“แน่ใจหรือ”
อาเมียร์ไม่วายถาม เมื่อเจ้าหน้าที่อีกคนเคาะประตู และรายงานว่า ‘พระคู่หมั้น’ รออยู่ที่หน้าห้องแล้ว
“แน่นอน” แอชลีนน์พยักหน้า ก่อนจะเงยมองชายหนุ่มซึ่งลุกจากเก้าอี้ที่อีกฟากโต๊ะ ด้วยสายตาที่พยายามทำให้เข้มแข็งที่สุด “ท่านไม่ต้องห่วงหรอก นี่เป็นเรื่องของข้ากับเขา ถึงอย่างไร คนที่จะพูดกับเขาได้ก็มีแต่ข้า”
ที่จริง หญิงสาวยังไม่แน่ใจนักว่าการเจรจากับพระคู่หมั้นซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตจะสำเร็จ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว ก็คงมีแต่จะต้องรีบจัดการให้จบลงโดยเร็วเท่านั้นเอง
และหวังว่าจะจบลงโดยไม่ต้องเปิดผนึก ‘สาร’ ฉบับนี้
ซองประทับตราครั่งวางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า แอชลีนน์ลูบผิวเรียบลื่นอบกลิ่นหอมของกระดาษนั้นเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย เธอฟังอาเมียร์รับคำเบาๆ อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าไปทางประตู
“ข้าจะรออยู่ข้างนอก มีอะไรก็เรียกได้นะ”
“อื้อ” เจ้าหญิงมองตามแผ่นหลัง และเรือนผมสีดำที่ตัดสั้นแค่ต้นคอ จนกระทั่งชายหนุ่มเปิดประตูออก และก้าวออกไป เปิดทางให้ชายอีกคนเข้ามาในห้องแทน
แอชลีนน์สบตากับคนที่เข้ามาใหม่ พยายามบังคับสายตาของตนให้เรียบเฉย ขณะที่เขาปิดประตูลง ก่อนจะยอบกายคุกเข่าคำนับตามธรรมเนียม
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ตามสบายเถอะ” เจ้าหญิงผายมือมาทางเก้าอี้ที่อีกฟากโต๊ะ “เชิญนั่ง”
อดีตราชองครักษ์ของเธอก้าวเข้ามาใกล้ช้าๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออก และค่อยๆ นั่งลงไป
หญิงสาวเอื้อมมือหากาน้ำชา แต่เขากลับลุกขึ้นโดยเร็ว และบอกว่า “ควรเป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะรินน้ำชาใส่ถ้วยกระเบื้องของเธอ ซึ่งพร่องไปกึ่งหนึ่ง
ครั้นแล้วจึงวางกาลงที่เดิม โดยไม่รินใส่ถ้วยว่างที่ตั้งอยู่ด้านขวาของตน ...แม้แอชลีนน์จะสังเกตเห็นเขาปรายมองถ้วยชาที่มีคนดื่มไปเพียงเล็กน้อย ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากถ้วยของเจ้าหญิงนัก
ถ้วยของอาเมียร์
อย่างไรก็ดี ในเมื่อพระคู่หมั้นหนุ่มไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หญิงสาวย่อมไม่อยากจุดชนวนขึ้นมา เธอจึงเอ่ย “ขอบใจ” ตามมารยาท และจิบน้ำชาของตนพอเป็นพิธี ก่อนจะเข้าเรื่อง
“ขอบใจที่ท่านเป็นห่วงเรา ถึงได้เดินทางมายาร์ลาธ ก่อนที่เราจะมาถึงเสียอีก”
“การคุ้มครองฝ่าบาทเป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสตอบ “และการเชิญเสด็จฝ่าบาทกลับสู่พระราชวังอย่างปลอดภัยก็เช่นกัน”
แอชลีนน์พยักหน้าช้าๆ
