Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ม่านนางรำ ตอนที่ 1 ติดต่อทีมงาน

ในวัยเยาว์กว่างามเป็นเด็กผู้ชายชื่อหวาน หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู หวานเกิดมาและใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลาง อันเป็นครอบครัวเล็กๆที่มีเพียงพ่อแม่และลูกชายหนึ่งคน บ้านของหวานอยู่แถวเจริญกรุง ดังนั้นนับแต่เริ่มจำความได้ หวานจึงรู้จักมักคุ้นกับสภาพชีวิตแถบแถวนี้เป็นแห่งแรก และคงเป็นสถานที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิตสำหรับใครบางคน

                               

ชีวิตที่พอจะเริ่มจำความได้ก็เมื่อตอนที่หวานอายุสี่ขวบ คือช่วงต้นปีพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยหกสิบแปด เพราะเป็นช่วงเวลาที่หวานรู้สึกได้ว่าพ่อหายจากไป เป็นเวลายาวนานราวสี่ถึงห้าปี ช่วงนั้นหวานต้องใช้ชีวิตอยู่กับแม่แต่เพียงลำพัง หวานมารู้เอาเมื่อตอนเริ่มประสีประสาว่า พ่อทำงานเป็นข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศ ช่วงเวลาที่พ่อห่างหายไปจากชีวิตนั้น เป็นช่วงที่พ่อได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อและดูงานที่ประเทศอังกฤษ หวานจดจำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลา ถึงเช้าวันที่พ่อต้องเดินทางออกจากแผ่นดินสยาม แม่พาหวานมาส่งพ่อที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ด้วยความรู้สึกที่แม่เองก็ใจหายไม่น้อย

                               

คณะที่ร่วมเดินทางคราวนั้นมีกันหลายคน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าคุณมูลนายเชื้อเจ้าเชื้อพระวงศ์ บางคนเดินทางไปรับตำแหน่งหน้าที่ท่านทูตประจำตามประเทศต่างๆ บางคนเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนต่อเหมือนอย่างพ่อ คณะเดินทางต้องขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง เพื่อล่องลงทางใต้เข้าเขตมลายูถึงเกาะปีนัง จากเกาะปีนังต่อไปยังสิงคโปร์ เพื่อลงเรือเดินทางรอนแรมอยู่ในน่านทะเลอีกเป็นเดือนกว่าจะถึงที่หมาย

                               

เช้าวันออกเดินทางพ่อแต่งตัวแบบไทย สวมเสื้อราชแปแตนนุ่งโจงกระเบน ส่วนแม่ก็แต่งตัวสวยไม่น้อยหน้าใคร ไอสัมผัสจากมือข้างหนึ่งของแม่ที่จับจูงหวานไว้อยู่ข้างกาย มันร้อนแผ่วๆร้าวลึกชอบกล ทั้งๆที่พ่อไม่ได้ไปแล้วไปลับ เพราะมีสัญญามั่นเหมาะด้วยซ้ำว่าพ่อจะต้องกลับมา

                               

“อยู่ทางนี้ละไมต้องดูแลลูกให้ดีๆนะ พี่จะเพียรเขียนจดหมายส่งข่าวคราวกลับมาเรื่อยๆ และที่สำคัญพี่จะรีบๆเรียนให้จบจะได้กลับมาโดยไว”

                               

“คุณพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรามีตาหวานเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียว ละไมจะดูแลตาหวานให้ดีที่สุด ตาหวานจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่เก่งเหมือนคุณพี่”

                               

ละไมยืนส่งคุณดำรงผู้เป็นสามี จนกระทั่งขบวนรถไฟขับเคลื่อนออกจากสถานีหัวลำโพง ไปตามทางรางสายที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ละไมจับจูงมือลูกจับจ้องมองรถไฟขบวนนั้นจนมันกลายเป็นจุดเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆเลือนหายลับไกลในที่สุด

                               

ช่วงเวลาที่หวานใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงลำพัง เป็นช่วงห้วงที่หวานรู้สึกว่าแม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต จวบเช้าจนค่ำแม่เป็นคนคอยปกป้องคุ้มกันภัยให้กับหวานแต่เพียงผู้เดียว

 

หวานเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักน่าชัง ซึ่งได้เค้าโครงหน้ากลมมนเป็นรูปทรงพอดีจากพ่อ แต่รายละเอียดปลีกย่อยนั้น ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก จมูกและนัยน์ตาล้วนถอดพิมพ์จากแม่ออกมาอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะแววตาที่สุกใสเป็นประกาย จนเพื่อนบ้านละแวกข้างเคียงพากันเรียกเจ้าตาหวาน และที่สุดพ่อกับแม่ก็ยอมรับเอามาเป็นชื่อให้กับลูกชายของตนโดยดุษฎี

