1 แรกพบ
ขวัญ... ลูกไปดูให้พ่อหน่อยซิคะ ว่าใครมา เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากใต้ถุนบ้านไม้หลังเก่าพร้อมกับเสียงรถที่แล่นมาจอดหน้าประตูรั้วต้นไม้ดับเครื่องยนต์ลง
ร่างสูงระหงของเด็กสาวแรกรุ่นในชุดนักเรียนจึงปรากฎแก่สายตาผู้มาเยือน
สำหรับชายวัยกลางคนที่ก้าวลงจากรถนั้น เธอเป็นแค่ลูกสาวของคนที่ต้องการพบ เขาไม่ทันได้ดูหน้าเธอด้วยซ้ำ แค่รู้ว่ามีคนอยู่บ้านก็พอใจแล้วรีบเข้าประเด็นทันทีไม่ยอมเสียเวลา
พ่อหนูอยู่ไหม ช่วยไปตามพ่อออกมาหน่อย
แต่สำหรับสายตาอีกคู่ซึ่งซ่อนอยู่หลังกระจกรถยนต์ติดฟิลม์สีดำมืดนั้น เธอสวย... สวยจนเขารู้สึกใจสั่นหวั่นไหวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งเหม่อมองใบหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยผมศกดูอ่อนนุ่มที่ยาวจนถึงกลางหลัง แล้วประทับนัยน์ตาคมพราวระยับคู่นั้นไว้ในใจ ติดตรึงเป็นภาพความทรงจำครั้งแรกที่เขาพบเธอ
จะให้บอกว่าใครมาหาคะ? เสียงหวานกังวาลใสของเธอลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถที่เขาเปิดแง้มไว้
ผมชื่อนำทัพพ์ครับ เขาตอบเบาๆ อยู่ภายในรถโดยไม่หวังเธอให้ได้ยิน เด็กสาวจึงได้ยินเพียงเสียงชายวัยกลางคนตอบ...
ไปบอกว่า... เอ่อ... เจ้าของที่นาที่พ่อหนูเช่าทำอยู่ก็แล้วกัน
หลังจากที่ข้าวขวัญพาชายวัยกลางคนคนนั้นไปพบกับพ่อที่เก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ต้นไม้หลังบ้านและเสริฟน้ำดื่มเรียบร้อย พ่อก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เธอออกไปก่อนพ่อมีธุระจะต้องคุยกับแขก เด็กสาวแอบสงสัยว่า มันเรื่องอะไรหนอ ทำไมพ่อได้ยินว่าชายแปลกหน้าที่อ้างว่าเป็นเจ้าของที่นาคนนั้นมา ถึงได้มีสีหน้าดีอกดีใจนักหนา?
ครอบครัวของเธออยู่กันเงียบๆ แค่สองคนพ่อลูกมาตั้งแต่จำความได้ นานๆ คุณย่าจะแวะมาเยี่ยมหลานสาวสักครั้ง นอกนั้น แทบไม่เคยมีใครมาหา ถึงจะมีชาวบ้านมาขอคำแนะนำเรื่องการเกษตรจากพ่อ แต่ก็ไม่ได้มาถึงบ้าน เพราะพ่อปลูกเพิงเล็กๆ ไว้บนลานโล่งริมนาด้านโน้นสำหรับเป็นที่ประชุม จากเพิงหลังน้อยนิดตอนที่เธอยังเด็ก พ่อค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนชาวบ้านที่สนใจ ทำนาแบบพ่อ พร้อมๆ กับตัวเธอโตขึ้นทุกทีๆ จนเธออดสงสัยไม่ได้ว่า ตอนนี้เธอเรียนมัธยมปลายมันก็ใหญ่จนเต็มลานแล้ว ถ้าเธอเข้ามหาลัย มันไม่กลายเป็นศาลาวัดไปหรือไง
พ่อของเธอหรือที่ใครๆ เรียกว่า ลุงสิบ เป็น ชาวนาแท้ๆ เกิดในครอบครัวชาวนาและยึดอาชีพทำนาของบรรพบุรุษมาจนประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักของใครๆ ...ชาวบ้านหลายคนว่าลุงสิบทำนาจนเป็นเศรษฐีก็มาขอคำปรึกษา บ้างเดินทางมาจากจังหวัดห่างไกล พ่อพูดเสมอว่า ถึงเราจะไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่ชาวบ้านโม้กัน แต่ก็มีกินมีใช้ส่งเธอเรียนหนังสือสบายๆ ...ที่พ่อทำนาจนมีฐานะอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะพ่อไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี เน้นทำเกษตรกรรมแบบพอเพียง และลดต้นทุนด้วยการพึ่งพาตัวเอง
แต่เพื่อนบ้านใกล้ๆ กันนี้ กลับร่ำลือกันไปอีกอย่าง
พวกเขาพูดกันว่า เงินพ่อไม่ได้มาจากการทำนา แต่เป็นเงินที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้...
