Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พิศวาส ณ ยามสาง - 12 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10491656/W10491656.html

บทที่ 12

เรือนริมน้ำอยุธยามาปรากฏเบื้องหน้า ตาไร้แววของแม่อ่อนจับทุกอณูทั่วอาณาเขตด้วยความชื่นใจเจือผูกพัน ร่างนวลลอยเนิบช้าตามหลังเจ้าของบ้านมาจนถึงห้องพระ

นางก้มตัวลงกราบอย่างนอบน้อม พลางกระเถิบแทรกผ่านบานประตูเข้าไปยอบหมอบอย่างยำเกรงในอำนาจพระพุทธคุณ ปุราณนำนางมาพักผ่อนตลอดกาลในห้องนี้ น้ำตาเขารื้นขึ้น ขณะลูบโกศแก้วใบเล็กบนตั่งเตี้ย

"ทำไมแม่นมถึงได้ด่วนจากไปเร็วอย่างนี้ครับ ผมนึกสังหรณ์ใจตั้งแต่ฝันเห็นแล้วเชียว ใจดำจังนะ รอให้ผมไปเยี่ยมก่อนก็ไม่ได้"

'โถ คุณปูของนม' แม่อ่อนได้แต่เปรยอย่างอาทร นางสงสารความโหยหาของคนพึมพำตัดพ้อ เข้าใจในความเหงาที่เจ้าตัวหมั่นซ่อนซุกอย่างเข้มแข็ง

การสูญเสียสรัลอย่างกะทันหัน นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะมันทำให้ปุราณคนเดิมตายไปจากความทรงจำของทุกคนอย่างถาวร

หนุ่มพ่อหม้ายที่เห็นตรงหน้าในเวลานี้ เป็นเพียงผู้ชายว้าเหว่ และสิ้นสูญกำลังใจ หากแต่เจ้าตัวยังพยายามประคับประคองให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไป แม้จะตระหนักว่าทุกก้าวที่ก้าวไปข้างหน้าตามลำพังจะปราศจากความสุขใดๆ มารอต้อนรับก็ตาม

แต่มันก็ไม่จริงเลย ชีวิตของเขาจะค่อยๆ รุ่งโรจน์ขึ้นเอง หลังจากได้พบเจอกับเนื้อคู่แท้อย่างวัสอร มันเป็นชะตาที่ฟ้าจงใจหย่อนอุปสรรคลงมาแทรกกลางอย่างนึกสนุกเท่านั้นเอง 'ความรักครั้งใหม่' จึงอาจจะต้องก่อเกิดภายใต้ม่านหมอกแห่งเคราะห์กรรมผืนหนา

และบางที การหล่อหลอมความรักให้เป็นหนึ่งเดียวกับใจสองดวง ก็อาจจำเป็นต้องอาศัยเยื่อใยพิศวาสมาเชื่อมสองกายให้กลายเป็นหนึ่ง หากแต่มันจะถูกกำหนดขึ้น ด้วยจิตที่ผูกพันอันร้อนกล้าและกร้าวแกร่งของสรัล




พริ้มเพราเตรียมอาหารเย็นอยู่ในครัว สีหน้าของสาวใช้อาภัพไม่ค่อยเบิกบานนัก เพราะผิดสังเกตกับความเย็นชาหมางเมินของวัสอร หล่อนรู้สึกได้ตั้งแต่ก่อนเดินทางไปร่วมงานศพของแม่นมอ่อนที่กรุงเทพแล้ว

สาวแม่บ้านตื่นอย่างกระฉับกระเฉงในเช้าวันนั้น ไข้ที่เกาะกุมก็ดูเหมือนจะลดฮวบอย่างน่าอัศจรรย์ แล้วจากนั้นไป เธอก็กลับมาเป็นสาวร่าเริง ช่างพูดช่างคุย แต่ก็เป็นเฉพาะกับปุราณเท่านั้น หากเป็นคนอื่น ท่าทางของเธอดูค่อนข้างไว้ตัวแลประหนึ่งเป็น 'เจ้านาย'

