สวัสดีมิตรนักอ่านทุกท่านครับ สำหรับสาปพิษฐานตอนที่ผ่านมานะครับ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10455562/W10455562.html
ขอบคุณกิฟต์ และความเห็นต่างๆของทุกท่าน รวมทั้งที่ได้แวะเวียนเข้ามาอ่านด้วยครับ
คุณโตยธาร : จากนี้ไปเรื่องจะเริ่มคลายปมไปเรื่อยๆแล้วครับ แต่รับรองว่ายังต้องลุ้นเหมือนเดิม
คุณแก้วกังไส คุณมานีโอลา : รับรองครับ ว่าลงจนจบตอนสุดท้ายแน่ๆครับ
คุณเรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก : ต้องมีฉากให้ตื่นเต้นซะหน่อยครับ ตามสไตล์หมอกมุงเมือง แหะ แหะ
คุณ Regenbogen ^_^ : เดาจน "เกือบถูก" แล้วครับ ยังไง คอยติดตามต่อไปด้วยนะครับ
คุณไก่ กุลธิดา : ลงจนจบแน่นอนครับผม
คุณ kaburapat : ขอบคุณหลายๆเลยครับ พออ่านคอมเมนต์จบแล้ว ผมแทบตัวลอยไปเลยครับ
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาต่อตอนที่สิบห้ากันเลยนะครับ
ตอนที่ 15
วัดแก้วโกรวาราม
แสงแดดยามบ่ายส่องสะท้อนอาคารโบสถ์ขนาดใหญ่สีขาวโดดเด่นเป็นสง่า และบันไดหินที่ทอดยาวตามลำดับขึ้นไปสู่ยอดเนินสูง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามใจกลางเมืองกระบี่แห่งนี้
ศาปานต์อดใจไม่ได้จนต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกเอาไว้ทั้งที่เพิ่งมาเยือนสถานที่แห่งนี้ในยามรัตติกาลก่อน วันนี้หล่อนตัดสินใจเลี่ยงออกมาจากบ้านพักเพียงลำพัง เมื่อสิชลซึ่งยังมีอาการอ่อนเพลียรับประทานยาแก้แพ้อากาศนอนหลับไปแล้ว ความรู้สึกบางอย่างยังรบกวนจิตใจอยู่จนทำให้ศาปานต์ตัดสินใจเดินทางกลับมาที่นี่อีกครั้ง
มันไม่มีใครอยู่เลยนะป่าน เห็นไหมว่ามันปิด!!
เหตุการณ์ในคืนนั้นนอกจากจะสร้างความพิศวงให้หล่อนแล้ว หลายอย่างจากเหตุการณ์นั้นทำให้ศาปานต์ต้องการพิสูจน์
ติกาหลังปัตรา!!
เรือนผลึกหลังเล็กที่หล่อนได้ยินนามนั้นสองครั้งสองหนแล้ว ทั้งจากคำบอกเล่าของสิงหบดี ปกาพงศ์ และในความภาพแห่งนิมิตฝันอันสุดสะเทือนใจ
หญิงสาวเดินผ่านเข้าไปด้านในพระอุโบสถ ภายในมีองค์พระประธาน พุทธลักษณะงดงาม พร้อมด้วยภาพเขียนฝาผนังสวยงาม โดยมีบรรดานักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนเดินทางขึ้นมาอยู่ประปราย ภายหลังก้มกราบองค์พระแล้ว จึงก้าวเดินออกมาด้านนอก มองหาส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุของการเดินทางมาในวันนี้อีกครั้ง
โยมมองหาอะไรหรือเปล่า?
น้ำเสียงเย็นๆดังมาจากด้านหลัง ทำให้เท้าที่เตรียมก้าวลงจากพระอุโบสถต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ เมื่อหันกลับไปก็เห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งกำลังยืนอย่างสงบสำรวมเบื้องหน้า สายตาของท่านมองมาคล้ายกับตั้งคำถามอยู่ในที ศาปานต์ก้มลงกราบ มองเห็นชายจีวรสีกรักสะบัดพลิ้วไปตามแรงลม
หนู... เอ้อ ตั้งใจจะมาพิพิธภัณฑ์น่ะค่ะ
ถ้าเป็นที่วัดนี่ส่วนใหญ่จะมีแต่องค์พระพุทธรูปเก่าๆเสียมากกว่า ไม่นึกว่าเด็กสมัยนี้จะให้ความสนใจ
น้ำเสียงแฝงด้วยความปรานีนั้นทำให้หล่อนกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นตอบตรงๆด้วยความนอบน้อม
เปล่าหรอกค่ะ หนูตั้งใจจะมาชมติกาหลังปัตราอีกครั้งเท่านั้น
ติกาหลังปัตรา?