ความจริงเป็นอย่างไร ข้าวขวัญเองก็ไม่แน่ใจ แม่ของเธอเป็นใครข้าวขวัญก็ไม่เคยรู้...
บางคนบอกว่าแม่ของเธอเป็นผู้ดีตกยากจากกรุงเทพฯ มาอยู่กินกับพ่อที่นี่ซึ่งในเวลานั้นเป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบ แต่แม่ทนความลำบากไม่ได้ เลยหนีไปแต่งงานใหม่ พอมั่งมีแล้วจึงส่งเงินมาเลี้ยงลูกกับสามีเก่าซึ่งเป็นเพียงชาวนายากจน... บางคนบอกว่าพ่อตอนวัยรุ่น เคยไปทำลูกสาวเศรษฐีท้อง แล้วทางบ้านฝ่ายหญิงกีดกัน พอแม่คลอดเธอออกมา ญาติๆ ก็จับมาปล่อยทิ้งไว้หน้าบ้านพ่อพร้อมกับเงินก้อนโต... บางคนบอกว่าแม่ของเธอเป็นไฮโซเบื่อหนุ่มสังคม อยากได้ของเล่นแปลกใหม่เลยมาหลอกเด็กหนุ่มบ้านนาอย่างพ่อ พอเบื่อก็ทิ้ง แต่พลาด ดันมีลูกติดท้องไปด้วย... บางคนบอกว่าเธอเป็นลูกชู้ของผู้หญิงที่พ่อรักมากซึ่งจากพ่อไปโดยทิ้งเธอกับเงินมากมายเอาไว้ที่นี่...
แต่มีหลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่า เธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อ... ในสูจิบัตรระบุว่า ไม่ปรากฎชื่อบิดามารดา แถมพ่อยังแจ้งเกิดช้าจนเธอไม่รู้แม้แต่วันเกิดจริงๆ ของตัวเอง ...หลายปีต่อมา พ่อถึงพาเธอไปขึ้นทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม ตามหลักฐานทางเอกสาร... ด.ญ. ข้าวขวัญ ก็คือเด็กกำพร้าที่พ่อเก็บมาเลี้ยงดีๆ นั่นเอง แต่...
ส่องกระจกดูเงาของลูก แล้วบอกพ่อสิคะว่าลูกหน้าเหมือนใคร
เธอหน้าเหมือนพ่ออย่างกับแกะพิมพ์ ไม่ว่าจะรูปหน้า... สันจมูก... ริมฝีปาก... โดยเฉพาะนัยน์ตา... ราวกับเงาในกระจกช่วยยืนยันว่า เธอคือสายเลือดของพ่อ แต่พ่อกลับไม่ยอมเล่ารายละเอียดเรื่องชาติกำเนิดของเธอเลย
ข้าวขวัญได้ยินแต่คำร่ำลือเกี่ยวกับแม่ของเธอเองจากปากคนอื่น... เพื่อนๆ ...ครูที่โรงเรียนประถม ...ลุงๆ ป้าๆ เพื่อนบ้าน แต่พ่อกลับไม่เคยเอ่ยถึงแม่ให้เธอฟังเลยแม้แต่น้อย ที่เธอจำได้... มีเพียงเสียงทอดถอนใจของพ่อยามที่อุ้มเธอปีนต้นทองหลางข้าวยุ้งข้าว นั่งดูแปลงนารูปหัวใจ ที่พ่อดำเองกับมืออยู่นาน... แล้วพ่อก็มักจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า รำพึงรำพันอะไรที่เธอฟังไม่เข้าใจ... คล้ายๆ กับแม่มองลงมาจากสวรรค์... จนบางครั้ง ข้าวขวัญอดคิดไม่ได้ว่า แม่ของเธอคงตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ทุกปี พ่อกับลูกสาวจะช่วยกันทำบายศรีสองชุด ชุดหนึ่งใหญ่ชุดหนึ่งเล็ก... ชุดใหญ่กว่านำไปบูชาพระแม่โพสพพร้อมกับเฉลว... เครื่องสานไม้ไผ่ประดับธงสีปักลงในดินบนที่นา มีชะลอมใส่ขนมหวาน ผลไม้ และเครื่องหอมแขวนไว้ถวายเทพีแห่งข้าว
ส่วนบายศรีชุดเล็กประดับด้วยดอกไม้หลากสี พ่อจะเอาไปวางไว้หน้าประตูยุ้งข้าวหลังน้อยอายุหลายร้อยปีที่อยู่ข้างต้นทองหลางไม่ไกลจากบ้าน
บายศรีดอกไม้นี่บูชาแม่โพสพในยุ้งเหรอคะพ่อ?
