Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตราบดวงใจไม่หยุดรัก (รีไรท์) บทที่ 2 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10465377/W10465377.html

................................................................

2

ภาพใบหน้าที่ตราตรึงอยู่ในดวงใจอ่อนแอของฉันทั้งในยามหลับและยามตื่น
ปิดกั้นความรู้สึกใดๆ ก็ตามที่ฉันน่าจะมีได้กับชายอื่นที่
ผ่านเข้ามาในชีวิตแม้กระทั่งกับคุณหมอจิรพัฒน์คู่หมั้นของฉันเอง ใบ
หน้าที่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจลืมเลือนได้ และเมื่อได้เห็นอีก
ครั้งในยามที่เวลาผ่านไปนานถึงหกปี แม้ใบหน้าจะดูกร้านขึ้น มีร่องรอย
ของประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเมื่อเก้าปีก่อนที่
เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มก็ตาม แต่แม้กระนั้นความหล่อคม ดวงตาสี
น้ำตาลที่มีอำนาจเหนือจิตใจฉันเสมอ แม้จะได้เห็นเพียงชั่ววูบก็ทำให้
หัวใจฉันสั่นไหวตกตะลึงและเต้นแรงเกินกว่าจะทนรับไหว

ในความฝันที่ดำดิ่งลงสู่ห้วงลึกของจิตใต้สำนึกยามที่สติ
สัมปชัญญะไม่รับรู้อะไรอยู่นั้น ภาพความหลังครั้งไปเที่ยวกับอาร์ชี่ครั้ง
แรกยังปราสาทวิย็องดรีหนึ่งในปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ย้อนกลับมาสู่ความ
ทรงจำราวกับภาพหนัง


‘ปราสาทนี้มีชื่อมากเรื่องสวนสวยมหัศจรรย์ครับ สวนที่นี่
แบ่งออกเป็นสามระดับ ระดับแรกเลยเป็นสวนน้ำ ระดับต่อไปซึ่งจะอยู่ชั้น
กลางเป็นสวนไม้ประดับ ส่วนรอบนอกสุดเป็นสวนครัว’

อาร์ชี่อธิบายขณะพาฉันเดินเรื่อยๆ ชมปราสาทด้านใน ก่อน
จะพาออกมายังสวนด้านนอกซึ่งใหญ่โตอลังการ แสงแดดที่เริ่มแรงร้อน
ขึ้นในเดือนพฤษภาคมแม้อากาศจะยังน่าสบายแต่ก็ทำให้สวนใหญ่
มโหฬารนั้นดูทั้งงดงามน่าพิศวงและก็ดูน่าอ่อนล้าเกินกว่าจะเดินชมได้
ทั้งหมดในคราวเดียวด้วยเช่นกัน

‘ใจเย็นๆ ครับ เราไม่ต้องเดินดูทั้งหมดในคราวเดียวก็ได้
เลือกชมสวนไม้ประดับกันก่อนดีมั้ยครับ เริ่มจากตรงกลางก่อน แล้วก็
ค่อยนั่งพักกัน หายเหนื่อยค่อยชมสวนน้ำต่อ แล้วก็กินกลางวันกัน คราว
นี้พักนานหน่อยเสร็จแล้วค่อยออกมาลุยสวนรอบนอกคือสวนครัวกัน’

ฉันเผลอระบายยิ้มโล่งใจออกมาจนอาร์ชี่ยิ้มตามด้วยความ
ขบขัน ‘ก็ดีค่ะ’

เราเดินชมสวนไม้ประดับกันตลอดช่วงเช้านั้น แปลกที่เขา
ไม่เหนื่อยเลยแม้จะขับรถมาจากปารีสระยะทางไกลพอควร อาร์ชี่อธิบาย
สวนต่างๆ ให้ฉันฟังอย่างเพลิดเพลินราวกับเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพ
ขณะเดียวกันก็ทำการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์สถาปัตยกรรมการตกแต่งสวน
สวยๆ ไปด้วยตลอดทาง โดยไม่ลืมขอถ่ายรูปฉันเก็บไว้อีกหลายภาพ ฉัน
รู้สึกเขินที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นนางแบบแต่ก็อดรู้สึกสนุกไปกับการเที่ยว
วันนั้นด้วยไม่ได้

