20 จากฝัน
สมัยก่อน ฉันเคยคิดจะใช้ความแตกต่างของเวลาสองมิติ ไปรออยู่ที่โลกปัจจุบันเพื่อให้ปั้นเมฆโตทันฉัน แต่ว่าตอนนี้ ฉันกลับไม่อยากห่างเขาไปไหนเลยแม้แต่วันเดียว กลัวจะขาดใจตายเสียก่อน ส่วนเขาก็จะต้องทรมานกับการรอคอยอยู่ทางนี้นานถึงสี่ปี และคงคิดว่าฉันผิดสัญญาทิ้งเขาอีกเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าอาจถอดใจไม่รอฉันอีกแล้วก็ได้ ...ไม่ล่ะ แค่คิดฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว ฉันยอมให้ใครๆ มองว่าฉันเป็นนางมารหลอกกินเด็กหนุ่มดีกว่า ...สิบแปดก็สิบแปดว้า อย่างน้อยเขาก็ขยันขันแข็ง ทำงานทำการ เป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ชายอายุเท่าฉันในยุคปัจจุบันเสียอีก พวกเพื่อนๆ ฉันอายุปาเข้าไปยี่สิบกว่าแล้วยังแบมือขอเงินที่บ้านอยู่เลย หางานทำไม่ได้ก็ไปเรียนโทต่อ พ่อแม่ต้องส่งเสีย ในขณะที่ปั้นเมฆช่วยพ่อแม่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก
รู้สึกผิดก็ตรงที่ทิ้งตาทัพพีมา... ป่านนี้เขาคงคิดว่าฉันหนีตามผู้ชายไปแล้ว (จะว่าไป ฉันก็หนีตามผู้ชายจริงๆ น่ะแหละ) ไม่รู้เขาจะโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นและน้อยใจฉันที่เห็นคนอื่นดีกว่าเขาหรือเปล่าหนอ
คิดถึงรอยยิ้มอบอุ่นกับแก้มบุ๋มของเขาเหลือเกิน แต่ฉันคงต้องตัดใจ คิดเสียว่าทำบุญร่วมกันมาแค่นี้ ...เฮ่อ...แค่อยากบอกเขาว่าอย่าเป็นห่วง ฉันอยู่ทางนี้มีความสุขดี และผู้ชายที่ฉันเลือกหนีตามเขามาก็น่ารักเหลือเกิน ถ้ามีโทรศัพท์หรืออินเตอร์เนตแชทข้ามมิติได้ก็จะดีไม่น้อย
ไม่ต้องไฮเทคขนาดนั้นก็ได้ เอาแค่ส่งจดหมายได้ก็พอ
เดี๋ยวนะ! ส่งจดหมายข้ามมิติเหรอ?
อา... จริงสินะ ไทม์แคปซูล Time Capsule ไง!!