ไม่ใช่ค่ะ พ่อตอบ
งั้นก็... ไหว้ผีเด็กผู้ชายที่ถูกขังจนตายคนนั้น? ก็พ่อเคยเล่าว่า ยุ้งข้าวร้างหลังนี้อาถรรพ์ เคยมีเด็กผู้ชายถูกขังและร้องไห้จนตายอยู่ในยุ้งข้าวนี่นา
เปล่า... บายศรีดอกไม้นี่ให้แม่ของขวัญ
สายตาแสนเศร้าของพ่อทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกอีกเลย
ทำไมพ่อต้องทำบายศรีมา ให้แม่ หน้าประตูยุ้งข้าวที่ปิดตาย? ...หรือว่าไม่มีเด็กผู้ชายถูกขังอย่างที่พ่อเล่า แต่เป็นแม่ของเธอต่างหากที่ถูกพ่อขังจนตายอยู่ในนั้น?
คิดมาถึงตรงนี้ทีไร ข้าวขวัญก็ต้องด่าตัวเองทุกที ว่าคิดอะไรบ้าๆ ...พ่อคงมีเหตุผลบางอย่างที่เธอไม่รู้ และมันจะต้องเป็นเหตุผลที่แสนดีจนพ่อประทับใจ ถึงได้ตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า ข้าวขวัญ
บาย เป็นภาษาเขมร แปลว่า ข้าว ส่วน ศรี เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า สิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง รวมแล้ว บายศรี จึงหมายถึง ข้าวมงคล หรือข้าวที่ใช้ประกอบพิธีสู่ขวัญ พ่อเคยอธิบายที่มาของชื่อเธอ
มีภาพในวัยเด็กก่อนรู้ความเหลือติดอยู่ในความทรงจำเลือนลางของข้าวขวัญ แต่มันช่างบางเบาราวกับละอองฝุ่นต้องแสงแดดยามเช้า ล่องลอยไร้สภาพอยู่ในอากาศ จนเธอเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือความฝันหรือความจริง เสมือนเป็นความรู้สึกว่า สมัยก่อนตอนเธอยังเล็กมากๆ เคยมีพ่อและแม่อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขพร้อมหน้า แล้วยังมีใครอีกสองคน... ใครก็ไม่รู้ แต่เธอไม่คิดว่าจะเป็นคุณย่า... น่าเสียดายที่ข้าวขวัญจำหน้าใครไม่ได้เลย แม้แต่พ่อก็ไม่แน่ใจ... ว่าใช่พ่อของเธอคนนี้หรือเปล่า แล้ว พวกเขา หายไปไหนกันหมด? ทำไมพ่อถึงยืนยันว่าเรามีกันอยู่แค่สองคนพ่อลูก ไม่เคยมีใคร...
พ่อโกหกหรือว่าข้าวขวัญฝันไปเอง?
