บทที่ 15 : ถอดจิต ... สู่แดนพิศวง !?
ฉันปิดไฟห้องนอนท่ามกลางความว้าวุ่นในหัวใจที่ยากจะมอดดับลง แม้ฉันจะพยายามข่มตาข่มใจเพื่อให้เข้าสู่นิทรารมณ์ ... ทว่ามันกลับช่างยากเย็นแสนเข็นยิ่งนัก เมื่อสำนึกได้ว่าตนเองไม่อาจหลับได้ง่ายๆ ฉันจึงใช้เวลาทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มเห็นวิญญาณ โดยเฉพาะที่เห็นมากขึ้นในระยะหลัง วิญญาณสัมภเวสีที่ปรากฏกายต่อหน้าฉัน มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ถูกสลักอักขระขอมแปลกๆไว้ตรงหน้าผาก ... ไม่ว่าจะเป็นปิศาจที่ทำร้ายครูฝึกสอนรตี ผีเปรตลึกลับที่เจอในโรงเรียนยามค่ำ หรือกระทั่งวิญญาณร้ายที่เข้าสิงและบังคับให้จิราพรกระโดดตึก นอกจากนั้นยังมีกุมารทองที่ขี่คอชายชราชุดขาวในรถหาเสียงของผู้สมัครฯสมเดช
ที่น่าสะกิดใจอีกเรื่องก็คือวิญญาณเด็กหนุ่มที่สี่แยก ... เด็กหนุ่มที่สถิตอยู่กับ ‘ ตุงแดง ’ นั่นอีก เขาบอกฉันว่าถูกชายชุดขาวเสี้ยมสอนให้ทำชั่ว โดยเฉพาะการทำให้เกิดอุบัติเหตุเพื่อหวังให้ตนเองพ้นทุกข์จากการเป็นวิญญาณติดที่
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงอดคิดไม่ได้ ว่าบางทีเรื่องราวทั้งหมดอาจมาจากชายชราชุดขาวคนนั้น ... คนที่เลี้ยงผี !
และเหตุการณ์ในวันนี้ ... วันที่ฉันควรได้ทัศนศึกษาที่สนามบิน ทว่าฉันกลับต้องพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดลึกลับ ถึงแม้ฉันจะช่วยผู้คนจำนวนมากให้รอดพ้นจากความตาย ... แต่การณ์นี้หมายถึงฉันได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คนจำนวนมากหรือไม่ ? และบุคคลชุดดำที่ฉันคาดเดาว่าคือยมทูต พวกเขาได้มากันเป็นจำนวนมากที่สนามบินเพื่อรับดวงวิญญาณที่มีเกณฑ์ต้องสิ้นชีพ ทว่าเพราะตัวฉันที่มองเห็นเปลวไฟสีดำทมิฬ อัคคีมายาอันเป็นลางร้ายที่ระบุถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันพยายามขอความช่วยเหลือจากท่านการุณย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อหยุดยั้งการขึ้นเครื่อง และนำพาไปสู่การค้นหาระเบิด
ผู้คนทั้งหมดจึงรอดตาย !
แม้ฉันจะสบายใจ โล่งใจจากการช่วยชีวิตคน ทว่าลึกๆแล้วหัวใจฉันยังอดหวั่นไหวไม่ได้ ฉันเกรงกลัวกลุ่มยมทูตชุดดำเหลือเกิน พวกเขาพลาดเป้าหมายจากหลายร้อยดวงวิญญาณ เหล่ายมทูตอาจโกรธแค้นและหวนกลับมาทำร้ายตัวฉัน และอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฉันหวาดกลัว ... นั่นคือชายชราชุดขาว จอมขมังเวทย์ผู้เลี้ยงวิญญาณร้ายไว้มากมาย บางทีเขาอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์น่ากลัวทั้งหมด
ที่สำคัญท่าทางชายชราน่าจะเคียดแค้นฉันที่ไปขัดขวางแผนการ !
