Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพลงพริบตา 2-4 ติดต่อทีมงาน

เพลงพริบตา

2

โมเรศกะพริบตาปริบ ๆ มองผู้ชายตัวสูงตรงหน้าอย่างงุนงง ขณะเดียวกันสมองก็วุ่นวนพยายามเรียบเรียงความคิดจับคำพูดก่อนหน้านั้นไปประมวลผล...ความคิดน่ากลัวบางอย่างบังคับให้ริมฝีปากขยับส่งคำถาม

“คุณ...เป็น...ใคร...?”

รอยยิ้มของคนถูกถามขยายกว้างขึ้น นัยน์ตายังคงพร่างพรายวิบวับเหมือนดาวทอแสงอยู่เช่นเคย สีหน้าโดยรวมของเขาไม่แสดงความแปลกใจต่อคำถามแม้แต่น้อย

“พริบตาครับผม” คำตอบนั้นตีซ้ำความกลัวของโมเรศจนแตกกระจาย

“อะ...ไร...นะ...?” คำถามตะกุกตะกักของหญิงสาวพร้อมสีหน้าตื่น ๆ จุดรอยยิ้มของคนฟังให้กว้างกว่าเดิม แถมซ้ำด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ

“พริบตาครับคุณโมเรศ ผมพริบตาเพื่อนของไอ้นะ...เอ๊ย...เพื่อนโมนะครับผม” ไม่พูดเปล่ายังยกมือตะเบ๊ะ ท่าทีขึงขังแต่แววตายังคงพร่างพราว

“คุณ...พริบตา...เป็น...ผู้ชาย !” โมเรศยังคงเอ่ยตะกุกตะกัก คำลงท้ายของหล่อนเจือแววตกตื่น

“ครับผม เป็นผู้ชายครับ...หรือถ้าคุณโมเรศไม่มั่นใจผมยินดีให้พิสูจน์” ชายหนุ่มว่าพลางตั้งท่าปลดเข็มขัด

“ไม่ต้อง !” หญิงสาวร้องเสียงหลงพลางโบกมือห้ามวุ่นวาย เห็นชายหนุ่มละมือจากเข็มขัดลดมือลงข้างตัวก็ได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอก “ฉันหมายความว่า ยัยนะไม่ได้บอกฉันว่าเพื่อนชื่อพริบตาเป็นผู้ชาย...คือ...ฉันได้ยินชื่อก็นึกว่าเป็น เอ่อ ผู้หญิง” โมเรศเอ่ยหลังจากพยายามรวบรวมสมาธิซึ่งกระเจิดกระเจิงให้กลับมารวมเป็นกลุ่มก้อน ชายหนุ่มยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ยืนยันอีกครั้งว่าเป็นผู้ชายครับ” โมเรศคงจะยืนนิ่งอ้าปากค้างอยู่อีกนานเพราะรอยยิ้มนั้น ดีว่าเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นเสียก่อน หญิงสาวหันไปมองโทรศัพท์บ้านซึ่งอยู่หลังตู้โชว์อย่างชั่งใจก่อนหันมาบอกชายหนุ่มว่า

“ฉันขอรับโทรศัพท์ก่อน คุณช่วยรออยู่ตรงนี้อย่าเพิ่งขยับไปไหนได้ไหมคะ ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างสงสัย แต่ก็พยักหน้ารับโดยดี โมเรศถอยหลับเข้าบ้าน ไม่ลืมปิดประตูลงกลอนแน่นหนา สายตายังมองชายหนุ่มแปลกหน้าผ่านบานหน้าต่างอย่างไม่วางใจ เมื่อมือคว้าหยิบโทรศัพท์มาแนบหูได้แล้ว พร้อม ๆ กับการเอ่ยคำทักทายหญิงสาวก็หันกลับไปจ้องชายหนุ่มดังเดิม แม้จะสะดุ้งอย่างตกใจเพราะเห็นว่าตอนนี้เขายื่นหน้าผ่านกรอบหน้าต่างบ้านให้หล่อนเห็นชัด ๆ แถมยังส่งยิ้มกว้างขวางมาให้ก็ตาม

“สวัสดีค่ะ โมเรศค่ะ”

“พี่ยุง เพื่อนพริบไปถึงหรือยัง ?” คำถามจากปลายสายแทบทำให้โมเรศส่งเสียงกรี๊ดตอบรับ

“ยัยนะ ! ทำไมแกไม่บอกว่าเพื่อนแกเป็นผู้ชาย !” หญิงสาวถามกลับกราดเกรี้ยว ปลายสายเงียบไปอึดใจใหญ่ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแหย ๆ นำมาก่อน

“อ้าว นะนึกว่าพี่ยุงรู้แล้วเสียอีก...เอ๊ะ...นะว่านะบอกพี่ยุงว่าเพื่อนพริบเป็นผู้ชายนี่นา” น้ำเสียงไม่รู้ไม่ชี้ของน้องสาวยิ่งทำให้โมเรศฉุนเดือดยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ได้บอกโว้ย ! แกแค่พูดถึงเพื่อนพริบ ๆ แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าจะมีผู้ชายชื่อพริบตาในโลกนี้ด้วย !” โมเรศตะโกนอย่างเหลืออด