“เรากลับไปแน่ แต่ต้องหลังจากจัดการธุระสำคัญให้เรียบร้อย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ธุระอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหญิงยืดร่างขึ้นเล็กน้อย และสูดลมหายใจลึก รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยคำตอบ
ไม่มีความจำเป็นต้องโยกโย้ หรืออ้อมค้อม
“ยกเลิกการอภิเษก”
สีหน้าของดูลัสยิ่งดูเคร่งเครียดขึ้นอีกสักสิบเท่า แม้ท่าทีจะยังนิ่งเฉยอยู่
“เราจะครองราชย์ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอภิเษก และเราจะเปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลเพื่อการนั้น” แอชลีนน์พูดต่อไป “เราคิดว่านั่นเป็นกฎที่ไม่ยุติธรรม ในเมื่อบูดิกากับเอรินที่เป็นบรรพบุรุษของเราสามารถปกครองได้ในฐานะราชินี โดยไม่จำเป็นต้องอภิเษก เราก็ควรจะทำได้เช่นกัน”
“ขอประทานอภัย ขุนนางทั้งราชสำนัก ตลอดจนไพร่ฟ้าทั้งอาณาจักร ไม่มีวันยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสตอบอย่างเคร่งขรึม “นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลย”
“แล้วท่านคิดว่าวิธีแก้ไขที่ถูกต้องคืออะไร”
“หากทรงไม่พอพระทัยกระหม่อมในแง่ใด ก็ตรัสมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรับฟังพระองค์ให้มากขึ้น และให้พระองค์ทรงมีส่วนร่วมในการปกครอง ตามที่ทรงมีพระดำริไว้แน่นอน” พระคู่หมั้นค้อมศีรษะลง “กระหม่อมทราบว่าที่พระองค์กริ้ว เป็นเพราะกระหม่อมกราบทูลทัดทานไม่ให้เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรคราวนั้น ดังนั้นกระหม่อมจะพิจารณาเรื่องนี้อีกที เชิญเสด็จกลับไปกับกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ ผู้คนทั้งธีร์ดีเรจะสงบร่มเย็นได้เพราะการอภิเษกที่รอคอยมานานนี้ต่างหาก”
“เมื่อก่อนเราก็เคยคิดเช่นนั้น” เจ้าหญิงรับ
“แล้วสิ่งใดทำให้ทรงเปลี่ยนความคิด” ชายหนุ่มย้อนถาม “คนทรายนั่นหรือ”
คำพาดพิงบุคคลที่สามนั้นทำให้หญิงสาวยิ่งต้องพยายามข่มอารมณ์
“ใช่ อาเมียร์เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก”
“เช่น?”
“เราไม่คิดว่าเรากับท่านจะเข้ากันได้ ไม่ว่าจะในฐานะราชากับราชินี หรือสามีภรรยา” แอชลีนน์บังคับตนเองให้จ้องตรงไปยังคู่สนทนา “และ...พิธีสยุมพรครั้งนี้มีแต่เบื้องหลังไม่ชอบมาพากล จนเราไม่คิดว่าควรให้ดำเนินต่อไป”
“ทรงคิดว่ากระหม่อมเองก็คดโกง?”
“ไม่ใช่ แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องก่อนหน้านั้น”
“เรื่องอันใด” ดูลัสจ้องตอบมา...แต่เพียงแวบเดียว
เจ้าหญิงอดลังเลไม่ได้ และเงียบไป
ไม่มีทางหลีกเลี่ยงจริงๆ กระนั้นหรือ
“มีหลักฐานว่า...ขุนนางธีร์ดีเรคนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ เพื่อให้เกิดพิธีสยุมพรครั้งนี้”
ความเงียบพลันกระโจนเข้าค้ำร่างของทั้งสอง ว่องไวราวกับสัตว์ร้ายปรารถนาเหยื่อ
กระนั้นยังคงอยู่เนิ่นช้า วนเวียนอ้อยอิ่งราวกับหยั่งเชิง รอแยกเขี้ยวขย้ำในจังหวะที่เหยื่อนั้นไม่ทันคาดคิดที่สุด