บางครั้ง เธอก็เกิดคลับคล้ายคลับคลา เหมือนว่าเธอมีน้องชายเล็กๆ อีกสองคนด้วย แต่พ่อยืนยันหนักแน่นว่าไม่มี เธอคงเหงาจนฝันไปตามประสาลูกโทนกำพร้าแม่แน่ๆ
เธอไม่รู้หรอกว่าเมื่อตอนยังเล็ก เธอเคยร้องไห้หาแม่บ้างไหม แต่พอโตจนจำความได้แล้ว เธอเคยถามถึงแม่... แค่ครั้งเดียว... ครั้งเดียวเท่านั้นที่เธอเห็นน้ำตาของพ่อ... จากนั้นมา เธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถามพ่ออีกเลย
ไม่ว่าแม่ของเธอจะเป็นใคร ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจ... พ่อรักแม่มาก... และไม่เคยลืมแม่เลยสักวัน
น่าอิจฉาจริงๆ ไม่รู้ว่า ชั่วชีวิตนี้ ลูกสาวของพ่อจะมีโอกาสได้พบรักแท้ที่มั่นคงเหมือนที่พ่อรักแม่บ้างไหมหนอ
ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว ข้าวขวัญไม่เคยเห็นพ่อเหลียวแลผู้หญิงคนไหนเลย (ผู้ชายพ่อก็ไม่สนด้วย) ชีวิตของพ่อ ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่ลูกสาว... ข้าวขวัญ กับ ข้าวในนา ทั้งๆ ที่ความจริงพ่อของเธอยังหนุ่มมาก ถึงชาวบ้านจะเรียกว่า ลุงสิบ ก็ตาม และหน้าตาพ่อก็หล่อมากด้วย
ประชุมผู้ปกครองทีไร ครูสาว ครูแก่ ครูแม่ม่ายน้ำลายไหลย้อยกันเป็นแถว เพื่อนๆ แซวว่า ที่เธอได้คะแนนดีเพราะมีพ่อหล่อและโสด แต่เธอก็ไม่สน พวกขี้อิจฉา ไอ้พวกเรียนห่วยมีพ่อหน้าไม่หล่อมันอิจฉาเธอ ...แม่ๆ ที่มาประชุมด้วยกันต่างก็มองพ่อเธอจนตาละห้อย (พ่อของเพื่อนกับครูผู้ชายบางคนก็ไม่เว้น)
ตอนนี้ เธออายุสิบหกแล้ว เพื่อนหลายคนแย่งกันสมัครเป็นแม่เลี้ยง ถ้าตั้งโต๊ะขายใบสมัครรับบัตรคิวคงไม่ต้องขอเงินพ่อมาจ่ายค่าเทอม แต่ไม่ไหวล่ะ เธอไม่อยากมีแม่เป็นแรด!
ข้าวขวัญไม่เคยหวงพ่อ ขออย่างเดียวให้พ่อเจอผู้หญิงดีๆ และมีความสุข อย่าได้ทิ้งพ่อไปเหมือนอย่างแม่ แต่ถ้ายังหาผู้หญิงดีๆ ให้พ่อไม่ได้ เธอก็ไม่เดือดร้อนหรือรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยที่เป็นลูกกำพร้า แค่เบื่อที่ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน เรื่องราวของพ่อแม่และการเกิดของเธอกลายเป็นตำนานรักเชิงโลกีย์ที่เล่ากันปากต่อปากไม่จบไม่สิ้น พ่อกลัวว่าลูกสาวจะเป็นเด็กมีปัญหา จึงไม่ให้เธอเล่นกับเด็กๆ แถวนั้นเหมือนลูกบ้านอื่นเลย ตัวพ่อเองก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้าน เก็บตัวอยู่ด้วยกันตามประสาพ่อลูกเงียบๆ จนบางคนหาว่าพ่อลูกคู่นี้หยิ่งยโส ...โลกของข้าวขวัญในวัยเด็กจึงคับแคบ แทบไม่มีสังคม มีเพียงพ่อที่ทุ่มเทชีวิตให้กับเธอ ...เป็นแม่ดูแลเอาใจใส่เรื่องกินอยู่ ...เป็นเพื่อนเล่น พาเธอปีนต้นไม้ ไปไหนก็อุ้มเธอติดไปด้วยแทบทุกที่ ...เป็นครู สอนทำการบ้าน สอนวาดรูป ปั้นดินเหนียว และเล่านิทาน... เป็นทุกอย่างของลูกสาวคนเดียวที่รักปานแก้วตาดวงใจ ไม่เคยดุ ไม่เคยตี ไม่เคยขัด ไม่ว่าเธอต้องการอะไร พ่อเป็นต้องหามาให้จนได้