“เอาน่าพี่ยุง ไหน ๆ ตอนนี้ก็รู้แล้ว ก็ให้มันแล้วกันไปเถอนะ เพื่อนพริบเพิ่งกลับจากต่างประเทศไม่ค่อยรู้ที่ทางฝั่งเมืองไทยนัก ยังไงนะฝากพี่ยุงดูแลด้วยนะ ชีวิตเพื่อนพริบน่าสนใจและน่าเห็นใจมากรับรอง อ๊ะ นะต้องรีบขี้นเครื่องแล้ว เดี๋ยวพอถึงญี่ปุ่นจะโทรหาอีกทีนะ โชคดีพี่สาว” พูดยืดยาวโดยไม่ปล่อยให้คนฟังได้เอ่ยแทรก จบปุ๊บปลายสายก็วางปั๊บ แม้อยู่ในอารมณ์โกรธจนควันออกหูโมเรศก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักก่อนสัญญาณขาดหายได้เป็นอย่างดี...ยัยน้องตะหลิว ! กลับมาโดนดีแน่ ! หญิงสาวคิดเข่นเขี้ยวในใจพลางวางโทรศัพท์กระแทกกระทั้น ตวัดสายตามองไปยังชายหนุ่มซึ่งยังคงยิ้มกว้างรับ

“ได้โปรดให้ผมเข้าไปนั่งข้างในก่อนได้ไหมครับ ?” คำถามแสนสุภาพเจือรอยยิ้มกว้างขวางส่งมาพาให้ความคิดวุ่นวายของโมเรศสะดุดลงได้บ้าง แม้จะยังงุนงงแต่หล่อนก็รีบปฏิบัติการตามคำร้องขอเปิดประตูกว้างผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มได้ก้าวเข้ามาทรุดนั่งบนเก้าอี้รับแขก ก่อนจะเดินมาทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามโมเรศแอบผลักหน้าต่างให้เปิดกว้างกว่าเดิม...อย่างน้อยมีแสงสว่างส่องเข้าบ้านเยอะ ๆ ดูปลอดภัยกว่าเดิมล่ะน่า หญิงสาวคิด เมื่อเห็นเจ้าของบ้านสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มซึ่งยังคงมีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าก็ล้วงหยิบซองสีขาวค่อนข้างยับจากการพับและนั่งทับออกจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังยื่นส่งให้

“อะไร...คะ ?” โมเรศถามอย่างสงสัยและไม่ยอมยื่นมือไปรับซอง

“สัญญาเช่าครับ ผมกับเพื่อนนะติดต่อกันทางเมล์เมื่อวานนี้ มีหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีคุณโมเรศเรียบร้อย ตรวจสอบได้ครับ” คำอธิบายของชายหนุ่มทำให้โมเรศรีบรับซองมาเปิดดู สิ่งแรกที่หล่อนหยิบสำรวจคือ...หลักฐานการโอนเงิน เห็นว่าเรียบร้อยดีสีหน้าหญิงสาวก็รื่นขึ้นแต่เมื่อมองหน้าชายหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนใจอย่างเสียดาย ค่อย ๆ วางหลักฐานการโอนเงินขณะปากเอ่ยคำ

“คือฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นผู้ชายก็เลยตกปากรับคำยัยนะไป...ฉันไม่สะดวกใจที่จะอยู่ร่วมบ้านกับผู้ชายหรอกค่ะ...จะเป็นไรไหมคะถ้าฉันจะปฏิเสธตอนนี้” รอยยิ้มของชายหนุ่มกระตุกวูบ ทว่าก็เป็นเพียงแวบเดียว

“ถ้าบอกว่าผมเป็นเกย์...คุณจะสะดวกใจจนให้ผมอยู่ด้วยได้ไหมครับ ?” โมเรศอ้าปากค้างทันทีที่ฟังจบ หญิงสาวกะพริบตาปริบ ๆ มองชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้ง

เริ่มจากผมรองทรงค่อนข้างยุ่งเหยิงคล้ายถูกมือเสยลวก ๆ คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตามีเม็ดนิลคู่สวยที่ยังคงส่องประกายแสงดาววิบวับ จมูกโด่ง ริมฝีปากหนาหากแย้มยิ้มเห็นฟันเรียงสวย ไรหนวดเขียวครึ้มเด่นชัดตัดกับผิวสีแทน มองเลยมายังเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่เห็นคราแรกว่ามันแน่นปริจนผ้าเรียบตึง...ทว่านอกจากจุดนั้นแล้วล้วนเป็นรอยยับทั้งสิ้น...ถ้าหากผู้ชายตรงหน้าที่เพิ่งบอกหล่อนว่าเป็นเกย์จริง ๆ แล้ว โมเรศก็อยากจะเชื่อเหลือเกินว่า...นี่คงเป็นเกย์ที่ซกมกที่สุดที่หล่อนเคยรู้จัก !

