Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้นหัดเขียน "เช้าวันหนึ่ง" ติดต่อทีมงาน

เสียง นาฬิกาปลุกดังสนั่นหวั่นไหว มือหนาหยาบกร้านข้างหนึ่งถูกยกขึ้นและกระแทกลงบนปุ่มเหนือหัวนาฬิกาปลุก เครื่องนั้น ราวกับว่าพยายามจะทำให้มันพบกับความจุดจบของชีวิต แต่คงไม่แรงพอจึงทำได้แค่หยุดเสียงดังที่น่ารำคาญ

ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงนอนพร้อมหยิบนาฬิกาขึ้นมองเวลา 7 นาฬิกา 2 นาที ยังพอมีเวลาสุรุ่ยสุร่ายพอให้ทำกิจกรรมในยามเช้าอย่างสโลว์โมชั่นได้อีกตั้ง ชั่วโมงกว่า

ชายหนุ่มค่อยๆ คว้าแปรงสีฟัน และบรรจงบีบหลอดยาสีฟันที่แบนจนแทบจะไม่เหลือเศษซากของตัวยาที่จะช่วยขัดให้ ฟันที่ขาวขุ่นๆ นั้นขาวขึ้นมาได้ซักหน่อย ชายหนุ่มบ้วนปากก่อนหนึ่งครั้งก่อนที่จะประกบแปรงกับฟันและทำการขยี้จนเกิด ฟองขาว พร้อมๆ กับค่อยๆ ถอดเสื้อยืดตัวเก่าที่เริ่มจะไม่แน่ใจว่าเป็นสีอะไรแน่ และกางเกง ที่ใส่นอนเมื่อคืนนึ้ แล้วก้าวเข้าไปใต้ฝักบัว ค่อยๆ บิดก๊อกจนน้ำเย็นยะเยือกไหลออกมาบรรเทาความร้อนแรงของอุณหภูมิภายนอกที่สูง จนแทบทนไม่ได้ แต่ก็คงต้องทนกันไป เพราะ "ไทยแลนด์ อีส อะ ฮอท คันทรี่"

อาบน้ำเสร็จแล้ว 'ค่อยเย็นขึ้นหน่อย' ชายหนุ่มคิดเบาๆ ด้วยความกลัวว่าความร้อนจะสอดแทรกเข้ามาทำลายความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่เขากำลังได้รับในเช้าวันใหม่ ก่อนจะยื่นมือไปรูดซิปตู้พลาสติกสำเร็จรูปเพื่อหยิบเอากางเกงขายาวสีดำ และเสื้อเชิ้ตแขนขาวสีขาว ที่ยังขาวใสปิ๊งราวกับเพิ่งถอยออกมาจากร้าน

แต่งตัวเสร็จชายหนุ่มเอื้อมมือเข้าไปในตู้ใบเดิมควานหาสิ่งของบางอย่าง แต่ ไม่พบ ชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวาย รีบยื่นหน้าเข้าไปช่วยหาเหลือบมองลงไปที่พื้นตู้ 'โอ้นั่นเอง' ชายหนุ่มรำพึงในใจ แล้วก้มลงคว้าวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นมา เนคไท เขารีบพันรอบคออย่างเชี่ยวชาญ แล้วหันมองไปที่กระจกเพื่อเช็คความเที่ยงตรงของปลายเนคไท

ถุงเท้าที่ตากอยู่บนพัดลมเก่าๆ ที่มีเสียงดังตลอด และสภาพที่ราวกับจะหลุดเป็นชิ้นๆ เขาคว้าเอามาสวมใส่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาปลุกเรือนเดิม 7 นาฬิกา 25 นาที 'เหลือเฟือ' เขาคิดในใจอีกครั้ง แล้วก้าวเท้าสอดลงไปในรองเท้าคู่เก่าที่เขาขัดเสียเงาวับจนมองเห็นหน้าตัว เองได้สบายๆ

ประตูถูกเปิดออก เขาก้าวออกไปอย่างมั่นใจพร้อมแฟ้มในมือ แฟ้มที่สำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งที่เขาต่อสู้มาตลอดเพื่อให้ได้ของที่อยู่ในแฟ้มนั้น อดหลับอดนอน อดไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่เคยมีโอกาสมีแฟน และอีกหลายๆอย่าง ปริญญา สิ่งที่พ่อและแม่ พร่ำบอกเสมอว่าจะทำให้เขาได้เจริญก้าวหน้า ไม่ต้องทนดักดานเป็นกรรมกร หรือชาวไร่ชาวนา หามื้อ อดมื้อ

