Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
PSYCHO PRAEWDAO.....(หลอน.....แพรวดาว) ติดต่อทีมงาน

PSYCHO PRAEWDAO
======================
ชื่อเรื่อง :  หลอน……แพรวดาว
ผู้เขียน  :   PSYCHO MAN  ft.  GTW
ประเภท :  เรื่องสั้นตอนเดียวจบ
======================

นิยายเรื่องนี้เขียนเพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากชื่อ เหตุการณ์ สถานที่ วันเวลา ไปพ้องรูปพ้องเสียงซ้ำซ้อนกับท่านใด ขออภัยอย่างยิ่ง และผู้เขียนไม่มีเจตนาเช่นนั้น ไม่ว่าทุกฉากทุกตอนจะสมจริงปานใดก็ตาม

แต่กฎทุกข้อย่อมมีข้อยกเว้น

ผู้เขียนได้รับลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายจาก ดารานำ ในเรื่องนี้แล้ว
ว่าให้ดำเนินการสร้างและเผยแพร่ได้


---------------------------


“กรี๊ด..........”


เสียงร้องสุดเสียงดังมาจากห้องน้ำของบริษัท ทำให้เพื่อนๆหลายคนซึ่งอยู่ในห้องน้ำตกใจกันเป็นแถว  บางคนถือสีทาปากชะงักค้างทั้งที่ทาไปได้เพียงครึ่งปาก บางคนทำตลับแป้งหล่นเพราะความตกใจ หันไปดูหญิงสาวผู้อยู่ในชุดกระโปรงสั้นเสื้อแขนยาวสีกลีบกุหลาบลายขาวเอามือปิดหน้าร้องเสียงดังตัวสั่นระริก

“ดาว..เป็นอะไรไป”

พอได้สติ เพื่อนๆต่างมารุมล้อมซักถามด้วยความสงสัยตื่นตกใจ แพรวดาวไม่ตอบอะไรออกมาแต่ชี้มือไปยังกระจก

ทุกคนต่างคิดว่าภายในกระจกจะต้องมีภาพภูตผีปีศาจปรากฏให้เห็นหลอกหลอน กลับไม่มีภาพอันเขย่าขวัญสั่นประสาทแต่อย่างไร หลายคนอ้าปากค้างอย่างผิดหวัง

“อะไร ไม่เห็นมีอะไร”

เพื่อนๆมองตากันหน้าตาตื่น

“เธอเป็นอะไรไป ยัยดาว”

หญิงสาวไม่อธิบายอะไร แต่ออกจากห้องน้ำไปด้วยความรีบร้อน อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเธออยู่อย่างเงียบๆ แต่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเงาหลอนของวิญญาณร้าย

ไม่แม้แต่จะเสียเวลาเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงาน  แพรวดาวรีบออกไปจากบริษัทโดยไม่ยอมมองหน้าใคร วันนี้อยู่ดีๆ เธอก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิม จากคนสดชื่นน่ารักร่าเริงแข็งแรงอารมณ์ดี มีความเพี้ยนๆอยู่ในบุคลิกภาพแต่พองาม กลับกลายเป็นคนตื่นผวาอย่างน่าแปลกใจ

แพรวดาวย้ายมาอยู่ซิดนี่ย์เมืองจิงโจ้ได้ห้าปีแล้ว ไล่ตามความฝันและความหวังของเธออย่างไม่ย่อท้อ ช่วงแรกเธอมีโครงการจะทำฟาร์มจิงโจ้ส่งนอก โดยมีเป้าหมายตลาดใหญ่อยู่ที่เมืองไทย แต่ปรากฏว่าจิงโจ้ของเธอออกลูกเป็นไข่ ทำให้ฟาร์มจิงโจ้ล้มไม่เป็นท่า สร้างความสงสัยให้เธอจนบัดนี้และหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมจิงโจ้ของเธอจึงออกลูกเป็นไข่  บางทีอันจะเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนก็เป็นได้

