จากนั้นแม่จะออกจากบ้านไปจ่ายตลาด เพื่อเตรียมไว้เป็นอาหารมื้อเย็นและเผื่อมื้อเช้าถัดไป แม่มักกลับเข้ามาบ้านช่วงบ่ายแก่ๆ พร้อมกับผักผลไม้และของสดต่างๆในตะกร้า และที่ติดไม้ติดมือกลับมาแทบทุกครั้งคือใบปลิวโฆษณาภาพยนตร์บ้าง ละครร้องบ้าง บางทีก็เป็นยี่เก แทบทุกสัปดาห์หลังอาหารมื้อเย็น แม่จะพาหวานออกไปดูหนังดูละครบ่อยๆ ซึ่งช่วงที่พ่ออยู่จะไม่ค่อยได้ออกเที่ยวดูชมมหรสพ และสิ่งบันเทิงต่างๆเหล่านี้มากนัก แต่เพราะช่วงเวลานี้อาจเป็นเพราะแม่กำลังเหงาและอ้างว้างเกินไป
เมื่อตอนที่หวานอายุย่างเข้าเจ็ดขวบราวๆปีพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบเอ็ด แม่พาหวานไปดูละครร้องซึ่งเคยได้รับความนิยมนักหนาช่วงสมัยเกือบๆยี่สิบปีก่อน ละครเรื่องนี้ถูกนำกลับมาเล่นใหม่และยังได้รับความนิยมเช่นเดิม ความชื่นชอบในเนื้อหาละครสลับพูดเรื่องสาวเครือฟ้า เป็นความชื่นชอบอย่างซึมซับติดตรึงไม่มีเหตุผล เพราะหวานยังเด็กนัก ยังอ่อนไหวทั้งวัยวันและความคิด
สงสารเอยสาวเครือฟ้าครานิราศ ร้างสวาสดิ์วุ่นคะนึงคิดถึงผัว
ไม่เป็นนอนเป็นกินโดยสิ้นกลัว จนผ่ายผอมมอมมัวมุ่นรำพัน
คอยหนังสือหรือก็หายไม่กลายกล้ำ สั่งสักคำก็ไม่มีที่คิดถึง
โศกเศร้าเช้าค่ำร่ำร้อนรึง เมื่อไรพี่พร้อมจึงจะกลับเชียง
สาวเครือฟ้าไม่ใช่เด็กชายหวาน แต่เด็กชายหวานกลับรู้สึกว่าตัวเองอยากเป็นสาวเครือฟ้า อยากเล่นเป็นสาวเครือฟ้า
ทำอย่างนี้ไม่ได้นะหวาน เธอเป็นผู้ชาย เธอจะเล่นเป็นสาวเครือฟ้าได้ยังไง ฉันต่างหากเป็นผู้หญิง ฉันต้องเล่นเป็นสาวเครือฟ้าสิถึงจะถูก
เลิศล้ำเถียงไม่ใคร่ยอมตามประสาเด็ก ขณะที่หล่อนและหวานกำลังเล่นหัวกัน สมมุติว่าจะเล่นเลียนแบบละครร้องสลับพูดเรื่องสาวเครือฟ้า ที่ต่างไปดูมาแล้วทั้งคู่ แต่ดูหวานจะหลงใหลเอามากกว่า
ก็สมมุติเอาสิว่าฉันเป็นผู้หญิง หวานเถียงคืน
ไม่ได้หรอก เธอเป็นผู้ชาย เธอต้องเล่นเป็นร้อยตรีพร้อม
ก็บอกแล้วไงว่าให้สมมุติเอา
ไม่ได้หรอกหวาน
เอาอย่างนี้แล้วกัน เล่นครั้งแรกให้เธอเป็นสาวเครือฟ้าก่อน แต่พอครั้งที่สองผลัดเปลี่ยนให้ฉันเป็นสาวเครือฟ้า หวานต่อรอง
เลิศล้ำมองเพื่อนน้อยคู่ใจอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก อย่างนั้นก็ได้
ความเปลี่ยนแปลงในตัวหวานดำเนินไปอย่างซึมซับทีละนิดทีละน้อย อย่างที่หวานเองไม่รู้เนื้อรู้ตัว และคนรอบข้างก็ไม่ได้สังเกตอันใด เพราะไม่รู้และไม่คิดด้วยซ้ำ ว่าชีวิตที่ตื่นเช้ามาจวบจนย่ำค่ำเข้านอน อันมีเพียงแม่คอยดูแลพัดวีให้ความห่วงใย และมีเพียงเด็กผู้หญิงอย่างเลิศล้ำเป็นเพื่อนเล่นทุกวี่วัน จะมีอิทธิพลต่อจิตสำนึกของใครคนนี้
เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาสักทีล่ะแม่
หวานแหงนหน้าถามแม่ละไม ขณะนอนหนุนตักอยู่ตรงระเบียงใกล้บันไดยามฟ้าจวนค่ำ หลังกินข้าวปลามื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย แม่จะมานั่งอยู่บริเวณนี้บ่อยๆ โดยมีหวานนอนหนุนตักอยู่เคียงข้าง บ่อยครั้งสายตาของแม่จะทอดยาวไกลผ่านเวิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ลิบลับที่ปลายขอบฟ้าตรงอาทิตย์อัสดง เหมือนแม่กำลังเฝ้ารอการกลับมาของพ่อ หรือไม่ก็อาจจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่หวานไม่อาจคาดเดา
คงอีกสักปีสองปี หวานคิดถึงพ่อมากหรือเปล่าลูก
คิดถึงสิแม่ หวานอยากให้พ่อกลับมาไวๆ
แม่ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แม่เลื่อนมืออ่อนนุ่ม ค่อยๆลูบไล้ศีรษะของหวานด้วยสัมผัสแผ่วเบา สายตาของแม่ยังคงทอดยาวไกล
แล้วทำไมเราไม่ไปเยี่ยมพ่อกันล่ะ พ่อแม่ของล้ำยังเคยพาล้ำไปเยี่ยมคุณตาคุณยายของพวกเขาที่ต่างจังหวัดเลย ถ้าพ่ออยู่ไกลมากเราค่อยๆแจวเรือไปก็ได้นะแม่ หวานจะเป็นคนแจวเรือให้แม่เอง
แม่ค่อยๆก้มหน้ามองหวานด้วยแววตาเปี่ยมสุข ต่างจังหวัดกับต่างประเทศไม่เหมือนกันนะหวาน พ่อของหวานอยู่ไกลลิบเลย ถ้าเราจะไปหาพ่อ เราสองคนต้องนั่งเรือลงทะเลไปข้ามแผ่นน้ำทะเลเป็นแรมเดือน
ขนาดนั้นเลยเหรอแม่ หวานตารุกวาวกับคำบอกเล่าที่ได้ยิน
หวานรู้ดีแล้วว่ามันไกลลิบลับนัก ระหว่างแผ่นดินสยามกับผืนแผ่นดินที่พ่อไปใช้ชีวิตศึกษาเรียนหนังสืออยู่ เพราะไม่เช่นนั้นแม่คงพาหวานไปหาพ่อแล้ว หรือไม่พ่อเองก็คงหาโอกาสแวะเวียนกลับมาเยี่ยมและหวานเองอยู่บ่อยๆเป็นแน่ เพราะรักแม่และหวานเปรียบเป็นแก้วตาดวงใจ หวานรู้
พ่อติดต่อส่งข่าวคราวให้แม่รับรู้เสมอ ทุกสี่ห้าเดือนจะมีจดหมายจากแดนไกลส่งมาไม่เคยขาด และแม่ก็ตอบกลับทุกฉบับ จดหมายฉบับล่าสุดจากแดนไกล ย้ำเตือนแม่ถึงเรื่องการเล่าเรียนของหวาน เพราะวัยวันของลูกชายคนนี้ควรเข้าโรงเรียนได้แล้ว
แม่พาหวานไปสมัครเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนแซมแซ่น (โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก) เป็นโรงเรียนที่นักบวชในนิกายโรมันคาธอลิกเป็นผู้ดำเนินการ แม่เลือกโรงเรียนนี้เพราะอยู่ใกล้บ้าน และเห็นเป็นโรงเรียนฝรั่งมังค่า มีการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา อย่างน้อยแม่อยากเห็นหวานเก่งภาษาอังกฤษ และเผื่อเตรียมไว้อาจได้ไปเมืองนอกเมืองนาเหมือนอย่างพ่อ.. ..
แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 54 12:37:07