ในเมื่อฉันอยู่ในมิติอดีตก่อนหน้าที่ทัพพีน้อยจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็หมายความว่า ถ้าฉันวางจดหมายไว้ เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงสมัยปัจจุบันที่ฉันจากมา ตาทัพพีก็สามารถหยิบจดหมายไปอ่านได้ ถึงเขาไม่สามารถตอบจดหมายกลับได้ เพราะเวลาไม่สามารถไหลย้อนจากปัจจุบันมาสู่อดีต แต่อย่างน้อยฉันก็สื่อสารกับเขาได้ ถึงจะสื่อสารทางเดียวก็ยังดี... ไม่ใช่แค่จดหมายเท่านั้น แต่ฉันยังสามารถส่งสิ่งของต่างๆ ข้ามมิติไปโลกปัจจุบันได้ด้วยนี่นา
คิดได้ดังนั้น ฉันก็ดีใจจนบอกไม่ถูก รีบหาภาชนะกันน้ำที่มีความทนทานแข็งแรง สามารถฝังอยู่ในดินได้นานๆ โดยไม่เน่าไม่เปื่อย แล้วฉันก็ได้กล่องพลาสติกใส่อาหารเหมือนกล่องข้าวมงคลของปั้นเมฆ แต่กล่องนี้เป็นของแถมจากผงซักฟอกดูแข็งแรงกว่า ฉันลองเอาไปแช่น้ำแล้ว ไม่มีซึมเข้าไปในกล่องเลย ขยะพลาสติกมีปัญหาทำลายยากยังไง กล่องใบนี้ก็น่าจะทนทานอย่างงั้น
แต่แล้วความตื่นเต้นดีใจของฉันก็หายวับไปทันทีที่นึกได้ว่า ถ้าฉันขุดดินซ่อนจดหมายเอาไว้ใต้ถุนยุ้งข้าวอย่างที่คิดไว้ทีแรก แล้วตาทัพพีจะตรัสรู้มั๊ยว่า มีจดหมายจากฉันซ่อนอยู่ตรงนั้นรอเขามาอ่านถ้าฉันไม่ไปกลับไปบอกเขา
ฟ้าว่าจะให้เมฆช่วยขุดดินตรงไหนนะ? ปั้นเมฆถือจอบโผล่หน้ามาถาม ...อยากปลูกอะไรเหรอ?
ไม่ต้องแล้วล่ะ ฉันบอกเขาจ๋อยๆ
เป็นอะไรไปหือ... ไม่สบายหรือเปล่า? เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยพร้อมกับร่างสูงเคลื่อนใกล้เข้ามาโอบรอบตัวฉันจากด้านหลัง ให้ความรู้สึกเหมือนฉันเดินฝ่าลมหนาวมาแล้วได้ผ้าห่มผืนหนาที่แสนอบอุ่นคลี่คลุม
ไม่... ไม่เป็นไร
ป้าจี้คงต้องตัดใจจริงๆ เสียแล้ว ...ขอโทษนะ ทัพพีน้อย... ป้าจะเก็บทัพพีน้อยคนดีไว้ระลึกถึงในใจเสมอ
วันเวลา ผ่านไป... ผ่านไป...
นับจากค่ำคืนนั้นที่ฉันตกเป็นของเขา ก็ล่วงมาเป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว
ความรักที่ปั้นเมฆให้กับฉันและความสุขที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทำให้ฉันตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะไม่กลับโลกปัจจุบัน ถึงปั้นเมฆจะทำนาอินทรีย์ได้แล้วก็ตาม ฉันก็จะขออยู่เป็นแม่บ้านช่วยงานเขาไปจนแก่เฒ่า ไม่จากกันอีกเลยตลอดชีวิต
...จนเกือบลืมเลือน บางสิ่งบางอย่าง ไป... บางสิ่งบางอย่างที่เคยติดค้างคาใจ คำถามฉันสมควรสงสัย และปริศนาที่ยังไม่ได้รับคำเฉลย
แต่แล้ววันหนึ่ง... หลังจากที่ปั้นเมฆนำข้าวส่วนหนึ่งไปขายเอาเงินมาไว้ใช้จ่าย และเราช่วยกันทำความสะอาดส่วนที่ว่างในยุ้งจนสะอาดเอี่ยม เขาก็ชวนฉันกลับมารำลึกความหลังนอนในยุ้งข้าวอีกครั้ง
เดี๋ยวก็ต้องมาขอขมาพระแม่โพสพอีกหรอก ฉันท้วง
ไม่เป็นไรน่า เมฆเตรียมใบตองไว้ทำบายศรีแล้ว รอยยิ้มใสซื่อนั่นทำฉันอดใจไม่ไหว หยิกแก้มเขาแรงๆ หมับหนึ่ง
โอ๊ย! ล้อเล่นน่า... นอนกอดกันเฉยๆ ก็ได้ เขารีบแก้ตัว
นะจ๊ะ...นะจ๊ะ คืนเดียวเอง เมฆทนได้
ด้วยความที่ฉันเห็นว่า นอนเล่นๆ แค่คืนเดียว ขี้เกียจไปหอบที่นอนหมอนมุ้งย้ายจากบ้านมาให้ยุ่งยาก เลยบอกให้ปั้นเมฆไปปลดเปลผ้ามาผูกนอนแทน...