วูบหนึ่ง พริ้มเพราก็ทอดถอนใจอย่างขมขื่น รู้สึกน้อยใจในวาสนาอันน้อยนิด อุตส่าห์เกิดมาทั้งที ก็เป็นได้เพียงสาวใช้ที่แอบหลงรักเจ้านาย มิหนำซ้ำ เจ้านายในยามนี้ ก็มีท่าทีแปลกเปลี่ยนไป

คืนก่อนโน้น เขาเผยความห่วงใยวัสอรเป็นอย่างมาก ยอมแม้แต่จะทะเลาะกับภรรยาสุดที่รัก เพียงเพื่อจะปกป้องแม่บ้านวัยใส ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อหึงหวง

ครั้นพอรุ่งเช้า วัสอรตื่นขึ้นอย่างสดใสร่าเริง หล่อนก็ดูว่าเขาจะหายเครียดลงไปอักโข แม้จะกุมความหม่นหมองเพราะเพิ่งจะทราบข่าวร้ายของแม่นมอ่อนก็ตามทีเถอะ แต่อย่างน้อย หล่อนก็ได้เห็นละว่า 'เขายิ้ม'

"จัดโต๊ะที่ชานปีกซ้ายนะ เราจะกินกันที่นั่น" วัสอรแวะเข้ามาบอกด้วยเสียงกระด้าง

"ค่ะ" ภวังค์เศร้าแตกเปรื่อง พร้อมกับเสียงขานรับอย่างนอบน้อม

"หน้าเศร้าๆ เรียกร้องความสนใจอย่างนี้ เลิกทำเสียทีได้ไหม เพราะต่อให้ทำไปจนตาย คุณปูเขาก็ไม่หันมาเหลือบแลเธอหรอกนะพริ้มเพรา ฉันหวังดีนะ ถึงได้สละเวลาเตือน"

"คุณฝน" พริ้มเพราอุทานเสียงแห้ง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าววาจาซ้ำเติมบาดแผล

"อย่ามัวโอ้เอ้ ป่านนี้คุณปูคงอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว"

สาวแม่บ้านตัดบทแล้วเชิดหน้ากลับออกไป ทิ้งสาวใช้คนเศร้าให้ทรุดนั่งลงอย่างหม่นหมอง นึกไม่ออกว่า ตนไปเผลอก้าวร้าว หรือไร้มารยาทต่อฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเจ้าตัวจึงเพาะความหมางเมินได้แสนเย็นชาปานนั้น แม้กระทั่งวาจาก็หมั่นบั่นทอนและเชือดเฉือนให้หัวใจช้ำดวงนี้เจ็บระกำยิ่งกว่า




ร่างอรชรยืนเกาะราวระเบียงอ้อยอิ่ง ใบหน้าทอดตรงไปยังสระบัวใหญ่เบื้องหน้า ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับขอบฟ้า ความมืดก็เพิ่งจะโรยตัวลง

หากแต่บรรยากาศที่คลี่คลุมชานปีกซ้ายของเรือน กลับแลหดหู่หม่นหมองไปด้วยความเงียบ ปุราณถอนใจเบาๆ ขณะพาร่างสูงเพรียวมายืนข้าง แล้วปลอบโยนขึ้นด้วยเสียงเห็นอกเห็นใจ

"ทำจิตใจให้สบายดีกว่านะ แม่นมคงจากไปอย่างไม่สงบนัก หากเห็นว่าหลานสาวต้องมายืนซึมเซาโศกเศร้าไม่เลิกอยู่อย่างนี้"

"ทำเป็นสอนคนอื่น ตัวเองก็ไม่เห็นทำได้เลย" วัสอรยอกย้อนพร้อมกับเบะปากหมั่นไส้

"อะไรนะ"

ปุราณได้ยินถนัดแล้ว แต่ที่ถามเพราะนึกไม่ถึงว่าสาวแม่บ้านจะกล้ายอกย้อน เขาปลอบโยนด้วยความปรารถนาดีโดยแท้ แต่อีกฝ่ายกลับไร้มารยาท นอกจากไม่ขอบคุณ แต่กลับยอกย้อนให้เขาหงุดหงิด

