บทที่ 14 : สนามบินระทึกขวัญ !
วิญญาณจิราพรเดินทางไปสู่สุขคติแล้ว ประกายแก้ว สกุลสุวรรณเพื่อนร่วมชั้นผู้เห็นวิญญาณยืนสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจเตรียมตัวลงไปเข้าแถวที่สนามด้วยใกล้เวลาเคารพธงชาติเต็มที แต่ก่อนที่จะลงไปข้างล่างเธอมีบางอย่างที่ต้องถามให้หายสงสัย
“ คุณลุงเจ้าที่คะ หนูมีเรื่องอยากจะถาม ” แก้วหันไปหาวิญญาณเจ้าที่ผู้อยู่ในชุดขุนศึก “ ว่ามา เด็กน้อย ... ”
“ ที่จิราพรกระโดดตึกเป็นฝีมือของผีร้าย ... ผีตัวดำๆที่เกาะหลังจิราพรใช่ไหมคะ ? ” เด็กสาวถามเจ้าที่ผู้ปกปักรักษาโรงเรียน
คุณลุงในชุดขุนทหารโบราณพยักหน้าก่อนจะตอบคำถามของนักเรียนสาว “ ใช่ ... เรารู้แต่ไม่อาจขัดขวางหรือป้องกันได้ อาคมพันธนาการของนายแห่งผีร้ายช่างทรงฤทธานุภาพนัก วันนั้นเราถูกโซ่อาคมรัดรึงจนขยับเขยื้อนกายไม่ไหว ” น้ำเสียงเศร้าสร้อย ประกายแก้วรับรู้ถึงความเสียใจของเทพผู้พิทักษ์ผู้ไม่อาจปกป้องนักเรียนที่อยู่ในเขตรั้วได้
“ อาคม ? ของใครคะ ? ใครเป็นคนสั่งให้ผีร้ายฆ่าจิราพร ? ” เด็กสาวถาม “ เราเองไม่อาจมองเห็น ... คลับคล้ายมีม่านสีดำลอยปิดบังเอาไว้ ” เป็นคำตอบของนายทหารผู้ปกป้องโรงเรียน ประกายแก้วฟังแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ เด็กสาวกังวลเหลือเกินว่าความวุ่นวายที่ตั้งเค้าอยู่ตรงหน้าจะดึงเธอเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้อง แก้วอยากซักถามต่อ ทว่าเวลากระชั้นใกล้แปดนาฬิกามากขึ้นทุกขณะ เด็กสาวจึงรีบเดินไปเก็บของที่โต๊ะก่อนจะลงไปเข้าแถว
... ...
ในเวลาเดียวกันกับที่ประกายแก้วกำลังหาทางช่วยเหลือจิราพรให้สามารถสื่อความในใจที่มีต่อนายพยนต์ ... ที่ทุ่งหญ้าริมทางอันรกร้างว่างเปล่าแถวๆละแวกชานเมืองไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่สักเท่าไร บัดนี้ปรากฏรถปิคอัพสีดำจอดที่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ รถคันนั้นจอดนิ่งสนิทนานนับครึ่งวันโดยหาได้มีใครลงจากรถให้เห็น อีกทั้งฟิล์มติดกระจกก็ดำมืดจนมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวภายใน
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกหลายชั่วโมง กระทั่งริมทางเดินไม่ห่างต้นไม้ใหญ่ ปรากฏร่างชายชราชุดขาวสวมสร้อยประคำสีแดงสด ที่บ่าสะพายเพียงย่ามเล็กๆที่ทำมาจากผ้า ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนพากันกรูออกมาจากรถ ในมือแต่ละคนล้วนมีอาวุธปืน !
ในขณะเดียวกันกับที่ประตูรถปิคอัพถูกเปิดออก ชายชราชุดขาวหยุดฝีเท้ายืนนิ่ง โสตสัมผัสสดับเสียงกระซิบที่ข้างหู ... มันเป็นพรายกระซิบไม่มีใครมองเห็นตัวตน !? ‘ พ่อ ! พ่อระวัง ! พวกมันมีหลายคน ’
ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากจอมขมังเวทย์ชุดขาว ชายชราหยิบม้วนผ้าดำที่ลงอักขระขอมจากในย่ามก่อนจะคลี่มันออกเผยให้เห็นผอบสองสามใบ เขาวางมันลงกับพื้น เปิดฝาทั้งหมดออก จากนั้นจึงเริ่มสวดบริกรรมคาถา
“ เฮ้ย ! หยุด ! ทำอะไรวะ !? ” เสียงหนึ่งในชายฉกรรจ์จากรถปิคอัพ ทุกคนสวมเสื้อยืดสีดำ พรางตัวด้วยหมวกไหมพรมและแว่นกันแดด “ พวกลูกๆมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ? ” ชายชราถามกลับด้วยถ้อยคำสุภาพ ทว่าสายตาแข็งกร้าวจ้องจับที่ปืนในมือของกลุ่มชุดดำ
“ พวกกุมาเอาชีวิตมืง ! อย่าโกรธกันเลย ... ยอมตายดีๆ นายข้าไม่ต้องการให้มืงรอดชีวิต ! ” ไม่เพียงแค่คำขู่ ทว่าบัดนี้ปืนทุกกระบอกต่างเล็งเป้ามาที่ชายชุดขาวผู้ใส่สร้อยประคำแดง
“ อ๋อ ... เจ้านายของพวกลูกๆแค้นพ่อนี่เอง แต่พ่อว่าลูกๆไม่ควรติดตามนายภูวดลแล้วล่ะ มันหมดอนาคตสำหรับเวทีการเมืองแล้ว ” ชายชราหมายถึงนายภูวดลตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯเชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้นายภูวดลกำลังพัวพันอยู่กับคดีฆ่าตัวตายต่อเนื่อง
“ อย่ามายุ่ง ! ไอ้แก่ ... ตายซะ !! ” สิ้นประโยคชายฉกรรจ์ ไกปืนทุกกระบอกถูกลั่นอย่างพร้อมเพรียง แน่นอนว่าเป้าหมายอยู่ที่ชายชราชุดขาวที่พวกเขาถูกจ้างวานมาให้ฆ่า
ทว่า ... แชะ ? แชะ ! แชะ !
