวกจอมเวทลอบโจมตี แผลอันเกิดจากอาคมรุนแรงเกินกว่าจะเยียวยา ตอนนั้นแนชท์อายุราวห้าหรือหกขวบเห็นจะได้”

“อย่างนั้นหรือ” ฟอร์เซ็ตติพูดเพียงเท่านั้นก็นิ่งเงียบไป ไรด์มองหน้าเขาพลางถอนหายใจ

“ท่านไม่ได้มาที่นี่มาเกือบสามสิบปีแล้วนะท่านฟอร์เซ็ตติ มีอะไรหลายอย่างที่แปรเปลี่ยนไป หลายคนที่ท่านรู้จักรวมถึงคนที่เคยพบท่านล้วนแล้วแต่ล้มหายตายจากไปจนแทบไม่มีเหลือ”

“เวลาไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่” จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าเศร้า “ทุกนาทีที่ผันผ่านไปนำพาทั้งความสุขและความทุกข์หมุนเวียนสลับกันไปไม่มีวันจบ”

“มีเพียงชีวิตของพวกเราเท่านั้นที่รู้จักสิ้นสุดลง” ไรด์กล่าวต่อประโยคด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจในตัวของชายหนุ่มตรงหน้ามากที่สุด ฟอร์เซ็ตติส่งยิ้มให้แก่เขา

“ข้าจะไปเดินเล่นที่สระน้ำ ท่านจะไปกับข้าด้วยหรือไม่”

“ข้ายังมีกิจธุระที่จำต้องกระทำค้างอยู่หลายเรื่อง คงต้องขอตัวก่อน เชิญท่านตามสบายเถิด”

ชายชรากล่าวอย่างสุภาพ เขาก้มตัวลงอีกครั้งก่อนเอ่ยคำอำลาต่อจอมเวทหนุ่มและเดินแยกออกไปอีกทาง ฟอร์เซ็ตติมิได้มองตามหลังเขาไปเหมือนทุกคราว สายตาของจอมเวทหนุ่มไล่มองไปรอบตัว ประกายแห่งความคิดถึงเต้นไหวอยู่ในแววตาสีฟ้าใส เขาก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆจนกระทั่งมาถึงบริเวณสระน้ำประจำเมือง สายลมพัดโชยแผ่วเบาสร้างระลอกคลื่นเล็กๆวิ่งไล่จากใจกลางสระน้ำมากระทบริมฝั่ง จอมเวทหนุ่มมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงจรดปลายไม้เท้าของเขาลงไปบนผิวน้ำพร้อมกับร่ายเวทออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก

“ธาราวารีเอย ขอจงเผยภาพแห่งความทรงจำที่สั่งสมมาแต่ครั้งอดีตให้ข้าได้เห็นด้วยเถิด”

วงคลื่นสีฟ้าจางแผ่ออกมาจากปลายไม้และกระจายออก ผิวน้ำใสสะอาดปรากฏภาพเลือนรางและค่อยๆแจ่มชัดขึ้น ฟอร์เซ็ตติจ้องมองภาพตรงหน้าราวกับกำลังสำรวจสิ่งต่างๆที่ผ่านมา ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิดขณะที่มองเหตุการณ์ในอดีตซึ่งไหลเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆมาจากทางด้านหลังดึงจิตใจที่กำลังจมดิ่งไปกับภาพกาลก่อนให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง จอมเวทหนุ่มดึงไม้เท้าของเขาขึ้นจากสระน้ำและเอี้ยวตัวเพื่อมองดูโซลย์ซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับเอ่ยทักทาย

“ไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นเช้าเช่นนี้”

“ข้าชอบอากาศบริสุทธิ์ยามอรุณรุ่ง” แม่ทัพหนุ่มตอบ “แต่เจ้าจะแปลกใจมากกว่าหากรู้ว่า
โมไดตื่นก่อนข้าเสียอีก”

คิ้วสวยได้รูปของฟอร์เซ็ตติเลิกสูงด้วยความแปลกใจ

“น่าแปลกจริงดังที่เจ้าพูด แล้วตอนนี้เขาไปไหนเสียแล้ว”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นเจ้านั่นบ่นว่าเหนียวตัวเต็มทน คงจะไปหาที่เล่นน้ำตามประสาของเขากระมัง”

โซลย์ตอบด้วยน้ำเสียงเจือความระอาเขามองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สายตาเลื่อนผ่านตัวของจอมเวทหนุ่มไปทางด้านหลัง

“เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้ากำลังจ้องมองดูอะไรอยู่”

“แค่ภาพในอดีตเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดสำคัญ”

ฟอร์เซ็ตติตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่แม่ทัพหนุ่มกลับยิ้ม

“หากมันเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญจริง เหตุใดท่านจึงจ้องมองดูอย่างสนอกสนใจนัก” โซลย์ชะโงกหน้ามองดูน้ำในสระและพูดต่อ

“ท่านจะอยู่ดูแลคนของท่านนี่ที่ก็ได้ หากกังวลกับการเป็นอยู่ของพวกเขามากถึงขนาดนั้น”

“ที่นี่เคยเป็นบ้านของข้าเท่านั้น” จอมเวทพูด “พวกเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกอีกต่อไปแล้ว”

“เท่าที่ข้าเห็น พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าคือคนนอก”

“ภาระของข้าคือการค้นหาศาสตราแห่งเดราเนียร์เพื่อนำไปสยบราชันย์มารแห่งแซฟเวจน์และช่วยเหลือลินซ์ให้กลับมาอย่างปลอดภัย เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้น ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว”

โซลย์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าด้วยความรู้สึกอ่อนใจกับอาการปากกับใจไม่ตรงกันของจอมเวทหนุ่ม เขาเดินไปยืนริมตลิ่งแล้วกวาดตามองไปรอบๆ

“ที่แห่งนี้สงบเงียบเสียจนข้านึกภาพไม่ออกว่ามันคือนครต้องสาป”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลเปรยออกมา เขารู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยคำพูดตอบกลับมาจึงได้หันไปมอง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นสีหน้าซึ่งกำลังแสดงความเจ็บปวดของฟอร์เซ็ตติ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมไว้บนทรวงอกขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับพยายามสะกดกลั้นความรู้สึก

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร” โซลย์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่จอมเวทหนุ่มกลับฝืนยิ้ม

“ข้าแค่วิตกถึงลินซ์เท่านั้น”

“สีหน้าของเจ้ามันกำลังบอกคนละเรื่องกับที่เจ้าพูดนะ ฟอร์เซ็ตติ” เขาเดินตรงเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงแต่ฟอร์เซ็ตติกลับถอยออกห่างพร้อมกับหอบหายใจอย่างหนัก

“ข้าไม่เป็นอะไร...................”

โดยที่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ร่างสูงสมส่วนก็ทรุดฮวบลง โซลย์รีบถลันเข้าไปประคองด้วยความตกใจ

“ฟอร์เซ็ตติ!”

*-*-*-*-*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 09:35:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com