ครั้นเธอเหลียวมาสบตาขุ่นแวบหนึ่ง ปุราณก็ลอบสะดุ้ง เพราะบังเอิญได้เห็นเงาบางอย่างผุดวาบในดวงตาเรียว แล้วเงาที่ว่าก็คือ 'สรัล'

ผีเกเรก็เช่นกัน เจ้าตัวลอบสะดุ้งกับจิตที่แข็งแกร่งเป็นบางครั้งบางคราวของวัสอร ปุราณเคืองเธอก็ถูกต้องแล้ว เพราะประโยคนั้น วัสอรเป็นคนกล่าวเอง มันเป็นประโยคที่หลุดพ้นออกมาจากบ่วงอำนาจที่สรัลคอยควบคุมอย่างคุกคาม

"อย่ามาอวดดีกับฉันนะ" สรัลต้องรีบเค้นเสียงกำราบด้วยจิตหยาบ

"คุณต่างหากที่กำลังอวดดีกับพลังอำนาจของตัวเอง คุณไม่มีสิทธิ์มาฉกฉวยร่างกายของฉันแบบนี้นะ"

"แล้วจะทำไม ฉันทำได้แล้วด้วยนี่ เก่งจริง ก็ผลักฉันออกไปสิ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็หุบปากไปซะ ไม่อย่างนั้น ฉันอาจจะพาเธอเดินทื่อๆ ลงสระ โดยไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้จมแล้วตายเป็นศพขึ้นอืด เป็นเพื่อนปูปลาก้นสระนั่นล่ะ เอาไหมล่ะ ฉันไม่ได้กล้าพูดแต่ปากหรอกนะ"

วัสอรอึดอัดกับการถูกทอดทับ เธอไม่มีพลังอำนาจใดๆ จะปกป้องตัวเอง หรือแม้แต่จะสลัดกายแปลกปลอมให้หลุดออกไป เสียงยืดยานโหยหวนของสรัล มันไม่ได้ก้องเฉพาะในโสตเหมือนก่อน แต่มันกังวานและสะท้อนหนักหน่วงเป็นห้วงๆ อยู่ในร่างกาย

เธอร้องไห้อย่างคับแค้นเจ็บใจ แต่อีกฝ่ายกำลังหัวเราะโหยหวนอย่างลำพองแกมสาสมใจ ก่อนจะตบท้ายด้วยวาจาผยองอีกเล็กน้อยว่า

"สำนึกได้แล้วว่าต่อกรกับฉันไม่ได้ใช่ไหม ถึงได้เงียบไปอย่างนั้น ก็ดี ต่อไปจะได้ไม่ต้องกำแหง สะเออะมางัดข้อกับอำนาจของฉันอีก จำเอาไว้ให้ดี ปูเป็นของฉัน ไม่ใช่ของเธอ เขาเป็นของฉัน และฉันก็เป็นของเขา เราสองคนคือสามีภรรยาที่จะครองคู่และอยู่กินกันไปจนกว่าจะตายจาก"

"เราหรือ"

"ใช่ เราไง ปู ฉัน แล้วก็.. " ผีเกเรเว้นวรรคเล็กน้อย เพื่อยิ้มแสยะอย่างเหิมเกริม ก่อนจะปล่อยเสียงต่ำออกมา "เธอ"

'คุณพระช่วย' วัสอรใจหายวาบ เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอคิดไปไกลถึงภาพกระสันรัญจวนมากมายที่เคยเห็น

มันเป็นภาพของปุราณ ที่ตกอยู่ในห้วงเสน่หาเร่าร้อน ทั้งหน้าห้องนอน และบนเตียงใหญ่กลางแสงสลัว แล้วภาพพวกนั้นล่ะ ที่ผุดความคิดกระเจิดกระเจิงออกมาจากจิตอันหวั่นไหวของวัสอร ทำนองว่า

