Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปพิษฐาน ตอนที่ 16 ติดต่อทีมงาน

เย็นวันอาทิตย์นี้เลยขอนำตอนที่ 16 มาลงไว้ก่อนเลยนะครับ สัปดาห์หน้าพอดีผมติดธุระ ต้องเดินทางไปที่จังหวัดอุบลราชธานีครับ ในงานประชุมวิชาการของสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย แล้วอาจจะอยู่เที่ยวต่อกับลูกศิษย์สักวันสองวัน (แหะ แหะ)
อาจจะนำตอนต่อไปมาลงประมาณวันอาทิตย์ 1 พฤษภา เลยนะครับ

สำหรับ สาปพิษฐานตอนที่ 15 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10472203/W10472203.html
ขอขอบคุณกิฟต์ และคอมเมนต์จากเพื่อนรักนักอ่านทุกท่านเช่นเคยครับ

คุณโตยธาร : ขอบคุณมากเลยนะครับ ฝากติดตามต่อจนถึงบทที่ 27 บทส่งท้ายเลยนะครับ

คุณไก่ กุลธิดา : ความจริงใกล้เปิดเผยเข้ามาทุกทีแล้วครับ คนเขียนก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน ว่าเฉลยแล้วจะตรงใจกันหรือเปล่าหนอ??

คุณ มานีโอลา : ขอบคุณมากครับ ติดตามไปเรื่อยๆนะครับ ตอนนี้ก็ทิ้งปมเอาไว้อีกแล้ว... คนเขียนอดไม่ได้ซะที

คุณเรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก : ในบทนำ จะเป็น องค์ระเด่นสิงหราปาตี ที่มีรูปโฉมอัปลักษณ์ครับ ส่วนชื่อสิงหบดี จะเป็นตัวละครในภาคปัจจุบันครับ และ ทั้งสองท่านนี้... จะเป็นคนเดียวกันหรือไม่ จะเฉลยถัดจากนี้อีกไม่นานแล้วครับ

คุณ kaburapat: ขอบคุณจากใจจริงเช่นกันครับ คำชมของคนอ่านยิ่งทำให้คนเขียนชื่นใจและมีกำลังใจอย่างมากเลยครับ สำหรับสาปพิษฐานกำลังจะคลายปมไปเรื่อยๆครับ  

คุณ scottie : ขอบคุณมากครับ

ติดตามตอนที่ 16 ต่อได้เลยครับ

ตอนที่ 16  

         สายลมเย็นยะเยือกพัดปะทะใบหน้าและเรือนกายจนศาปานต์ต้องดึงผ้าคลุมไหล่ “ฮิงกี อิกัต”ผืนบางเบาที่ได้มาจากนายหัวหนุ่มใหญ่เข้ากระชับร่างอย่างลืมตัว อาภรณ์ที่สวมมานั้นราวกับถูกเลือกมาให้ใส่กับร่างของหล่อนโดยเฉพาะ แม้จะรู้สึกเก้อกระดากไปบ้างก็ตามแต่เมื่อมองเห็นกลุ่มคนในงานต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณหลากสีสันแข่งขันกันโดดเด่นเต็มไปทั้งลานแห่งนั้นแล้วจึงค่อยเบาใจลงไปบ้าง

     อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีนายตำรวจหนุ่มนั่นแหละที่ยอมแต่งมาเป็นเพื่อน แม้พระแสงจะมาในชุดผ้าม่วงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตนกระดุมห้าเม็ดแบบไทยๆราวกับเป็นขุนนางสยามในสมัยโบราณที่ไม่ค่อย “แฟนซี”สักเท่าไรก็ตาม แต่ดูไปแล้วชุดเรียบๆคลาสสิคแบบนั้นก็เข้าผมตัดสั้นรองทรงของเขาอยู่ไม่น้อย

    แต่แรกศาปานต์ก็ไม่เข้าใจในชุด “เจ้าหญิงชวา”ที่ตัวเองสวมใส่มาเลยด้วยซ้ำดีแต่ยังมีคำอธิบายวิธีการสวมอาภรณ์แต่ละชิ้นแนบมาในกล่องด้วย หญิงสาวขยับชายผ้า “กาอิน”อันเป็นผ้านุ่งลายดอก กาบายะสีครีมอ่อนที่เป็นเสื้อตัวในทับด้วย บายากุรุงอันเป็นเสื้อแขนยาวผ่าอกคาดเอวทับด้วยผ้าทอเข้าชุดกันพอดี

      “ทำไมนายหัวผู้นั้นจึงจำเพาะส่งชุดนี้มาให้เป็นของขวัญ และขอร้องแกมกำชับให้หล่อนสวมมันมาในงานนี้?”

