ถึงแม้ว่าจะมีคนอ่านนิยายของผมน้อย แต่ผมก็จะต่อสู้ต่อไปครับ เป็นกำลังใจให้นักเขียนอายุ 17 ปีด้วยนะครับ
บทนำ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10491916/W10491916.html
....................
๑
วันนี้เป็นวันเกิดผู้เป็นย่าของติระ ทั้งบิดามารดาของบุรุษหนุ่ม คือนายแพทย์ติกะ และเภสัชกรหญิงพรพรรษาจึงต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อออกเดินไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ก่อนที่จะไปถึงที่นั่น เขาต้องพาครอบครัวติณรักษ์มารับภาพเขียน ของขวัญวันเกิดของคุณย่ากับมณฑป จิตรกรหนุ่มไฟแรง ผู้เป็นสหายเสียก่อน
ด้วยความสนิทชิดเชื้อ ติระจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงแกลลอรี่ของมณฑปซึ่งตั้งอยู่คนละเส้นทางสู่จุดหมายปลายทางของเขาในวันนี้ เขาก็สามารถมารับสินค้าที่บ้านของเพื่อนสนิทได้เลย
บ้านของมณฑปเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดกลางทาสีฟ้าอ่อนบนที่ดินประมาณหกร้อยตารางวา ที่ไม่ว่าจะมองไปมุมมองใดของตัวบ้าน ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าได้รับการออกแบบเสียก่อน มิใช่ว่ามีข้าวของอะไรก็จับวางได้ทันที ตั้งแต่สวนอันร่มรื่น ที่มีทั้งไม้ยืนต้นที่ทำให้ร่มเย็น และไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายสายพันธุ์ที่ทำให้สวยงาม เสียงสายน้ำจากน้ำพุเล็กในบ่อที่ก้อขึ้นด้วยอิฐประสานทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ ข้างๆ คือโอ่งดินเผาปลูกกกอียิปต์ ในบริเวณเดียวกันนั้น มีศาลาหลังน้อยที่มุงด้วยหญ้าคา กลมกลืนกับธรรมชาติ ด้านในมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้สักแท้สำหรับให้สมาชิกได้พักผ่อนหย่อนใจ
ครั้งหนึ่งคุณพรพรรษาเคยออกปากชื่นชม ขณะที่ทั้งสองครอบครัวมารับประทานอาหารค่ำร่วมกันที่ร้านอาหารของติระว่า
“ชอบบ้านคุณมณจัง ตกแต่งสวย มีดีไซน์ดี ทำไมตาติณไม่มีหัวทางด้านนี้บ้างนะ”
ฝ่ายติระก็โอดครวญ
“โธ่! แม่ ทางใครก็ทางมันสิ…ลองให้ไอ้เมษมันทำกับข้าวง่ายๆ อย่างข้าวผัดดูสิ กินได้ก็ให้มันรู้ไป…”
เมื่อเข้ามาภายในตัวบ้าน เครื่องเรือนทุกชิ้นต่างก็มีรูปทรงอันทันสมัยซึ่งถูกจัดวางอย่างเป็นสัดเป็นส่วน และสะดวกสบายต่อการใช้งาน แต่ที่สะดุดตาผู้มาเยือนทุกครั้ง คือรูปภาพในกรอบรูปน้อยใหญ่บนฝาผนังที่ถูกกำกับด้วยลายเซ็นของจิตรกรคนเดียวกัน หากต่างกันที่วัน เดือน ปีที่วาด
บุรุษหนุ่มผิวขาว ส่วนสูงใกล้เคียงกับติระ เพียงแต่ดวงหน้าบ่งบอกว่ามีเชื้อสายชาวแผ่นดินมังกรนำพาครอบครัวติณรักษ์มาที่ห้องรับแขกที่กรุกระจกรอบด้าน ทำให้ห้องสว่างโดยไม่ต้องอาศัยดวงไฟสักดวง มองออกไปภายนอกก็จะเห็นสระว่ายน้ำรูปทรงแคปซูลที่เขาใช้ง่ายอยู่เป็นประจำ ตรงกลางเพดานแขวนโคมไฟระย้าที่มากด้วยราคาค่างวด เนื่องจากสั่งซื้อมาจากฝรั่งเศส