หญิงสาวไม่ย่อท้อ จิงโจ้ออกไข่ก็ไข่...เธอหันมาเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ ขายข้าวแกง ขายซุป (แต่เนื่องจากเธอชอบกินมังสวิรัติ แทนที่จะทำซุปเนื้อตามกระแสนิยม เธอก็หันมาทำซุปหน่อไม้แทน)  ขายน้ำผัก และไข่เค็มเป็นหลัก โดยเอาไข่จิงโจ้มาทำ “ไข่จิงโจ้เค็ม Starlight” แต่เรื่องราวอันไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดกับเธออีกครั้งเมื่อไข่เค็มที่ทำกลายเป็นไข่ดาวไปจนหมด

สุดท้ายเธอต้องปิดร้านอาหาร ใส่กุญแจอย่างดีแล้วมาสมัครมาทำงานในบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งชานเมืองซิดนี่ย์  โดยอาศัยว่ามีจุดเด่นและความสามารถในการทำงาน คือเลียนแบบตลกดังให้เจ้านายและเพื่อน ๆ คลายเครียดเป็นประจำ เช่น เดินท่านกระยาง ทำคุณแม่ขอร้อง ทำท่ากระสือถอดหัว ฟ้อนซิ่ง เป็นต้น ทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ควรเป็นไปด้วยดีจนวันนี้

เท้าเล็กๆของเธอก้าวอย่างเร่งร้อนไปตามถนนสายเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย  เธออยากกลับบ้านโดยเร็วที่สุด

ขณะผ่านแผงลอยริมถนน ซึ่งมีร้านค้าริมทางเท้าเรียงราย หญิงสาวเคยแวะซื้ออาหารบ่อยๆ คุณป้าแม่ค้าคนคุ้นเคยเห็นลูกค้าหน้าเดิมเดินผ่านมาก็ร้องทักตามความเคยชิน

“คุณคะ ไม่ซื้อไข่พะโล้ซาลาเปาหรือคะ วันนี้ซื้อสองแถมหนึ่ง ซื้อหนึ่งแถมสอง ช่วงโปรโมชั่น”

แพรวดาวหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจแล้วลืมตาโพลงปากอ้าตาค้าง ถอยหลังกรูดจนแทบหกล้มแล้วร้องออกมาสุดเสียง

“กรี้ด!!!!!! “

คนแถวนั้นหูชาไปด้วยเสียงร้องแหลมสูงแสบแก้วหู กระจกร้านค้าบางร้านถูกคลื่นความถี่เรโซแนนซ์โซบราโน่กระแทกจนแตกกระจาย เศษแก้วระเบิดกระเด็นเกลื่อนไปทั่ว พลอยทำให้หลายคนพากันร้องอย่างตื่นตกใจไปด้วย หลายคนพอได้ยินเสียงกรีดร้องสับสนก็ถือโอกาสร้องตามไปด้วยทั้งที่ยังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร และเริ่มออกวิ่งอย่างตื่นตระหนกทั้งที่ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปทางไหน แม้แต่ขอทานขาขาดแขนขาดซึ่งนั่งขอทานแถวนั้นก็พลอยลุกขึ้นวิ่งตามไปด้วยโดยลืมตัวว่าขาขาด คลื่นความแตกตื่นกระจายไปทั่วบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

เมืองซิดนี่ย์ ถึงจะเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ไม่สำคัญอะไรมากมาย แต่ผู้คนก็อยู่ในภาวะตื่นตัวตลอดเวลาเพราะเป็นเมืองตั้งอยู่ในแนวรอยต่อของเปลือกโลก เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด และคลื่นสินามึ รวมทั้งการก่อการร้ายพลีชีพ จึงบอบบางอ่อนไหว บางครั้งผีเสื้อกระพือปีกเล็กน้อยที่กรุงเทพ อาจทำให้เกิดพายุทอร์นาโดกระหน่ำแถวซิดนี่ย์ได้ไม่ยาก