คราวนี้พระภิกษุชราถึงกับนิ่วหน้าเล็กน้อย เหมือนไม่แน่ใจในคำพูดของอีกฝ่าย
แม่หนูกำลังเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า? อาตมาแน่ใจว่าในพิพิธภัณฑ์ของที่วัดแก้ว ไม่มีสิ่งที่หนูเรียกว่าติกาหลังปัตราเด็ดขาด ส่วนใหญ่ในพิพิธภัณฑ์ของวัด จะเป็นพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ วัตถุมงคล และจำพวกข้าวของเครื่องใช้ที่บอกความเป็นมาของจังหวัดเสียมากกว่า
ท่านหยุดนิ่งเหมือนครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นจึงพยักหน้าให้หล่อนเดินตามมายังส่วนพิพิธภัณฑ์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของบริเวณอันกว้างขวางของวัดแก้วแห่งนี้ อาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่หล่อนได้เห็นในวันนี้ทำให้ศาปานต์ต้องขยี้นัยน์ตาอีกครั้ง มันแทบมิใช่สถานที่ๆหล่อนได้พลัดเดินเข้าไปและพบกับคุณสิงหบดีภายในนั้นเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญหาได้มีสิ่งที่เรียกว่า ติกาหลังปัตราอีกด้วย
ภิกษุชราท่าทางเหมือนจะเข้าใจต่ออากัปกิริยางุนงงของเด็กสาว ท่านจึงเอ่ยคล้ายปลอบประโลมให้คลายกังวล
แม่หนูคงจะเคยเห็นจากที่อื่นก็เป็นไปได้นะ เมืองกระบี่ มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งอยู่เหมือนกัน บางทีอาจจะเป็น คลองท่อมหรือ...
แสงแดดส่องทาบลงมาบนร่างอรชรที่กำลังยืนสับสนอยู่เบื้องหน้า ประกายบางอย่างจับนัยน์ตาพระภิกษุจนท่านถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ
หลวงตามีอะไรหรือเปล่าคะ?
และในความเงียบงันไปชั่วขณะของพระภิกษุชรานั้นเอง ทำให้ศาปานต์ถึงกับเฉลียวใจจนอดถามขึ้นมาไม่ได้...
**********************
ภิกษุผู้ชรารูปนั้นทอดนัยน์ตามองร่างเด็กสาวคนนั้นเดินลับออกไปจากบริเวณวัด ก่อนที่ท่านจะหันกลับแล้วเดินช้าๆด้วยท่าทางอันสงบสำรวมแห่งเพศสมณะตรงเข้าไปภายในโบสถ์หลังงาม
ท่านเองได้บวชเรียนและจำพรรษาอยู่ที่นี่มานานกว่าค่อนชีวิต ศึกษาพระธรรมวินัยและศาสตร์แห่งอิทธิวิธีจนผ่านพบทั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นปกติวิสัยในโลกธรรมแห่งมนุษย์ และเหนือยิ่งไปกว่าธรรมชาติจะพิสูจน์ได้มาพอสมควร หากนั่นก็ยังไม่เคยพบกับผู้ใดมีความประหลาดน่าพิศวงยิ่งไปกว่าแม่หนูคนนี้!!
แต่แรกบรรพชิตผู้ชราก็มิได้ติดใจสงสัยใดๆ เพียงแต่รู้สึกถึงคลื่นพลังบางอย่างอันมีสีเทาอ่อนประหลาดตาคลี่คลุมอยู่ล้อมรอบกายเด็กสาวรูปงามผู้กำลังเดินขึ้นมาภายในบริเวณวัด เป็นคลื่นพลังงานอันประหลาดอย่างที่ท่านมิอาจกำหนดรู้ได้ว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่ ตราบจนเมื่อได้มองเห็นร่างนั้นเต็มตานั้นเอง
...ในท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้าฉายกราดลงมารายรอบบริเวณสังฆมณฑล เมื่อแม่หนูนามศาปานต์ได้ก้าวผ่านเข้ามาภายในพระอุโบสถอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยฤทธิ์แห่งมหาพุทธานุภาพ อันทำให้พลังลึกลับอันแรงกล้าที่ครอบคลุมติดตามเจ้าตัวอยู่เริ่มเบาบางลงและกระจัดกระจายลอยตัวออกจากกันนั่นแหละ ท่านจึงได้มองเห็น...
ประกายแห่งรัศมีบารมีอันเจิดจรัสแผ่ซ่านออกมาจากเรือนกายของเด็กสาวผู้นั้น และด้วยญาณพิเศษที่มีอยู่ ภิกษุผู้ทรงอภิญญาสามารถบอกกับตนเองได้ทันทีว่าพลังที่แผ่พุ่งออกมาโดยที่ตาเนื้อของมนุษย์ทั่วไปมิอาจมองเห็นได้นั้นมาจากสัจจาธิษฐานบารมีที่เจ้าตัวได้สะสมต่อเนื่องกันมาหลายภพชาติ
เป็นพลังอันเกื้อหนุนและรุนแรงที่ทำให้คลื่นสีเทาพิศวงรอบกายเด็กสาวมิอาจแผ้วพานได้โดยสะดวก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยเจตนาใดทั้งในทางกุศลฤาอกุศลเจตนาก็ตาม... เด็กสาวคนนี้มีบุญบารมีปกเกล้าคุ้มกายอยู่แล้ว เป็นพลังที่เจ้าตัวสั่งสมมันมาด้วยกระแสอันเชี่ยวกรากแห่งการอธิษฐาน
จวบจนดำเนินมาถึงชาติภพนี้
และนี่เองที่นำพาให้เธอเดินทางมายังสถานที่นี้ มาสู่การตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจากผลแห่งการกระทำนั้นดำเนินมาประชุมพร้อมกันในทุกๆด้าน ด้วยวาระ ด้วยโอกาส และจังหวะสำคัญที่อาจจะบังเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว นับเนิ่นอนันตกาลจากเงื่อนเงาแห่งอดีต จวบจนต่อไปในอนาคตกาลอันเกินหยั่งถึง
ท่านถอนลมหายใจแผ่วเบาเมื่อตระหนักถึงสิ่งอันมองมิเห็นรอคอยอยู่เบื้องหน้าศาปานต์ที่มิอาจล่วงรู้ได้
โดยนัยหนึ่งนั้นย่อมหมายถึงการสละละสิ้นซึ่งแรงอธิษฐานจิตในอดีตชาติของเธอผู้นั้น แรงอธิษฐานซึ่งท่านเองก็มิอาจมีญาณหยั่งรู้จักย้อนอดีตกลับไปสัมผัสได้ถึง หากอีกนัยหนึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้บางสิ่งที่กำลังรอคอยจังหวะสำคัญนี้ได้ใช้โอกาสนั้นตามเจตนารมณ์ที่มันซ่อนเร้นอยู่เช่นเดียวกัน!!