ข้าวขวัญจึงเป็น ลูกสาวชาวนา ที่ถูกเลี้ยงมาแบบ เจ้าหญิง มีพ่อเป็นราชองค์รักษ์คอยตามใจ ประคบประหงมราวกับไข่ในหิน มือของเธอนุ่มนิ่มนิ้วเรียวยาวเล็บเงางามอยู่เสมอ เพราะไม่ว่างานหนักงานเบา พ่อไม่ยอมให้เธอแตะแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ได้ ขาวอมชมพู อย่างที่เขากำลังนิยมกัน ผิวของข้าวขวัญเป็นสีน้ำผึ้งคล้ายคนเป็นพ่อ แต่ก็เนื้อละเอียด นวลเนียน เรียบรื่นไปทั้งตัว ไม่มีใฝฝ้าใดๆ เลยเพราะไม่เคยโดนแดดฝน
...ตั้งใจเรียนหนังสือไปเถอะลูก
พ่อเล่าว่าตอนเด็กๆ พ่อลำบากมาก ต้องทำงานหนักจนเรียนไม่จบ ดังนั้น พ่อจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าพ่อมีโอกาสส่งเสียลูกเรียนได้ พ่อก็จะส่งให้ลูกได้เรียนสูงที่สุดเท่าที่พ่อจะสามารถทำได้ ไม่ให้ลูกต้องลำบากทำงานไปเรียนไปเหมือนอย่างตัวเอง พ่อพูดเสมอว่า อยากเห็นชาวนาไทยรุ่นลูกรุ่นหลานยกระดับทั้งฐานะและการศึกษา
เป็นเกษตรกรต้องมีความรู้เยอะๆ จะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศ
น่าเสียดาย... ลูกหลานเกษตรกรที่ได้รับการศึกษาดีๆ ส่วนมากเรียนจบทำงานในเมืองเหมือนเป็นค่านิยมไปแล้ว น้อยคนที่มีอุดมการณ์แรงกล้ากลับมาเป็นชาวไร่ชาวนาพัฒนาบ้านเกิด
ตอนอยู่ประถม ข้าวขวัญเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน เพื่อนๆ ต่างก็เป็นลูกหลานชาวไร่ชาวนาแถวๆ นั้น ใครเรียนไม่เก่ง ไม่ทำการบ้านมาส่ง ครูมักจะดุว่า ไม่ต้องเรียนแล้วไปช่วยพ่อแม่ไถนาดีกว่ามั๊ย ส่วนเด็กฉลาดเรียนหนังสือเก่งระดับเทพอย่างด.ญ.ข้าวขวัญ ครูก็ชมว่า เธอจะต้องมีโอกาสได้เรียนสูงๆ ได้ทำงานในตำแหน่งหน้าที่ดีๆ มีอนาคตไกลกว่าจะมาเป็นชาวนาแน่นอน
เป็นเพราะเธอไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อนเล่น ไม่ต้องช่วยงานที่บ้าน มีเวลาว่างมากมาย แถมยังมีพ่อคอยเอาใจใส่ดูแลสอนการบ้าน หาหนังสือนอกเวลามาให้อ่าน ทำให้เธอกลายเป็นหนอนหนังสือตั้งแต่น้อย ทางโรงเรียนมีกี่รางวัล เธอกวาดเรียบทุกเทอม ยิ่งข้าวขวัญเรียนเก่ง พ่อยิ่งภูมิใจ เธอก็ยิ่งตั้งหน้าตั้งตาเรียน ก็ยิ่งโดดเด่นกว่าใคร โดดไปไกลจนไม่มีเพื่อนเลย...
บางครั้ง... ความรักของพ่อแม่ที่มากเกินไปก็ทำร้ายลูกได้โดยไม่รู้ตัว...