และวันนี้ฉันได้เห็นสิ่งแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือเพลิงมายาดำ ! ... ไฟมืดมนสีแดงแกมดำลุกโชนท่วมร่างจอมขมังเวทย์ อัคคีมายาที่เห็นพวยพุ่งออกมาจากรอยร้าวของลูกประคำแดงที่คอชายชรา และนอกจากเปลวไฟที่ลุกท่วมแล้ว ฉันเห็นภูตผีปิศาจรอบกายพากันว่ายเวียนวนรอบกายอย่างผิดปกติ
เรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นไร ... แม้ฉันจะพยายามคิดวิเคราะห์แต่ก็ไม่สามารถแกะปมปัญหานี้ออก และในที่สุดเปลือกตาของฉันจึงเริ่มหนักขึ้น ... หนักขึ้น ดวงตาของฉันปิดลงช้าๆด้วยความง่วงเหงา ... จนกระทั่งปิดสนิทในที่สุด
... ...
แสงสว่างที่ลอดเปลือกตาปลุกให้ฉันลืมตาขึ้นด้วยคิดว่าเป็นอรุณรุ่ง ฉันบิดขี้เกียจไล่ความง่วงเหงาที่ยังรุมเร้าเสียทีหนึ่งก่อนจะชันกายลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมพร้อมในภารกิจประจำวัน ... ลุกจากที่นอน ?
ทว่ารู้ตัวในบัดดลนั้นว่าไม่ใช่ที่นอน !? ฉันลุกพรวดขึ้นทันควันเมื่อสติครบถ้วนรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวได้แจ่มชัด ฉันสัมผัสได้ว่าที่ที่กำลังนอนหาใช่เตียงอันแสนอ่อนนุ่ม ... ทว่ากลับกลายเป็นพื้นดินแห้ง แข็งและแตกระแหง ส่วนรอบกายของฉันนั้นเล่า ... หาใช่ห้องนอนส่วนตัวในบ้านน้อยแสนรักไม่ หากแต่มันเป็นสถานที่ภายนอกอาคารที่ฉันไม่เคยรู้จัก
ใจเต้นตึกตักโครมคราม ... เหตุการณ์ที่กำลังเผชิญเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ฉันพยายามสะกดกลั้นความตื่นตระหนก ตั้งสติให้เยือกเย็นแล้วจึงหันซ้ายขวาเพื่อสังเกตสิ่งรอบตัว ลึกๆอยากจะกรีดร้องดังๆ กระนั้นฉันรู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นหาได้มีประโยชน์หรือช่วยให้อะไรดีขึ้นไม่ และเมื่อวิเคราะห์ได้เช่นนั้น สรุปแล้วว่าการตั้งสติให้มั่นคงน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
บรรยากาศรอบกายที่ปรากฏเบื้องหน้าลานสายตา ... มันคือทุ่งร้างอันแห้งและแตกระแหง ภาพกว้างไกลที่เห็นด้วยจักษุโสตนั้นหาได้มีสิ่งมีชีวิตปรากฏไม่ กระทั่งวัชพืชจำพวกหญ้ายังไม่อาจขึ้นปกคลุมแผ่นดินแห่งความตายนี้ได้ หรือหากจะมีสิ่งที่ ‘ เคย ’ มีชีวิตในที่นี้ ก็เห็นจะมีเพียงแค่ต้นไม้ตายซากห้าหกต้นที่มองเห็นได้ในระยะไกลลิบ ส่วนสัมผัสที่ผ่านทางฝ่าเท้าอันเปลือยเปล่า ... มันอุ่นและคุกรุ่นราวกับมีเชื้อไฟร้อนระอุอยู่ข้างใต้ เช่นนั้นที่แห่งนี้คือทุ่งร้างมรณะ ... ทุ่งแห่งความตายชัดๆ !
“ มีใครอยู่บ้าง ? ” ฉันลองป้องปากตะโกน ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าไม่มีใครในระยะสายตา “ เฮ้ ! ช่วยด้วย ! แถวนี้มีใครบ้าง ? ” ลองอีกครั้ง แน่นอนว่าคำตอบที่ได้รับมีเพียงเสียงแห่งความเงียบเท่านั้น
ฉันใช้มือปาดเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้า ความร้อนรุ่มอันเกิดจากทั้งไอระอุผ่านผิวดิน หรืออีกทางหนึ่งจากความร้อนรนของหัวใจจากการต้องอยู่ในที่ไม่รู้จัก ยิ่งกว่านั้น ... เมื่อฉันเงยหน้าดูท้องฟ้า ฉันพบว่าแผ่นนภาเบื้องบนสว่างไสวเป็นสีแดงแกมส้ม ทว่ากลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ !?