แพรวดาวล้มลุกคลุกคลาน ภาพไข่พะโล้ซาลาเปาเรียงรายลอยหมุนวนเวียนเปลี่ยนแปรรอบตัวไปมาราวห้วงแห่งฝันร้าย เคราะห์ดีว่าอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ หางตาของเธอเห็นรถเมล์ขาประจำวิ่งมาจอดป้ายใกล้ๆ กระเป๋ารถเมล์เกาะโหนราวบันใดมือเดียวอย่างชำนาญ แกว่งกล่องตั๋วรถเมล์ไปมาอย่างน่าหวาดเสียวพลางร้องเสียงดัง

“เสารีครับเพ่ เสารี”

พราวดาวมองอย่างแปลกใจ แล้วร้องอย่างไม่เชื่อว่า

“นี่มันซิดนี่ย์นะ”

ได้ผล..กระเป๋ารถเมล์สะดุ้ง มองซ้ายขวาแล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายิ้มเขินๆ อายๆ แล้วอ้อมแอ้มบอกว่า

“ขอโทษครับ ผมลืมตัวไป”

ว่าแล้ววิ่งลงมาจากรถเมล์เอามือปิดหน้าวิ่งหายไปต่อหน้าต่อตา

หญิงสาวขยี้ตาไปมา อึ้งตะลึง

ผู้คนวิ่งขึ้นรถเมล์กันอย่างแตกตื่น ใครบอกว่ารถเมล์เมืองนอกคนไม่แน่นอย่าไปเชื่อ เพราะสิ่งปรากฏต่อสายตาของแพรวดาวตอนนี้คือผู้คนทยอยไหลขึ้นไปไม่ขาดสาย แบบเดียวกับสภาพคนพากันวิ่งหนีผีลงโอ่งใบเดียวได้แบบไม่รู้จักเต็ม ซึ่งกลายเป็นมุขคลาสสิกอมตะของการวิ่งหนีผีไปแล้ว

รถเมล์คันนี้ก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าคนมากมายหลายร้อยวิ่งขึ้นไปอัดอยู่บนรถเมล์ได้อย่างไร ซึ่งไม่มีมีทางเป็นไปได้ในสภาพปกติ ความตื่นตกใจทำให้เกิดปาฏิหาริย์

แบบนี้ไม่มีทางขึ้นรถเมล์ได้

หญิงสาวหันรีหันขวาง ยิ่งผู้คนมากมายสับสนเธอยิ่งตกใจ ตอนนี้สิ่งต้องการที่สุดคือกลับบ้านเท่านั้น

บ้านคือแหล่งพำนักพักพิงสุดท้าย

เสียดายว่ารถแท็กซี่ก็ไม่ว่างเลยสักคัน ทุกคนต่างก็อยากกลับบ้าน
แต่ถึงจะมีคันว่าง ๆ หญิงสาวมองแล้วถอยหลังกรูด มองประตูรถแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างตื่นตระหนก อะไรทำให้เธอเป็นแบบนี้ เธอพยายามโบกรถสิบล้อรับจ้างแต่ไร้ผล

ดังนั้นแพรวดาวจึงเริ่มออกวิ่ง........วิ่งเพื่อหลบหนีอะไรบางอย่าง แต่คนเราจะวิ่งหนีตัวเองไปได้อย่างไร

เธอเห็นภาพตัวเองวิ่งแบบสโลว์โมชัน

ท้องฟ้าใสสวยเมฆขาวสะอาดทำให้แพรวดาววิ่งอย่างไม่รู้จักเหนื่อยอย่างเชื่องช้า ผมยาวสะบัดขึ้นลงเล่นลมเป็นละลอกคลื่น ชายกระโปรงสีสดใสเหนือเข้าเล็กน้อยพลิ้วไหวไล่เรียงรอบตัว ความตื่นเต้นตกใจทำให้เกิดพลังแฝงมหาศาลจาก Adrenaline ผ่านหมู่ตึกผู้คนมากมาย ภาพต่างๆเคลื่อนผ่านไปแช่มช้าเหมือนความฝัน ผู้คนค่อยๆหันมามอง บางคนสีหน้าแปลกใจค้างคา บางคนคลี่ยิ้มยาวนานชัดเจนเกินจริงจนน่ารำคาญ รถราผ่านไปมาแช่มช้าราวกาลเวลาโค้งยืดยาวจากการลงสู่ Singularity ของหลุมดำ