'ตายๆ นี่อย่าบอกว่า สรัลจะดึงเธอเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมติ๊ดชึ่งนั่นนะ โอ้ ฝนเอ๊ยฝน ถ้ามันจริงอย่างนั้น แล้วจะแก้สถานการณ์ยังไง มิต้องลูบเคราเขียวจางที่แอบใฝ่ฝันไปตลอดทั้งคืนหรอกหรือ โอ้ ตายๆ แค่คิดก็เสียวสุดใจแล้วนะ'




อาหารค่ำมื้อนั้น ผ่านไปอย่างเฉื่อยเนือย ปุราณไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร อาจเพราะยังรู้สึกใจหายแกมอ้างว้างกับการจากไปของแม่นมอ่อน

เขารวบช้อนแสดงว่าอิ่ม หลังจากที่กินไปได้สองสามคำ สรัลเมียงมองอิริยาบถซึมเซาของเขาอย่างไม่สบายใจไปด้วย ระแวงว่าเขาอาจจับพิรุธได้ หากเขาทราบว่าหล่อนแอบสิงร่างของวัสอร เขาอาจโกรธก็ได้

แล้วถ้าเขาออกคำสั่งให้คืนร่างเสี้ยนสวาท หล่อนก็ไม่แน่ใจหรอกว่า จะยอมทำตามที่เขาบัญชาได้แต่โดยดี ทีนี้ เขากับหล่อนก็อาจจะบาดหมางรุนแรงกว่าคืนนั้นอีก

ขณะรีบลุกขึ้น หมายจะตามเขาไป ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปไหน เขาก็โพล่งสั่งมาเสียงต่ำๆ ว่า 'ไม่ต้อง' หล่อนจะขัดใจให้เป็นที่ผิดสังเกตก็ใช่ที่ จึงได้แต่ยืนมองร่างสูงเพรียวในชุดนอนสีเทาอ่อนผละไปด้วยแสงตาละห้อย

พริ้มเพราแวะกลับออกมาเก็บสำรับ ในจังหวะกระแทกนั่งอย่างหงุดหงิดของสรัล หล่อนไม่ทราบเบื้องหลังเบื้องลึก จึงเมียงมองหน้าบึ้งตึงของแม่บ้านวัยใสอย่างฉงน ใจก็คะเนไปว่า เจ้าตัวอาจโดนเจ้านายหนุ่มตำหนิไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

"มองอะไร" เสียงแหลมตวาดออกมา แสงตาวาววับดุร้ายจนคนถูกจ้องรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด "มีหน้าที่เก็บกวาดโต๊ะไม่ใช่หรือ ทำไปสิ มาสอดสาระแนอะไรเรื่องของเจ้านาย อย่าลืมสิว่า ฉันเคยเตือนไว้ว่ายังไง ถ้าไม่เลิกทะเยอทะยานอาจเอื้อมละก็ ฉันจะให้เธอหายสาบสูญไปเฉยๆ ยังไม่จำใส่หัวหรือไง โอ๊ย หงุดหงิดจริงๆ "

พริ้มเพราเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง คนพูดผละไปแล้ว หลังจากทิ้งถ้อยประโยคพิสดารระคนเกรี้ยวกราดไว้กระตุ้นความหวาดกลัวในจิต

สรัลเคยขู่อำมหิตไว้เช่นนี้นานมาแล้ว ซึ่งหล่อนก็ไม่เคยปริปากถ่ายทอดสู่ใคร แม้แต่วัสอร ดังนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่วาจาเช่นนั้น จะหลุดจากปากสาวแม่บ้านได้แบบไม่ตกไม่หล่น

ร่างน้อยเริ่มสั่นระทวยจนต้องรีบนั่ง ใจข้างในก็พานเต้นสั่นรุนแรงตามไปด้วย มือที่ยกทาบทรวงกระเพื่อม เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแห่งความหวาดกลัว หรือว่าเมื่อครู่นี้ หล่อนไม่ได้คุยกับวัสอร แต่กำลังคุยกับร่างแปลงของผีเกเร