เฉกเดียวกับนามแห่งเด็กสาวที่ได้รับมาโดยเจ้าตัวเองก็ยังมิทราบความหมาย
แม่หนูเคยรู้ความหมายของชื่อตัวเองหรือเปล่า?
นัยน์ตาแจ่มแจ๋วดุจแก้วกระจ่างวาบขึ้น เมื่อส่ายหน้าปฏิเสธ หากก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
หนูเองก็ไม่ทราบความหมายหรอกค่ะหลวงตา แต่แม่เคยบอกว่า ตอนหนูเกิดมา มีพระรูปหนึ่งที่แม่เคารพศรัทธา ท่านได้กรุณาตั้งชื่อนี้ให้ แล้วท่านก็บอกกับแม่แต่เพียงว่าต้องให้หนูใช้ชื่อนี้เท่านั้นจึงจะเป็นมงคลกับตัวเอง และมันก็พอดีคล้องจองกับชื่อของพี่สาวหนูด้วยค่ะ... ปรมา-ศาปานต์ ท่านมิได้ตอบกลับไป แต่รู้ได้เป็นอย่างดี นามศาปานต์... ย่อมคือที่สุดฤาสิ้นสุดแห่งคำสาป
สาปแห่งการพิษฐาน!!
ด้วยความห่วงกังวลแม้ว่าจะมองเห็นถึงความเป็นไปแห่งสัตว์โลกที่ย่อมเป็นไปตามกรรมก็ตาม ท่านจึงเรียกศาปานต์เข้ามาแล้วมอบองค์พระให้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าประหลาดใจไปบ้างก็ตามแต่ก็ยอมรับมาแต่โดยดี
หลวงตามอบให้แม่หนูก็เพราะ พระเป็นเครื่องหมายของความดี เราแขวนพระก็เพื่อให้คอยระลึกตรึกตนอยู่เสมอ เตือนใจให้เรามุ่งตรงไปสู่การกระทำความดี ละเว้นความชั่ว ละเว้นทิษฐิ หรือความผูกพยาบาททั้งปวง และสุดท้ายคือการให้อภัยในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
เด็กสาวก้มลงกราบอย่างนอบน้อม และรับองค์พระพร้อมสายสร้อยมาสวมไว้กับตัว ก่อนจะกลับออกไป ท่านมองเห็นแววแห่งความประหลาดใจแกมสงสัยปรากฏอยู่กลางนัยน์ตาคู่งามนั้น แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เอ่ยปากถามใดๆก็ตาม
แล้วแม่หนูจะเข้าใจ... เมื่อเวลานั้นมาถึง เวลาที่แม่หนูจะต้อง... เลือก!
บรรพชิตผู้ทรงภูมิธรรมตรึกอยู่เพียงในใจ แม้กระนั้นด้วยญาณวิถีท่านก็ยังมองเห็นกลุ่มคลื่นพลังงานสีเทาทะมึนเริ่มหวนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อร่างนั้นก้าวผ่านพ้นเขตพัทธสีมาของวัดแก้วโกรวารามออกไป!