แอชลีนน์คิดว่าตนเองพูดเพียงพอแล้ว จึงเสไปจิบชาที่เริ่มเย็นชืด ขณะรอคำตอบของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ความตึงเครียดทำให้ลิ้นแทบไม่อาจรับรู้รส
“แล้วใครเป็นคนให้หลักฐานนี้ คนเดียวกับที่บอกว่าบิดาของกระหม่อมสั่งพวกราชมัลให้ทรมานนักโทษ เพื่อทำเป็นแพะรับบาปหรือ” พระคู่หมั้นย้อนเสียงกร้าว
“เขามีส่วนร่วมในการสืบคดี แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะมาจากเขา” เจ้าหญิงตอบอ้อมๆ ก่อนจะเลื่อนซองบนโต๊ะให้แก่ชายหนุ่ม “นี่คือสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดที่เรารู้ในเวลานี้ ทีแรกเราคิดว่าจะส่งให้แก่ท่านแฟคท์นาโดยตรง หากท่านตกลงที่จะยกเลิกพิธีอภิเษกในทีแรก แต่หากท่านไม่เห็นด้วย ก็คงจะต้องให้อ่านก่อน แม้นี่จะเป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้ท่านรู้เลย”
ดูลัสรับซองนี้ไปช้าๆ กระนั้นเขายังคงมองมันนิ่งอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะรับมีดเล็กสำหรับแซะตราครั่ง ซึ่งแอชลีนน์ส่งให้เป็นอย่างต่อมา
ชายหนุ่มเปิดซอง และหยิบสารภายในขึ้นมาอ่านอยู่เป็นนาน
สารนั้นจ่าหน้าถึงแฟคท์นา เจ้ามณฑลอุลทูร์ แต่บุตรชายของผู้รับสารก็คงพบว่าการอ่านมันเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่ต่างจากแอชลีนน์ ซึ่งต้องลงนามรับรองด้วยตนเอง ว่าตัวเธอรับรู้เนื้อความภายในนั้น
สิ่งที่เขียนไว้ในนั้นคือรายละเอียดของการลอบปลงพระชนม์ ตามที่อาเมียร์เรียบเรียงจากความทรงจำของเกล หรือเนอร์กุย ทว่าในสารไม่ได้เอ่ยนามของเขา และกล่าวถึงว่าเป็นเพียงมือสังหารชาวอัสลานคนหนึ่งที่รอดชีวิต ซึ่งได้รับการคุ้มครองในฐานะพยาน
ที่จริง เวลานี้เกลยังไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของมณฑลยาร์ลาธเลย และท่านเบเรคก็เพียงแต่ส่งคนไปสืบหาที่อยู่และจับตามองเขาไว้ก่อน เพื่อรอเวลาประกาศรื้อฟื้นคดี และเข้าใกล้อย่างเหมาะสมเท่านั้น ทว่าอาเมียร์กับท่านเบเรคล้วนเห็นพ้องต้องกัน ว่าหากจะข่มขวัญกริฟฟอนเฒ่าแห่งภูผา ก็ย่อมต้องแสดงให้เห็นว่าพวกตนมีข้อมูลที่แน่ชัดเป็นไพ่ตาย
แม้ข้อมูลเหล่านั้นจะชวนสยดสยอง หรือสะอิดสะเอียนอย่างไรก็ตาม
ท่าทางของดูลัสค่อยๆ เปลี่ยนไป ...เขายกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าดูซีดเผือดลงในทันใด
“ทรง...เชื่อเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาสีฟ้าจางเบื้องหน้าว้าวุ่น ร้อนรนเสียจนเจ้าหญิงอยากขอโทษ แต่ก็ทำได้เพียงกลั้นใจตอบ
“หากไม่เชื่อ เราจะลงนามไปหรือ”
“แต่หากทรงเชื่อ...ก็ไม่เห็นจะทรงต้องเจรจาอย่างนี้เลย” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้น “หากทรงเห็นกระหม่อมกับบิดามีความผิด ก็ขอทรงบัญชาให้ประหารพวกเราให้สมความผิดเถอะ”