       ศาปานต์ยังอดสงสัยมิได้ ตราบจนเมื่อได้มาเห็นนายหัวชิงฉัตรกำลังยืนปราศรัยอยู่กับยอดธงบนเวที หล่อนจึงเข้าใจเจตนาอีกฝ่ายได้ชัดเจนปราศจากข้อกังขา

      หนุ่มใหญ่ผู้นั้นเองก็อยู่ในอาภรณ์ที่แทบจะไม่แตกต่างกันกับหล่อนเลย เพียงแต่เป็นชุดของบุรุษเพศ ซ้ำสีสันของเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็กลมกลืนไปด้วยกันกับชุดของหล่อนเสียด้วย เหมือนเจ้าตัวมีเจตนาจะให้ทุกคนในงานนี้รู้ว่าต่างนัดหมายใส่ชุดนี้มาคู่กันโดยเฉพาะ

        เจ้าหญิงกับองค์สุลต่าน!!

       นึกแล้วก็ให้รู้สึกขัดเคืองขึ้นมาในใจจนแทบจะหันหลังเดินกลับออกไปจากงานนั้น นายหัวชิงฉัตรผู้นี้มาแผนสูงนัก เขาเดินเกมส์เพื่อประกาศให้ทุกคนรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา... และการแปรเจตนาผู้ร่วมงานคนอื่นให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนว่าหล่อนและเขาเป็นคู่รักกัน โดยที่หล่อนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแม้แต่น้อย

      แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ!!

       หากด้วยเหตุผลสำคัญของการมางานนี้ต่างหากที่ทำให้หญิงสาวต้องฝืนยืนคอแข็งเดินเข้างานพร้อมกับนายตำรวจหนุ่ม เมื่อหันมามองก็เห็นสายตาเข้มจัดของพระแสงจ้องเขม็งมองมาอยู่ก่อนแล้ว... นี่ก็อีกคน คงจะคิดว่าหล่อนรู้เห็นเป็นใจกับนายหัวฉัตรด้วยล่ะไม่ว่า!!

     น้องสาวของปรมาจึงเดินเชิดหน้าโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเข้มๆของคนข้างกายอีกต่อไป...

      นายหัวยอดธงกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานเสร็จสิ้นพอดี และกำลังกล่าวเปิดตัว”ว่าที่ผู้สมัครการเมืองท้องถิ่น”คนสำคัญ ให้กล่าวแนะนำตัวในงานนี้

      ชิงฉัตร ธารานพรัตน์ยืนเด่นเป็นสง่าโดยไม่มีท่าทีประหม่าใดๆทั้งสิ้น น้ำเสียงก้องกังวานโดดเด่นด้วยพลังของเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากอปรด้วยอำนาจที่สามารถกุมหัวใจผู้ฟังในที่นั้นเอาไว้ได้อยู่หมัด ทั้งจังหวะจะโคนและการเปล่งเสียงโดยไม่มีอาการประหม่า สะดุดหรือตะกุกตะกัก เหมือนคนเตรียมกล่าวปราศรัยมาเป็นอย่างดีและมั่นใจในทุกคำที่ตัวเองเอ่ยออกมา

       เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว และนายหัวหนุ่มใหญ่ก็ก้าวลงจากเวที ตรงดิ่งมาที่หล่อนและพระแสงเป็นจุดแรกเหมือนกับเล็งเอาไว้ก่อนแล้ว ศาปานต์สัมผัสแสงไฟชัตเตอร์กระพริบวูบวาบ เมื่อเขามายืนอยู่เคียงข้างหล่อนอย่างจงใจ

      “ผมดีใจที่เห็นคุณหนูป่านมาในงานนี้ด้วย วันนี้คุณสวยมาก...”