ทั้งหมดนั่งลงบนโซฟาบุด้วยกำมะหมี่สีน้ำตาลเปลือกไม้ ยกเว้นมณฑปที่หายเข้าไปในห้องครัว เพื่อยกน้ำดื่มมาเสิร์ฟ เพราะบ้านหลังนี้ไม่ได้ว่าจ้างพ่อบ้านแม่บ้าน เมื่อกลับเข้ามาในห้องรับแขกก็ถามผู้อาวุโสทั้งสองขึ้นว่า
“อาติ อาพร สบายดีนะครับ”
“สบายดีจ้ะ ไม่เจ็บ ไม่จน” เภสัชกรหญิงเป็นผู้ตอบคำถาม
“แต่ฉันป่วยนิดหน่อยว่ะ” ติระร้องขึ้น
“นั่นก็เรื่องของแก ไอ้ติณ” บุรุษหนุ่มตอบด้วยท่าทียียวน ก่อนหันมาถามผู้สูงวัยว่า “รับอะไรเพิ่มไหมครับ มีขนมเค้ก ผลไม้ก็มีสาลี่กับมะละกอครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกเมษ ทานเช้าอิ่มกันมาแล้ว” นายแพทย์ว่า
หลังจากนั้นบุรุษหนุ่มทั้งสองก็ปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้สนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ฝ่ายนายแพทย์ติกะสอบถามสารทุกข์สุขดิบของอายุรแพทย์ อดีตเพื่อนร่วมงาน อย่างผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ไมตรี หลังจากลาออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนคุณมณฑาก็เชื้อเชิญคุณพรพรรษาไปดูกล้วยไม้หวายซึ่งกำลังผลิดอกสะพรั่งที่หลังบ้าน
ครั้นแล้ว มณฑปกับติระก็ไต่บันได้ขึ้นมาที่ชั้นสอง เลี้ยวขวาและเดินผ่านห้องสองห้อง มาถึงมุมสุด ก็คือห้องที่บุรุษหนุ่มใช้สำหรับทำงานศิลปะ
เมื่อเปิดประตูเข้ามา จมูกของติระก็ปะทะกับกลิ่นธูปจางๆ ซึ่งผู้เป็นสหายจุดบูชาพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งศิลปะที่นับถือ แสดงว่าเขากำลังทำงานศิลปะอยู่ ซึ่งมณฑปจะปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ
ภายในห้องสีเหลี่ยมขนาดไม่กว้างขวางนัก ทาสีขาวสบายตาเต็มไปด้วยรูปภาพทั้งทิวทัศน์ธรรมชาติ บุคคล หรือรูปภาพที่ผู้ชมเกินกว่าจะเข้าใจว่าศิลปินต้องการสื่อสารสิ่งใด ส่วนใหญ่จะวางซ้อนๆ กันไว้บนพื้น ตระเตรียมนำไปไว้ที่แกลลอรี่ ส่วนน้อยที่จะเข้ากรอบ แขวนอยู่บนฝาผนัง ซึ่งรูปภาพเหล่านี้มักจะได้รับรางวัลต่างๆ มา
ติระเคยหยั่งเชิงไต่ถามราคาภาพเขียนสีน้ำมันชิ้นหนึ่งที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดจิตรกรรมจากประเทศออสเตรีย แต่ถูกปฏิเสธอย่างทันท่วงที บอกว่าต่อให้มีเงินทองกองท่วมภูเขาก็ไม่ยอมขาย เพราะรูปภาพนี้นำพามาซึ่งความภาคภูมิใจ และเครื่องหมายการันตีฝีมือของเขาเอง
“ไหนล่ะ รูปของฉัน” ติระถามขึ้น
มณฑปชี้ไปที่รูปภาพที่ถูกคลุมด้วยผ้าผืนบางเบาบนขาตั้งไม้ริมหน้าต่างกระจก
“ไอ้เมษ แกทำอย่างกับมีเซอร์ไพรส์”
ฝ่ายนั้นก็เพียงแต่ยิ้มมุมปาก ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แล้วบอกว่า
“ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าถ้าแกไม่ชอบ ฉันให้เตะ…”