แต่อย่างไรก็ตามต่อให้สโลว์โมชันขนาดไหน เธอก็มาถึงหน้าบ้านจนได้

บ้านอันสงบสุข มีไออุ่น ความรัก ความฝัน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต บรรจุหล่อหลอมหลากหลายอยู่ในบ้าน  เป็นแหล่งหลบภัย หลบลี้หนีหน้า หลบตัวเองหรืออะไรก็ตาม หญิงสาวหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อโซมเป็นฝนซัด แต่แล้วพอมองปราดไปยังห้องรับแขกก็เข่าอ่อน

ห้องรับแขกมีโต๊ะชุดรับแขก กับเก้าอี้สี่ห้าตัวพอจะจัดงานสังสรรค์เล็กกับเพื่อนๆสนิท ในห้องไม่มีเพื่อนคนไหน แต่บนโต๊ะมีอาหารวางเรียงราย

มีขาหมูถาดใหญ่ น้ำจิ้มรสเด็ดเผ็ดสะใจ

“กรี๊ด!!”

โซบราโน่พิฆาตกรีดกึกก้องอีกแล้ว ครั้งนี้อยู่ในห้อง อำนาจแห่งการทำลายล้างยิ่งทบเท่าทวีคูณ ปลายเสียงแหลมสูงยังไม่กังวานจางหาย เสียงระเบิดพลันกึกก้องอื้ออึง แก้วหลายใบวางอยู่บนโต๊ะระเบิดเปรี้ยงกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมทั้งกรอบรูปบนฝาผนังถูกบดละเอียดเป็นผุยผงพร่างพรู หลอดไฟแตกออกเป็นประกายไฟพะเนียง

-------

แพรวดาวผวาลุกขึ้นมาจากเตียง ใจสั่น ตัวสั่น ลุกขึ้นมาเปิดไฟสว่างจ้า รู้สึกว่าหัวใจยังเต้นแรงไม่หาย เธอฝันร้าย...ฝันร้ายเหลือเกิน ภาพใบหน้าตัวเองในกระจกช่างน่ากลัวจนไม่อาจทนมอง

ฝันร้ายทำให้คอแห้งและกระหายน้ำ อากาศและบรรยากาศยามดึกแตกต่างจากเวลากลางวัน แม้ว่าจะอยู่ในบ้านตัวเองก็ตาม นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาเลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย เครื่องทำความร้อนส่งเสียงครางเบาๆ อากาศในซิดนี่ย์หนาวเย็นจนต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนา น้ำประปาจากก๊อกน้ำเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ทีวีเปิดทิ้งค้างเอาไว้ไม่มีคนดู  แว่วเสียงจากทีวีฟังไม่ได้ศัพท์

หิวน้ำ..

ถ้าจะลงไปกินก็ต้องลงไปห้องครัวชั้นล่าง หญิงสาวนึกโมโหตัวเองว่าทำไมไม่รู้จักหยิบขวดน้ำกับแก้วสักใบขึ้นมาเตรียมไว้ ความจริงไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจอะไรสักนิด การลงไปชั้นล่างเวลากลางคืนไม่ใช่เรื่องสนุก จินตนาการของคนเรามักควบคุมไม่ได้ เวลากลางคืน จินตนาการซึ่งเคยสงบเชื่องเชื่อในเวลากลางวันพอถึงกลางคืนอาจเป็นตรงกันข้าม ภูตผีปีศาจแทบสามารถกระโดดเป็นตัวเป็นตนออกมาได้จากในความคิด

แค่นึกภาพตู้เสื้อผ้าเปิดออกมาเองแล้วมีผู้หญิงหน้าซีดขาวเดินโงนเงนแกว่งไกวตาเหลือกตาค้างออกมาก็ทำให้หนาวขึ้นไปอีกแล้ว หรือภาพผู้หญิงโผล่มาจากใต้เตียงเอามือเกาะขอบตัวเอียงคอเมียงมองมาแบบเลื่อนลอยก็ทำให้ใจสั่นขึ้นมาได้

