Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 1 ติดต่อทีมงาน

บทนำ

โรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหัวมุมถนนสายจอแจกลางเมือง รถยนต์สีฟ้าครามคันปราดเปรียวแล่นผ่านประตูและป้อมยามไปจอดบนลานซีเมนต์ปะปนกับคันอื่นๆ

คนขับก้าวลงมาอวดหุ่นโปร่งในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ใบหน้าเรียวแต่งบางสมวัยยี่สิบสองต้นๆ ผมดำหยักศกยาวเคลียหลัง เจ้าของรวบเป็นช่อด้วยกิ๊บขนาดกลางสีอ่อน

'สามแสน เปรมผาพิศ' เงยหน้ามองความตระหง่านโดดเด่นของอาคารสีขาวอมฟ้า ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง แล้วเดินไปสมทบกับผู้คนมากมาย ซึ่งระบุไม่ได้ว่า เป็นญาติมาเยี่ยมคนไข้ หรือว่าเป็นคนไข้เอง

ผ่านมุมวุ่นวายด้านหน้า ไปตามทางแคบขนาบด้วยห้องเรียงราย กระทั่งมาหยุดหน้าประตูสีขาว ป้ายด้านข้างระบุชื่อ 'นายแพทย์แสวงบุญ ชมช่อ'

ก่อนจะมา หญิงสาวโทรศัพท์มาบอกล่วงหน้าแล้ว เดาว่าเจ้าของห้องคงจะทำงานรอไปพลางๆ เธอเคาะประตูตามมารยาท แล้วเปิดเข้าไปยิ้มยิงฟันซุกซน

ภาพแรกที่ปะทะด้วย คือรอยยิ้มอบอุ่นของคุณหมอใจดี และรอยยิ้มรอยนั้น ก็ยังคงงดงามประทับใจเธอไม่เคยเสื่อมคลายมากว่าห้าปี

"สวัสดีค่ะ พี่หมอ ไม่ยุ่งใช่ไหมคะ" เธอทำความเคารพ เลื่อนเก้าอี้ไปนั่งข้างโต๊ะ

"ไม่ยุ่งครับ กำลังรอเราอยู่ สวยขึ้นเป็นกอง พี่คงชมช้าไปใช่ไหม"

คุณหมอแสวงบุญสัพยอกยิ้มๆ เลื่อนแฟ้มเอกสารไปไว้ด้านข้าง หมุนเก้าอี้มาทางสาวงาม ใช้แววสำรวจกวาดมองวงหน้าหมดจดที่เจ้าของไม่เคยทราบเลยว่าถอดพิมพ์มาจาก 'ชุลียา มานัญ' ไม่ผิดเพี้ยน

ต่างกันก็ตรงที่เจ้าของชื่อจากโลกนี้ไปนานยี่สิบปีแล้ว ขณะที่สาวงามตรงหน้าเพิ่งจะสะพรั่งเปล่งปลั่งด้วยวัยยี่สิบสองต้นๆ

"ไม่ช้าหรอกค่ะ" เสียงใสคงความทะเล้นไม่เสื่อมคลาย แม้กระทั่งรอยยิ้มก็ซุกซนน่าเอ็นดูเช่นกัน "ยังมีหนุ่มๆ อีกเยอะที่ยังไม่ได้ชมสามแสนว่าสวยขึ้น"

"อยากฟังมากเลยละสิ"

"ไม่มีผู้หญิงที่ไหนไม่อยากฟังคนชมว่าตัวเองสวยหรอกค่ะ สามแสนก็ผู้หญิงนี่คะ"

"ไปกันหรือยัง"

คุณหมอหัวเราะอารมณ์ดี พลางลุกขึ้นพร้อมกับดึงข้อมือเล็กอย่างสนิทสนม เจ้าของก็ไม่มีที่ท่าหวงหรือขัดขืน ยอมให้จูงน่าเอ็นดูออกจากห้อง

ระหว่างทางแคบก็สวนทางกับพยาบาลและคนมากมาย บรรยากาศภายในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็มักจะคล้ายกันเช่นนี้ ฉุนไปด้วยกลิ่นยา อึกทึกไปด้วยเสียงฝีเท้า จอแจไปด้วยคนสารพัดวัย

"ไม่ต้องร้านดีนักก็ได้ค่ะ สามแสนไม่เรื่องมาก"

"ได้ยังไง ฉลองให้บัณฑิตทั้งที ร้านข้าวแกงข้างถนน มันไม่เหมาะ"