และตามด้วยเสียงไกปืนที่พยายามจะยิงแต่กลับลั่นไม่ออกเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ทุกนัด ทุกกระบอกล้วนแล้วแต่ด้าน !? เครื่องยิงมัจจุราชไม่อาจสับไกเพื่อพิฆาตเหยื่อตรงหน้า
“ พ่อว่าพวกเจ้าเลิกดันทุรังเสียเถิด ” ชายชุดขาวพูดพลางส่ายศีรษะ แม้คำพูดจะเนิบๆ ทว่าแตกต่างกับสายตาที่ดุดันก้าวร้าว “ ปืนยิงไม่ออก !? ไม่น่าเชื่อ ? ” หนึ่งในทีมนักฆ่าร้องลั่น ปากคอสั่น
จอมขมังเวทย์ชรายิ้มมุมปาก เขาขมุบขมิบริมฝีปากร่ายมนต์บางอย่าง พริบตาเดียวเท่านั้น กลุ่มก้อนควันสีดำๆพลันพวยพุ่งออกจากผอบที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ในทีแรก
“ อ๊ากกกกกก ! ” “ อ๊อก ! ” “ อุก ... คร่อกๆ ”
เสียงร้องแทบจะพร้อมเพรียงกันของทีมนักฆ่า ทั้งหมดลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้น บางคนกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด บางคนกุมคอดิ้นพราดๆราวกับหายใจไม่ออก ขณะที่คนหนึ่งดิ้นตะกุยตะกายจากอาการปวดบิดในท้องอย่างรุนแรง “ แก ... แกทำอะไร ? เล่นของ ? ” ไอ้โม่งคนหนึ่งร้องถาม
ไม่มีคำตอบ มีเพียงยิ้มแสยะด้วยความสะใจเท่านั้น ! มันเป็นความสะใจของชายชราที่ได้เห็นศัตรูต้องทรมานด้วยสาเหตุที่ไม่อาจมองเห็น มีเพียงตัวเขา ... ผู้ใช้วิชาเท่านั้นที่สามารถเห็น ‘ วิญญาณ ’ เหล่านั้น ... มันคือเหล่าภูติสัมภเวสีที่เขาเลี้ยงไว้ใช้งาน !?
ตรงนั้นคนหนึ่งกำลังถูกปอบโหงพรายกอดรัด ลิ้นยาวแหลมของมันแหย่ชอนไชลึกเข้าในรูหูเพื่อดูดกินเนื้อสมอง อีกคนถูกผีตายโหงผมยาวรุงรังขึ้นขี่หลัง มันใช้มือบีบคอเสียจนใบหน้าเขียวคล้ำ ส่วนอีกด้านกำลังถูกกุมารทองใช้มือตะกุยหน้าท้องจนต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ใช่ ! ทั้งหมดเป็นภูตผีปิศาจที่ชายชราเลี้ยงไว้ใช้งาน ทุกตัวล้วนมีความดุร้าย แต่เขาสามารถกำราบมันไว้ได้ด้วยคาถาจากอักขระขอมโบราณ ... และด้วยคาถาบทนี้จึงทำให้ตัวเขาเป็นจอมขมังเวทย์ที่เก่งกาจที่สุด มันทำให้ได้ทั้งงาน ทั้งเงิน ! ทว่าในเสี้ยวนาทีนั้น ... อาจเป็นเพราะความประมาท ชายชุดขาวจึงไม่ทันสังเกตเห็นชายสวมหมวกไหมพรมคนหนึ่งค่อยๆชันตัวขึ้นจากท่านอน ทั้งๆที่บนหลังของเขามีวิญญาณรูปร่างคล้ายงูกระหวัดรัดรอบลำตัว ... รอบลำคอ !
นักฆ่าภายใต้หมวกไอ้โม่งดึงมีดที่เหน็บเอวออกมา เขาสลัดฝักทิ้งอย่างรวดเร็วสมเป็นมืออาชีพก่อนที่จะโถมเข้าใส่จอมขมังเวทย์ ใบมีดประหลาดที่เคลือบสารสีแดงเข้มหมายจะแทงเข้าที่ลำคอเหยื่อ
‘ พ่อ ! ระวัง ! ’ กุมารทองที่กำลังพัวพันการควักไส้เหยื่อหันมาเห็นพอดี มันร้องเพื่อเตือนสตินายแห่งมัน ไวเท่าความคิดชายชราเบนร่างหลบปลายมีดห่างไปเพียงแค่คืบ คมมีดเฉี่ยวสร้อยประคำแดงจนสายเชือกขาดกระเด็น ลูกประคำสีแดงสดร่วงกระจายเกลื่อน
“ ฆ่าพวกมันให้หมด ! ” คำสั่งเกือบเป็นตะโกนจากอารมณ์โมโห เหล่าวิญญาณร้ายเมื่อได้ยินคำสั่งจึงจัดการขั้นเด็ดขาดในทันที ... และแน่นอน เพียงชั่วพริบตา มนุษย์ที่ยังเหลือชีวิตก็มีเพียงแค่จอมขมังเวทย์ผู้เป็นนายเท่านั้น ... ...
จากคุณ |
:
Luckard
|
เขียนเมื่อ |
:
21 เม.ย. 54 10:57:58
|
|
|
|