ป้ายรถเมล์ หน้าอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ มีคนมายืนรอรถเมล์เป็นร้อย แต่มีรถเมล์วิ่งมาชั่วโมงละคัน ยายแก่ๆ ที่นั่งขายของชิ้นละ 10 บาทเพื่อหาข้าวกินให้พอได้แม้วันละมื้อแกก็คงพอใจ แต่ไม่รู้จะหาได้หรือเปล่า เพราะตั้งแต่เริ่มมาอยู่ในอพาร์ทเม้นท์นี้ ชายหนุ่มยังไม่เคยเห็นแกขายได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว หรือแกอาจจะเดินไปขายที่อื่นต่อ ใครจะรู้ ใครจะสน

รถเมล์วิ่งมาด้วยความรวดเร็วราวรถสูตร1 แล้วเบรคตรงหน้าป้ายรถเมล์พอดดีแป๊ะ มองขึ้นไปบนรถเมล์แทบจะมองไม่เห็นช่องว่างแม้แต่มิลลิเมตรเดียวให้คนขึ้นไป แทรกได้แต่คนที่ขึ้นรถกลับสามารถเบียดเสียดแทรกตัวเข้าไปในรถเมล์ได้อย่างงด งามราวกับว่าจริงๆ แล้วรถเมล์คันนี้สามารถขยายตัวเองได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากนาซ่า

ชายหนุ่มไม่กล้าที่่จะขึ้นไปเบียดกับเขาด้วย เพราะกลัวว่าเสื้อขาวที่เรียบไร้รอยเหี่ยวย่นจะหมดสภาพ และทำให้ภารกิจที่เขาจะต้องไปปฏิบัติวันนี้ต้องพบกับความล้มเหลว เขาจึงเปลี่ยนใจจากการรอคอยเป็นออกเดินทางด้วยพาหนะทางบกที่มนุษยชาติใช้มา ตั้งแต่ยุคโครมันยอง จนถึงโลกาภิวัตน์ และข้าม Y2K มาได้อย่างปลอดภัย นั่นคือ "ขา"

ชายหนุ่มเริ่มก้าวเท้าออกเดินอย่างมั่นคงพร้อมคิดถึงคำพูดที่เคยเห็นติดบนป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ "หนทางไกลหมื่นลี้ ย่อมเริ่มด้วยก้าวแรก" เพียงแต่ว่าระยะทางที่เขาต้องเดินนั้นใกล้กว่านั้นมหาศาลนัก

แสงแดดที่สาดส่องพื้นปฐพี จนทำให้แผ่นดินร้อนระอุ ปรากฎการณ์เรือนกระจกที่กระแทกแสงยูวีให้ทะลุฝ่าชั้นบรรยากาศจนก่อให้เกิดรู มีผลทำให้มะเร็งผิวหนังเกิดขึ้นง่ายพอๆ กับผิวหยาบ

กร้าน และคล้ำแดด ชายหนุ่มกำลัเผชิญอันตรายร้ายแรงที่มีผลร้ายแรงต่อชีวิตเขา แต่ก็ต้องทนเพื่อภารกิจที่เขาต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปในวันนี้

ท้องถนนที่อัดแน่นไปด้วยรถ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถบรรทุก รถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ สิ่งที่เคลื่อนไหวมีเพียงควันจากท่อไอเสีย ที่กำลังค่อยลอยสูงขึ้นสู่เบื้องบน และคงจะตกลงมาพร้อมสายฝน ชายหนุ่มไม่สนใจ และไม่ใส่ใจ สิ่งที่อยู่ในห้วงคำนึงของเขามีเพียงเป้าหมายของภารกิจที่เขาจะต้องรีบปฏิบัติให้สำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มมองหานาฬิกาเพื่อดูเวลา เพราะนาฬิกาข้อมือที่เขาเคยมีได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเงินสดโดยความสามารถของนิ้วโป้งที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิด ไม่มี ไม่มีนาฬิกาให้ดูเวลาเลย ในใจเขาเริ่มตื่นเต้น และร้อนรน เท้าที่เคยค่อยๆ ก้าวอย่างมั่นคงเริ่มซอยถี่ขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง จากการซอยเริ่มเป็นการวิ่ง เขาเริ่มออกวิ่ง ขณะนี้ฟุตบาทที่เต็มไปด้วยของที่วางขาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวแกง ปาท่องโก๋ หวยรัฐบาล และอื่นๆอีกมากมาย กลายเป็นลู่วิ่งมาราธอน เขาเริ่มออกวิ่งอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจความร้อนของอากาศ และผู้คนที่เดินสวนมา สวนไป และของที่วางระเกะระกะ เขาวิ่ง และหลบหลีกได้อย่างช่ำชอง ราวกับได้ซ้อมมาแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง

สำเร็จแล้ว เขามายืนอยู่หน้าตึกสูงเสียดฟ้า พร้อมกับร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลิ่นกายฟุ้งกระจายด้วยความหอมฉุน แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่ในหัวสมองของเขาแม้แต่หยักเดียว เขามองเข้าไปในป้อมยาม นาฬิกาแขวนอยู่ข้างฝา เขาเหลือบมองอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มที่มุมปาก 'ยังเหลือเวลาอีกเยอะ' 8นาฬิกา 7นาที ยังพอมีเวลาให้เขาได้นั่งพัก เพื่อคลายความเหนื่อยล้า

เขาก้าวเข้าไปในตึกสูงหลังนั้น อย่างมั่นใจ และมีความสุข เพราะเป้าหมายของเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว ลิฟท์ แปดตัวพร้อมให้บริการ และมีคนรอใช้บริการเป็นร้อย แต่ไม่เป็นไรชายหนุ่มยังมีเวลาเหลือเฟือ เขานั่งลงที่เก้าเพื่อให้ลมเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศ ช่วยบรรเทาความร้อนแรงของอุณหภูมิที่เขาต้องเผชิญมาจากด้านนอก

พลันสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาเรือนมหึมาที่ถูกฝังอยู่ในฝาพนังเหนือทางเดิน 8นาฬิกา 49นาที ไม่ทันแล้ว เหลือเวลาแค่สิบนาที ให้เขาเดินทางถึงเป้าหมาย เขามองไปที่ฝูงชนที่รอขึ้นลิฟท์ แล้วรีบมองหาหนทางอื่น "บันไดหนีไฟ" เขาไม่รอช้าพุ่งตัวราวจรวดพร้อมยื่นมือออกกระแทกให้ประตูเปิดออกแล้ววิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว

ชั้น 32 พระเจ้าช่วย จะทันหรือไม่ อีกครึ่งทางเท่านั้น แต่เท้าเจ้ากรรมเริ่มล้า เพราะต้องฝืนต่อสู้กับแรงดึงดูดมหาศาลจากแม่เหล็กขนาดมหึมาที่เรียกว่า "โลก" แต่ต้องทน เขาต้องทำได้ กลั้นใจฝืนทนกระแทกเท้าลงบนขั้นบันไดอีกครั้ง 'อีกแค่ครึ่งทาง' เขาคิดในใจ

ดุจดังชายผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ประหนึ่งนีล อาร์มสตรองที่เหยียบเท้าลงบนพื้นดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ความปิติ และสุขีในหัวใจของเขา คงมีเพียงคนเหล่านั้นเท่านั้นที่เข้าใจได้

มือของเขาค่อยๆ ผลักประตูบันไดหนีไฟออก พร้อมลมหายใจถี่ยิบ ประตูเปิดออกพร้อมลมเย็นที่หอบเอาความเหนื่อนล้า และอ่อนเพลี้ยของเขาออกไปสิ้น รอยยิ้มกลับคืนสู่ริมฝีปากเขาอีกครั้ง เขา

เดินอย่างมั่นใจ พร้อมมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนเสากลางห้อง 8นาฬิกา 59นาที 'เซฟ' เขาคิดในใจ เดินไปที่สาวนางหนึ่งนั่งแต่งหน้าทาปากอย่างตั้งใจ ไม่สนใจคนรอบข้าง หรือชายหนุ่มที่ค่อยๆ เดินเข้ามา กระจกหน้าห้องที่ส่องให้เขาเห็นสภาพของตัวเอง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เนคไทที่เคยชี้ตั้งตรงสู่พื้นดิน กลับเอียงอันทำมุม 45 องศากับพื้นดินเสียแล้ว เขารีบมองหา "ห้องน้ำ" แล้วรีบทะยานพุ่งเอาตัวเองหลุบเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว จัดสภาพตัวเองให้พร้อมกับสนามรบอีกครั้ง