“ก...เกย์แล้วไงคะ...” หญิงสาวเอ่ยถามตะกุกตะกัก

“เราก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะผมไม่รู้สึกอะไรกับผู้หญิงไงครับ...หรือคุณโมเรศไม่ใช่ผู้หญิงครับ ?” คำตอบพร้อมคำย้อนถามทำให้โมเรศอ้าปากค้างอีกรอบ พริบตาอมยิ้ม มองกิริยาตกตะลึงของหญิงสาวอย่างขบขัน “นะครับ...ผมขอร้อง ได้โปรดให้ผมอยู่ด้วยเถอะ...เพราะผมไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ” น้ำเสียงอ่อนเบาพร้อมการหลุบตามองมือซึ่งกุมกันแน่นของชายหนุ่ม โมเรศได้แต่มองด้วยความรู้สึกแปลก ๆ

หล่อนเห็นเงาทับซ้อนของเด็กหญิงโมเรศวันรับรู้การตายของพ่อกับแม่...วันที่เคว้งคว้างเพราะต้องออกจากบ้านเช่าและได้แต่เดินตามมือจับจูงอย่างไม่รู้จุดหมายของตัวเอง เด็กหญิงโมเรศในตอนนั้นปรารถานาเพียงซอกมุมของห้องเล็ก ๆ ให้หลังได้พิงพัก...คิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง...เสียงถอนหายใจของหล่อนพลอยทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจของหญิงสาวและการพยักหน้ารับน้อย ๆ อย่างไว้เชิง แววตาหม่นแสงก็กลับทอประกายอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ ! คุณโมเรศใจดีเหมือนที่เพื่อนนะบอกจริง ๆ ด้วย !” พริบตาเอ่ยอย่างตื่นเต้น รอยยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปากหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มฉวยโอกาสพูดต่อ “ว่าแต่...ค่าเช่าตั้งเดือนละหมื่น จะไม่แถมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มหน่อยหรือครับ ?” คำถามนั้นทำให้โมเรศหุบยิ้ม หญิงสาวกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนกวาดตามองทั่วร่างคนพูด

“ยัยนะบอกว่าคุณรวยมาก” จงใจลากเสียงลงท้ายให้คนฟังรู้สึก “กับแค่เสื้อผ้า คนรวยมากต้องขอบริจาคด้วยเรอะ ?”

“ก็ผมหนีออกจากบ้านนี่ครับ ใจคอคุณจะให้คนหนีออกจากบ้านมาพร้อมสูทผูกไทด์ ลากกระเป๋าใบเท่าบ้านแล้วมีเงินติดกระเป๋าเป็นฟ่อนเลยหรือครับ...ลำพังจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าและค่าเครื่องบินขามานี่ผมก็หมดตัวแล้วนะครับ” ถ้าการอ้าปากค้างของโมเรศมีการนับรอบ สำหรับวันนี้หล่อนคงถอดใจไม่นับ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะคืนค่าเช่าห้องให้คุณก็แล้วกัน เพราะฉันรู้สึกว่านิสัยเราน่าจะไปด้วยกันไม่ได้ เงินสามหมื่นคงพอให้คุณเช่าห้องอยู่สบาย ๆ ครบสามเดือน แถมมีเงินเหลือซื้อเสื้อผ้าด้วย” โมเรศตัดใจพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ค้นบัตรเอทีเอ็มกุกกัก

“หกหมื่นครับ” พริบตาแย้งเสียงเกรงใจ

“อะไรหกหมื่น ?” โมเรศถาม มือชะงักค้าง

“ก็ในสัญญาเช่าที่ผมทำไว้กับเพื่อนนะ ถ้าเกิดว่าเจ้าของบ้านเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญา ต้องจ่ายค่าชดเชยหนึ่งเท่า” คำตอบพร้อมรอยยิ้มและการผายมือไปยังสัญญาบนโต๊ะ เรียกอาการอึ้งอ้าปากค้างให้กับโมเรศอีกครั้ง ครู่ใหญ่กว่าหญิงสาวจะดึงสติกลับมากระจุกตัวได้ โมเรศยื่นมือสั่นเทาไปยังกระดาษที่หล่อนทิ้งวางไว้ตอนดึงออกจากซองเพราะสนใจหลักฐานการโอนเงินมากกว่า ความคิดก็วุ่นวาย...นี่ถ้าหล่อนต้องจ่ายเงินคืนตามสัญญา...ก็หมายความว่าต้องเริ่มเก็บค่าบ้านงวดสุดท้ายใหม่น่ะสิ ! หญิงสาวคิดอย่างร้อนรน หยิบกระดาษที่ชายหนุ่มอ้างว่าเป็นสัญญาเช่าได้ก็รีบคลี่ออก กวาดสายตาอ่านอย่างตั้งใจ ไม่นานหลังจากนั้นโมเรศก็เงยหน้าเหวอ ๆ ขึ้นมองชายหนุ่มยิ้มแป้นตรงหน้า