แต่แพรวดาวไม่ได้วิตกถึงเรื่องนี้

เธอกลัวขาหมูในถาดใบเขื่องบนโต๊ะรับแขก เธอรู้ว่ามันยังวางอยู่ที่นั่น

ขาหมูเป็นของน่ากิน แต่ทำไมกลายเป็นของน่ากลัว

“ไม่นะ..”  เธอกระซิบแผ่วกับตัวเอง

แล้วทันใดนั้นเอง เธอก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ หลังจากกลับมาจากบริษัท เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำข้าวโพดแก้วเดียว หิวจนใจสั่นตัวสั่น แต่ก็พยายามระงับสติอารมณ์สะกดความหิวเอาไว้อย่างลำบากยากเย็น

เธอคิดว่าเธออ้วน

เธอคิดว่ากาลก่อนเธอรูปร่างพอดี วันนี้อ้วน

แล้วความคิดของเธอก็พัฒนาเป็นว่า
กาลก่อนนี้รูปร่างอ้วน วันนี้อ้วนมากกว่า พรุ่งนี้คงอ้วนที่สุดของที่สุด ความคิดแบบนี้กระหน่ำตอกย้ำซ้ำเติมไม่ขาดสาย

“ไม่จริง”

หญิงสาวรำพึงอีกครั้งเมื่อนึกภาพตัวของเธอขยายออกอย่างไม่มีวันสิ้นสุดราวกับเป็นการขยายตัวของจักรวาลเปิด นี่มันอะไรกัน....ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมคิดน่ากลัวแบบนี้

หิว หิวน้ำ

แบบนี้นอนไม่หลับทั้งคืนแน่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำเย็นๆสักแก้วใหญ่ พอคิดว่าหิวน้ำ ความหิวกระหายน้ำก็เริ่มขยายตัวเหมือนกับบิกแบงขึ้นทันทีเหมือนกัน

ไม่ได้การ... ยังไงก็ต้องดื่มน้ำแก้วโตๆให้ได้ คิดพลางหญิงสาวในชุดนอนอ่อนนุ่มอบอุ่นสีขาวก็ก้าวลงจากเตียง มองซ้ายมองขวาเพื่อความแน่ใจซึ่งก็ไม่รู้ว่าแน่ใจเรื่องอะไร จากนั้นก็ใช้ฝีเท้าก้าวย่างเงียบกริบราวตีนแมวเดินออกจากห้องลงบันใดไปชั้นล่างอย่างระมัดระวัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าระมัดระวังอะไร

ทางเดินมีแสงไฟอ่อนๆ จากเพดาน ห้องรับแขกมีแสงไฟสลัวจากเพดานเช่นกัน ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยน่ากลัว

แต่ที่น่ากลัวคือขาหมูในถาดวางอย่างท้าทายเยือกเย็นราวกับมั่นใจในศักยภาพความอร่อยของตัวมัน ทั้งน่ากลัวและน่ากิน

มือทั้งสองข้างของหญิงสาวจับราวบันใดแน่น เหมือนกลัวว่าจะถูกอำนาจลึกลับอะไรบางอย่างดึงตัวออกไป ความจริงไม่ใช่อำนาจลึกลับอะไร หากเป็นความอยากกินนั่นเอง มันจะอร่อยแค่ไหนนะ

ไม่...เธอสลัดความคิดว่า “หิว” ออกไป แต่มันลอยหายไปได้พักเดียวก็ลอยกลับมาวนเวียนอีกพร้อมด้วยขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ห้องรับแขกอยู่ทางซ้ายมือของบันใด ห้องครัวอยู่ทางขวามือ ห้องรับแขกมีขาหมู ห้องครัวมีน้ำแก้วโตแสนอร่อยสดชื่นปราศจากไขมันและน้ำตาล..เราต้องไม่ไปทางซ้ายเด็ดขาด ทางซ้ายคือความหายนะ...อันเกิดจากขาหมูเรียบลื่นหนังกรุบกรอบยิ่งจิ้มลงน้ำจิ้มรสเด็ดเผ็ดถึงใจเข้าน้ำเข้าเนื้อขณะส่งเข้าปากเคี้ยวคงแทบละลายไหลลื่นลงไปเองได้พร้อมด้วยความซาบซ่านหวานมันเปรี้ยวเค็ม

“ช่วยด้วย...”