                               

ชีวิตในวัยเด็กตอนห้าหกขวบคือช่วงปีพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยหกสิบเก้าถึงสองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบ หวานก็เหมือนเด็กเล็กคนอื่นที่ต้องการมีโลกความสัมพันธ์อย่างเด็กๆ ต้องการมีเพื่อนวิ่งเล่นหัวตามประสา เด็กเพื่อนบ้านข้างเคียงที่หวานรู้จักคนแรกและสนิทชิดเชื้อที่สุดคือเลิศล้ำ ด้วยมีเรือนอยู่ชิดติดกัน ครอบครัวของเลิศล้ำเป็นครอบครัวชนชั้นกลางเหมือนครอบครัวของหวาน พ่อแม่มีเลิศล้ำเป็นลูกเพียงคนเดียว เลิศล้ำจึงเป็นลูกสาวสุดรักสุดหวงเช่นกัน พ่อของเลิศล้ำรับราชการอยู่ในกรมมหาดเล็ก ส่วนแม่เป็นสาวชาวบ้านอยู่เหย้าเฝ้าเรือนธรรมดา

                               

ด้วยต่างเป็นลูกเพียงคนเดียวของครอบครัว และเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง หวานกับเลิศล้ำจึงหยอกเล่นวิ่งหัวเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ด้วยเหตุนี้ทั้งวันและคืนช่วงอายุราวสี่ถึงเจ็ดขวบ ชีวิตน้อยๆของหวานจึงผูกพันอยู่กับผู้หญิงเพียงสองคน คือแม่และเลิศล้ำ

                               

ระหว่างที่พ่อไม่อยู่ แม้ชีวิตของแม่และหวานจะเงียบเหงาอ้างว้างลงไปบ้าง แต่การดำเนินชีวิตส่วนใหญ่ในแต่ละวันยังคงคล้ายเดิม แม่จะตื่นนอนแต่เช้ามืดหุงหาอาหารเตรียมใส่บาตร และอีกส่วนหนึ่งเตรียมไว้เป็นอาหารสำหรับมื้อแรกของวัน ซึ่งก็ลดปริมาณลงเพราะเหลือกันเพียงสองคนแม่ลูก

                               

ทุกๆเช้ามืดกลิ่นหอมของดอกไม้จะโชยไปทั่ว เพราะรอบๆเรือนปลูกทั้งมะลิซ้อน มะลิลา มะลิฉัตรและมะลิเลื้อย แต่สักพักเมื่อแม่เริ่มก่อไฟเพื่อหุงหาอาหาร ทุกครั้งที่กลิ่นควันไฟจากครัวโชยขึ้นแทรกกลิ่นดอกไม้ไปทั่วอาณาบริเวณเรือนทรงไทย หวานก็จะค่อยๆรู้สึกตัวตื่น และออกมาช่วยแม่ทำครัว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายยืนดูเสียมากกว่า เพราะหวานยังเด็กนัก

                               

แต่ไหนแต่ไรแม่เป็นคนใจบุญใจกุศลชอบเข้าวัด ฟังเทศน์ฟังศีลเป็นประจำ การทำบุญตักบาตรจึงเป็นกิจวัตรที่ขาดเสียไม่ได้ ทุกๆเช้าที่แม่กำลังใส่บาตร หวานมักจะไปยืนอยู่ข้างๆ มองกิริยาน่าชมของแม่ด้วยแววตาสุกใสแน่นิ่ง บางวันแม่จะฝึกให้หวานใส่บาตรด้วย มือนุ่มละไมของแม่จะจับจูงมือน้อยๆของหวาน ค่อยๆหยิบตักอาหารใส่ลงในบาตรของพระอย่างนิ่มนวล ตัวหวานเองก็ชอบ เพราะมันให้ความรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก

                               

ช่วงสายๆหลังอาหารมื้อเช้าผ่านพ้น แม่จะวุ่นวายอยู่กับงานบ้าน ส่วนหวานมักจะออกไปวิ่งเล่นหยอกหัวกับเลิศล้ำ และเด็กเพื่อนบ้านข้างเคียงอยู่บ่อยๆ

                               

กว่างานบ้านงานเรือนจะเสร็จเรียบร้อยก็ตะวันคล้อย.. ..

 

 
 

จากคุณ : the last woman
เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 12:32:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com