**********************
นายหัวฉัตร กำลังยืนนิ่งอยู่หน้าบานกระจกภายในห้องนอนส่วนตัวอันกว้างขวางและโอฬาร หนุ่มใหญ่หยิบเสื้อบาจูเนื้อตาดระกำไหมแขนยาวสีน้ำเงินเข้มทอแทรกด้วยด้ายดิ้นทองประดับประดาด้วยลายปักลวดลายงดงามในสไตล์ชวาขึ้นมาสวมทับเสื้อตัวในสีเดียวกัน เขานุ่งเซอร์วะห์หรือกางเกงโดยสวมโสร่งปาเต๊ะทับไว้ด้านนอก
ภาพที่สะท้อนร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าจึงแทบไม่ต่างกับมหาราชาหรือองค์สุลต่านแห่งแคว้นใดแคว้นหนึ่งในคาบสมุทรมลายูเลยทีเดียว นายหัวชิงฉัตรยิ้มน้อยๆให้กับภาพสะท้อนในบานกระจกก่อนจะหยิบผ้าซองเก็ตซึ่งทำจากเส้นไหมสีเงินทอทับด้วยด้ายโลหะขึ้นลายงดงามแทบไม่ต่างกับผ้าปักเนื้อดีขึ้นมาโพกทับศีรษะเป็นลำดับสุดท้าย ลวดลายปารัง รูสัค บาร็อง หรือลายดาบหัก ที่เป็นการเขียนลวดลายต่อเนื่องกันไปเป็นแนวแทยงมุมคือลายพิเศษแห่งศิลปะราชสำนักชวาโดยเฉพาะ
งานในคืนนี้นอกจากจะเป็นงานเลี้ยงฉลองแซยิดโกยอดหรือนายหัวยอดธงแล้ว ก็จะมีเฉพาะแขกวีไอพีเท่านั้นที่จะมีเกียรติได้รับเชิญให้ขึ้นไปร่วมงานแฟนซีบนเรือสำราญพิเศษที่เตรียมขึ้นสำหรับงานนี้ในเวลาสองทุ่มตรง
และในฐานะโต้โผใหญ่ ชิงฉัตรคิดว่าชุดใดก็คงจะไม่เหมาะกับ ชุดสุลต่านผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาได้เตรียมขึ้นไว้พอดี นายหัวหนุ่มใหญ่ตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้ต้องเดินกลับไปยังลิ้นชักพิเศษที่ทำขึ้นอย่างจำเพาะ แล้วไขกุญแจเปิดออก กล่องเงินบรรจุกริชด้ามนั้นปรากฏขึ้น แสงสีเงินยวงของมันสะท้อนปลาบนัยน์ตาและมีพลังดึงดูดบางอย่างทำให้ต้องหยิบมันขึ้นมา กดปุ่มถอดสลักกลเพื่อหยิบด้ามกริชมาไว้ในกำมือ
...กระแสความเย็นยะเยียบแผ่ซ่านจากปลายนิ้วลงมายังอุ้งมือที่กำเอาไว้แนบแน่นอย่างน่าประหลาด ลายคดกริชที่บิดไปมาคล้ายกวักเชิญชวนให้เขานำมันติดไปด้วยจนไม่อาจห้ามใจไว้ได้ ชิงฉัตรหยิบด้ามกริชกระชับมั่นมือแล้วเหน็บไว้ยังชายผ้าด้านหลังตามธรรมเนียมชวา ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เขาพร้อมแล้วสำหรับงานสำคัญในราตรีนี้...
********************
ยายสิ ตกลงเธอจะไม่ไปเป็นเพื่อนฉันเลยหรือไง ใจคอจะให้ไปกับ... เอ้อ...
ศาปานต์เอ่ยอุทธรณ์เสียงอ่อยกับเพื่อนสาวที่เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธลูกเดียว ส่วนพ่อตัวต้นเหตุก็ทำหน้าขรึมนิ่งไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับไม่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหล่อนไปเสียงั้น
ให้ตายเหอะ! อีตาผู้กองหน้าเข้มคนนี้บทจะกวนประสาทขึ้นมาก็ทำได้เนียนไม่แพ้ใครเลยจริงๆ
ฉันไปไม่ไหวเลยจริงๆนะป่านจ๋า เธอเองก็เห็นอยู่นี่ ยังไมหายไข้เลย
ว่าแล้วสิชลก็ออกอาการจามฟิดๆพร้อมสั่งน้ำมูกอีกพรวดเพื่อให้เป็นหลักฐาน จนหล่อนต้องยอมจำนน ใครจะไปนึกว่าจู่ๆพระแสงจะเอาบัตรเชิญพิเศษมายื่นให้กับหล่อนพร้อมคำกำชับกำชาราวกับเป็นคำสั่งเสียมากกว่าการเชื้อเชิญ
คุณต้องไปงานนี้นะป่าน ต้องไป
ว่าอะไรนะ ต้องไป?
หล่อนเผลอร้องอุทานเสียงหลง พี่น้องคู่นี้ช่างแสบสันต์พอๆกันดีแท้ ปกติหล่อนก็ไม่ชอบให้ใครมาสั่งการ ทำท่าวางอำนาจอยู่แล้ว โดยเฉพาะนายตำรวจขี้เก็กจอมเผด็จการคนนี้
แม้ว่าเขาจะมีบุญคุณช่วยเหลือชีวิตจากเหตุการณ์ในวันก่อนอยู่ก็ตาม แต่ก็พยายามลืมๆไปก่อน ด้วยอารมณ์หมั่นใส้ที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนเอาชนะได้สำเร็จ ศาปานต์เอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว จนท่านผู้กองต้องมาพูดเบาๆข้างหู
หรือคุณไม่อยากจะสืบเกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณปรมากันแน่? งานนี้ได้ข่าวว่าโกฉัตรจัดงานให้นายหัวยอดธงอย่างอลังการงานสร้างเลยนะครับ อุตส่าห์เชิญแขกคนสำคัญของเมืองกระบี่มาเกือบทั้งเมือง โดยเฉพาะนายสิงหบดี ปกาพงศ์ นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อที่คุณสนใจอยู่ รายนั้นก็คงจะมาแน่ๆ เพราะเห็นโกฉัตรพยายามสืบหาประวัติของเจ้าตัวอยู่ด้วยนี่นะ?