“น...นี่มันสัญญา...บ้าอะไรกัน !” หญิงสาวเอ่ยเสียงลอดไรฟัน กระดาษในมือสั่นระริกชนิดแยกไม่ออกว่ามันสั่นเพราะโดนพายุโกรธพัดหรือเพราะมือคนจับกันแน่

“ไม่บ้านะครับ” พริบตาแย้งเสียงยิ้ม “ตอนทำสัญญาผมรับรองว่าทั้งผมและเพื่อนนะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน โดยเฉพาะผม รับรองได้เลยว่าในตอนนั้นยังไม่จิบเหล้าเลยสักนิด” คำรับรองที่ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าท่า โมเรศได้แต่ตวัดตาขุ่นขึ้นมองอย่างกรุ่นโกรธ

“แต่ฉันว่าบ้าแน่ ๆ เพราะถ้าฉันเป็นคนทำสัญญาคงไม่ยอมรับข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรมอย่างนี้หรอกนะ ! มีอย่างที่ไหนให้เจ้าของบ้านรับผิดชอบทุกเหตุที่เกิดจากการยกเลิกร้อยเปอร์เซ็นต์ ! มีแต่เสียกับเสียอย่างนี้ฉันไม่มีทางรับแน่นอน !”

“ไม่เห็นจะเสียอะไรเลยนี่ครับ...ลองดูที่หมายเหตุท้ายสัญญาสิครับ” เขาว่าพลางพยักพเยิด แม้จะยังโมโหแต่โมเรศก็ก้มลงอ่าน กวาดสายตาขมวดคิ้วอยู่นานหล่อนจึงเห็นหมายเหตุตัวเล็กซึ่งต้องยกกระดาษมาอ่านใกล้ ๆ และต้องเขม้นมองเพิ่ออ่านจับใจความ...และเมื่ออ่านจบโมเรศก็เงยหน้าตื่น ๆ ปากอ้าค้าง (เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ) ขึ้นมองอย่างไม่อยากเชื่อ ชายหนุ่มยิ้มและพยักหน้ารับก่อนสำทับด้วยคำพูด “คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ...หากผมอยู่ครบสามเดือนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยินดีจ่าย ‘ค่าพอใจ’ เป็นจำนวนเงินสามแสนบาท” คำย้ำของชายหนุ่มดูมั่นอกมั่นใจจนโมเรศต้องลอบกลืนน้ำลาย...สามแสนบาท ! จำนวนเงินนั้นเท่ากับหล่อนเขียนนิยายประโลมโลกย์หลายร้อยหน้า เสียเวลามากกว่าสามเดือนแน่ ๆ ! ทว่าความคิดลิงโลดของโมเรศก็สะดุดกึกเมื่อนึกได้ว่า...ลำพังแค่เงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ยังไม่มี...แล้วจะเอาที่ไหนมาจ่ายหล่อนตั้งสามแสน !

“คุณจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายให้ฉันล่ะ เพราะแม้แต่ตอนนี้คุณก็ยังร้องขอให้ฉันบริจาคเสื้อผ้าอยู่แหม็บ ๆ” หญิงสาวถามอย่างใจคิด

“ผมมีจ่ายให้คุณก็แล้วกันครับ...แต่ว่า...ตอนนี้ถ้าคุณตกลงรับผมอยู่ร่วมบ้านแล้ว ผมขอให้คุณช่วยกรุณาชี้ห้องนอนให้ผมได้ไหมครับ...ร่างกายผมฟ้องว่าอยากพักมาก” ประกอบคำพูดชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ โมเรศมองอย่างชั่งใจระหว่างท่าทีเหนื่อยล้าเสื้อผ้ายับยุ่งของผู้ชายที่ยอมรับหน้าตาเฉยว่าเป็นเกย์ กับตัวอักษรเล็ก ๆ ท้ายสัญญา...ในที่สุดหญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นพลอยทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง

“งั้นก็เชิญคุณไปพักก่อนก็แล้วกัน เอาไว้ตื่นแล้วค่อยมาคุยกันอีกที” หล่อนว่าพลางชี้นิ้วไปยังห้องพักซึ่งเคยเป็นของโมนะ พริบตายิ้มรับผุดลุกขึ้นพลางเอ่ยถาม

“แล้วเรื่องเสื้อผ้า...” เขายังพูดไม่ทันจบประโยคดีก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อหญิงสาวสะบัดหน้ากลับมาพร้อมส่งสายตาขุ่นขึ้งมาให้ พริบตาหัวเราะเบา ๆ ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก “โอเคครับ...ตื่นมาค่อยคุยกัน...แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับคุณโมเรศ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินไปเปิดประตูเข้าห้องที่ถูกชี้