      เขาเอ่ยชมอย่างจริงใจด้วยประกายตาอันแฝงความร้อนระอุซ่อนเอาไว้ หญิงสาวถึงกับใบหน้าร้อนผ่าวมิใช่ด้วยความอุธัจเขินอาย เมื่อสัมผัสว่ามันเป็นพลังที่สื่อตรงโดยไม่อ้อมค้อมใดๆเพื่อให้รับรู้ได้โดยเฉพาะ

      และด้วยสัญชาตญาณนั้นเองก็ทำให้ศาปานต์รู้สึกว่าหล่อนควรจะถอยห่างออกมาจากชายผู้นี้ให้มากที่สุด!

      แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกอีกส่วนหนึ่งก็ท้าทายกระตุ้นเตือน... ด้วยสัมผัสพิเศษที่หล่อนคิดว่ามันยังคงมีอยู่ทำให้ศาปานต์อยากจะลองได้สัมผัสกับอีกฝ่ายให้ใกล้ชิด เพียงแค่ครั้งเดียวเพื่อ ให้รับรู้ว่าเหตุการณ์ลอบยิงที่เกิดขึ้นระหว่างทางไปงานศพผู้กององอาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุรุษผู้นี้หรือไม่?

      และทางเดียวนั้นก็คือการเข้าไปใกล้กับตัวนายหัวฉัตรให้มากที่สุดเพื่อสัมผัสถึงพลังความคิดและบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มอุ่นระอุของเขาให้ได้!!

      “เรือมณีไพลินกำลังจะเริ่มออกเดินทางแล้วครับ ผมขอเชิญเลยแล้วกันครับคุณหนูป่าน...”

     เขาหันมาเอ่ยทักทายกับนายตำรวจหนุ่มเพียงสั้นๆพอเป็นพิธี แล้วสายตาคู่นั้นก็เบนกลับไปยังหญิงสาวในชุดเคียงคู่กันเพื่อให้หล่อนก้าวตามขึ้นไป บนเชิงสะพานทุ่นขนาดยาวซึ่งทอดตัวตรงไปออกไปนอกชายหาด

     การ์ดร่างกำยำของนายหัวยอดธงและเจ้าหน้าที่บริการของเรือสำราญกำลังยืนตรวจบัตรวีไอพีอย่างขะมักเขม้นระหว่างแถวผู้มีเกียรติจำนวนหนึ่งกำลังทยอยเดินขึ้นไป

     พระแสงพยายามข่มกลั้นความรู้สึกโทสะให้กลับคืนลงไปอย่างยากเย็น เขารู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายจงใจจะหักหน้าโดยเฉพาะ และเป็นการเปิดฉาก “สงคราม”จิตวิทยาอย่างชัดเจน

      แม้จะรู้ว่าเป็นเจตนาดังกล่าวกระนั้นหัวใจของนายตำรวจหนุ่มก็ยังอดร้อนรุ่มไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะทำอย่างไรต่อไปต้นแขนแข็งแรงของเขาก็ถูกคล้องฉับเอาไว้อย่างรวดเร็วด้วยมือน่มนิ่มของใครบางคน

       แล้วจากนั้นไม่นานเสียงอ่อนหวานของรสลินก็เจื้อยแจ้วมาจากด้านหลัง ราวกับรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว

            “หลินมาแล้วค่ะผู้กองขา คอยนานไหมคะ?”

                      **************************

        ดาดฟ้าเรือสำราญมณีไพลินอันเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้เอาท์ดอร์ เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านในอาภรณ์หลากสีสันไม่ต่างกับงานแฟนซี ชุดที่สวมใส่ของแต่ละคนถ้าไม่วิจิตรพิสดารด้วยรูปทรงก็แพรวพรายไปด้วยถนิมพิมพาภรณ์ราวกับจะมาประกวดประชันกัน