“ดูลัส ท่านก็รู้ว่าเราทำอย่างนั้นไม่ได้” แอชลีนน์ลุกตาม เพื่อที่ขอบโต๊ะจะได้ไม่บังภาพของพระคู่หมั้น แต่ไม่ทันจะบอกให้เขานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม อีกฝ่ายก็ตั้งคำถามเสียก่อน
“เพราะอะไร ชีวิตของกระหม่อมยังมีค่าอะไรอีกหรือ”
“เราไม่อยากให้เกิดสงคราม”
บางที... เจ้าหญิงมานึกได้ในทีหลัง ว่าเธอควรตอบว่า “เราไม่อยากให้ดูลัสตาย” แทนดีกว่า
นั่นอาจให้ผลที่แตกต่างออกไปมาก...แม้เพียงในระยะสั้นก็ตาม
“แต่การยกเลิกพิธีอภิเษกก็ไม่ต่างจากการก่อสงครามหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสแย้งเสียงกร้าว “กระหม่อมขอบังอาจกราบบังคมทูล...ที่ทรงไม่ประสงค์จะอภิเษกกับกระหม่อม เป็นเพราะทรงตั้งพระทัยจะอภิเษกกับคนทรายนั่นใช่หรือไม่”
ใบหน้าของหญิงสาวพลันร้อนผ่าว
ไม่เลย เธอไม่รู้สึกว่าความต้องการที่จะแต่งงานกับอาเมียร์เป็นเรื่องน่าละอาย ทว่าเป็นโทสะบางประการต่างหาก
“ใช่ เราจะแต่งงานกับอาเมียร์” แอชลีนน์เอ่ยชัดเจน
“ทรงไม่เห็นเลยหรือ ว่านั่นคือแผนการของมัน” พระคู่หมั้นถาม “ไม่ว่าบิดาของกระหม่อมจะเกี่ยวข้องกับเหตุลอบปลงพระชนม์หรือไม่ มันย่อมนำเรื่องนี้มาชักนำให้พระองค์ทรงโน้มเอียงไปทางมัน ปลุกปั่นให้เกิดสงครามในธีร์ดีเร ขุนนางทั้งราชสำนัก ตลอดจนไพร่ฟ้าทั้งอาณาจักร ไม่มีทางยอมรับพระสวามีที่เป็นคนต่างชาติ มิหนำซ้ำไร้ฐานันดรหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหญิงตกใจจนนิ่งงัน
เธอไม่คิดเลยว่าอดีตองครักษ์ของตนจะกล้าพูดเช่นนั้น
“แล้วอย่างไร ต่อให้รู้ว่าพ่อของท่านฆ่าเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่ ท่านก็ยังดึงดันจะแต่งงานกับเราให้ได้อย่างนั้นหรือ!”
“กระหม่อมสาบานได้ ว่ากระหม่อมไม่มีส่วนรู้เห็นกับแผนลอบสังหารเลย และกระหม่อมต้องการจะปกป้องพระองค์จริงๆ ...ทรงตรองดูเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากอภิเษกกับคนทรายนั่น พระองค์ก็จะทรงชักนำคนต่างชาติเข้ามาแทรกแซงธีร์ดีเร บางทีเป้าหมายของมันอาจจะเป็น...การสร้างรัชทายาทองค์ต่อไปก็ได้”
“หากเราแต่งงานกับท่าน ก็แค่เปลี่ยนฝ่ายที่จะ ‘แทรกแซงธีร์ดีเร’ และ ‘สร้างรัชทายาท’ แทนเท่านั้นเอง ท่านรับประกันได้หรือ ว่าเราจะไม่ประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับมาทิลดาแห่งทารา!”
มาทิลดาผู้จำต้องอภิเษกกับอัศวินเชรุน อลาชตาร์ และสิ้นพระชนม์ลงอย่างเป็นปริศนา หลังจากมีพระประสูติกาลโอรสเพียงองค์เดียว ซึ่งเชรุนดูแลในฐานะผู้สำเร็จราชการ จนบิดาสิ้นชีพจึงได้ขึ้นปกครองด้วยตนเอง
“กระหม่อมจะไม่มีวันปล่อยให้ภยันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับฝ่าบาทเป็นอันขาด!” ดูลัสลั่นวาจา “ศัตรูของฝ่าบาทคือศัตรูของกระหม่อม...ต่อให้นั่นเป็นพ่อของกระหม่อม กระหม่อมก็พร้อมจะฆ่าเขาก่อน ด้วยมือของกระหม่อมเอง!”
“ดูลัส...”