‘พอแล้วมั้งคะอาร์ชี่ ถ่ายรูปวาดเยอะมากแล้วนะ เดี๋ยวจะ
พาลเบื่อหน้ากันเปล่าๆ’

‘ไม่เบื่อหรอกครับ’ อาร์ชี่ตอบพร้อมกับกวาดตามองใบหน้า
ฉันด้วยสายตาคมซึ้งดื่มด่ำปนเจ้าชู้ ‘คนสวยย่อมเหมาะกับฉากหลัง
สวยๆ วาดสดใสเป็นธรรมชาติเหลือเกิน เห็นแล้วทำให้เกิดแรงบันดาล
ใจ อยากลองวาดภาพวาดเก็บไว้เลยนะครับ วาดในแบบที่ผมเห็นคุณ
เป็นจริงๆ สนใจมั้ยครับ’

‘อย่ายอเลยค่ะอาร์ชี่ ฉันก็เป็นแค่คนหน้าตาพอดูได้เท่านั้น ไม่ได้สวยสะ
เป็นพิเศษกว่าใครสักนิดเลยค่ะ’

‘ไม่เชื่อผมหรือ งั้นวาดยอมมานั่งเป็นแบบให้ผมวาดภาพมั้ยล่ะ แล้วผม
จะพิสูจน์ให้ดูว่าวาดที่ผมเห็นนั้นสวยงามแตกต่างไปกว่าวาดคนที่วาด
เห็นในกระจกแค่ไหน’

น้ำเสียงนุ่มหูของเขาประกอบกับสายตาที่มองสบตาฉันอย่างอ่อนเชื่อม
ทำให้ฉันเขินจนต้องหลบตา

‘คอแห้งแล้วล่ะค่ะ ได้เวลาหาอะไรดื่มรึยังล่ะคะ’ ฉันเสพูดเรื่องอื่นพร้อม
กับออกเดินนำเขาไปพ้นจากบริเวณสวนรัก ซึ่งเป็นหนึ่งในสวนย่อยที่
ประกอบกันเป็นสวนสมุนไพร

แม้ครั้งนั้นฉันจะไม่ได้คิดจริงจังกับเรื่องวาดภาพของเขา แต่หลังจากนั้น
สามเดือนก็ยอมนั่งเป็นแบบให้เขาวาดภาพจนได้ จำได้ว่าเป็นฤดูร้อนบน
ระเบียงห้องพักของฉันเองที่แต่งกระถางดอกไม้หน้าร้อนไว้อย่างสวย
งามสดใส

‘เสร็จรึยังคะอาร์ชี่ เมื่อยแล้วนะ’ ฉันพูดขึ้นหลังจากนั่งนิ่งๆ เป็นแบบให้
เขาวาดภาพอยู่ร่วมชั่วโมงจนเริ่มเป็นตะคริว ฉันนั่งให้เขาวาดแบบนี้ติด
กันวันนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาบอกว่าน่าจะเสร็จวันนี้ด้วย

‘เกือบแล้วครับวาด ขออีกแป๊บนะ’

ฉันแอบถอนใจทำสีหน้าเบื่อนิดหนึ่งก่อนนั่งนิ่งต่อในท่าเดิม แล้วใจก็
เผลอไปคิดถึงเรื่องตลกๆ ที่ได้ไปเจอร่วมกันกับอาร์ชี่ตอนนัดไปดูหนัง
กันเป็นกลุ่มสี่ห้าคนแล้วก็อดยิ้มขำออกมาไม่ได้ ลืมไปชั่วขณะว่านั่งเป็น
นางแบบอยู่ อาร์ชี่เป็นคนสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน แต่สุภาพและรู้จักวาง
ตัว รู้กาลเทศะ เขาเป็นคนมีเสน่ห์ทำให้คนอยากอยู่ใกล้และคนที่อยู่ใกล้
ก็รู้สึกมีความสุข