       งานนี้จึงแทบไม่ต่างกับการรวมบรรดาเจ้าหญิงเจ้าชายในเทพนิยายเรื่องต่างๆมาชุมนุมพร้อมกันเสียมากกว่างานแซยิดของเจ้าภาพ เสียงสรวลเสเฮฮาหยุดไปชั่วขณะ เมื่อเรือลำใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือและพลุตะไลนับร้อยชุดก็จุดเรียงลำดับกันขึ้นไปบนผืนฟ้ายามรัตติกาล

     “เป็นภาพที่สวยมากเลยนะคะ”

       หล่อนพึมพำเมื่อนายหัวหนุ่มใหญ่ชี้ให้มองตามขึ้นไป หางตายังมองเห็นรสลินเกาะแขนผู้กองพระแสงเอาไว้แนบแน่นราวกับเถาวัลย์เหนียว นึกแล้วก็อยากจะลองทำเช่นนั้นดูบ้างเสียจริงๆอยากจะรู้ว่าอีตาผู้กองขี้เก็ก จะทำตาถลนออกมาได้สักแค่ไหน?

      ความคิดของหล่อนหยุดชะงักไปชั่วขณะ เมื่อเรือลำใหญ่เริ่มโคลงตัวเล็กน้อย จนทำให้ศาปานต์เสียหลัก ร่างอรชรจึงเอนคะมำลงมาข้างหน้าพอดี

       “คุณหนูป่าน...”

      ชิงฉัตรอุทานออกมาคำหนึ่งด้วยความตกใจ มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วไวน์รีบคว้าต้นแขนหล่อนเอาไว้ได้พอดี และนั่นเองคือสัมผัสที่หล่อนรับรู้... จังหวะที่รอคอยมาถึงแล้ว อันที่จริงหล่อนไม่ทันคาดคิดเหมือนกัน หากเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญก็ช่วยให้หล่อนตัดสินใจได้ในทันที ศาปานต์พยายามรวบรวมสมาธิมุ่งมั่นและจดจ่อกับสัมผัสจากของนายหัวหนุ่ม มันคงไม่ต่างกับการสัมผัส “วัตถุ” อย่างที่หล่อนได้ทดสอบมาแล้วกับจดหมายที่ได้มาจากมะแอ...

       ปะตาปา!!

       วูบดุจเปลวอัคนีฉายโชนขึ้นกลางนัยน์ตาแข่งกับแสงเพลิงจากพลุตะไลรอบด้าน ชื่อนั้นพลุ่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทอย่างรวดเร็วโดยมิทันตั้งตัว และร่างสูงใหญ่ของนายหัวหนุ่มก็คล้ายจะแปรเปลี่ยนสภาพเป็นอีกร่างหนึ่งที่หล่อนมองเห็นเพียงผู้เดียว...

      เรือนกายสูงใหญ่กลับอยู่ในอาภรณ์สีขาวของนักบวช เป็นร่างที่สูงวัยกว่าในปัจจุบันจนเห็นส่วนโครงสันหลังเริ่มค้อมงุ้มและผมที่รวบเป็นมวยเอาไว้ก็ขาวโพลน

      หากมีเพียงนัยน์ตากลมโตล้ำลึกนั่นต่างหากที่ยังคงประจุพลังรุนแรงเอาไว้อย่างน่าคร้ามเกรง...

    “ติกาหลังปัตราจะต้องเป็นของข้า ของข้าเท่านั้น รวมถึงตัวของเจ้าด้วย ยาหยีแห่งข้า... ติกาหลังหนึ่งหรัด เจ้าไม่มีวันหนีข้าไปได้พ้น!!”

      คล้ายเสียงคาดหมายนั้นจะกระหึ่มลั่นออกมาจากริมฝีปากหยาบหนา และร่างทั้งร่างก็โถมปรี่เข้ามาหาหล่อนด้วยพลังแห่งความพิศวาสอันหื่นกระหาย

     “ไม่!!”

      "เจ้าไม่มีวันหนีข้าได้พ้น ข้ารักเจ้า... รักแต่เพียงนางเดียวเท่านั้น ติกาหลังหนึ่งหรัด!"

      "ไม่มีวัน ไม่มีวัน!!"

       “คุณหนูป่าน...”