เมื่อฉันเห็นภาพที่เขาปีนขึ้นไปผูกเปลผ้าบนขื่อเท่านั้น... ความรู้สึกประหลาดก็วูบขึ้นมาทันที สังหรณ์เร้นลึกสั่งให้ฉันปีนขึ้นไปดู...
อา... ปมเงื่อนที่ปั้นเมฆผูกเปลผ้าเป็นแบบเดียวกับฉันผูกเปี๊ยบเลย แน่ล่ะ เพราะฉันเป็นคนสอนเขาเองนี่นา
ถ้าอย่างงั้น ก็หมายความว่า เปลผ้าที่ฉันทำขาดตอนสำรวจยุ้งข้าวหลังนี้ก่อนที่จะย้อนอดีตมานั่นก็ไม่ใช่ฉันในอดีตชาติผูก แต่เป็นปั้นเมฆผูกเอาไว้งั้นเหรอ?
จริงด้วย เพิ่งสังเกตลายผ้า... ลายเดียวกัน เพียงแต่เปลที่ฉันเคยเห็นวันนั้นเก่าซีดและฝุ่นจับจนแทบไม่มองไม่เห็น ในขณะที่เปลนี้เป็นผ้าผืนใหม่ที่ใช้แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น งั้นก็หมายความว่าเปลเดียวกัน?
แปลกจัง... เวลาผ่านไปนานขนาดนั้น ไม่มีใครปลดมันลงมาเลยหรือ? ทำไมล่ะ?
คืนนั้น...
อย่าไป... อย่าจากไปไหนอีกเลย อยู่ด้วยกัน... เสียงทุ้มนุ้มที่แสนคุ้นเคยลอยมาจากความมืดมิดมุมหนึ่งของยุ้งข้าว
ไม่ไปแล้วจ้า... ไม่ไปไหนอีก จะอยู่กับเมฆที่นี่แหละ ฉันตอบเขาตามที่ใจคิด แล้วมองหาต้นเสียงนั้น ...เมฆ...อยู่ไหนน่ะ? ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นเขา ถ้าปั้นเมฆอยู่ด้วย ยุ้งข้าวของเราไม่เคยมืดแบบนี้เลยนี่นา
อย่าจากไปไหนอีกเลย
เสียงต่ำลอยมาจากความมืด ยังคงเป็นประโยคเดิมราวกับไม่ได้ยินที่ฉันบอกสักนิด แปลกจัง ความรู้สึกนี้...เหมือนฉันเคยพบเจอเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
ปั้นเมฆ... ใจคอไม่ดีเลย ทำไมถึงมืดขนาดนี้นะ ...เมฆ... เข้าไปทำอะไรตรงนั้น ออกมาก่อนได้มั๊ย?
แล้วเขาก็ก้าวออกมาตามคำร้องขอ...
อา... ปั้นเมฆ
ทำไม... ไม่จริง! ฉันเห็นเขาแล้วยกมือขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน เหมือนกับภาพที่ฉันเห็นในวันแรกที่เข้ามาในยุ้งข้าวหลังนี้
นักรบหนุ่มโบราณที่มีธนูปักเต็มร่างคนนั้น!
แต่... ใบหน้าของเขา ใบหน้านั่น... ปั้นเมฆ!
ไม่ผิดแน่ รูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ดวงหน้าคล้ามคม กับดวงตาคู่นั้น... แววตาที่มองฉันด้วยความรักสุดหัวใจ! มีแต่เขาเท่านั้นที่มองฉันด้วยสายตาแบบนี้! นักรบหนุ่มโบราณคนนั้นก็คือปั้นเมฆนั่นเอง!!!
ฉันสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาพบว่ากำลังนอนอยู่บนเปลผ้าในยุ้งข้าวหลังเดิม ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มีปั้นเมฆนอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ พอรู้สึกว่าฉันขยับตัว เขาก็เอื้อมแขนมาโอบฉันเข้าไปกอดโดยไม่ลืมตา
ฝันหรอกเหรอเนี่ย?! ทำไมเหมือนจริงจนน่ากลัวแบบนี้นะ?
ฝันนั้น ทำให้ฉันนอนไม่หลับอีกเลย...
ยิ่งมาคิดๆ ดู... ฉันลืมนักรบหนุ่มโบราณไปได้ยังไงหนอ ทั้งๆ ที่ตอนข้ามมิติมาแรกๆ ฉันนึกว่าเขาคือคนที่ฉันตามหา... แต่พอปั้นเมฆเกิดมา ฉันก็หลงรักเจ้าเด็กน้อยคนนี้มากขึ้นๆ ทุกวัน ในหัวใจมีแต่ปั้นเมฆ ปั้นเมฆ ปั้นเมฆ จนเกือบจะจำใบหน้าของนักรบหนุ่มไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวในวันแรกซึ่งฉันกำลังขวัญเสียกลัวผีถึงขนาดวิ่งหนีสติแตกจากมา สิ่งที่จำได้ติดใจมีเพียงดวงตาของเขา...
ดวงคู่นั้นมันดวงตาของปั้นเมฆชัดๆ !
ด้วยความที่ ฉันเห็นแต่หนุ่มหน้าใสแต่งตัวตามแฟชั่นในปัจจุบันจนเคยชิน แต่ไม่เห็นหนุ่มหน้าไทยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดสีทองแดงเปลือยอกเหงื่อเกาะพราวไปทั้งตัวที่ไหนเลย นอกจากในโปสเตอร์หนังย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีธนู...อาวุธสงครามในสมัยก่อนอยู่บนร่าง เลยทำให้ฉันทึกทักเอาเองว่าเขาคือ นักรบหนุ่มโบราณ แต่ความจริง... เขาไม่ใช่นักรบที่ไหนเลย แต่เป็นชาวนาหนุ่ม...
บัดนั้น ภาพของปั้นเมฆเวลาทำงานใส่กางเกงสีดำตัวเดียวเปลือยอกเห็นมัดกล้ามแข็งแรงและหน้าท้องแบนเรียบที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก็ซ้อนกับภาพนักรบหนุ่มโบราณคนนั้นจนกลายเป็นภาพเดียวกันได้อย่างพอดี!
ทำไมก่อนหน้านี้ ฉันถึงไม่ทันคิดนะ หรือเป็นเพราะฉันเห็นปั้นเมฆตั้งแต่เด็กและเฝ้าดูเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เลยไม่เคยสังเกตว่า ทั้งหน้าตาคมเข้มของเขา ทั้งร่างกายสูงใหญ่ ช่างละม้ายกับนักรบหนุ่มโบราณคนนั้นมากขึ้นทุกทีๆ
อย่าไป... อย่าจากไปไหนอีกเลย อยู่ด้วยกัน... คำวิงวอนให้ฉันอยู่ด้วยนั่น ก็เป็นคำพูดเดียวกับปั้นเมฆ! เพียงแต่น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย ทุกข์ทรมานและ... สิ้นหวัง ต่างจากเสียงกระซิบออดอ้อนที่ฉันคุ้นเคย
หมายความว่ายังไง ปั้นเมฆตายไป แต่ดวงวิญญาณของเขาไม่ยอมจากไปไหน ยังคงสถิตอยู่ในยุ้งข้าวหลังนี้รอฉันมาในพ.ศ.2552 งั้นเหรอ? คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจฉันก็แทบหยุดเต้น
อา... แปลว่าเขาตาย
ด้วยการถูกธนูยิงใส่จนพรุนไปทั้งร่าง? แค่คิดว่าเขาต้องตายทรมานขนาดนั้น ฉันก็เจ็บปวดแทบจะขาดใจแล้ว
ไม่
ไม่จริงใช่มั๊ย?