ความรักลูกของลุงสิบก็เช่นกัน บ่มเพาะบุคลิกแปลกประหลาดให้ข้าวขวัญ สร้างนิสัยรักสันโดษ... มานะพยายาม... เย่อหยิ่ง... เอาแต่ใจ... เข้ากับใครไม่ได้... สร้างเปลือกแข็งขึ้นมาห่อหุ้มเนื้ออ่อน... พยายามใช้จุดเด่นของตัวเองปกปิดปมด้อยที่หลอกตัวเองว่าไม่มี และลักษณะนิสัยที่ไม่ค่อยจะปกตินี้ ก็ค่อยๆ แรงขึ้นทุกทีๆ ที่เธอเติบโตขึ้นไป
ที่โรงเรียนประถม เธอมีปมด้อยเรื่องแม่ ส่วนใหญ่พ่อแม่ผู้ปกครองและครูเป็นคนแถวนั้นรู้จักกันหมด ชอบเอาเรื่องแม่ของเธอไปใส่สีตีไข่เล่าขานจนกลายเป็นตำนานรักฉาว เธอจึงสร้างปมเด่นเป็นข่าวใหม่ด้วยการคว้ารางวัล และเดินสายแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน เอ่ยชื่อข้าวขวัญ จะได้รู้กันว่าเก่ง เจ๋ง ไม่ใช่พูดถึงทีไรก็เม้าแตกเรื่องแม่เธอทุกที
จนขึ้นชั้นมัธยม ข้าวขวัญสอบติดโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพ นึกโล่งใจที่ไม่มีใครรู้เรื่องแม่แล้ว แต่สายตาของเพื่อนใหม่มองเธอแปลกๆ เมื่อข้าวขวัญ...เด็กสาวมาดคุณหนูที่ขึ้นรถเมล์เองไม่เป็น เล่าด้วยความภูมิใจว่าพ่อของเธอเป็นชาวนาที่เก่งกล้าสามารถ ทำนาคนเดียวเป็นร้อยไร่ได้โดยไม่ใส่ปุ๋ย ตอนแรกพวกเพื่อนๆ หาว่าเธอโกหก ชาวนาอะไรหล่อได้ใจขนาดนั้น แถมตามรับตามส่งลูกสาวที่หน้าโรงเรียนเช้าเย็น แต่พอเห็นรถกระบะและได้กลิ่นถังปุ๋ยน้ำหมักท้ายรถแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คราวนี้ เธอเลยตกเป็นหัวข้อเม้าแตกสนุกปากในอีกรูปแบบหนึ่ง
มิน่าล่ะ ฉันถึงไม่เคยเห็นยัยนั่นซื้อหนมกิน คงไม่มีตังค์ละมั๊ง
...ที่ข้าวขวัญไม่กินขนมขบเคี้ยวเพราะถูกพ่อฝึกมาตั้งแต่เด็กให้กินแต่ของสดที่มีประโยชน์เท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีค่าขนมสักหน่อย ทำไมพวกเขาต้องมอง ชาวนา มาคู่กับ ความยากจน ด้วยก็ไม่รู้
จริงด้วย ถึงต้องหิ้วปิ่นโตมากินทุกวัน น่าสงสารจริง ข้าวโรงอาหารจานละสิบสองบาทยังไม่จะซื้อเลยหรือนี่
...อาหารที่พ่อทำให้เธอกินทุกมื้อ ปรุงมาจากข้าว ธัญพืช และผักผลไม้ที่พ่อปลูกเอง แม้แต่ไข่ไก่ไข่เป็ดก็ของพ่อเลี้ยงเอง ปลาก็จับมาจากบ่อธรรมชาติ ยกเว้นเนื้อสัตว์และอาหารทะเลเท่านั้น พ่อต้องไปซื้อที่ตลาด
อาหารในปิ่นโตก็ประหลาด ดูบ้านนอกม๊ากมาก มีแต่ใบไม้ใบหญ้าหน้าตาแปลกๆ ไม่เคยพบเคยเห็น ไม่รู้ไปเก็บมาจากไหน
...น้ำพริกของพ่อน่ะ...อร่อยที่สุดเลย
วันก่อนฉันเห็นคุณพ่อชาวนามาดแมนแสนหล่อคนนั้นมาขายข้าวให้ร้านข้าวแกงที่โรงอาหารด้วย น่าสงสารจัง
คุณพ่อจอมหวงลูกสาว เห็นว่าต้องคอยมารับส่งข้าวขวัญอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาและค่าเดินทางเปล่าๆ ก็เลยลองเอาข้าวที่บ้านมาขายตรงถึงมือผู้บริโภค แทนที่จะขายให้โรงสี ก็สีเองแล้วใส่กระสอบมาขายถึงที่ ปรากฎว่าได้รับความสนใจมาก เพราะข้าวได้คุณภาพ ราคาถูกกว่า ลูกค้าของพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งร้านในโรงอาหาร กลายเป็นสองสามสี่ร้าน จากแค่โรงเรียนที่ข้าวขวัญเรียน ก็ขยายฐานลูกค้าออกไปตามโรงเรียนใกล้ๆ และขยายออกไปตามร้านอาหารและภัตตคารต่างๆ ละแวกนั้น