จากข้อมูลที่พระแสงสืบรู้มา ชิงฉัตรกำลังเพ่งเล็งความสนใจไปยังชื่อของชายหนุ่มนักธุรกิจผู้นั้นเป็นอย่างมากจนเกินปกติ และด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้ท้ายเสียงของเขาก็คล้ายจะประชดอยู่ในที จนศาปานต์อดรู้สึกหมั่นใส้อีกฝ่ายไม่ได้ ใช่! ฉันสนใจเขาอย่จริงๆนั่นแหละค่ะคุณผู้กอง คิดถึ๊งคิดถึงเหลือเกิน... แถมยังอยากจะสัมผัสเนื้อตัวดูสักที จะได้รู้ว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ปอมั่ง
ตอบออกไปอย่างประชดประชันไม่แพ้กัน แล้วก็นึกขึ้นมาได้เช่นเดียวกันว่า หล่อนยังไม่เคยใช้ประสาทสัมผัสพิเศษกับชายหนุ่มปริศนาคนนั้นเลยสักครั้งเดียว ทั้งที่เขาเป็นคนที่น่าสนใจมากที่สุดคนหนึ่ง เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับพี่ปอดูสักที
และสัมผัสพิเศษที่ได้มาพร้อมกับกลิ่นดอกการะบุหนิง จะยังคงปรากฏอยู่ตลอดไปหรือไม่ ศาปานต์ก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน
ป่าน...
คราวนี้กลายเป็นนายตำรวจหนุ่มที่เสียงอ่อนลง นัยน์ตาเข้มๆของเขายังทอดมองมาที่หล่อนแน่วนิ่ง ครุ่นคิด จนทำให้อารมณ์หมั่นใส้แต่แรกเริ่มลดลง รู้ว่าเขากำลังคิดถึงการสืบหาพี่สาวหล่อนที่หายตัวไปและเอกนรินทร์ อยู่ด้วย
ผมเชื่อในเรื่องสัมผัสพิเศษของคุณนะ นอกจากการสืบหาคุณปรมาแล้ว ผมยังเชื่ออีกด้วยว่าด้วยสัมผัสพิเศษนี้แหละ ที่จะพิสูจน์ว่าคนบงการฆ่าผู้กององอาจเป็นใครกันแน่
แต่ป่าน...
ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ รถคันหนึ่งก็แล่นมาจอดอย่างนุ่มนวลที่หน้าบ้านพัก พร้อมกับคนขับรถวัยรุ่นหนุ่มก้าวลงมา พระแสงขมวดคิ้วด้วยสัญชาตญาณ เขาจำได้ว่าไอ้หมอนั่นเป็นสารถีประจำตัวคนหนึ่งของนายหัวชิงฉัตร ธารานพรัตน์...
เด็กหนุ่มถือกล่องกระดาษขนาดใหญ่ไว้ในอ้อมแขนจนแทบโอบไม่มิด แล้วก้าวเดินตรงเข้ามาในเขตบ้านของเขาโดยไม่สนใจแม้แต่จะทักทายเจ้าของบ้านตัวจริงสักคำ แต่ตรงเข้ามหยุดยืนอยู่หน้าศาปานต์ด้วยท่าทางนอบน้อม มันก้มกายลงโค้งคำนับที่หญิงสาวเฉพาะเป็นพิเศษ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่พยายามทำให้สุภาพที่สุด
นายหัวส่งของขวัญมาให้คุณศาปานต์ครับ ท่านบอกว่าสำหรับให้คุณได้ใช้ในงานคืนนี้
คราวนี้คนที่เป็นฝ่ายงุนงงคือหล่อนเสียเอง ศาปานต์เผลอยกมือชี้กลับเข้าหาตัวเองด้วยความไม่แน่ใจ และเด็กหนุ่มสารถีของโกฉัตรก็พยักหน้ารับจนเห็นฟันขาวตัดกับใบหน้าเสี้ยมคล้ำจัด
เมื่อยื่นของมาให้หล่อนรับแล้ว เจ้านั่นก็รีบกลับออกไปทันที โดยปล่อยให้สองหนุ่มสาวยืนนิ่งงันกันอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ศาปานต์เป็นคนแรกที่ค่อยๆบรรจงแกะกล่องกระดาษออกจากกันด้วยความสงสัยมากกว่าความดีใจ และเมื่อนั้นเองอาภรณ์ชุดหรูหราบ่งราคาอันแพงระยับที่หล่อนเพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิตก็เผยหน้าตาของมันออกมา
*********************
รสลิน ธารานพรัตน์ยืนพิงระเบียงหินอ่อนที่สร้างอย่ริมหาดทรายส่วนตัวในบริเวณคฤหาสน์อันกว้างใหญ่ของยอดธงหรือโกยอด เสียงคลื่นระลอกน้อยๆซํดสาดกระทบผืนทรายไม่ต่างกับเพลงบรรเลงแห่งธรรมชาติ เจ้าตัวบรรจงจิบเหล้าไวน์สีชมพูในแก้วใสใบโตอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
วันนี้น้องสาวคนเดียวของโกฉัตรอยู่ในชุดราตรีเกาะอกสีแดงเพลิง ด้านหลังคว้านลึกลงแทบจรดปลายสะโพกผายได้รูปสีของเนื้อผ้าชีฟองอันเบาบางยิ่งช่วยขับผิวขาวเนียนละเอียดให้ผุดผาดโดดเด่นเหนือกว่าใครในงาน จนหญิงสาวคนอื่นๆที่มาร่วมงานต้องลอบปรายตามองด้วยความทึ่งแกมริษยา
ใช่! รสลินมองเห็นประกายริษยาในดวงตาของบรรดาสตรีเพศเหล่านั้น ด้วยความภาคภูมิใจยิ่งนัก แน่นอนในเมื่อหล่อนเองเป็นถึงน้องสาวคนเดียวของนายหัวใหญ่แห่งเมืองกระบี่ ผู้มีอิทธิพลและเงินตรา ไม่รวมทั้งความสวยบาดตาบาดใจไม่แพ้ใคร แม้ว่าอายุอานามจะล่วงเลยเกินกว่าวัยกำดัดดรุณีไปแล้วก็ตามที เห็นจะมีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ริอ่านจะทำตัวเป็นคู่แข่งอย่างออกหน้าออกตาโดยเฉพาะ
นังซิ้วหลี! หรือยอดมณี ทับคีรี ลูกสาวคนสวยของโกยอดนั่นเอง!