ประตูห้องปิดลงพร้อม ๆ กับโมเรศทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง สัญญาเช่าในมือถูกยกขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จะว่าไปหล่อนรู้สึกแปลก ๆ กับสัญญาฉบับนี้อยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมาสัญญาที่หล่อนเคยทำเป็นการซื้อขาย และสัญญาลิขสิทธิ์ เห็นทีคงต้องหาคนเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาตีโจทย์นี้ให้เสียแล้ว คิดพลางพับกระดาษสอดกลับเข้าซอง

โมเรศมองโทรศัพท์มือถือย่างชั่งใจ จริง ๆ หล่อนอยากโทรไปถาม ‘เอาเรื่อง’ กับน้องสาวให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า ณ ขณะนี้แม่น้องสาวตัวดีคงนั่งหัวเราะคิกคักอยู่บนเครื่องบิน อีกอย่าง...ค่าโทรทางไกลก็แสนแพง...คิดได้ดังนั้นโมเรศก็ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง หันมองประตูห้องของโมนะซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องของคนอื่นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง...เอาน่า...ลองอยู่ร่วมบ้านกับเกย์ดูสักตั้ง บางทีหล่อนอาจจะได้ข้อมูลดี ๆ ไปเขียนนิยาย...ถ้าทนไม่ไหวก่อนครบสามเดือนก็กลับไปพึ่งป้ายังได้...โมเรศคิดปลอบใจตัวเอง





เช้าแล้ว โมเรศวางถ้วยใบเล็กคว่ำลงบนจานรอง มองกับข้าวหลายอย่างที่ทำไว้กินกับข้าวต้มสลับกับมองประตูห้องโมนะอย่างชั่งใจ ตั้งแต่เมื่อวานเย็นหล่อนลองทั้งเคาะประตูทั้งร้องเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนในห้อง จนเจ็บมือ จนถอดใจและเข้าใจเอาเองว่าคนในห้องคงเกิดอาการเจ็ทแล็ก หล่อนเข้านอนอย่างกังวลแม้จะปิดล็อกประตูหน้าต่างแน่นหนากว่าทุกครั้ง ความกังวลทำให้นอนไม่หลับ หญิงสาวจึงแกปัญหาด้วยการตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวใส่บาตร มีเวาลาเหลือเฟือสำหรับการทำมือใหญ่เป็นอาหารเช้าโมเรศจึงไม่รอช้าที่จะลงมือ

หญิงสาวมองประตูห้องอีกครั้ง สูดหายใจลึกยาวก่อนเดินตรงไปยกมือหมายเคาะประตู ทว่า มือยื่นยังไม่ทันถึง ประตูห้องก็เปิดผลัวะจนต้องผงะด้วยความตกใจ ร่างสูงยืนแทบเต็มความกว้างของกรอบประตู ใบหน้าดูสะอาดสะอ้าน หนวดเคราถูกโกน ผมรองทรงยุ่งเหยิงเมื่อวานถูกหวีเสยเรียบร้อย แม้เสื้อผ้าจะยังคงเป็นชุดเดิมเหมือนเมื่อวาน แต่สภาพโดยรวมตอนนี้โมเรศบอกได้เลยว่าเขาก้าวพ้นคำ ‘เกย์ซกมก’ ไปแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับผม” พริบตาทักทายพร้อมรอยยิ้มกว้าง มองหญิงสาวที่ยังยืนนิ่งยกมือค้างกะพริบตาปริบ ๆ อย่างขบขัน “ขอโทษด้วยนะครับที่ผมหลับยาว จริง ๆ ผมตื่นนานแล้วแต่มันยังเพลียเลยไม่ลุก...แต่ว่า...กลิ่นอะไรไม่รู้หอม ๆ ลอยเข้าไปปลุกผม” พร้อมคำพูดชายหนุ่มชะเง้อชะแง้พลางสูดจมูกฟุดฟิดคล้ายหาที่มาของกลิ่น

“ฉันทำข้าวต้ม มีกับข้าวอีกหลายอย่าง เมื่อเย็นวานคุณก็ไม่ได้กินอะไรน่าจะหิว ว่าแต่กินได้ไหมคะ กับข้าวไทย ๆ นะ” โมเรศบอกยิ้ม ๆ ลดมือลง มองอาการตาลุกวาวราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ของชายหนุ่มอย่างตื้นใจนิด ๆ...นานแล้วที่หล่อนทำกับข้าวแต่ไม่มีคนคอยกิน

“กินได้ครับ และหิวมากด้วย...ว่าแต่...คิดเงินไหมครับ ?” เขาถามพร้อมชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะ โมเรศสะดุดยิ้ม ความรู้สึกอิ่มใจพลันตกแตกกระจายปลิวไปในอากาศ หญิงสาวหรี่ตามองคนพูดอย่างค้นคว้า หวังจะเห็นแววล้อเล่น แต่เมื่อไม่พบหล่อนก็ได้แต่ถอนใจพยักหน้าเนือย ๆ