"สามแสนเกรงใจนี่คะ"

"ถ้าบ่อยก็เกรงใจได้ แต่นี่ก็นานๆ ทีไม่ใช่หรือ"

การสนทนาระหว่างจับจูงผ่านผู้คน มาสิ้นสุดลงที่ลานซีเมนต์ สามแสนชี้ให้คุณหมอดูรถคันใหม่ที่บิดาซื้อเป็นของขวัญที่เธอเรียนจบ เพิ่งจะได้มาขับอย่างจริงจังเพียงสองสามวันเท่านั้น

"สีหวานดีครับ เหมาะกับคนขับจังเลย"

"จริงหรือคะ สามแสนเลือกเองเลยนะ"

คุณหมอแสวงบุญอมยิ้ม จูงมือเล็กต่อไปยังรถคันใหญ่สีน้ำตาลเข้ม มันไม่ใช่คันใหม่เอี่ยมเหมือนของหญิงสาว แต่กลางเก่ากลางใหม่ที่ยังอยู่ในสภาพดีมาก เพราะเจ้าของเอาใจใส่เป็นอย่างดี

ภายในหอมกรุ่นด้วยน้ำหอมปรับอากาศ เบาะหลังตั้งตะแกรงเหล็กที่อัดแน่นด้วยเอกสาร ถุงกระดาษ ถุงผ้า และข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อย

"อะไรนักหนาคะ" สาวงามเหลียวไปดู แล้วค่อยถามขำๆ มือก็คาดเข็มขัดนิรภัยไปพลาง

"สมบัติล้ำค่าของหมอ หายสักชิ้นละก็ โกรธยิ่งกว่ามีคนมางัดตู้เซฟขโมยเงินล้านอีกนะ"

"พี่หมอมีเงินกี่ล้านคะ"

โดนย้อนน่ารักปนทะเล้นเข้า คุณหมอก็หัวเราะร่วน เขาไม่ร่ำรวยอะไรนักหนาหรอก โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ก็ยังเป็นหนี้ธนาคารอีกหลายปี หรือรถที่กำลังขับคันนี้ ก็เพิ่งจะผ่อนหมดไปหกเดือนเศษๆ เอง

รถคันเก่งของคุณหมอหนุ่มแล่นเฉื่อยเนือยไปตามถนนสายเล็ก ข้างทางเรียงรายด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่ม

ผ่านร้านสะดวกซื้อไปสิ้นสุดตรงทางเลี้ยวเข้าซอยใหญ่ คุณหมอยังคงขับเฉื่อยดังเดิมไปอีกห้านาที จึงค่อยบ่ายเข้าไปจอดในโรงโปร่งมุงหลังคาสังกะสี

"ร้านนี้แหละ เจ้าประจำ บรรยากาศเหมือนได้นั่งกินในสวนริมคลอง"

"มองไม่ออกเลยค่ะ ตอนแรกนึกว่าค่ายมวยเสียอีก"

สามแสนลงมายืนสำรวจซ้ายขวา ซึ่งเป็นอาณาเขตของร้านอาหารแห่งนี้ทั้งหมด มีรถจอดเรียงกันหลายคัน แสดงให้เห็นว่าอาหารร้านนี้ รสชาติกลมกล่อมถูกปาก ลูกค้าจึงมาอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

"ไปครับ พี่จองโต๊ะในสวนด้านหลังไว้แล้ว เลือกชิดรั้วเห็นคลองใหญ่ชัดตาเลย ลมดีด้วย สามแสนต้องชอบ"

"ไม่ต้องบรรยากาศดีขนาดนี้ สามแสนก็ชอบค่ะ นี่มันของฟรีนี่คะ"

สาวงามยอกย้อนทะเล้น คล้องแขนอุ่นของคุณหมอใจดีอย่างสนิทสนม โดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ในร้าน เธอชินชากับการถูกมองอย่างเข้าใจผิดมาสองสามปีแล้ว

บิดามารดาก็สนับสนุนออกหน้าออกตา อยากเห็นว่าเธอกับคุณหมอแสวงบุญแปรเปลี่ยนสายสัมพันธ์ฉันพี่น้องเป็นแน่นแฟ้นลึกซึ้งฉันคู่รัก

"คงจะมีหลายคนแอบชมว่าเราเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก" คุณหมอกระซิบเสียงทุ้ม หัวเราะขำๆ