จริงๆแล้วทั้งซิ้วหลีและหล่อนก็เป็นเพื่อนร่วมเรียนมัธยมมาเหมือนกันนั่นแหละ อีกฝ่ายชอบทำตัวเย่อหยิ่งจองหองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถือตัวว่ามีพ่อรวยเป็นคนดังมีอิทธิพลของจังหวัด สมัยนั้นโกฉัตรยังเป็นเพียงตังเกหนุ่มน้อยที่ไม่มีฐานะทัดเทียมใคร หล่อนยังจำสายตาดูถูกดูแคลนของยอดมณีได้เป็นอย่างดี
แต่ใครจะไปนึกว่าเพียงไม่นานให้หลัง เมื่อโกฉัตรสามารถทำธุรกิจปาล์มน้ำมันและกว้านซื้อที่ทางขยับขยายได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีฐานะหน้าตาในสังคม ชีวิตของหล่อนและซิ้วหลีจะต้องโคจรมาพานพบกันอีกครั้ง ทั้งในงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานสังคมทั่วไปในจังหวัดแห่งนี้
แม้จะรู้สึกเขม่นไปบ้าง แต่อย่างน้อยที่สุดหล่อนก็ยังไม่ถือว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหัวใจสักเท่าไรนัก เพราะนังซิ้วหลีเองก็ใช่ว่าจะหน้าตาสะสวยพอจะมาแข่งขันประชันความงามกับหล่อนได้
ลูกสาวคนโปรดของยอดธงเป็นหญิงสาวเชื้อสายจีนที่ได้รับผิวพรรณขาวจั๊วมาจากบรรพบุรุษ แต่ก็มีใบหน้ากลมๆแป้นๆนัยน์ตาเรียวจนเรียกได้ว่า ตาตี่ มองไปแล้วก็ช่างจืดชืดเสียยิ่งกว่าแกงจืด แถมมีสามีเป็นตัวเป็นตนไปแล้วอีกด้วย คงไม่มีทางคิดมาแย่งผู้กองรูปหล่อไปจากหล่อนได้ นอกจากจะแข่งกันเป็นจุดเด่นในงานเสียมากกว่า...
เพียงแต่ในวันนี้นังซิ้วหลีที่ปกติหน้าตามันย่องวุ่นวายอยู่กับธุรกิจของครอบครัวตลอดเวลา กลับมาในชุดหรูหราปักด้วยขนนกยูงแพรวพราวไปทั้งตัวราวกับกำลังจะรำแพนหางอวด ตัวผู้ทั้งหลายในงาน คอยเรียกความสนใจกับความหรูหราอลังการ... รสลินนึกอย่างหมั่นไส้เล็กน้อย ก่อนจะพยายามข่มใจนึกว่าคงจะเทียบหล่อนไม่ติดแน่นอน ในเมื่อชุดเหล่านั้นหาได้เสริมส่งส่วนโค้งเว้าของเรือนกายให้โดดเด่นขึ้นมาเหมือนกับชุดราตรีที่หล่อนกำลังสวมอยู่นี้ไม่!