“เอาเถอะ...วันนี้ฟรีไปก่อนก็แล้วกัน” เพียงฟังคำตอบจบ โมเรศก็ได้ของตอบแทนเป็นรอยยิ้มกว้างแสนสดใส และสายตาวิบวับราวกับมีดาวลืมแสงอยู่ในนั้น...มันทำให้หล่อนลืมหายใจไปชั่วขณะ

“ใจดีจังเลยครับ...งั้นผมไม่เกรงใจล่ะนะ” พริบตาเอ่ยอย่างยินดีก่อนตรงรี่มาทรุดนั่งเก้าอี้ มือหยิบถ้วยตักข้าวต้มในหม้อใบเล็กมากินเปล่า ๆ หลายคำ ก่อนยื่นมาตักกับข้าวเข้าปาก กิริยาถอนช้อนออกจากปากช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยวก่อนก้มหน้าซ่อนสายตาเห็นเพียงหัวคิ้วขมวด ริมฝีปากเม้มแน่นทำให้โมเรศอดรู้สึกตกใจไม่ได้ หญิงสาวผุดลุกจากที่นั่งเอ่ยถามอย่างร้อนรน

“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า !? ไม่อร่อยหรือว่าแพ้ผักบุ้ง ? หรือว่าเผ็ด...เอ...ก็ไม่ได้ใส่พริกนี่นา...” หญิงสาวถามพลางมองจานผัดผักบุ้งซึ่งเห็นชายหนุ่มตักเข้าปากก่อนเกิดอาการแปลก ๆ คำตอบมาในรูปแบบของการส่ายหน้าในตอนแรก ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น หัวคิ้วยังขมวดแต่เม็ดนิลคู่สวยทอประกายประหลาด

“อร่อยมากครับ...รสชาติเหมือนกับฝีมือแม่ผม...จน...จนอดคิดถึงไม่ได้” คำตอบของชายหนุ่มโมเรศฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วไป นึกว่าฝีมือตก” พริบตาอมยิ้มกับคำพึมพำของหญิงสาว ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มตักกับข้าวเข้าปากราวกับอดอยากมาแต่ชาติที่แล้ว โมเรศต้องคอยเตือนให้ช้าเพราะเกรงจะสำลัก ครู่ใหญ่ต่อมาหญิงสาวก็มองจานชามเกลี้ยงเกลาราวกับไม่เคยบรรจุอะไรมาก่อนอย่างปลื้มเปรม นัยน์ตาเปล่งประกายสดใส...ต่อไปนี้หล่อนน่าจะมีหนูทดลองอาหารสูตรใหม่เป็นแน่แท้ ! หลังการอาสาเก็บจานชามล้างคว่ำแล้ว พริบตาก็เดินออกจากห้องครัวหันมองรอบบ้านเพื่อหาเจ้าของบ้านก่อนจะพบว่าหญิงสาวกำลังยืนรีดผ้าอย่างขะมักเขม้น

“ผมจำได้ว่าไอ้นะ...เอ๊ย...เพื่อนนะเคยบอกว่ามีพี่สาวเป็นนักเขียน” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับเดินมาหยุดยืนมอง

“ก็คงใช่มั้งคะ เพราะเป็นงานอย่างเดียวที่ทำเงินให้ฉันตอนนี้” โมเรศตอบยิ้ม ๆ ขณะชายหนุ่มขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างสงสัย

“คุณใช้เวลาช่วงไหนทำงานเขียนครับ ? คือผมถามไว้จะได้ไม่ทำอะไรรบกวนช่วงนั้น” ท้ายประโยครีบอธิบายเมื่อเห็นหญิงสาวตวัดตามองอย่างไม่พอใจนัก

“ฉันใช้ทุกเวลานั่นแหละค่ะ คิดออกตอนไหนก็เขียนตอนนั้น ตอนคิดไม่ออกก็ทำงานบ้านไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณจะทำอย่างที่คุณว่าก็กรุณาระวังตัวตลอดเวลาก็แล้วกันเพราะเวลาทำงานฉันไม่ชอบให้มีสิ่งรบกวน” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ พริบตาได้แต่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “แล้ววันนี้คุณจะไปไหนหรือเปล่า ? หรือจะอยู่บ้าน ถ้าอยู่บ้านฉันจะได้คิดเมนูตอนเที่ยงเผื่อด้วย” คำถามของหญิงสาวทำให้พริบตายิ้มกว้างกว่าเดิม...ยิ้มที่ทำให้โมเรศเผลอกระชับมือจับเตารีดแน่นขึ้น...ทำไม...เกย์ถึงมีสายตาชวนเคลิ้มได้แบบนี้นะ