‘แอบคิดอะไรอยู่ เสร็จตั้งนานแล้ว’ เสียงทุ้มดังขึ้นที่ริมหูก่อนที่ริมฝีปาก
นุ่มจะสัมผัสเร็วๆ ที่พวงแก้ม ฉันตกใจตื่นจากภวังค์ความคิดขณะนั้น
เหลือบตาขึ้นสบตาผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว เมื่อประสานสายตากันแรงดึงดูด
บางอย่างที่มีอยู่แล้วระหว่างกันประกอบกับความใกล้ชิดก็ทำให้ไม่อาจ
ถอนสายตาออกมาได้

เราสบสายตากันอยู่นาน ดวงตาสีน้ำตาลมีแววซุกซนอย่างหนุ่มวัยรุ่นทั่ว
ไปและเมื่อมองดูฉันซึ่งเขาแสดงออกชัดว่าพึงใจเป็นพิเศษมันจึงดูเกือบ
เป็นเจ้าชู้ แม้จะรู้เช่นนั้นแต่ฉันก็กลับตัดใจถอนสายตาจากเขาไม่ได้ หาก
เลือกจะสบนิ่งราวกับถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กที่มีพลังดึงดูดเป็นพิเศษ
ระหว่างเรา ดวงตาของฉันคงส่อความรู้สึกที่แม้จะลึกล้ำทว่ากลับลังเล
และไม่แน่ใจอย่างผู้หญิงที่ถูกปลูกฝังให้หวงตัว มันทำให้ดวงตาของ
อาร์ชี่สงบและนิ่งขรึมอย่างสำรวมขึ้น เขาค่อยๆ ถอนสายตาจากดวงตา
ของฉันช้าๆ ก่อนจะยังใช้ดวงตาคมนุ่มคู่นั้นโลมไล้ไปทั่วใบหน้า
แล้วกลับมาจรดนิ่งที่ริมฝีปาก ฉันเลียริมฝีปากที่เกิดแห้งขึ้นฉับพลันและ
เมื่อเห็นประกายตาลุกเรืองของเขาก็รีบรวบรวมพลังใจเบือนสายตาหลบ
เพื่อยุติมนตร์ขลังแปลกๆ ระหว่างเราลง

‘ภาพเสร็จแล้ว อยากดูมั้ย’ เสียงของอาร์ชี่ที่พูดขึ้นยามนั้นพร่าลงเล็ก
น้อย ฉันรีบขยับตัวลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินถอยห่างมาจากเขานิดหนึ่งพอ
ให้เกิดระยะที่รู้สึกว่าปลอดภัย ไม่ได้กลัวเขาหรอก กลัวใจตัวเองมากกว่า

‘ค่ะ’

เขาก้าวยาวๆ เพียงสองก้าวไปหยิบภาพที่วาดไว้มายื่นให้ดูตรงหน้าโดย
ที่ตัวเขาไม่ได้ยืนถอยออกห่าง แต่กลับยืนชิด แผงอกกว้างอยู่เกือบชิด
ไหล่ทำให้ฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากตัวเขาซึ่งสั่นประสาทที่กำลังอ่อนไหวจน
ต้องขยับตัวห่างไปนิดหนึ่งอีกครั้งก่อนก้มมองภาพตรงหน้า

ฉันตกตะลึงมองภาพที่อยู่ตรงหน้านิ่งนาน หญิงสาวในภาพคือตัวฉันใน
แบบที่ฉันเองก็ยังไม่เคยรู้หรือเห็นตัวเองลักษณะนี้มาก่อน มันคือฉันใน
อดีตก่อนที่จะเริ่มมีอาการโรคลิ้นหัวใจรั่วปรากฏให้เห็นเมื่อตอนอายุยี่สิบ
ปี ฉันผู้เคยร่าเริงแจ่มใส รักความสนุกสนาน ชอบเล่นกีฬาต่างๆ บัดนี้
กลายเป็นคนนิ่งๆ ต้องพยามรักษาระดับอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นเกินไป ไม่
ทำกิจกรรมที่จะทำให้เหนื่อยเกินไป ต้องระวังทั้งการใช้ชีวิตและการควบ
คุมอาหารหลายอย่างที่อาจกระตุ้นหรือส่งผลร้ายต่อหัวใจได้