แต่เดี๋ยวก่อนนะ... ฉันเพิ่งนึกเรื่องสำคัญกว่านั้นขึ้นมาได้ นี่มันพ.ศ.อะไรแล้ว?
2521!!!
ฉันจ้องหมึกพิมพ์สีดำตรงปีพ.ศ.บนกระดาษปฏิทินเล็กๆ ที่แขวนแอบไว้ข้างฝาจนแทบจะทะลุเป็นรู เกิดอาการสมองกลวงโบ๋เฉียบพลัน
เป็นเพราะฉันมีความสุขอยู่กับปั้นเมฆจนลืมวันเวลา อีกทั้งไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอก ไม่มีนัดหมายกับใคร จึงไม่สนใจดูปฏิทินเลย นอกจากที่ปั้นเมฆเคยเอามาให้ฉันดูครั้งหนึ่งตอนเขา 7 ขวบ ตรงกับปีพ.ศ. 2510 ซึ่งทำให้ฉันได้รู้ความจริงว่า ย้อนอดีตมาในครั้งแรกสุดก่อนปั้นเมฆจะเกิดในปีพ.ศ. 2503 ประมาณเก้าเดือน เป็นเวลาราวห้าสิบปีก่อนปัจจุบัน ไม่ใช่ยุคอดีตกาลอันไกลโพ้นหลายร้อยปีอย่างที่เข้าใจทีแรก ...ในยุคนี้ไม่มีสงครามแบบโบราณที่ทำให้ใครต้องโดนธนูยิงตายอีกแล้ว จากนั้นมา ฉันก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะค้นหานักรบหนุ่มโบราณคนนั้น และลืมเลือนเขาไปเลยจนกระทั่งคืนนี้
ความแตกต่างของเวลาสองมิติทำให้ฉันลืมนึกไปว่า เวลาในโลกอดีตนี้ผ่านไปเร็วมาก จากครั้งแรกที่ย้อนเวลามาเกือบครึ่งศตวรรษ...กลับกลายเป็นว่า ถ้านับเวลาในตอนนี้ ปีพ.ศ. 2521 ...ฉันก็ย้อนอดีตมาแค่ 31 ปีเท่านั้น!
แล้วคำถามที่น่ากลัวคำถามหนึ่งก็ปรากฎขึ้นกลางสมองของฉันราวกับก้อนเนื้อร้าย
31 ปีก่อนหน้าเวลาปัจจุบัน ก็หมายความว่า ...ถ้าฉันกับปั้นเมฆใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ จากตอนนี้ไปอีก 31 ปี ก็จะถึงปีพ.ศ. 2552 ปีที่ฉันจากมา...
ปั้นเมฆจะมีอายุ...18 ปีตอนนี้บวกอีก 31ปีข้างหน้า เท่ากับ... 49 ปี ส่วนฉันก็จะมีอายุ 22 บวก 31 เท่ากับ 53 ปี ถ้าจะนับความแตกต่างระหว่างเวลาสองมิติที่ฉันข้ามไปมา ทำให้ฉันแก่กว่าตัวเลขอายุจริงก็แค่ไม่เกินสองปี คิดเผื่อไว้เป็น 55 ปีก็ได้
แต่ทำไม... ทำไมฉันกลับไม่ได้พบ ปั้นเมฆกับฟ้า สองสามีภรรยาเจ้าของยุ้งข้าวและที่นาผืนนี้ในวัย 49 และ 55 ปี กลับกลายเป็นโรงเรียนชาวนาของตาทัพพีกับลุงสิบ? งั้นฉันกับปั้นเมฆไปอยู่เสียที่ไหน?!
อายุ 55 กับ 49 ถือว่าแก่แล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่น่าถึงขั้น... อ่า... ตาย! นอกจาก... อายุสั้น ตายภายใน 31 ปี ก่อนที่จะถึงปีพ.ศ. 2552!!!