หล่อนทอดสายตาข้ามแผ่นน้ำสีครามยามอสดง เห็นเรือสำราญลำหรู บลูแซฟไฟร์ หรือ มณีไพลินทอดตัวนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้านี้เองโดยมีทุ่นเทียบเรือขนาดยาวถูกนำมาวางเรียงเป็นเหมือนสะพานลอยน้ำ เพื่อให้บรรดาแขกวีไอพีของเจ้าของบ้านเดินขึ้นไปโดยสะดวก ในขณะที่แขกอีกส่วนหนึ่งก็กำลังเพลิดเพลินอยู่กับอาหารบุฟเฟต์อย่างดีที่บริการเสริฟชนิดไม่อั้น
เสียงดนตรีจากวงดนตรีบนเวทีในสวนกลางคฤหาสน์โกยอดกำลังบรรเลงเพลงอ่อนหวานประทับใจ ทว่ารสลินกลับมิได้สนใจใดๆ ตอนนี้หัวใจของหล่อนกำลังจดจ่ออยู่แต่กำหนดการภายหลังการกล่าวปราศรัยของโกยอด เพราะโปรแกรมนั้นจะเป็นการนำแขกวีไอพีกลุ่มสำคัญขึ้นไปล่องเรือเลียบอ่าวชายทะเลกระบี่ยามราตรี โดยบลูแซฟไฟร์ที่จอดเทียบท่ารอคอยอยู่แล้ว
และถัดหลังจากนั้นอีกไม่นาน แผนการ เผด็จศึก ผู้กองหนุ่มเจ้าหัวใจก็จะเริ่มต้นขึ้น ในห้องพักใดห้องหนึ่งภายในเรือสำราญขนาดใหญ่ลำนั้น ตามที่โกฉัตรติดต่อจองห้องพักเตรียมเอาไว้ให้แล้ว!!
โดยเฉพาะถ้าให้นังเด็กป่านมารหัวใจของหล่อนนั่นแหละได้มาเป็นประจักษ์พยานเสียด้วยเลย ก็จะเป็นการตัดความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้ขาดสะบั้นไปพร้อมกันเลยในคราวเดียว!!
แว่วเสียงโกฉัตรกำลังเอ่ยอยู่ในระยะไกล ก่อนที่จะกล่าวเชื้อเชิญนายหัวยอดธงให้ก้าวขึ้นมาบนเวทีร่วมกัน เสียงปรบมือต้อนรับดังก้องเมื่อชายสูงวัยบุคลิกภูมิฐานอย่างยอดธงก้าวขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่าด้วยมาดเจ้าของงานเคียงกับ สปอนเซอร์คนสำคัญ โดยมีสมุนเอกกาวีและราไวย์ยืนขนาบข้างกาย ภาพที่หายากยิ่งในครั้งนี้ถูกถ่ายโดยบรรดาช่างภาพที่ต่างก็กดรัวชัตเตอร์กันกระหน่ำมือ
งานนี้รัศมีของพยัคฆ์หนุ่มใหญ่และสิงห์เฒ่าเจ้าถิ่นหาได้กินกันลงไม่ รสลินเบนสายตากลับไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าตามเดิมพลางลอบถอนหายใจ หล่อนเองเบื่อเรื่องการเมืองน้ำเน่าพวกนี้เต็มทน ไม่เคยแม้แต่จะคิดสมัครลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นในระดับใดเสียด้วยซ้ำ...
คิดอะไรอยู่หรือเปล่าครับ คุณรสลิน ธารานพรัตน์?
เสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นใกล้ตัวเสียจนทำให้น้องสาวนายหัวฉัตรถึงกับสะดุ้งน้อยๆ หล่อนหันกลับมาแล้วก็ต้องเบิกนัยน์ตากว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนประจันอยู่เบื้องหน้า
ด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยอัธยาศัยไมตรี ใบหน้าคมคายสะดุดตาแก่สตรีเพศยิ่งนัก รสลินแน่ใจว่าหล่อนไม่เคยรู้จักเขามาก่อน และถ้าหากหัวใจของหล่อนไม่มอบให้กับผู้กองพระแสงไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะหลวมตัวเผลอใจไปกับชายหนุ่มรูปงามคนนี้ไปด้วยหรือไม่ กระนั้นหล่อนก็ยังอดไม่ได้ที่จะชม้ายตาอย่างมีจริตตอบออกไป
คุณรู้จักชื่อดิฉันด้วยหรือคะ? คุณ...เอ้อ...
ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณรสลิน ผมชื่อว่าสิงหบดี ปกาพงศ์
ชายหนุ่มในชุดแบล็คไทด์เข้ากับเรือนกายผึ่งผายโค้งศีรษะน้อมรับอย่างนุ่มนวล ในแสงสนธยาอาบไล้ลงมายิ่งทำให้หล่อนมองเห็นคล้ายผิวกายสีนวลสะอาดนั้นจะโปร่งแสงสลัวจนกลมกลืนไปกับแววตะวันที่เริ่มเจือจางไปกับเงามืดแห่งรัตติกาลอย่างประหลาด หากเมื่อกระพริบตาทุกอย่างก็กลับกลายเป็นปกติ
สิงหบดี... ชายคนนี้เองน่ะหรือ ที่โกฉัตรเคยเอ่ยถึง?
จำได้ว่า ไม่นานนี้เอง ชื่อของนักธุรกิจหนุ่มที่แสนจะทำตัวลึกลับปรากฏให้ได้ยินบ่อยหูมากขึ้นจนทำให้หล่อนอยากเห็นตัวจริงขึ้นมาตงิด
แกออกงานสังคมบ่อยๆ เคยได้ยินชื่อนี้มั๊ยอาหลิน สิงหบดี ปกาพงศ์?
ไม่เคยค่ะ ใครกันคะเฮีย ชื่อแปลกๆ?