"ขอโทษครับ ผมมาสัมภาษณ์งานครับ" ชายหนุ่มยิ้มพร้อมเอ่ยสารภาพถึงภารกิจที่เขามาเผชิญอย่างนอบน้อม สาวน้อยน่ารักต้องขยับหน้าจากกระจกบานเล็กที่เธอกำลังปราณีตบรรจงแต่งเติมเสริมแต่งให้สวยเทียบเคียงกับเครื่องเรือนที่วางอยู่ๆ รอบๆ และตำแหน่งเลขาท่านผู้จัดการ "ผู้จัดการยังไม่มา" คำตอบห้วนๆ ไม่สมกับหน้าตา "ชื่ออะไร" เธอถาม "สมชายครับ" เสียงหัวเราะออกมาจากปากสวยๆ ของเธอ แต่เขาไม่สนใจ

ชายหนุ่มหย่อนกายลงบนโซฟาตัวยาวที่ถูกตั้งอยู่ด้านข้างของห้องทำงานรวมกับชายหนุ่ม คนอื่นๆ ที่มาอยู่ก่อนแล้ว และกำลังเดินมาจากลิฟท์อย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งเดียว แต่คนสมัครเป็นพัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มต้องมาเผชิญสนามรบแบบนี้ แม้ต้องพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง เขาก็ไม่เคยย่อท้อ

ชายหนุ่มวัยกลางคนสวมสูดหรูหรา เดินถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ ใบงามเดินออกมาจากลิฟท์คนเดียว ราวกับว่าลิฟท์ตัวนั้นที่เมื่อสักครู่ที่สมชายยืนมองคนเป็นร้อยรอมันอยู่ เป็นคนละตัวกับตัวที่

ชายวัยกลางคนคนนี้ขึ้นมา หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทุกคนยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงพร้อมประนมมือไหว้ และกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "สวัสดีครับ" ไม่เว้นแม้แต่สมชาย ชายวัยกลางคนทำแค่ยกมือขึ้นข้างหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเดินตรงเข้าห้องทำงานพร้อมบอกเลขาว่า "ขอกาแฟแก้วนึง"

หลังจากท่านเลขา นำกาแฟไปเสิร์ฟให้ท่าน ผู้จัดการแล้ว พักใหญ่ ก็เริ่มการสัมภาษณ์ทันที และ 10นาฬิกา 5นาที จบการสัมภาษณ์ ทั้งๆที่สมชายยังไม่ทันได้เข้าไปในห้อง ด้วยความสงสัย เขาเดินไปสอบถามที่เลขา คำตอบที่ได้รับช่างซ้ำซากจำเจ และน่าเบื่อหน่าย "ท่านรองฯ โทรมาบอกว่าให้รับญาติฝ่ายเมียเข้าทำงานในตำแหน่งนี้" สมชายได้แต่หัวเราะในใจแล้วเดินจากไป

ด้านนอกแดดตอนเที่ยง ที่ตะวันส่องเหนือหัวช่างร้อนแรงยิ่งกว่าไฟจากกระทะทองแดง ยังไม่ทันที่สมชายจะได้หายใจ เหงื่อก็เริ่มผุดออกมาจากในกาย แฟ้มคู่ใจยังคงอยู่ในมือ เนคไทได้เลื่อนจากคอไปแหน็บอยู่ที่กระเป๋าด้านหลังของกางเกง ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลจากตึกที่เขามาสมัครงานนัก ไม่มีคนยืนรอรถเมล์ คงเป็นโอกาสให้เขาได้นั่งบนรถเมล์อย่างสบายใจ

คุณยายที่ขายของชิ้นละ 10 บาทตรงป้ายรถเมล์หน้าอพาร์ทเม้น นั่งอยู่บนม้านั่ง มองมาที่เขาด้วยสายตาที่อ้อนวอน เขาทำได้แค่หลบสายตาเพราะในกระเป๋าเงินของเขามีเงินไม่ถึงร้อย

เขามองขึ้นไปบนฟ้า ราวกับจะหาคำตอบให้กับชีวิต แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแสงจากดวงอาทิตย์ ที่ส่องทะลุก้อนเมฆอย่างดุดัน ราวกับจะบอกว่า เรื่องของมรึง

จากคุณ : genoruth
เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 54 21:00:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com