แล้วภาพนักรบหนุ่มโบราณที่พรุนไปด้วยลูกธนูก็กลับมาอีกครั้งในห้วงความคิด
หรือว่า นั่นเป็นดวงวิญญาณของปั้นเมฆจริงๆ ถึงเขาไม่ใช่นักรบหนุ่มโบราณ และคงไม่ได้ตายในสนามรบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตายด้วยธนู... มันอาจจะเป็นการฆาตกรรมก็ได้?
ถ้าปั้นเมฆตาย... แล้วฉันล่ะ?
เกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนกันแน่?
หลังจากที่ตัดสินใจร่วมชีวิตกับปั้นเมฆแล้ว ถึงฉันจะอาลัยรักตาทัพพีแค่ไหน ก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งปั้นเมฆกลับโลกปัจจุบันอีกแล้ว แต่... ตอนนี้ ฉันรู้สึกทุรนทุราย อยากกลับไปถามหาความจริงจากตาทัพพีเดี๋ยวนี้เลย
นี่ใช่ไหม ที่ทำให้พระแม่โพสพออกกฎ ห้ามฉันถามถึงคนในอดีต คงกลัวว่าฉันจะรู้ความลับอะไรบางอย่างที่ไม่ควรรู้ ซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้ว่า... ฉันกับปั้นเมฆไม่มีชีวิตอยู่ยืนยาวจนถึงยุคปัจจุบันก็ได้
แปลกใจตรงที่ ถ้ามีคนถูกฆาตกรรมตายสยองแบบนั้นจริงๆ สมควรเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญ ชาวบ้านพูดกันไม่จบไม่สิ้น ตาทัพพีอาจจะไม่กล้าเล่าให้ฉันฟังเพราะเป็นห่วงว่าฉันจะกลัวก็จริง แต่ขาเม้าระดับเทพอย่างป๋าจอห์นกับเคียวโกะซังต้องไม่พลาดเรื่องนี้แน่ แล้วทำไมไม่มีใครพูดถึงเราสองคนเลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าที่นี่ไม่เคยมีคนชื่อปั้นเมฆกับฟ้ามาก่อน?
มี... ต้องมีสิ อย่างน้อยก็มีหลักฐานว่าฉันกับเขาเคยอยู่ในยุ้งข้าวนี้... เปลผ้าที่ปั้นเมฆผูกไว้นั่นไง!
ฉันจำได้ ตาทัพพีบอกว่า เขายกที่ดินให้ลุงสิบทำเป็นนาทดลองโรงเรียนชาวนา ในขณะเดียวกันก็เคยเล่าว่า ลุงสิบอยู่ที่นี่ทำเกษตรอินทรีย์มานานหลายปีก่อนที่ทัพพีจะมาช่วย ฉันฟังผ่านๆ หู ไม่ได้เก็บมาคิดอะไร ทั้งที่มันฟังดูขัดแย้งกันยังไงอยู่ ตกลงที่ดินนี่เป็นของใครกันแน่ หรือว่า ตาทัพพีเป็นเจ้าของ ลุงสิบมาเช่าทำนา? ...ไม่น่าจะใช่ เพราะพอพูดถึงยุ้งข้าว เขาก็ว่าเป็นมรดกตกทอดของปู่ของปู่ของปู่ จนมาถึงรุ่นลุงสิบนี่นา ตอนแรกที่ฉันเข้าใจว่า ย้อนเวลามาใน อดีตกาลอันไกลโพ้น ยังเคยคิดว่า ปั้นเมฆเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลลุงสิบด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ คำนวนเวลาเปรียบเทียบอายุแล้ว... ไม่ใช่แน่นอน! ตาทัพพีเคยบอกว่า ลุงแกแก่แล้ว ในขณะที่... อีก 31 ปีข้างหน้า ปั้นเมฆจะมีอายุแค่ 49 เท่านั้น ไม่มีทางเป็นบรรพบุรุษลุงสิบได้แน่ๆ
งั้น... ลุงสิบเป็นอะไรกับปั้นเมฆ?