ครั้งนี้ แอชลีนน์หวาดหวั่นโดยแท้จริง นัยน์ตาของชายหนุ่มลุกโพลงราวกับเปลวไฟสีฟ้า เหมือนจะบอกว่าเขาพร้อมตกนรกหมกไหม้ด้วยบาปแห่งปิตุฆาตอย่างยินดี ...ขอเพียงแต่หญิงสาวตอบรับ
ทว่าเธอรู้ว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ หากว่าพระคู่หมั้นหนุ่มจะกลายเป็นไฟเผาตน เธอต้องกลายเป็นน้ำ...น้ำซึ่งดับไฟก่อนจะแผดเผาทำลายตัวเขาเอง
เจ้าหญิงโคลงศีรษะเศร้าๆ ก่อนจะแย้งช้าๆ
“อย่านำชีวิตของท่านมาผูกติดกับผู้หญิงที่ไม่มีวันตอบรับความรู้สึกของท่านได้อีกเลย”
แววตาของคนตรงหน้าพลันนิ่งค้าง ไฟที่เคยมอดไหม้ราเชื้อ เหลือเพียงเศษเถ้าตะกอนที่ยังไม่หายร้อน ...กับความปวดร้าว
“เรารู้ ว่าดูลัสรู้สึกอย่างไรกับเรา แต่เราไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้ ตลอดมา...เราเห็นดูลัสเป็นพี่ชายคนหนึ่ง และไม่ว่าเราจะมีใจให้กับใครหรือไม่ ความรู้สึกของเราย่อมไม่อาจเปลี่ยนไปได้อยู่ดี” แอชลีนน์เอ่ยแผ่วเบา “เราขอโทษ...แต่สิ่งที่ดูลัสต้องการคือความสุขของเราไม่ใช่หรือ นี่คือความปรารถนาของเรา เราอยากแต่งงานกับคนที่เรารัก เราไม่อยากให้ศัตรูของเรากลายเป็นคนธีร์ดีเรด้วยกัน...และไม่อยากให้มีใครตายอีกแล้ว”
ครั้นแล้ว เจ้าหญิงก็ล้วงมือลงไปในถุงผ้าที่สวมคอ ซึ่งนำติดตัวมาจากวัง
ภายในนั้นคือหลักฐานแทนคำสัญญา ...หัวลูกศรของชาวอัสลาน ซึ่งพระคู่หมั้นหนุ่มบอกว่าเก็บได้จากพระศพของเสด็จแม่ และมอบให้เธอ
...ศัตรูของฝ่าบาทคือศัตรูของกระหม่อม...
หญิงสาววางศรหินแม่เหล็กลงบนฝ่ามือ และโน้มกายมาข้างหน้า เพื่อให้ชายหนุ่มได้เห็น
“ศัตรูของเราคือกฎมณเฑียรบาล และความไม่เชื่อถือของพวกขุนนางต่างหาก ท่านจะช่วยเราทำลายพวกมันตามคำสัญญาไม่ได้เลยหรือ”
ดูลัสเป็นฝ่ายนิ่งงันไปบ้าง เขามองของสิ่งนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง ทว่าไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
แอชลีนน์พยายามผ่อนลมหายใจ
“เรารู้ สิ่งที่ชาวธีร์ดีเรต้องการในเวลานี้คือทั้งราชาและราชินี และรัชทายาทที่กำลังจะเกิดมา แต่นั่นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาทั้งหลายในอาณาจักรของเรา...ไม่เลย” เจ้าหญิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ และเก็บลูกศรนั้นกลับเข้าที่เดิม “เราไม่อาจเป็นแม่ของแผ่นดิน ไปพร้อมกับเป็นภรรยาของใคร หรือแม่ของเด็กคนหนึ่งได้เวลาเดียวกัน อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
พระคู่หมั้นยังคงไม่ลุกขึ้นยืน ทว่าหญิงสาวเอ่ยต่อไป