“ฉันก็บอกไว้ก่อนเหมือน ว่าฉันจะชอบหรือไม่ชอบ ฉันก็เตะอยู่ดี” ติระตอบกลับอย่างทีเล่นทีจริงอันบ่งบอกถึงความสนิทสนมว่ามากน้อยเพียงไร
ติระและมณฑปเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษาตอนต้น จวบจนทั้งสองสำเร็จการศึกษา จึงต้องแยกย้ายไปศึกษาเล่าเรียนกันคนละมหาวิทยาลัย ทางด้านมณฑปเข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรมของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ส่วนติระเดินทางไปศึกษาต่อทางด้านการบริหารธุรกิจที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้นติระสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ก็ได้กลับมาพบปะสังสรรค์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น ติระก็ได้รับบ้านไม้สองชั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากผู้เป็นอา เขาจึงนำมาปรับปรุง แล้วเปิดเป็นกิจการร้านอาหารไทยเล็กๆ เพราะชื่นชอบการประกอบอาหารมาตั้งวัยเยาว์ โดยรูปภาพทุกชิ้นที่ประดับตกแต่งร้าน และบ้านของบุรุษหนุ่มเอง ก็จะสั่งซื้อกับมณฑปเสมอ อีกฝ่ายก็ช่วยประชาสัมพันธ์ร้านอาหารของผู้เป็นสหายให้กับลูกค้า ซึ่งส่วนมากเป็นชาวตางชาติที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทยที่มาเยี่ยมชมกับซื้อภาพเขียนของเขา…เป็นวิถีชีวิตที่พึ่งพาอาศัยกันเสมอมา…
บุรุษหนุ่มผิวขาวกลมกลืนไปกับสีของผนังห้องคลุมรูปภาพไว้ ทำราวกับมันเป็นของรางวัล เมื่อติระชนะการเล่นเกมมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อติระดึงผ้าผืนนั้นออก เผยให้เห็นภาพเขียนสีน้ำมัน ก็ทำให้บุรุษหนุ่มถึงแก่ผงะ ด้วยความตกตะลึง
ภาพจากความฝันเมื่อคืนวานผุดวาบขึ้นมาในความคิด
ผู้หญิงในรูปภาพกับผู้เป็นในความฝัน ไม่เป็นพี่น้องฝาแฝด ก็คงเป็นคนเดียวกันนั่นล่ะ
พร้อมกันนั้น น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลชวนให้เคลิบเคลิ้มก็ก้องขึ้นมา
…ฉันชื่อเดือนอ้าย ส่วนคุณ…ติระ…
ติระครุ่นคิด เหตุผลที่หล่อนรู้จักเขา ก็เพราะว่านั่นเป็นความฝันของเขาเอง ทำไมเขาจะไม่รู้จักว่าตนเองเป็นใคร ชื่ออะไร…ทุกอย่าง คือมโนภาพที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมา
แต่ประเด็นที่สำคัญ คือเหตุใด จิตใต้สำนึกของเขาจึงปั้นแต่งหญิงสาวให้มีใบหน้าที่เหมือนกับบุคคลในภาพเขียนอย่างไม่มีส่วนใดแตกต่าง อีกทั้งชื่อแปลกๆ ที่เพิ่งจะเคยได้ยิน อย่างเดือนอ้าย เขามั่นใจว่า ทั้งชีวิตไม่เคยประสบพบเจอผู้หญิงคนนี้มาก่อน…ในโลกแห่งความเป็นจริง ก็เพิ่งจะได้เห็นหล่อนก็วันนี้…
หล่อนเป็นใคร ทำไมจึงได้มาเกี่ยวพันกับชีวิตของเขา…
หรืออาจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร สังเกตได้จากท่าทางเกรี้ยวกราดของหล่อน เมื่อหญิงสาวบังคับให้เขาให้คำมั่นสัญญากับหล่อน
…สัญญาสิ! สัญญาว่าจะช่วยฉัน…สัญญา! สัญญาเดี๋ยวนี้!...