จู่ๆโกฉัตรก็ถามโพล่งขึ้นมาเฉยๆในครั้งหนึ่ง เขาจุดบุหรี่สูบพ่นควันเป็นสายยาวออกมา
สายสืบของเฮียรายงานมาว่า ชายคนนี้ไม่ใช่ชาวไทยหรอก แท้จริงแล้วเป็นเจ้าชายจากชวา มีพระนามว่าระเด่นสิงหราปาตี ปาเดรี แห่งกุรุงปักกา
แค่นั้นหล่อนก็จดจำชื่อของเขาได้ติดปากโดยไม่ต้องท่องให้เมื่อยสมอง!
เขามาอาศัยอยู่ที่เกาะนกยูง ชื่อนี้สิที่ยิ่งทำให้พี่สนใจ ถ้ามีโอกาสทำความรู้จักไว้ก็ดีเหมือนกัน เผื่อเราจะได้มีสายสัมพันธ์ทั้งด้านธุรกิจหรืออื่นๆ
รสลินรับปาก แต่ตอนนั้นก็คิดเพียงว่าคงเป็นเจ้าชายเฒ่าสูงวัยไม่น่าสนใจอะไรเสียมากกว่า ไม่นึกว่าโอกาสที่เฮียต้องการจะมาถึงโดยไม่นึกฝันอย่างนี้ หล่อนซ่อนความดีใจเอาไว้อย่างมิดชิด ด้วยท่าทางปกติหญิงสาวก็ไม่เสียมารยาทถามออกไปโดยพลการ เรื่องแบบนี้น้องสาวโกฉัตรมี ลีลา พอสมควร เพียงแค่หันกายกลับมาเผชิญหน้าเต็มตัวอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าหวานละมุนที่สุด
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันค่ะ คุณสิงหบดี... เอ... ทำไมดิฉันจึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลยล่ะคะ? คุณทำงานอยู่ที่กระบี่นี่หรือเปล่า?
เอ่ยแล้วก็ยื่นมือออกมาทักทายตามสมัยนิยม แต่เขากลับยืนนิ่งในระยะห่างพอเหมาะและเพียงแต่ก้มศีรษะน้อยๆอย่างสุภาพต่อคำตอบรับเท่านั้น ริมฝีปากเรียวได้รูปแย้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาลึกล้ำเหมือนก้นบึ้งมหาสมุทรเรืองประกายขึ้นแวบหนึ่ง เมื่อเอ่ยออกไป
ที่นี่แหละครับ ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนเลย
เสียงที่ตอบทุ้มกังวานอย่างที่ทำให้หล่อนเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก หญิงสาวยื่นนามบัตรออกมาให้หวังเพียงจะได้รับการตอบรับจากอีกฝ่าย แต่ เจ้าชายชวาในคราบนักธุรกิจก็มิได้ยื่นมือออกไปรับ เขาเพียงแต่คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยช้าๆ
"ดูท่าทาง คุณรสลินจะมีความสุขกับการตัดสินใจมาในงานนี้นะครับ"
แม้จะไม่เข้าใจในประโยคเหล่านั้นสักเท่าใด แต่หล่อนก็ยังพยักหน้ารับโดยมารยาท
"ค่ะ ดิฉันว่าตัดสินใจไม่ผิดเลยที่มางานนี้ บรรยากาศดีมากเลยนะคะ"
สิงหบดีกลับไม่ได้ตอบคำถามกึ่งปรารภนั้น
"หวังว่าคุณคงจะเลือกตัดสินใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมาะสมถูกต้อง เหมือนทุกครั้งนะครับ คุณรสลิน" หล่อนรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเอ่ย "เตือน"อะไรบางอย่าง การตัดสินใจ? ตัดสินใจอะไรกัน? แต่วูบนั้นเมื่อมองเห็นใบหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ รสลินก็รีบปัดความคิดหวั่นระแวงนั้นทิ้งไป ในจังหวะที่สิงหบดีเอ่ยประโยคต่อมา
อ้อ... เห็นทีว่าเพื่อนชายของคุณคงจะมาแล้ว เดี๋ยวเราคงได้พบกันอีกครั้งบน มณีไพลินนะครับ คุณรสลิน
หล่อนรีบหันกลับไปตามคำทักของเขา แล้วก็เห็นร่างสูงสง่าของผู้กองหนุ่มรูปหล่อกำลังเดินควงนังเด็กหน้าสวย... มารหัวใจคนนั้นเข้ามาในงานพอดี ความรู้สึกชื่นมื่นรื่นรมย์แต่แรกมลายหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำค้างกลางแสงแดดแผดจ้ายามเที่ยงวัน เรือนร่างโสภาของศาปานต์ในชุดอลังการประหลาดตาชุดนั้น แทบจะทำให้น้องสาวนายหัวฉัตรลืมหายใจด้วยความตกตะลึงและริษยาจนปิดไม่มิด โดยเฉพาะสายตาคมกล้าของผู้กองหน่มที่เอาแต่มอง "คู่ควง"ของตนเองโดยไม่ยอมคลาดสายตาเช่นนั้น... มันทำให้มือของหล่อนเผลอกำแน่น จนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในอุ้งมือโดยไม่รู้ตัว
นังศาปานต์!!
************************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
21 เม.ย. 54 19:50:40
|
|
|
|