'ตายแล้ว สรัลมีพลังอำนาจถึงขั้นแปลงร่างได้ตามใจชอบแล้วหรือ มิหนำซ้ำ ยังปรากฏให้เห็นได้ไม่ผิดเพี้ยนกับร่างคนสักนิดด้วย'

นี่คือข้อสันนิษฐานตามประสาคนกลัวผีของพริ้มเพรา หล่อนนึกไปไม่ถึงหรอกว่า สรัลสิงอยู่ในร่างเคราะห์ร้ายของสาวแม่บ้าน และด้วยความคิดเช่นนี้เอง ทำให้พริ้มเพราหายกังขาว่า ทำไมวัสอรจึงดูเปลี่ยนไปหลังจากตื่นขึ้นอย่างสดใสในเช้าวันนั้น

'อ้อ จริงสิ หรือว่าคุณฝนถูกฆ่าไปแล้ว' พริ้มเพราผุดความคิดสยดสยองขึ้นในทรวงสะท้าน ร่างระทวยผลุงขึ้นด้วยอาการกระสับกระส่าย

ใจเต้นแรงมาก เมื่อนึกว่า หากวัสอรหายสาบสูญไปเฉยๆ แล้วร่างที่เดินไปเดินมา ก็เป็นร่างแปลงตบตาคนอื่น สาวแม่บ้านก็น่าสงสารเกินไป ป่านนี้ ร่างของเธออาจจะกลายเป็นศพเดียวดายอยู่ตรงซอกไหนมุมไหนสักแห่งในอาณาบริเวณเรือนริมน้ำนี่ล่ะ

'หรือว่าจะเป็นก้นสระ' สาวแม่บ้านอยากร้องไห้ นึกเจ็บใจที่สมองจำเพาะต้องมาแล่นฉิว ผุดความคิดมาแต่ละอย่าง มีแต่จะบั่นทอนความกล้าหาญซึ่งมีน้อยนิดอยู่แล้ว ให้หดลงแห้งลงทุกขณะ

ตารื้นหยาดน้ำอุ่นจัด ส่ายไปจับสระบัวใหญ่ที่แลสลัวใต้แสงส้มหม่น ฟ้าร้องครืนดังแว่วมาจากสวนฟากตรงข้าม ครั้นเหลือบมองขึ้นไป ก็เห็นประกายหงิกงอของสายฟ้าแลบแปลบบางๆ บางที คืนนี้ ฝนอาจจะตกอีกก็ได้

สาวแม่บ้านกล้ำกลืนความหวาดกลัวกลั้วระกำ รีบเก็บสำรับเข้าครัว เก็บล้างคว่ำด้วยมือสั่นระริก

หล่อนอยากกลับเข้าห้องพัก อยากมีเวลาไตร่ตรองท่าทีแปลกเปลี่ยนของวัสอร ตั้งแต่ตื่นขึ้นในเช้าวันนั้น จนถึงวันออกเดินทางไปร่วมงานศพแม่นมอ่อน และจนถึงวันที่เดินทางกลับมา ไม่ยกเว้นแม้แต่การประจันหน้ากันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนตรงชานปีกซ้าย




ปุราณนั่งซุกกายบนเก้าอี้หวายตัวยาวในห้องทำงาน ปากสวยเม้มระงับความไม่พอใจที่สาวแม่บ้านกล้าขัดคำสั่ง

เธอเปลี่ยนไปจนแปลก ตั้งแต่ตื่นขึ้นอย่างสดชื่นบนเตียง เพื่อทราบข่าวร้ายการจากไปของแม่นมอ่อน และเขาเดาว่าหน้าเธอต้องถอดสี ทรุดระทวยลง จากนั้นก็ต้องร้องไห้ฟูมฟาย รบเร้าขอกลับกรุงเทพเลย

แต่ก็ไม่ใช่ เธอรับฟังด้วยสีหน้าสงบ อาจจะทำตาโตให้เห็นบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่อยากปรักปรำเลย แต่ก็สลัดความคิดที่ว่า 'เธอเสแสร้ง' ออกไปไม่พ้นสักที

ระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพ เธอก็หมั่นชายตามายั่วแกมเชิญชวน รอยยิ้มบนปากหยักบางก็ดูร้อนรัก ผิดจากรอยยิ้มสดใสเจือดื้อรั้นที่เขาคุ้นเคย

ครั้นพอถึงกรุงเทพ ตลอดเจ็ดวันในงานศพ เธอเผยท่าทีกระด้างกระเดื่องใส่มารดา วางท่าห่างเหิน แม้ฝ่ายโน้นจะตัดพ้อด้วยความน้อยใจบ้าง โกรธบ้าง ถึงขั้นเหน็บแนมพาลมาถึงเขา เธอก็ไม่มีทีท่าว่ายี่หระ

หรือแม้แต่วันเดินทางกลับเรือนริมน้ำ มารดาขอกอดก่อนจาก เธอก็ยังอิดออดอยู่เป็นนาน กว่าจะยอมด้วยท่าฝืนๆ เกร็งๆ

แล้วเมื่อครู่ก่อนก็เหมือนกัน เขาปลอบโยนด้วยใจเมตตา แต่เธอกลับยอกย้อนไร้มารยาท แม้เขาจะถามกลับอย่างไม่พอใจ เธอก็เบนหน้าหนีไม่ยี่หระ แล้วเงียบไปเสียเฉยๆ หรือเห็นว่าไม่มีแม่นมอ่อนแล้ว จึงไม่ต้องเกรงใจกันอีก
 
แต่ยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เวลานี้เขาไม่พอใจมาก ปุราณตัดบทให้ตัวเองอย่างนั้น พลางลุกร่างสูงเพรียวไปเปิดไฟ อาศัยความสว่างทั่วห้อง จ้องตาสาววัยใสที่กล้ากำแหงขัดคำสั่ง

ช่างไม่ใคร่ครวญให้หนักเสียบ้างว่า หากเขาไม่พอใจ แล้วเอ่ยปากไล่ขึ้นมา เธออาจต้องตกงานกะทันหัน แล้วเขาก็สามารถทำอย่างนั้นได้เลย โดยไม่ต้องเกรงใจแม่นมอ่อนอีกแล้วด้วย อ้อ ไม่ใช่สิ บางที เธอเองก็อาจกำลังเตรียมตัวไปจากเรือนริมน้ำอยู่ก่อนก็ได้

"วางไว้ แล้วออกไป" เขาปรายตามองถาดกาแฟที่สาวกำแหงยกมาบังหน้า

"คุณปูกินข้าวนิดเดียวเองค่ะ เศร้าโศกยังไงก็ต้องรักษาสุขภาพนะคะ"

"รู้แล้ว ออกไปได้ ฉันต้องการอยู่คนเดียว"

"อยู่คนเดียว ก็จะยิ่งฟุ้งซ่านนะคะ ฝนเองก็รู้สึกเศร้าโศกเหมือนกัน ที่จู่ๆ ก็ต้องมาสูญเสียแม่นมอ่อน เอ้อ ถ้ายังไงแล้ว เรานั่งคุยกันจนกว่าจะง่วงไม่ดีกว่าหรือคะ"

"ไม่ดี" ปุราณตัดบทเสียงห้วน เดินไปเปิดประตูหยาบๆ เท้าสะเอวแล้วขึงตาไล่เปิดเผย "ไปได้แล้ว"

สรัลเลียปากหงุดหงิด หล่อนทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการอยู่ตามลำพัง แต่กำลังรอให้หล่อนมาปรากฏตัว เขาคงเหงามาก สีหน้าเขามันฟ้องอย่างนั้น

หลังจากที่มีปากเสียงกับเขาอย่างรุนแรงในคืนนั้นแล้ว หล่อนก็ไม่ได้มาปรากฏตัวอีกเลย เขาคงเป็นห่วงกระมัง กังวลและกระวนกระวายเป็นที่สุดด้วยใช่ไหม เพราะปกติแล้ว ภรรยาสุดที่รักคนนี้ ไม่เคยงอนนานเป็นสัปดาห์อย่างนี้