หญิงสาวในภาพนั้นดูสวยบอบบาง อ่อนหวาน ภายนอกที่ดูสงบนิ่งอย่าง
ผู้ดีแต่สีหน้าและประกายตาเต็มไปด้วยอารมณ์ของเด็กที่อยากทำเรื่อง
สนุกสนาน อยากหลุดจากกรอบที่จำกัดไว้เพื่อได้ใช้ชีวิตอย่างรื่นเริง

น้ำตาไหลรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ฉันโหยหาและคิดถึงความสนุกสนาน
ที่เคยทำได้เหลือเกิน

‘มีอะไรหรือ วาดร้องไห้ทำไม’ อาร์ชี่ถาม

‘เปล่าค่ะอาร์ชี่ วาดแค่แปลกใจว่าอาร์ชี่มองวาดออกขนาดนี้ได้ยังไง’ ฉัน
พูดพร้อมกับยกปลายนิ้วขึ้นกรีดน้ำตา อาร์ชี่รีบเดินไปคว้ากระดาษเช็ด
หน้าในกล่องใกล้ตัวมาส่งให้

‘เพราะผมสังเกตและใส่ใจวาดน่ะสิ’

ความอุ่นซ่านแผ่ไปทั่วหัวใจเมื่อน้ำเสียงทุ้มของเขาพูดประโยคนั้นออก
มาอย่างนุ่มนวลราวกับโลมไล้

‘เสร็จยังจ๊ะพวกเธอ เสร็จแล้วก็เข้ามาเร็วๆ เราจะได้ตั้งเตาบาร์บีคิวกัน
ข้างนอกนั่น’ เสียงโมนิคเพื่อนของฉันดังขึ้นจากประตูทางออกมาระเบียง
ช่วยยุติภาวะอารมณ์ที่ค่อนข้างล่อแหลมระหว่างเราลง

‘เข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ’ ฉันรีบตอบโมนิคก่อนจะหันมายังหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ
ไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ ‘ขอบคุณมากค่ะ ภาพนี้อาร์ชี่จะเก็บไว้หรือจะ
ให้วาดล่ะ’

เขานิ่งคิดอยู่นานก่อนตอบ ‘ขอผมเก็บไว้ก่อนได้มั้ยครับ รอโอกาส
เหมาะๆ ผมค่อยยกให้คุณ’

ฉันยังจำได้ถึงกระแสสายตาอ่อนโยนของเขาที่โลมไล้ไปทั่วใบหน้าและ
เรือนกายขณะพูด ฉันพยักหน้าแล้วรีบเดินหนีตามโมนิคเข้าไปในบ้าน
เพื่อสมทบกับเพื่อนอีกสองสามคน มีทั้งเพื่อนของเขาและเพื่อนฉัน

กลิ่นหอมฉุนของยาดมส้มมือถูกนำมาจ่อที่จมูก เรียกความรู้สึกของฉัน
กลับคืนสู่ปัจจุบัน รู้สึกถึงมือที่บีบนวดแขนและขา เมื่อลืมตาขึ้นฉันพบว่า
ตัวเองนั่งอยู่บนรถสปอร์ตของหมอจิรพัฒน์ คู่หมั้นหนุ่มหยุดบีบนวดแล้ว
หันมาใช้เครื่องฟังเสียงของแพทย์ตรวจอยู่ตรงแถวหัวใจของฉันแทน

“รู้สึกตัวแล้วหรือ” คุณหมอถาม สีหน้าบ่งบอกความ
กังวล “วาดมีอาการวูบหมดสติแบบนี้บ่อยมั้ยคะ”

ฉันมองดูใบหน้าหล่อคมสะอาดแบบลูกคนจีนของจิรพัฒน์
รู้สึกถึงสายตาที่ยังพร่ามัวกับดวงใจที่ยังอ่อนแรงของตัวเอง สมอง
ค่อยๆ รับรู้ว่าเหตุใดจึงเกิดมีอาการหน้ามืดและเป็นลมขึ้นมาอย่างฉับ
พลัน