       ใบหน้าอันแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือมลายวับ เหลือเพียงเค้าหน้าของนายหัวฉัตรเท่านั้นที่มองตรงมาด้วยความห่วงกังวล

       "คุณหนูป่านไม่สบายหรือเปล่าครับ? ผม..."

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ป่านเพียงแต่ตกใจนิดหน่อย...”

      แสร้งตอบออกไปและเห็นสีหน้านั้นเริ่มคลายลง ความรู้สึกที่ได้จากการสัมผัสนั้นเองทำให้ศาปานต์ตระหนักชัด หล่อนมองไม่เห็นความเกี่ยวข้องใดๆเกิดขึ้นกับผู้กององอาจ

      ชิงฉัตร ธารานพรัตน์ ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนายตำรวจผู้นั้น...

        หากนั่นก็ยิ่งทำให้หล่อนพิศวงมากขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าเช่นนั้น... ใครกันเล่าที่อยู่เบื้องหลังการสังหารในครั้งนี้??
                      ************************

       ภายในห้องเก็บของชั้นล่างสุดของเรือสำราญบลูแซฟไฟร์ บังรามกำลังนอนขดตัวสั่นสะท้านอยู่ภายในห้องแคบๆเต็มไปด้วยกล่องข้าวของสัมภาระระเกะระกะที่ถูกนำมาวางทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่ามัน “ถูกพา”เข้ามาซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยฝีมืออันเหนือมนุษย์ธรรมดาของผู้เป็น “นาย”

      “ไม่ม์ม์ม์... นายท่าน ได้โปรดเถิด... ข้าไม่อยากไป ไม่อยากกกกกกกก”

       มันพล่ามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า นึกว่าทุกอย่างจบสิ้นลงแล้วเมื่อมันทำตามคำบัญชาของนายท่านผู้นั้น แต่บัดนี้ มันรับรู้ว่าบาปหลายอย่างที่ตนเองเคยก่อเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตนักเลง และเป็นลูกสมุนมือสังหารคนหนึ่งของนายหัวฉัตร นอกเหนือจากการเป็นเพียงสารถีอย่างเดียว

      บัดนี้ทุกสิ่งกำลังจะย้อนกลับมาสะสางในปัจจุบันภพนี้ มิใช่ในโลกแห่งอาคิเราะห์* ที่ห่างไกลการรับรู้ในขณะนี้

       นายท่านผู้มิใช่ "มนุษย์" ผู้นั้น กำลังจะชำระสะสางบาปของมัน รู้ดีว่าภายใต้อาณาบริเวณแคบๆแห่งนี้ไม่มีหนทางออกใดๆทั้งสิ้น หากก็ยังกู่ตะโกนราวกับต้องการจะส่งเสียงไปให้ถึง "นายท่าน"ที่ไม่ได้อยู่ภายในห้องนี้ แม้รู้ว่าต่อให้ส่งเสียงกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลือออกไปสักเพียงใด ก็หามีผู้ใดสดับหรือมองเห็นไม่

     ร้องจนหมดเสียงร้อง ลำคอแห้งผากเหมือนถูกโรยเอาไว้ด้วยผงทราย บังรามก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะหลบหนีออกไปในเมื่อทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วจากพลังอำนาจลึกลับที่น่าหวาดกลัวสูงสุดนั่น

     “ได้โปรด... โอ”

      คราวนี้ บังรามเปลี่ยนมาสวดวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อขอความเมตตา รู้ดีว่าปลายทางแห่งเรือลำนี้กำลังจะนำไปสู่ชะตากรรมสุดสยองเช่นใด...

       จากหน้าต่างกระจกเล็กๆเพียงแค่ฝ่ามือทาบลงไป สารถีวัยฉกรรจ์ของโกฉัตรมองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกลมกลืนกับสีคล้ำจัดของผืนน้ำทะเลในระดับเดียวกับสายตา ก่อนที่สีขาวขุ่นของอะไรบางอย่าง  กำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่งลอยระเรี่ยเข้าใกล้เรือลำนี้ทุกขณะ