แต่จะให้หล่อนแพร่งพรายโต้งๆ ก็ลำบากใจเหลือเกิน เขาต้องไม่เห็นด้วย และไม่พอใจเป็นอย่างมากที่หล่อนมาสิงร่างของแม่บ้านวัสอร เขาไม่มีวันยอมฟังหล่อนอธิบายว่า มันไม่ใช่ความผิดของหล่อนเลย แต่เป็นเพราะวัสอรกำลังดวงตกเองต่างหาก

แล้วถ้าหากเขาจะยอมรับให้ได้ง่ายๆ เหมือนหล่อนว่า 'สวรรค์กำลังเข้าข้าง' มันก็คงไม่ทำให้หล่อนต้องกระอักกระอ่วน จนต้องคอยหาจังหวะสร้างเยื่อใยพิศวาสผ่านร่างวัสอรอยู่อย่างนี้

"อย่าขังตัวเองไว้ในความมืดแบบนี้เลยค่ะ ต่อให้รอทั้งคืน คุณสรัลก็ไม่มาหรอกค่ะ"

"ไม่ใช่เรื่องของเธอ"

"ถ้าคุณปูไม่อ่อนแอให้เธอเห็น เธอก็คงไม่มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง"

"เธอพูดอะไรของเธอ"

วัสอรเหนื่อยมาก เธอต้องเค้นพลังแทบจะหมดร่างทีเดียว กว่าที่จะเอ่ยประโยคเตือนสติสองประโยคนั้นออกมา มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ที่เธอเพิ่งจะมาฉุกคิดได้

เพิ่งจะมองเห็นปัญหาปมเบาบางที่ปุราณแค่สะกิดมันก็หลุด แต่เขาก็เต็มใจปล่อยให้ปมมันขมวดอยู่อย่างนั้น ด้วยแรงรักแรงเสน่หาที่ไม่อาจตัดรอน

และเพิ่งจะทราบวิธีที่จะกำจัดเงารักร้ายของสรัลออกไปจากหัวใจเขา ก็ต่อเมื่อตนต้องโดนภรรยาไร้ร่างสิงสู่อย่างเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว

ดังนั้น คำถามสุดท้ายของปุราณ เธอจึงได้ยินพร้อมเพรียงทั้งเขาและสรัล ลำพังเสียงเข้มหนักของพ่อหม้ายหนุ่ม เธอไม่อินังขังขอบนัก แต่เสียงยืดยานโหยหวนแหลมลึกที่ก้องอยู่ในร่างของเธอนี่สิ เหมือนมีใครมาจุดชนวนระเบิดใส่เลยทีเดียว

แต่ถึงแม้ว่าปุราณจะไม่ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของภรรยาไร้ร่างที่มันยังสั่นสะเทือนเหมือนแรงระเบิดก็ตาม เขาก็ได้เห็นอย่างตกใจว่า วัสอรโงนเงนอยู่สองสามที เหงื่อผุดชุ่มเต็มหน้าซีดเผือด แล้วไม่นานก็ร่วงผล็อยในอ้อมกอดตระหนกเจือทุลักทุเล

ร่างไร้สติถูกอุ้มมานอนแน่นิ่งบนเก้าอี้ยาว ปุราณสับสนไปหมด เขายืนเท้าสะเอว ครุ่นคำนึงว่าควรจัดการกับแม่บ้านสาวต่อไปยังไง

ยามมองออกไปกระทบกับความมืดผืนหนานอกหน้าต่าง ใจก็พลันหงุดหงิดลึก เมื่อตระหนักว่า ประโยคแรกของวัสอรเป็นความจริง เขากำลังเฝ้ารอภรรยาให้มาปรากฏตัว หล่อนหายไปหลายวันหลายคืนแล้ว แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าหล่อนจะไม่มีวันไปไหน