“การแต่งงานกับอาเมียร์ยังเป็นเรื่องในอนาคต เพราะเขาเองก็ต้องพิสูจน์ตนให้ชาวธีร์ดีเรยอมรับความสามารถ เช่นเดียวกับที่เราต้องพิสูจน์ว่าตนเองสามารถเป็นราชินีที่เข้มแข็ง และนำความมั่นคงกลับมาสู่ธีร์ดีเรให้ได้ เราไม่อาจแต่งงานและมีลูกได้ในเวลานี้ เพราะย่อมมีผู้รอที่จะฉวยประโยชน์จากเด็กคนนั้น ไม่ว่าบิดาของเขาจะเป็นใครก็ตาม ...ท่านเข้าใจใช่ไหม”
แอชลีนน์หวังโดยแท้จริง ว่าพระคู่หมั้นของเธอจะเข้าใจ
“และเพื่อให้เราได้ปกครองธีร์ดีเรด้วยตนเอง ด้วยสันติวิธี เราจึง...ตั้งใจจะให้อภัยท่านแฟคท์นา หากเขาล้มเลิกแผนการนี้ เราเชื่อว่าหากท่านตกลงถอนหมั้น และเจ้ามณฑลทั้งสองสนับสนุนการตัดสินใจของเรา ท่านน้าคอนรอยย่อมเข้าใจ และส่งเสริมเราในฐานะราชินีเช่นกัน” เจ้าหญิงกลั้นเสียงถอนใจ “แม้ว่านั่นจะเท่ากับปล่อยให้ตัวการที่แท้จริงในการลอบปลงพระชนม์ลอยนวล ...ที่จริง หากเราทำให้ท่านน้าคอนรอยเชื่อหลักฐานเหล่านี้ และจับกุมท่านกับบิดาเสียโดยไม่รู้ตัวก็อาจทำได้ แต่เราไม่อยากให้คนธีร์ดีเรต้องหลั่งเลือดเพราะคนชาติเดียวกันมากไปกว่านี้ ...ท่านเข้าใจใช่ไหม”
ครั้งนี้ คำถามของเธอได้รับเพียงคำตอบแผ่วเบา
“...พ่ะย่ะค่ะ”
หญิงสาวเอื้อมหาถ้วยชา เพื่อดับความกระหายของลำคอ ซึ่งจู่ๆ ก็แห้งผากขึ้นมาในทันใด ขณะที่ดูราวกับมีเธออยู่เพียงคนเดียวในห้องนั้น ...กับเงาที่ชวนให้อึดอัด แต่ไม่อาจมองเห็น
“ลุกขึ้นเถอะ ดูลัส” สุดท้าย แอชลีนน์ก็เอ่ยอีกครั้ง “เรื่องที่เราจะพูดกับท่าน...มีแค่นี้”
ชายหนุ่มทำตามคำบอก และหยิบสารซึ่งถูกวางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพับด้วยมือสั่นเทา ราวกับสิ่งน่ารังเกียจที่ไม่อยากแตะต้อง
“ทรงประสงค์จะให้กระหม่อมยินยอมถอนหมั้น และนำสิ่งนี้ไปให้ท่านพ่อ เท่านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่” เจ้าหญิงพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “คง...ไม่เหลือบ่ากว่าแรงใช่ไหม”
“หากเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท กระหม่อมจะขัดได้อย่างไร”
เขาก้มหน้าไม่มองเธอ ปลายนิ้วของชายหนุ่มยังคงสั่นระริก ในขณะที่เก็บสารนั้นใส่ซองไว้อีกครา
“ดูลัส...”
“เช่นที่กระหม่อมเคยถวายคำสัตย์ไว้ ...ศัตรูของฝ่าบาทคือศัตรูของกระหม่อม” ดูลัสเงยหน้าขึ้นในที่สุด
รอยยิ้มของเขาฝืดเฝือ ดวงตาเหมือนกับจะมีน้ำคลอ
“และ...กระหม่อมก็ไม่อยากเป็นศัตรูนั้นเสียเอง”
แอชลีนน์เอื้อมมือออกไป
ทาบทับบนมือของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บีบหรือจับมือตอบแต่ประการใด
ดูลัสเพียงแต่ค่อยๆ เลื่อนมือซึ่งถือซองสารออกอย่างเรียบเฉย และค้อมศีรษะกราบบังคมทูลลา ก่อนจะก้าวออกไปโดยไม่มีคำใดอีก
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
27 เม.ย. 54 20:35:24
|
|
|
|