“ผมชอบจังเลยครับ...เวลามีคนถามเรื่องกินอยู่ มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวดีจังนะครับ” พริบตาเอ่ยอย่างจริงใจก่อนตอบคำถามหญิงสาว “วันนี้ผมมีนัดกับกระเป๋าเดินทางครับ”

“กระเป๋าเดินทาง ?” โมเรศทวนคำพลางนิ่วหน้า พริบตาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ

“ก็ตอนผมหนีออกจากบ้านผมก็ปุบปับมาแต่ตัวกับพาสปอร์ต แต่คนที่โน่นเมล์มาบอกว่าส่งกระเป๋าตามมาจะถึงไฟล์เช้านี้ผมก็เลยจะไปรับกระเป๋าครับ” พริบตาอธิบาย

“เมล์ ? คุณไปเช็คเมล์ที่ไหน ? เมื่อไหร่ ?” คำถามสงสัยเจือแววคาดคั้นทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มกระตุกวูบ แต่ก็เพียงแวบเดียว

“ผม...คือเพื่อนนะบอกผมว่าของในห้องเพื่อนนะผมสามารถละลาบละล้วงได้...ผมก็เลยใช้คอมพิวเตอร์ในห้องครับ...แล้วก็...ใช้สบู่ ใช้ที่โกนหนวดของเพื่อนนะด้วย...จะคิดเงินไหมครับ ?” คำถามลงท้ายเสียงแผ่ว ทว่าโมเรศไม่ได้ฟัง หญิงสาวกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านั้น

“เดี๋ยว ?! ใช้ที่โกนหนวดของยัยนะ ? ยัยนะเป็นผู้หญิงจะมีที่โกนหนวดได้ยังไง ?” ส่งคำถามไปแล้ว โมเรศก็ได้แต่ตาเหลือกยกมือขึ้นปิดปาก...ผู้หญิงมีที่โกนหนวดไว้ทำกิจกรรมอยู่สองอย่าง...โกนขนหน้าแข้งและ...ขนรักแร้ !

“ก็ผมเห็นวางอยู่ในห้องน้ำ...” พริบตาบอกหน้าเหวอ

“ช่างเถอะ ๆ” โมเรศว่าพลางโบกมือว่อน ซ่อนรอยยิ้มไว้มิดชิด “ว่าแต่จะออกไปข้างนอกทั้งเสื้อยับ ๆ อย่างนี้หรือไง คุณใส่มาทั้งวันทั้งคืนแล้วด้วย” หญิงสาวถามต่อสายตาเหลือบมองไปยังเสื้อผ้าชายหนุ่ม

“เมื่อคืนผมถอดออกผึ่งแล้วครับ” คำตอบหน้าซื่อของชายหนุ่มทำให้คนฟังคิดเตลิด...ถอดผึ่ง...แล้วใส่อะไรนอน...หรือว่า...ความคิดสะดุดกึกพร้อมหน้าเห่อร้อน โมเรศสะบัดศีรษะเบา ๆ สลัดความคิดฟุ้งซ่านพร้อมเอ่ยแก้เกี้ยว

“ถึงอย่างนั้นก็ต้องรีดสักหน่อย ยับอย่างกับผ้าขยุ้มไว้อย่างนั้น”

“งั้น...ช่วยรีดให้ผมหน่อยสิครับ” ไม่พูดเปล่ายังจัดการถอดเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ยื่นส่งให้อีกด้วย หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอ้าปากค้างตั้งแต่เขาเริ่มแกะกระดุมเสื้อ ยิ่งค้างเมื่อเห็นว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตคือกล้ามเนื้อล้วน ๆ ไม่มีเสื้อกล้ามใส่ไว้เหมือนที่สมัยเด็กเคยเห็นพ่อใส่ และคงนิ่งอยู่ท่านั้นอีกนานหากจะไม่มีเสียงสำทับพร้อมกับการโบกเสื้อเชิ้ตในมือเบา ๆ

“บ...บ้าเหรอไง ! ค...ใครเขาทำกันแบบนี้ เสื้อใส่แล้วจะมาถอดรีดได้ไง !” หล่อนตะกุกตะกัก สายตาก็เสเบือนหลบไปทางอื่นที่ไม่ใช่...กล้ามเนื้อแน่น ๆ กล้ามท้องฟิตปั๋งที่เหลือบเห็นก่อนหน้านั้นของผู้ชายตรงหน้า...ให้ตาย...เกย์นี่รูปร่างดีอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่านะ !

“รีดเถอะครับ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกัน ผมนี่แหละยินดีเป็นคนแรก” เขาพูดกลั้วยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ วางเสื้อเชิ้ตลงบนแผ่นรองรีดอย่างถือวิสาสะ โมเรศพยายามมองเพียงเสื้อเชิ้ตที่ถูกวาง บังคับสายตาไม่ให้มองจับไปยังหน้าท้องมีกล้ามเป็นมัด ๆ เหมือนเคยเห็นจากนักกีฬาในทีวีอย่างยากเย็น ระยะยืนใกล้ได้กลิ่นหอมแปลก ๆ โชยกรุ่นจมูก...กลิ่นหอม ๆ กล้ามเนื้อแน่น ๆ แบบนี้...ถ้าเป็นพระเอกนิยายที่หล่อนเขียน...จะเข้ากับบทรักแบบอนาคอนด้าหรือเปล่านะ...