"สรัล คุณอยู่ไหน สามีภรรยากระทบกระทั่งกันบ้าง มันก็เหมือนลิ้นกับฟันไม่ใช่หรือ คุณหลบหน้าผมแบบนี้ ไม่คิดว่ากำลังเอาเปรียบผมอยู่บ้างหรือ คุณเป็นฝ่ายเห็นผมได้ตลอดเวลานะครับ ที่รักของผม ออกมาหาผมหน่อยไม่ได้หรือ"

"ออกมาได้ค่ะ แต่คงอยู่นานไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ สรัลมันตกกระป๋องไปแล้ว"

เสียงยืดยานของภรรยาแว่วกระซิบอยู่ข้างหู ไออุ่นผ่าวซ่านขึ้นตรงนั้น ปุราณลิงโลดจนลืมวัสอรไปชั่วขณะ เขาผินหน้าไปเผชิญกับความว่างเปล่า แต่สำหรับสรัล ใบหน้าของสามีชิดใกล้เฉียดปลายจมูกเสียด้วยซ้ำ

น้ำตาเลือดสีดำเริ่มรื้นในตาไร้แวว หล่อนไม่สามารถอวดร่างใหม่ ที่แปรเปลี่ยนจากโครงขาวเป็นมวลควันดำหนา ผมซอยสั้นชี้สยายแข็งทื่อ ตาถลึงดุร้าย เล็บมือเล็บเท้างอกยาวแหลมเรียวและดำจนน่าขนลุก

ปุราณคงขวัญหนีดีฝ่อ ต่อให้หล่อนเร่งเร้าปรนเปรอสวาทผ่านจิตราคะอันแกร่งกล้าแค่ไหน ก็คงกระตุ้นให้เขาร่วมตอบสนองหมดใจไม่ได้ ด้วยว่าความหวาดกลัวมันเกาะกุมจิต

"คุณอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ที่รักของผม ทำไมไม่ปรากฏตัว เดี๋ยวผมจะไปตามพริ้มเพราให้มาดูแลฝน เราไปเจอกันที่ห้องนะครับ"

"ไม่ค่ะ สรัลไม่พร้อมจะคุยกับปูในเวลานี้"

"สรัลครับ อย่าทำกับผมแบบนี้สิ"

"สรัลไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ ขอเวลาให้สรัลทำใจอีกสักหลายวันนะคะ ระหว่างนี้ ก็เชิญคุณซิกซี้กับแม่บ้านจอมแส่ให้มีความสุขเถอะ"

"สรัล"

"สรัลต้องไปแล้วค่ะ สรัลเหนื่อย"

ปุราณก็อยากสารภาพเช่นนั้น เขาเหนื่อยกับการกระเสือกระสนตัวเองอยู่ในบ่วงรัก เหนื่อยกับการลอบลุ้นระทึกตลอดเวลาว่า จะมีวันใดวันหนึ่งไหมที่เขาอาจต้องสูญเสียสรัลไปตลอดกาล โดยไม่มีโอกาสได้ล่ำลาเหมือนเช่นคราวก่อน

เหนื่อยกับการภาวนาวิงวอนต่อสวรรค์ ให้เมตตาและวางเฉยต่อดวงวิญญาณของสุดที่รัก เพื่อที่หล่อนจะได้เวียนว่ายอยู่ในห้วงพิศวาส เคียงข้างเขาไปจนกว่าวันสุดท้ายของเขาจะมาถึง

'เงียบกริบขนาดนี้ ที่รักคงไปแล้วสิ' ปุราณถอนใจขณะกล่าวกับตัวเองในใจ ด้วยความรู้สึกขมขื่นเป็นที่สุด

เขาเดินไปหยุดหน้าประตู ตั้งใจตะโกนเรียกพริ้มเพราให้มาช่วยดูแลวัสอร แต่อึดใจต่อมา ก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้น แล้วย้อนกลับไปอุ้มคนหมดสติ พากลับห้องนอนของเธอด้วยตัวเอง

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 54 23:05:18




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com