ร้องสุดเสียง แต่บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก็บเสียง คนข้างนอกไม่ได้ยินแน่นอน ถ้าจะมีใครสักคนได้ยินในตอนนี้ก็คงเป็นคุณแม่ซึ่งนอนอยู่ชั้นล่าง และท่านนี่เองเป็นคนทำอาหารไว้รอ

แพรวดาวพยายามจะก้าวเท้าไปทางขวาแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากราวบันใดเพราะไม่ไว้ใจตัวเองแต่ละก้าวต้องใช้กำลังใจกำลังใจสุดแสนทุ่มเทแรงกายแรงใจจนหมดสิ้น มือทั้งสองข้างสั่นระริก เล็บจิกลงไปในเนื้อไม้แน่ใจว่าถ้าปล่อยมือตัวเธอต้องวิ่งไปคว้าขาหมูใส่ปากทันที ความพยายามในการลดอาหารมาเป็นอาทิตย์คงไร้ความหมายไปในพริบตา

“ไม่เอา..ไม่กิน...”

เท้าลื่นพรืดๆๆๆ..แต่มือยังกอดราวบันใดแน่น คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกไม่กิน

วินาทีต่อมา เธอก็ได้รับรู้ถึงพลังแห่งความหิวโหยอันไม่น่าเชื่อ พลังซึ่งเชื้อเชิญเธอไปนั่งกินขาหมูให้สาแก่ใจ แม้ว่าเธอจะกอดราวบันใดไว้ได้ แต่ตัวของเธอเริ่มลอยขนานกับพื้น ปลายเท้าชี้ไปทางโต๊ะวางขาหมูราวเหล็กโดนแรงแม่เหล็กดึงดูด

ราวบันไดลั่นเปรี้ยะ...ทำท่าจะแตกหักหลุดลอยและในอึดใจต่อมามันก็แตกหักออกจริงๆ

ร่างของหญิงสาวลอยคว้างออกไปทันทีท่ามกลางเสาไม้ปลิวว่อน

“กรี๊ด……………”


แพรวดาวได้ยินเสียงร้องของตัวเอง ดาวมากมายระเบิดกระจายเต็มหน้า ทุกอย่างหมุนคว้างเป็นกังหันก่อนจะนิ่งสนิทพร้อมกับแสงไฟสว่างจ้า ไฟจากเพดาน

หลังจากนอนใจเต้นพักหนึ่งเธอก็เริ่มรู้สึกว่าเพิ่งตื่นมาจากความฝัน...

ความฝันซ้ำฝันซ้อนอันน่ากลัว ความฝันอันสยดสยอง เพียงหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องจริง

มองนาฬิกาแขวนผนัง มันบอกเวลาเลยเที่ยงคืนเล็กน้อย ท้องเริ่มหิว แต่ไม่คิดจะลงไปดื่มน้ำเหมือนในความฝัน

เหมือนก๊อกน้ำปิดไม่สนิท มีเสียงน้ำหยดลงพื้นเป็นระยะในห้องน้ำซึ่งอยู่ห้องข้างๆถัดไป  ทำให้รู้สึกหิวน้ำกลางดึกขึ้นมาแบบเดียวกับในความฝันไม่มีผิด แต่เมื่อนึกขาหมูแล้วก็ทำให้นอนตัวแข็ง ในเวลาไม่กี่วันคนเราจะอ้วนขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร หญิงสาวมองเสื้อผ้าชุดหนึ่งซึ่งแขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า คนรักของเธอซื้อชุดนี้ให้เธอเมื่อสามวันที่แล้ว วันนั้นลองสวมใส่ดูปรากฏว่ายังหลวมๆแปลกๆ