“อย่าให้เกินสิบนาทีนะครับ...ผมยังไม่ชินกับอากาศเมืองไทยเดี๋ยวไม่สบาย” เสียงสำทับเจือยิ้มจากชายหนุ่มปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์คิด

“ใครบอกจะรีดให้เล่า !” หล่อนแหวพร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยเสื้อเชิ้ตคล้ายรังเกียจนักหนา “อยากใส่เสื้อเรียบ ๆ ก็มารีดเอาเองสิ” ว่าพลางถอยออกมาจากจุดรีดผ้า...ถอยออกมายืนห่างจากกลิ่นกายชวนเตลิดเปิดเปิง ยกมือขึ้นกอดอกสีหน้าขุ่นขึ้งไม่พอใจ...มีเพียงตัวหล่อนเองที่รู้ว่าอาการเหล่านั้นเสแสร้งเพื่อกลบเกลื่อนอาการแปลก ๆ และความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

“ใจดำนะครับ” เขาว่าเสียงงอน ๆ ก่อนก้าวเข้าไปยืนในจุดรีดผ้า กิริยาหยิบกระบอกฉีดน้ำพรมเสื้อและท่าจับเตารีดดูทะมัดทแมงบอกให้คนแอบมองอยู่ดูรู้ว่าทำเป็น สายตาคมปลาบตวัดมองค้อนคนใจดำอย่างให้รู้สึกตัว ทว่าหญิงสาวเลือกเหลือบตามองผนังห้องเป็นการหลบ ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจฟึดฟัดอย่างขัดใจ แล้วก็ได้แต่อมยิ้มกับผนังห้องสีสะอาด หล่อนไม่เหลือบมองกลับไปอีก ได้ยินเพียงเสียงก็อกแก็กจากการยกเตารีดขึ้นและวาง เสียงหายใจเบา ๆ ของคนรีด

ความเงียบก้าวเข้าสู่ความคิดของโมเรศ ผนังห้องสีสะอาดเริ่มแปรเปลี่ยน ความคำนึงลอยละล่องไปถึงแผ่นกล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยเมื่อครู่



...ชายหนุ่มมีเพียงผ้าขนหนูพันปิดบังท่อนล่างไว้แต่ก็หมิ่นเหม่ชวนหลุดได้ตลอดเวลา ส่วนท่อนบนเปล่าเปลือย มัดกล้ามเป็นลอนสวยมีหยดน้ำเกาะพราว เขายกมือใหญ่ขึ้นขยี้ผมเปียกหมาดจนหยดน้ำกระจายเกลื่อน...ให้ตาย...ท่าทางของเขายั่วยวนเป็นบ้า ยิ่งมือใหญ่แข็งแกร่งของเขาหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดซับหยดน้ำบนร่างกาย มัดกล้ามแขนโป่งพองตามการยกงอ ผนวกกับความแข็งแกร่งของหน้าท้อง...หยดน้ำเล็ก ๆ กระจายตามแรงสะบัด มีบางหยดพลาดกระเด็นมาไกลจนโดนหล่อนเข้า เพราะเพลินมองจึงเผลอร้องอย่างตกใจเมื่อความเย็นของน้ำแตะต้องผิวกาย เขาชะงักกิริยาเงยหน้าขึ้นมอง สายตาแปลกใจในตอนแรกก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่ม...มือของเขาเลื่อนลงแตะปมผ้าขนหนูทั้ง ๆ ที่ยังจ้องหล่อนเขม็ง แต่หล่อนนี่สิ...กลับจ้องไปยังปมผ้าขนหนูเสียได้ และโดยไม่ให้หล่อนตั้งตัว เขาก็ปลดปมสะบัดผ้าขนหนูโยนมาคลุมหัวหล่อนได้อย่างเหมาะเหม็ง หญิงสาวรีบตะกุยผ้าออกให้พ้นสายตา หล่อนอยากรู้ว่าภายใต้ผ้าขนหนูผืนนั้น...มีอะไร

โมเรศกะพริบตาปริบ ๆ รู้สึกแปลกใจที่ชายหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงแสลคสีดำเรียบร้อย...เอ๊ะ...นี่หล่อนยังจินตนาการอยู่หรือเปล่านะ...อา...นั่น เขาเดินตรงเข้ามาใกล้ ยื่นหน้ายั่วยิ้มมาส่งเสียงเซ็กซี่ป่วนใจเอ่ยถาม

“มองแบบนี้...อยากกินผมล่ะสิ”

จากคุณ : แก้วชิงดวง
เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 54 22:57:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com