                        **********************

      รสลินลอบมองนายตำรวจหนุ่มกระดกแก้วเหล้าลงคอแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างพึงใจ สายตาคมเข้มของเขาทอดมองไปยังระเบียงด้านฟ้าด้านนอกตลอดเวลาแม้ว่าหล่อนจะชักชวนพูดคุยอยู่ตลอดเวลาไม่นาน หญิงสาวข่มกลั้นความรู้สึกน้อยใจให้คืนกลับลงไปในเมื่อคิดถึงแผนการที่กำลังจะดำเนินมาถึงปลายทางแห่งความสำเร็จในอีกไม่นานข้างหน้า

       หล่อนปรายสายตามองตาม แล้วก็เห็นโกฉัตร กำลังทำคะแนนนำลิ่วกับหญิงสาวมารหัวใจของหล่อนคนนั้นนั่นเอง ด้วยท่าทีสนิทสนมและเอาอกเอาใจอย่างรู้ความต้องการของสตรีเพศเป็นอย่างดี รสลินลอบยิ้มน้อยๆรู้ดีว่าอีกไม่นานนักหรอก นังเด็กศาปานต์ก็จะไม่มีทางหนีรอดเงื้อมมือโกฉัตรไปได้สำเร็จเด็ดขาด นอกเหนือจากเสน่ห์ของหนุ่มใหญ่ผู้ผ่านประสบการณ์แห่งอิตถีเพศมาอย่างโชกโชนเปี่ยมแปร้แล้ว หล่อนรู้ดีว่าพี่ชายคนนี้ไม่เคยยอมแพ้ใครในสนามของความรัก!!

        ทุกอย่างช่างลงตัว สวยงาม เสียจริง หล่อนหันกลับมาเห็นผู้กองหนุ่มกำลังขบสันกรามแน่น และเวลาสำคัญของหล่อนก็ใกล้เข้ามาแล้ว... ตอนนี้เขาคงไม่สติสัมปชัญญะพอจะหวั่นระแวง สาวสวยในอาภรณ์วาบหวิวชวนพิศวาสอย่างหล่อนเป็นแน่

     “ว้าเสียดายจัง... เหล้าหมดพอดีเลยค่ะ ให้หลินไปเอามาเติมให้ผู้กองอีกแล้วกันนะคะ”

      พระแสงพยักหน้ารับช้าๆเขายังคงนิ่งขรึมและเป็นฝ่ายรับฟังหล่อนพูดอยู่เพียงฝ่ายเดียว และนี่ก็เป็นโอกาสทองแล้ว รสลินขยับกายลุกขึ้นช้าๆเดินนวยนาดตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ด้านในซึ่ง ณ ที่นั้นมีการเตรียมสถานที่จัดเป็นห้องโถงรับรองขนาดใหญ่กรณีฝนฟ้าไม่อำนวย หล่อนฮัมเพลงเบาๆในลำคออย่างครึ้มอกครึ้มใจ โดยไม่ลืมที่จะหยิบผงยาที่เตรียมไว้สำหรับภารกิจนี้ติดมือมาด้วย...

      อีกสักประเดี๋ยวเถอะ! พระแสงจะต้องจดจำหล่อนชนิดไม่มีวันลืมเลยทีเดียว!!

     และดีไม่ดี เขาอาจจะติดใจ จนลืมนังหนูป่านนั่นไปเลยก็ได้...

     หล่อนไม่ทันสังเกตว่า...  เบื้องหลังผ่านลำเรือออกไปในเกลียวคลื่นน้อยๆของผืนทะเลราบเรียบไร้มรสุม ละไอหมอกขาวจางเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ มันกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ “มณีไพลิน”เป็นเป้าหมาย โดยที่ทุกคนบนลำเรือไม่มีโอกาสรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย...

                  *********************

        “ป่านขอตัวไปล้างหน้าล้างตาหน่อยนะคะ รู้สึกมึนๆพิกล”

         ศาปานต์เอ่ยตัดบทสนทนาอย่างสุภาพ รู้ตัวว่าไม่อาจยืนอยู่บริเวณนั้นได้นานไปกว่านี้เมื่อความรู้สึกหวั่นเกรงกำลังจะปรากฏบนสีหน้าและอาจทำให้อีกฝ่ายมองเห็นรอยพิรุธ

         “ให้ผมไปส่งไหมครับ คุณหนูป่าน?”