แต่เมื่อวานนี้เอง พอเธอจะใส่ไปทำงานปรากฏว่ามันคับติ้วจนใส่ไม่ได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความอ้วนสายฟ้า

อ้วน
อ้วน
อ้วน

ประโยคแบบนี้กระหน่ำเข้ามาในจิตใจเป็นพายุราวกับจะบดขยี้ให้ล่มจมดิน แต่ที่ทำให้ปางตายคือเมื่อเธอวางชุดสวยซึ่งใส่ไม่ได้ลงบนเตียงแล้วหันไปมองกระจก

ใครกัน ใบหน้าใหญ่ๆเป็นซาลาเปาแบบนั้น ไม่มีทางจะเป็นเธอไปได้...ในเวลาสองสามวันคนเราจะเปลี่ยนจากสาวหุ่นดีมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน แค่คิดตามหลักและเหตุผลมันก็ผิดอยู่แล้ว

และนั่นคือต้นเหตุของอาการจิตตกสติแตกในเวลาต่อมา

มีเสียงเคาะประตูเบาๆ หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อประตูเปิดออก คุณแม่โผล่หน้ามายิ้ม บอกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า

“ดาว...ทำไมไม่กินขาหมูล่ะ”

หญิงสาวฝืนยิ้มรีบคว้าหมอนมาบังใบหน้าตัวเองเป็นการป้องกันหน้าแล้วค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองจากหลังหมอนอย่างระมัดระวัง

“ยังไม่หิวค่ะแม่”

“งั้นแม่ยังไม่เก็บเข้าตู้เย็นนะ”

ยังไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธ คุณแม่ก็ปิดประตูแล้วเดินจากไป แพรวดาวรู้สึกโล่งใจ...ตอนนี้เธออ้วนจนไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอกแล้ว แต่อยู่ในห้องมากไปก็เริ่มกลัวว่าจะออกจากห้องไม่ได้ บางทีประตูอาจแคบเกินไป ประตูรถแท็กซี่ก็ยังมีปัญหา

แม่ก็คือแม่ผู้คอยห่วงกังวลห่วงใย เธอเข้าใจข้อนี้ดี แต่ที่ไม่เข้าใจคือแค่กินขาหมูคนเดียวไปสี่ขาในวันเดียว และยำไส้ตันอีกแค่สามกิโลกรัมเท่านั้น จะทำให้อ้วนได้อย่างไร

แต่แม่เธออยู่เมืองไทยไม่ใช่อยู่ที่ซิดนีย์

พอนึกขึ้นมาได้ แพรวดาวผวาขึ้นสุดตัว

เมื่อครู่นี้มันอะไรกัน เป็นไปได้อย่างไร คุณแม่ไม่ใช่หรือซึ่งโผล่มาคุยเมื่อครู่ แต่เธอก็แน่ใจว่าก่อนนอนล็อคแน่นหนาประตูแล้ว ไม่มีทางว่าใครจะเปิดเข้ามาได้

นี่มันต้องเป็นความฝัน แม่ไม่ได้อยู่ที่นี่
ไม่ใช่เรื่องจริง..

หญิงสาวพยายามตั้งสติและเริ่มยิ้มออกมาได้ มีแต่ความฝันเท่านั้นจะมีเรื่องเหลือเชื่อผิดปกติได้ขนาดนี้ ดังนั้นในความจริงเธออาจจะไม่อ้วนก็ได้ คงกำลังหุ่นดีหรืออาจจะผอมๆก็เป็นได้ ในเมื่ออยู่ในความฝันก็ไม่เห็นจะกลัวอะไร เพราะความฝันก็คือความฝัน บางทีตอนนี้เธออาจผอมเผลอหลับอยู่บนเก้าอี้ชายหาดริมทะเลแสนงามก็เป็นได้

เสียงโทรศัพท์หัวเตียงดังขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้วและมองอย่างสงสัย ใครกันโทรมาดึกขนาดนี้
ตั้งใจว่าจะไม่รับสาย เพราะนี่เป็นเพียงความฝัน ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีผลต่อเรื่องจริง แล้วจะรับไปทำไม แต่เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่ยอมหยุด ด้วยความรำคาญจึงคลานเป็นตัวหนอนไปรับสาย

“เธอเป็นอะไรไปยัยดาว....”