ฉันสับสน ต่อไปจะทำเช่นไร ? จะออกเดินไปทางไหนก็ไม่รู้ทิศทาง ครั้นจะรออยู่กับที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ?
“ ทางนี้ เด็กน้อย ” น้ำเสียงทุ้มต่ำจากทางด้านหลัง ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยทีแรกแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณรอบตัว เมื่อฉันหันไปตามเสียงเรียก จึงได้เห็นใครคนหนึ่ง ... บุรุษชุดดำ !?
“ คุณ ? เอ๊ะ ! นี่หมายถึงว่าหนูตายแล้วอย่างนั้นหรือคะ ? ” ฉันถามจากความเข้าใจ ฉันพยายามวิเคราะห์เอาว่ากลุ่มคนชุดดำที่ได้พบเจอในช่วงหลังน่าจะเป็น ‘ ยมทูต ’ ... ผู้นำวิญญาณไปสู่ปรโลก ชายชุดดำผู้ปรากฏตรงหน้า เป็นชายคนที่มีหนวดที่ฉันเคยเจอ เขาทำหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกครั้งที่ได้พบ นอกจากนั้นเขายังนิ่งเฉย ไม่ปริปากตอบคำถามแม้แต่น้อย
“ ช่วยบอกหน่อยค่ะ หนูตายแล้วใช่ไหมคะ ? ” ฉันถามอย่างร้อนรน ชายหนวดชุดดำนิ่งอยู่อึดใจก่อนที่จะบอกกับฉัน “ มิใช่ ... เจ้าเพียงแค่ถอดวิญญาณออกจากร่างเนื้อเท่านั้น ” เป็นคำตอบที่ทำให้ทั้งงุนงง ทั้งตระหนกมากขึ้นไปอีก
“ ถอดวิญญาณ ? ” ฉันทวนคำ “ ใช่ ... ด้วยอำนาจแห่งนายเหนือหัว อันที่จริงเราเฝ้าติดตามเจ้ามาสักระยะแล้ว นายเหนือแห่งเราสนใจในตัวเจ้ามาก ด้วยเหตุนี้นายท่านจึงคิดเชิญเจ้าให้มาพบปะพูดคุย ” ฉันเริ่มเข้าใจ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คำถามยังมีอีกกระบุงโกย
“ แล้วที่นี่ที่ไหนคะ ? ทำไมตัวหนูถึงต้องถอดจิตด้วย ? ” สองคำถามรวด “ ที่นี่คือโลกแห่งวิญญาณ เป็นโลกที่กายเนื้อไม่มีวันเดินทางมาถึง แต่เอาเถอะ ... รับรองว่าค่อนข้างปลอดภัย ” เป็นคำตอบของชายชุดดำ
“ เอ่อ ... ค่อนข้างปลอดภัย หมายถึงไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหมคะ ” ฉันถาม รู้สึกใจแป้วพิกล ชายชุดดำยิ้ม หนวดดำเป็นประกายมันเรียบ “ ไม่ต้องกังวล หากดวงวิญญาณกลับสู่ร่างเนื้อก่อนแสงอาทิตย์แรกจะสาดส่อง ... รับรองว่าวิญญาณเจ้าไม่มีทางได้รับอันตราย ”
“ งั้นใครมีธุระอะไรกับหนูก็รีบเถิดค่ะ หนูกลัวไม่ทัน ” ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ฉันรีบเร่งรัดชายชุดดำทันที โธ่ ... ก็ใครล่ะจะอยากตาย “ เอ่อ ... ว่าแต่โลกวิญญาณนี่ ... หมายถึงว่าเราอยู่ที่ไหนหรือคะ ? ” อีกคำถามขณะที่ชายชุดดำกำลังจะเริ่มนำทางเธอไปในทิศทางหนึ่ง
“ เดี๋ยวถึงแล้วเจ้าก็จะรู้เอง ” ...
จากคุณ |
:
Luckard
|
เขียนเมื่อ |
:
28 เม.ย. 54 10:01:17
|
|
|
|