ครั้นแล้ว ภาพอันสยองขวัญก็ผุดวาบขึ้นมา
เส้นเลือดสีเขียวคล้ำที่แตกแขนงไปทั่วทั้งดวงหน้าซีดเผือด ดวงตาที่แดงก่ำด้วยเส้นโลหิต ตลอดจนเสียงกรีดร้องที่เกิดขึ้นหลังจากเธอหย่อนกายลงแม่น้ำหายไป…หล่อนมิได้แตกต่างอะไรกับวิญญาณร้าย
ติระสรุปว่าทุกอย่างเกิดขึ้น คือเรื่องราวที่ตนเองคิดไปเอง สตรีผู้นั้นเป็นเพียงจินตภาพ เฉกเช่นสตรีในรูปภาพ ก็เป็นจินตภาพของมณฑป ที่ทั้งสองเกิดมีอุดมคติด้านผู้หญิงแบบเดียวกัน
เมื่อสลัดความคิดอันสับสนวุ่นวายเหล่านั้นไปได้ ติระก็หันมาพินิจพิจารณาฝีมือของผู้เป็นสหาย
ภาพเขียนเบื้องหน้านั้น เป็นภาพเขียนสีน้ำมันขนาดครึ่งตัวของผู้ที่ถูกวาดในอิริยาบถยืน สายตาของหล่อนที่มองออกมา ทำให้ติระอดคิดไม่ได้ว่าหล่อนมีชีวิตจริง และกำลังจับจ้องเขาอยู่ หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง สตรีผู้นี้ได้ชื่อว่า ‘หมดจดงดงาม’ อย่างยากที่จะมีผู้หญิงคนใดที่จะเอาชนะหล่อนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความผุดผาดของหล่อนอาจจะมีเพียงหนึ่งเดียวในพิภพก็เป็นได้…ตั้งแต่ดวงตาคู่งามราวกับดวงตาของเนื้อทราย จมูกเป็นสันพอดี รับกับริมฝีปากบางราวกับกลีบดอกไม้สีชมพูระเรื่อ รวมทั้งแก้มสีเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดถูกจัดวางอย่างพอเหมาะพอเจาะบนดวงหน้ารูปไข่ เรือนผมสีดำขลับที่ปล่อยสยาย ก็ยิ่งทำให้หล่อนงดงามอย่างผู้หญิงไทยแท้
พิศดูโฉมงามทรามสวาท ผุดผาดเพียงเทพเลขา
หล่อนคือสุรางค์นางฟ้า สุดจะหาได้ในแดนดิน
งามพักตร์ลักขณาหาใครเหมือน คือดวงเดือนเด่นนวลชวนถวิล
งามเกศโสภิตสนิทนิล งามขนงราวอินทร์ธนูทรง
งามโอษฐ์เอี่ยมแสงแดงแฉล้ม เหมือนกุหลาบยามแย้มยิ่งประสงค์
งามปรางค์พ่างเพียงบุษบง พิศวงจำเริญเพลินพินิจ
(จากท้าวแสนปม บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็ดพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
นอกเหนือจากนั้น คือการแต่งกายของหล่อนที่เขาเคยพบเห็นมาแล้ว คือการห่มสไบปักสีเหลืองทอง แตกต่างก็ตรงที่คราวนี้บุรุษหนุ่มได้เห็นละเอียดลออของลวดลายบนผืนผ้า
ส่วนฉากหลังมณฑปเลือกที่จะวาดเป็นดอกไม้สีขาวน้อยใหญ่ บนพื้นสีชมพูอ่อน ทุกอย่างจึงกลมกลืนลงตัวแบบพอดิบพอดี
.........................
บทที่ 1 (ต่อ) http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10499338/W10499338.html
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 54 22:19:05
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 54 20:32:42
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 54 20:27:59
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 54 20:22:52