ประโยคแรกของการสนทนาก็โดนเพื่อนต่อว่าทันที คนโทรมากลางดึกเป็นเพื่อนสนิทในที่ทำงาน

“ฉันเป็นอะไร”
แพรวดาวถามเนือยๆ ไม่อยากเล่นกับความฝันของตัวเองมากนัก

“อยู่ดีๆก็ร้องกรี๊ดในห้องน้ำแล้ววิ่งออกมาแบบนั้น”

“หา....ฉันทำแบบนั้นเหรอ”

คราวนี้แพรวดาวสะดุ้ง เบิกตากว้าง นั่นมันเป็นเพียงเป็นความฝันไม่ใช่หรือ แล้วเหตุการณ์เชื่อมโยงมาขณะนี้ได้อย่างไร

“เธอไปเช็ดประสาทบ้างก็ดีนะ พักนี้เธอแปลกๆ ว่าแต่เธอเห็นอะไรในห้องน้ำ”

“ฉันเห็น.....”

เสียงขาดหาย โทรศัพท์หล่นจากมือ

เธอจะบอกออกมาอย่างไรว่าเห็น “คนอ้วน” และคนๆนั่นคือตัวเธอเอง มันไม่จริง...

หรือว่าเธอตาฝาด และอาการชุดสวยๆใส่ไม่ได้เป็นอาการตัวฝาด

ทั้งตาฝาดและตัวฝาด จะทำให้เธอเป็นบ้า

นี่ต้องเป็นฝันร้าย ในห้องนั่งเล่นต้องไม่มีขาหมู คุณแม่ของเธอต้องนอนหลับสบายอยู่ที่กรุงเทพ หรือไม่ก็อาจงัวเงียขึ้นมาทำกิจวัตรเช้าเพราะเวลากรุงเทพและซิดนี่ย์มันต่างกันสามสี่ชั่วโมง ไม่มีทางว่าแม่ของเธอจะมาอยู่ที่นี่

แพรวดาวยืนหมุนอยู่ในห้องพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปยังห้องรับแขกชั้นล่าง เปิดไฟในสว่างจ้า

เห็นไหม..ไม่มีขาหมู

หญิงสาวยิ้มและหัวเราะออกมาได้ ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน หรืออาจเป็นอาการประสาทหลอนเท่านั้น อันเป็นผลจากการวิตกจริตผิดเพี้ยน

“ดาว ลุกมาทำอะไรดึกๆแบบนี้...”

เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง แพรวดาวตัวรู้สึกตัวเย็นเฉียบกะทันหัน ประสาทความคิดชาค้าง นั่นเสียงของคนแม่ พอหันไปมองก็พบว่าคุณแม่อยู่ในชุดนอนมองมาจากประตูห้องครัวอย่างแปลกใจ

“แม่...”  เธอหลุดเสียงอุทาน

“ไม่มีขาหมู..แต่มีแม่”

“อ้าว ก็แม่น่ะสิ แล้วคิดว่าใคร ลูกเป็นอะไรไปพักนี้”

“ไม่.......”

แพรวดาวร้องสุดเสียง
รู้สึกว่าตัวของเธอขยายออกเรื่อยๆ
อยากจะตื่นจากฝันร้ายนี้เหลือเกิน นี่เป็นฝันร้าย
ทำไมจะไม่รู้ว่าคุณแม่ความจริงอยู่กรุงเทพ นี่มันไม่ใช่....

ตื่น...ตื่น

แพรวดาวตัดสินใจเด็ดขาด พุ่งตัวเอาศีรษะชนกับผนังสุดแรงเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นจากฝันร้าย

แล้วโลกก็ดับวูบลง


++++

จากคุณ : GTW
เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 54 19:54:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com