         ชิงฉัตรรีบอาสาด้วยมาดสุภาพบุรุษผู้อารี แต่หล่อนก็รีบเอ่ยปฏิเสธ ศาปานต์ไม่รอให้นายหัวผู้นั้นเดินตามมาเมื่อเห็นแขกผู้มีเกียรติคนอื่นกำลังตรงดิ่งเข้ามาสนทนากับเขาพอดี หล่อนฉากตัวหลบออกไปได้ทันท่วงทีแล้วเดินผ่านสะพานเดินเรือไปทางด้านหลัง ตั้งใจว่าจะหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์เพียงลำพังสักพัก แม้ว่ากระแสลมเย็นจากทะเลราตรีจะพัดเข้ามาไม่ขาดสายจนรู้สึกหนาวขึ้นมาก็ตาม

        ระหว่างทางจึงมีเพียงพนักงานของมณีไพลินกำลังง่วนกับการเตรียมเครื่องดื่มและอาหารว่างกันอย่างพลุกพล่านไม่มีใครสนใจแขกคนหนึ่งที่เดินทะลุผ่านออกไปทางด้านท้ายเรืออันสงัดเงียบ หล่อนเดินมาจนสุดบริเวณด้านหลังที่มีแผงเหล็กกั้นเอาไว้ มองเห็นแสงไฟระยิบระยับของชายฝั่งแผ่นดินอยู่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

      ศาปานต์เกาะราวระเบียงพลางทอดสายตามองเวิ้งน้ำเป็นระลอกคลื่นน้อยๆยามเรือเคลื่อนตัวทิ้งห่างออกไป ใจกำลังล่องลอยไปถึงข้อมูลที่ได้รับจากนายตำรวจหนุ่ม

     เกาะนกยูงไม่เคยมีในแผนที่ของจังหวัดกระบี่ แม้ว่ามะแอจะบอกกับพระแสงว่ามันมีอยู่จริง แต่จะหมายถึงเกาะใดกันเล่าในท้องทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้? และป๊ะยีพาพี่สาวของหล่อนกับเอกนรินทร์ไปที่ใดกันแน่?

     ภาพในนิมิตนั้นทำให้หล่อนเชื่อว่าปรมายังมีชีวิตอยู่ แต่จะอยู่ที่ใดกันเล่า ทุกอย่างมืดมนจนแทบไม่เหลือความหวังอีกต่อไป หรือว่าหล่อนจะต้องเดินทางกลับ พร้อมกับคำตอบที่ว่างเปล่า?

      “พี่ปอขา... พี่อยู่ที่ไหนกัน รู้ไหมว่าป่านคิดถึงพี่เหลือเกิน...”

      “ศาปานต์...”

       เสียงเพรียกแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง หญิงสาวตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ น้ำเสียงนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สิงหบดี ปกาพงศ์!!

               **************************

     “ทุกอย่างเรียบร้อย?”

      “ครับ ผมเก็บของเอาไว้ที่ห้องใต้ท้องเรือ คิดว่าไม่มีใครลงไปที่นั่นอยู่แล้ว”

       “ดีมาก แล้วก็อย่าให้ใครจับได้ล่ะ ทุกอย่างต้องดูเหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุ”

       “ครับนาย มือชั้นนี้แล้วไม่เคยพลาด”

      ผู้ฟังส่งเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ

        “แล้วก็ช่วยสงเคราะห์... ส่งมันลงไปอยู่ใต้ทะเลนั่นแหละดีที่สุด รอจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย ทุกอย่างจะได้จบลงโดยไม่มีใครสาวมาถึงตัวได้”

     น้ำเสียงนั้นห้าวห้วนด้วยความอำมหิต และผู้รับคำสั่งก็น้อมรับอย่างสุภาพ

       “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นก็จะคืนนี้แหละที่ไอ้ผู้กองพระแสงจะต้องชะตาขาด แล้วตามไปอยู่ในนรกเหมือนกับไอ้องอาจเพื่อนของมัน!!”