ต่อให้ข้าวขวัญได้เงินค่าขนมจากพ่อมากกว่าเพื่อนทุกคนแต่ก็แทบไม่มีโอกาสใช้เงินให้ใครเห็น เพราะเธอไม่ยอมกินฟาสฟู๊ตในห้างกับเพื่อน ไม่เที่ยวเตร่กลัวเสียเวลาอ่านหนังสือ และไม่ต้องเรียนกวดวิชาที่ไหน
สงสัยขาดแคลนทุนละมั๊ง ลำพังค่าเล่าเรียน ไม่รู้จะมีพอจ่ายหรือเปล่า
ข้าวขวัญเลยต้องสร้างเปลือกแข็งอีกครั้ง คราวนี้เป็นเปลือกที่มีลวดลายสีสรรสวยงาม เพราะเธอโตเป็นสาว รูปร่างหน้าตาสวยขึ้นทุกทีๆ นอกจากเดินสายแข่งขัน สร้างชื่อเสียง กวาดเรียบทุกเหรียญรางวัลเรียนดีสยบคำสบประมาทที่ว่าเธอไม่มีเงินเรียนกวดวิชาแล้ว เธอยังชนะการประกวดเวทีความงาม ได้ตำแหน่งมีสอะไรต่อมิอะไรมากมาย ให้โลกรู้ว่า ข้าวขวัญทั้งสวยและเก่ง จนเป็นที่หมั่นไส้ของสาวๆ
ชื่อ ขวัญ สมเป็นลูกชาวนาจริงๆ เหมือน ไอ้ขวัญของอีเรียม พระเอกลูกทุ่งขี่ควายว่ายน้ำคลองเลยเน๊อะ ...เอ๊าท์ว่ะ
ได้ยินประโยคนี้ตอนบ่าย ตกเย็น...ลูกสาวลุงสิบก็ไปแวะซื้อกระสอบทรายมาแขวนไว้ในห้องนอนระบายอารมณ์... ต่อมาไม่นาน นอกจากกวาด โล่กับเหรียญ จากการแข่งขันจำพวกคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ และกวาด มงกุฏกับสายสะพาย จากการประกวดจำพวก นางงาม นางแบบ นางนพมาศ เทพีสงกรานต์ ฯลฯ แล้ว ...ข้าวขวัญยังกวาด เข็มขัด อีกด้วย ...เข็มขัดแชมป์มวยไทยและมวยสากลสมัครเล่นในรุ่นเยาวชนหญิง ให้โลกรู้ว่า ข้าวขวัญทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งแข็งแรง
ฮึ่ม... ถ้าใครกล้าพูดมากระวังไว้เหอะ มีตาย!
แล้วต่อไปนี้ ห้ามใครบังอาจเรียกชื่อ ขวัญ ด้วย ...เธอจะเก็บไว้ให้พ่อเรียกแค่คนเดียว
ชิ!
จากแค่เปลือกแข็งลวดลายสวยงาม ก็เพิ่มหนามแหลมคมมีพิษร้าย ยิ่งเวลาผ่านไป... เปลือกที่เธอสร้างขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองก็ยิ่งแข็งขึ้น หนามแหลมขึ้น และสีสรรสวยขึ้นทุกวัน... ทุกวัน... ข้าวขวัญไม่คบเพื่อนฝูง แยกตัวเองออกห่างจากสังคม เธอตั้งใจว่า ถ้าเข้ามหา ลัยได้เมื่อไหร่ จะไม่ให้ใครรู้เรื่องพ่อแม่และบ้านของเธออีกเลย จนกว่าเธอจะประสบความสำเร็จจนไม่มีใครกล้าบังอาจพูดถึงเธอเสียๆ หายๆ อีกแล้ว ให้มันรู้กันไปว่าลูกสาวชาวนากำพร้าแม่คนนี้ทำได้
แล้วสักวันหนึ่ง เมื่อเธอมีพร้อมทั้งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศจนเป็นที่ยอมรับในสังคมแล้ว เธอจะกลับมาช่วยพ่อ... สานต่อปณิธานยิ่งใหญ่ ให้โลกรู้ว่า... ลูกสาวชาวนาไทยทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเก่ง ทั้งแข็งแรงและยังทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้ประเทศชาติด้วย!
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ภายในเปลือกแข็งที่เต็มด้วยหนามคมพิษร้ายนั้น คือเนื้อแท้นุ่มนิ่มที่แสนจะบอบบาง... ข้าวขวัญความจริงก็แค่เด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งคนที่รู้ดีมีแค่พ่อของเธอ กับ... เขา...
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
2 พ.ค. 54 19:17:15
|
|
|
|