เมฆมีพี่ชายหรือญาติที่ไหนชื่อ สิบ รึเปล่า?
พี่ชาย เมฆไม่มีแน่ แต่ญาติเหรอ เอ... เมฆก็ไม่แน่ใจ บางคนเมฆยังไม่รู้เลยว่าเป็นญาติ แต่พอพ่อเสีย เค้ามางานศพ แม่แนะนำให้รู้จักถึงได้รู้ว่าเป็นญาติกัน จำไม่หมดว่าชื่ออะไรบ้าง
แล้ว... แล้ว... อ่า คนที่เค้ายึดที่นาของเมฆไปล่ะ? ฉันเดาต่อ
เป็นไปได้ไหมที่ลุงสิบเป็นเจ้าหนี้ หว่านล้อมซื้อที่นากับยุ้งข้าวของปั้นเมฆจนสำเร็จ แล้วหลอกตาทัพพีว่าเป็นมรดกปู่ของเขา
เจ้าหนี้ที่ตากับลุงติดค้างเค้าจนพ่อต้องมาจ่ายไม่จบไม่สิ้นน่ะเหรอ? ...ชื่อทรงศักดิ์ ที่ใครๆ เค้าเรียกกำนันทรงไง ส่วนคนที่เจรจาซื้อที่ดินที่เหลือของเราเป็นลูกชาย ชื่อนายทรัพย์ ทรัพย์สมบัติสถิต ไม่มีใครชื่อสิบสักคน
ทรัพย์สมบัติสถิต เอ... คุ้นๆ...
เฮ่ย! มันนามสกุลตาทัพพีนี่หว่า ทรงศักดิ์ กับ ทรัพย์ ทรัพย์สมบัติสถิต ก็ชื่อปู่กับพ่อของทัพพีน้อยไง งั้น...ที่ดินของปั้นเมฆก็ถูกตระกูลของตาทัพพียึดไป ใช่แล้ว มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ เขาถึงได้เป็นเจ้าของที่นาตรงนี้
รู้ที่มาของตาทัพพีแล้ว... ลุงสิบล่ะ?
เมฆ... ฉันกลั้นใจถามเขาในสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ...เคยคิดอยากเปลี่ยนชื่อจาก เมฆ เป็น สิบ มั๊ย?
ไม่ล่ะ เขาตอบทันที ...เมฆจะเปลี่ยนชื่อเป็นสิบได้ไง สิบไม่ได้อยู่บนฟ้าเหมือนเมฆนี่จ๊ะ
นั่นสินะ ฉันนี่คิดอะไรบ้าๆ ปั้นเมฆของฉันจะกลายเป็นลุงสิบไปได้ยังไง เป็นเพราะฉันเคยเห็นลุงสิบจากระยะไกล พอมานั่งคิดนอนคิดดู ก็เห็นว่ารูปร่างท่าทางของเขามีส่วนคล้ายปั้นเมฆ ถึงได้เดาไปอย่างงั้น ส่วนธนูที่ปักอยู่บนตัวนักรบหนุ่ม ฉันอยากจะเดาว่ามันเป็นแค่เครื่องประดับวันฮาโลวีนของลุงสิบ ทำให้ฉันเห็นเขาแล้วเข้าใจผิดไป
แต่ถ้าไม่ใช่ ...ลุงสิบเป็นใครมาจากไหน?
โอ... หรือเขานั่นแหละคือฆาตกร!
เขาเห็นปั้นเมฆทำนาอินทรีย์ได้ผลดี ก็เลยฆ่าปั้นเมฆซะ แล้วสวมรอยโกงเอาที่นาและยุ้งข้าวของเขาไปขายให้พ่อของตาทัพพี จากนั้นก็ใช้ลูกสาวซึ่งก็คือยัยแม่มดมาหลอกตาทัพพีให้ยกที่ดินกลับมาให้เขาทีหลังโดยอ้างโรงเรียนชาวนา?
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
26 เม.ย. 54 00:00:46
|
|
|
|