                      ********************

              แสงจันทร์ส่องทาบลงมาบนร่างสูงสง่าของนักธุรกิจหนุ่มจนทำให้เห็นผิวกายเหลืองลออราวกับทาบทาด้วยทองคำ ใบหน้านั้นยังคงยิ้มน้อยๆอย่างเป็นปริศนาเหมือนเดิม แต่คราวนี้หล่อนเห็นแววบางอย่างคล้ายเจือด้วยความโศกศัลย์อย่างประหลาด...

       “คุณสิงหบดี...”

       “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี ศาปานต์...”

         “คุณกำลังจะบอกอะไรป่าน?”

         สังหรณ์บางอย่างทำให้หล่อนถามออกไปอย่างลืมตัว ศาปานต์ก้าวเข้ามาใกล้อีกฝ่ายและคราวนี้สิงหบดี ปกาพงศ์ก็มิได้ขยับกายถอยออกเหมือนพยายามจะรักษาระยะห่างเช่นเคย

     “คุณรู้... รู้เรื่องพี่ปอ รู้เรื่องของปรมา!!”

        บางอย่างในแววตาคู่นั้นทำให้หญิงสาวถึงกับตกตะลึงตัวชา นั่นรวมถึงกลิ่นดอกแก้วการะบุหนิงอันมีมนตร์ประหลาดที่ได้รับมาจากบุรุษผู้นี้นั่นเอง แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวมถึงสัมผัสพิเศษที่เกิดขึ้น บุรุษผู้นี้ก็เป็นคนอยู่เบื้องหลัง!!

       “คุณ... กรุณาตอบป่านมาเถอะค่ะคุณสิงหบดี ถ้าคุณต้องการจะช่วยป่านจริงๆ”

      สิงหบดีพยักหน้าแล้วยื่นมือออกมา ราวกับรอคอยคำถามนั้นอยู่แล้ว เขาเอ่ยออกมาช้าๆ พุ่งตรงเข้าหาประเด็นอย่างนุ่มนวล ชัดเจน ราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของหล่อน

        “นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่คุณต้องการศาปานต์? คุณต้องการสัมผัสกับตัวผมเพื่อที่จะได้ “รู้”ในสิ่งที่คุณเคยสงสัยมาโดยตลอด... และเวลานั้นมาถึงแล้ว”

         หล่อนมองนัยน์ตาคู่นั้นเหมือนไม่แน่ใจ เขาพูดตรงกับสิ่งที่หล่อนกำลังคิดและต้องการจะทำทุกอย่าง ไม่ใช่ลักษณะของการท้าทายหรือยอมจำนน แต่เป็นการสนองตอบต่อความปรารถนาของหล่อนอย่างจริงใจ...

         บางที "คำตอบ"หลายอย่าง ควรจะกระจ่างขึ้นเสียที มันอยู่ทีหล่อนเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาเสนอออกมาหรือไม่?

       และศาปานต์ก็ไม่รีรออีกต่อไป หญิงสาวประสานสายตากับชายหน่มรูปงามที่ยืนยิ้มน้อยๆอยู่เบื้องหน้าโดยมิพรั่นพรึงใดๆ พลางยื่นมือตรงไปเบื้องหน้า

       หล่อนหลับนัยน์ตาลงเพื่อกำหนดจิตให้แน่วนิ่ง ปลายนิ้วต่อปลายนิ้วแตะสัมผัสกันโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากลุ่มหมอกหนาทึบกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาถึงเรือลำนั้นพอดี พร้อมกับละไอเย็นยะเยียบก็คลี่คลุมลงมารายรอบจนปกคลุมเต็มร่างของคนทั้งสอง...

      ศาปานต์กลับมิได้สัมผัสแม้กระทั่งความเย็นเฉียบอันผิดปกติ เพราะสิ่งที่ทำให้ตกตะลึงยิ่งไปกว่าก็คือ...

        ภาพแท้จริงของบุรุษผู้นั้นพลันปรากฏในห้วงนิมิตประหลาดและทำให้หล่อนถึงกับยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนกไม่คาดฝัน

       ราวกับโลกทั้งโลกพลิกตลบลงเบื้องหน้า ณ บัดนี้

       “โอ... คุณพระช่วย! นี่มัน...”
                **************************
พบกันอีกครั้งวันแรงงานเลยนะครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 18:59:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com