“ไม่ค่ะพี่พัฒน์” ฉันเปล่งเสียงออกมาแล้วก็รู้สึกว่ามันช่างไร้
เรี่ยวแรงสิ้นดี “วาดไม่เป็นไร”

“เอาไว้เราค่อยนัดคุณอชิตะใหม่ดีมั้ยวาด วันนี้วาดอาการ
ไม่ดีพี่ไม่สบายใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ วาดนั่งคอยอยู่ในรถได้ พี่พัฒน์ไปคุยกับเขา
ก่อนเถอะค่ะ” ฉันกล่าวไม่อาจหักใจเอ่ยนาม ‘อชิตะ’ ออกมาได้ แม้จะไม่
ใช่ชื่อนี้ที่ฉันเรียกหาอยู่ในหัวใจที่ไม่รักดีของตัวเองตลอดทั้งในยามหลับ
และยามตื่น แต่ก็คือชื่อของคนๆ เดียวกัน อชิตะ หรืออาร์ชี่

“งั้นวาดคอยเดี๋ยวนะคะ” จิรพัฒน์สั่งก่อนผละไปหาชายหนุ่ม
ร่างสูงอีกคนที่ยืนคอยอยู่ไม่ห่างจากรถนัก

ฉันมองตามไม่ได้ยินเสียงว่าเขาคุยอะไรกันแต่จากท่าทีที่
อาร์ชี่มองมาทางฉันคงพอเดาได้ว่าเขาถามถึงอาการ คงเป็นการถาม
ตามมารยาท ก็เขาจะแคร์ทำไมเล่า ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายทอดทิ้งฉันไป

น้ำตาเจ้ากรรมเอ่อล้นออกมา คำถามที่ค้างคาใจและฝัง
แน่นอยู่ในคลังสมองส่วนลึกย้อนกลับมารุมเร้าทรมานฉันอีกนับครั้งไม่
ถ้วน ‘ทำไม เพราะอะไรเขาจึงทิ้งฉันไปโดยไม่บอกลา ฉันไร้ค่าไม่คู่ควร
แม้กระทั่งคำอธิบายจากเขาเลยอย่างนั้นหรือ’

จิรพัฒน์คุยบางอย่างกับอาร์ชี่เสร็จก็เดินย้อนกลับมาที่รถขึ้น
นั่งฝั่งคนขับ

“คุณอชิตะเขาไม่ว่าอะไร บอกว่าวันหลังค่อยนัดใหม่ก็ได้ เขาขอเดินดู
เขตที่ดินแล้วจะส่งพนักงานมาเช็ครางวัดให้เราใหม่อีกทีหนึ่ง เสร็จ
แล้วจะวาดแปลนที่ดินอย่างละเอียดขึ้นมาแล้วค่อยมารับบรีฟจากเราว่า
อยากได้บ้านแบบไหน ประโยชน์ใช้สอยยังไง วันนี้พี่พาวาดกลับบ้าน
ก่อนดีกว่านะคะ”

“แล้วรถวาดล่ะคะพี่พัฒน์”

“ไม่เป็นไรนี่คะ เดี๋ยวพี่ส่งนายศักดิ์มาขับกลับเองวาดไม่ต้อง
ห่วง”

ฉันพยักหน้าอย่างอ่อนแรง รู้ตัวว่าใบหน้าคงซีดเผือด หลับ
ตาลงระบายลมหายใจช้าๆ เบือนหน้าไปทางฝั่งกระจกหน้าต่างและเริ่ม
จมปลักอยู่ในภวังค์ความคิด

แต่แล้วเสียงของจิรพัฒน์ก็ดังแทรกเข้ามา “แปลกนะวาด
คุณอชิตะเขาวิ่งเข้ามารับตัววาดได้เร็วมากเลย เข้าถึงตัววาดพร้อมกับพี่
ที่รับตัววาดไว้ทั้งที่พี่ยืนอยู่ใกล้กับวาดมากกว่าแท้ๆ นะคะ”

ฉันลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจแต่ยังคงหันหน้ามองกระจก
หน้าต่างนิ่ง “เขาเป็นคนรับวาดไว้หรือคะ”

“พี่รับค่ะ” นายแพทย์จิรพัฒน์อธิบาย “แต่แปลกที่เขากระโจนเข้ามาปราด
เดียวถึงตัววาดพร้อมกับที่พี่รับวาดไว้เท่านั้นเอง สีหน้าเขาซีดพอกับวาด
เลยด้วยนะ”

ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบขณะที่ถาม “แปลกยังไงหรือคะ”

“แปลกที่คนเพิ่งเจอกัน ยังไม่เคยพูดคุยกันด้วยซ้ำ แต่ทำไมปฏิกิริยาเขา
ถึงดูอาทรเป็นพิเศษขนาดนั้น”

“เขาอาจเป็นคนนิสัยดีหรือแค่ห่วงลูกค้าก็ได้ค่ะ วาดไม่ได้มีความสำคัญ
เป็นพิเศษกับใครเขาหรอกค่ะ”

“อย่าพูดแบบนี้สิคะ วาดมีความสำคัญอยู่แล้ว” จิรพัฒน์พูดพร้อมละมือ
ข้างซ้ายจากพวงมาลัยรถมาจับมือขวาฉันกุมไว้และลูบไล้เบาๆ “วาดเป็น
คนสวย อ่อนหวาน จิตใจงดงามอ่อนโยน แต่เพราะไม่แข็งแรงเลยทำให้
ดูเปราะบาง เหมือนดอกไม้น่าทะนุถนอม น่าห่วงหาอาทรออกค่ะ”

ฉันเบือนหน้าหนีซ่อนน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คำพูดของคู่
หมั้นหนุ่มกระทบหัวใจของฉันอย่างแรง อาร์ชี่ก็เคยพูดแบบนี้เมื่อเก้าปี
ก่อน

‘วาดสวยบอบบางเหลือเกิน แปลกที่ผมหลงใหลใบหน้าที่เรียวบางขาว
ซีด ผมดกหนาจนลำคอเล็กๆ ของวาดดูแทบจะรับน้ำหนักไว้ไม่ไหว ดวง
ตาวาดทั้งหวานทั้งเศร้า แต่ดูอ่อนโยนเปราะบาง เห็นแล้วทำให้หัวใจผม
อ่อนแออยากอยู่ดูแลวาดตลอดไป’

นั่นคือคำหวานที่เขามอบให้หลังจากที่เรารู้จักกันได้เกือบปี แต่แล้วเขาก็

พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาทอดทิ้งฉันไปอย่างง่ายดายเพียงใด แม้จะรู้ดีว่า
จิรพัฒน์คงไม่เป็นแบบเดียวกัน เขาเป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบ และ
คงไม่มีวันทิ้งฉันโดยไร้เหตุผลและไร้คำร่ำลาอย่างที่อาร์ชี่เคยทำแน่

“วาดเป็นอะไรหรือคะ” คุณหมอถามเมื่อเห็นฉันนิ่งเงียบ

“เปล่าค่ะ วาดเหนื่อย อยากขอนอนพักสักนิดเท่านั้น”

“งั้นนอนไปสิคะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วพี่จะปลุกให้เอง” น้ำเสียงอ่อนโยนของ
เขาทำให้น้ำตาฉันต้องร่วงรินอีกครั้ง ทำไมนะ ทำไมฉันจึงไม่อาจรู้สึกรัก
จิรพัฒน์ได้อย่างที่เคยรักอาร์ชี่ ทำไมหัวใจฉันจึงต้องปิดผนึกแน่นจนไม่
เปิดโอกาสให้กับคนดีๆ อย่างคุณหมอผู้เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล
เกียรติพงศธร เจ้าสัวใหญ่หนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยและเป็น
เพื่อนที่สนิทสนมกับราชสกุลวรดิษฐ์มากขนาดนี้

.................................................

จากคุณ : Pim~Dow
เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 54 16:24:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com