"แต่มันก็จริงนะคะ พ่อกับแม่ก็คะยั้นคะยอให้สามแสนจีบพี่หมอทุกวี่ทุกวัน"

ถึงโต๊ะที่จองไว้ บรรยากาศดีมาก ร่มรื่นด้วยซุ้มโปร่งประดับพุ่มเฟื่องฟ้าสีเหลืองสด รั้วระแนงทาสีเขียวอ่อน กั้นแนวดินที่ทอดล้ำลงสู่ริมคลอง ลมพัดถ่ายเทตลอดเวลา ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก

สามแสนนั่งชิดริมรั้ว ทอดตาลงจับผิวน้ำเรื่อสีแดงเล็กน้อย ฟากตรงข้ามเป็นบ้านสวน เห็นบ้านบางหลังแซมอยู่ในแมกไม้ บางหลังก็โผล่เฉพาะหลังคาแพลมๆ

"ชอบใช่ไหมครับ เอ้า สั่งอาหารด้วย อย่ามัวแต่ดื่มด่ำ"

คุณหมอเลื่อนรายการอาหารไปตรงหน้า เขาสั่งน้ำส้มคั้นสำหรับสาวงาม ส่วนตัวเองขอแค่น้ำเย็น พนักงานชายก็คุ้นหน้าคุ้นตากันอีก เพราะเขามาอุดหนุนเป็นลูกค้าขาประจำทั้งกลางวันและกลางคืน

"สดชื่นจังเลยนะคะ ลมที่พัดมาจากริมคลองเย็นฉ่ำๆ ไม่เหมือนลมในตัวเมือง ออกอ้าวๆ ค่ะ"

"ลมก็คือลม คิดมากไปหรือเปล่า สั่งอาหารเถอะครับ พี่มีเวลาสองชั่วโมงเองนะ"

"พี่หมอจะกินอะไรดีคะ"

"กินทุกอย่างที่สามแสนสั่งนั่นล่ะ สั่งเถอะ"

ระหว่างที่สาวงามกวาดตาอ่านรายการอาหาร คุณหมอใจดีก็ฉวยโอกาสสำรวจเจ้าตัวอย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปห้าปี สามแสนในวันนี้ กลายเป็นบัณฑิตผู้งามสง่าแล้ว

วูบหนึ่ง คุณหมอก็อดไม่ได้ที่จะระลึกถึงเพื่อนสนิท หากฝ่ายโน้นได้มาเห็น คงปลาบปลื้มไม่น้อย หัวใจดวงนั้นก็คงจะหวั่นไหวไปด้วยความปรารถนาอย่างน่าสงสาร

"วางแผนไว้บ้างหรือยังครับ ว่าจะทำอะไรหลังจากเรียนจบ" ดื่มน้ำดับกระหายแล้ว คุณหมอใจดีก็ชวนคุย

"มีในใจแล้วค่ะ" สาวงามตอบพร้อมกับยิ้มซน "พ่อกับแม่ก็ไม่ขัดข้อง"

"แจกแจงรายละเอียดได้หรือเปล่า"

"ได้สิคะ กับพี่หมอน่ารักของสามแสน อะไรก็ได้ทั้งนั้นละค่ะ"

"ปากหวานนะครับ"

"พี่หมอชอบหรือเปล่าละคะ"

"ชอบสิครับ ผู้ชายทุกคนก็ชอบผู้หญิงสวยปากหวานกันทั้งนั้นล่ะ"

"รวมทั้งพี่ชายด้วยใช่ไหมคะ"

น้ำเย็นเฝื่อนลำคอในทันที คุณหมอกระแอมเบาๆ ไม่ถึงกับสำลัก เพราะกลืนไปก่อนแล้ว ก่อนจะได้ยินสาวงามยอกย้อนราบเรียบ

เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า รอยยิ้มน่ารักจางหายไปจากวงหน้างาม ขณะนี้ เธอเขม็งตามาจ้องจริงจัง ประหนึ่งว่า คำตอบของเขา อาจเป็นเครื่องยืนยัน ชี้ชัด ต่อการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

"พี่ชายชอบผู้หญิงสวย แต่ไม่ต้องปากหวานหรอกสามแสน"

"สามแสนก็ว่าอย่างนั้น เพราะปากพี่ชายก็ไม่หวานเลย"

น้ำเสียงที่เอ่ยพาดพิงถึงใครอีกคน ช่างสนิทสนมผูกพันเจือด้วยความโหยหาเร้นลึก

คุณหมอแสวงบุญลอบสะท้อนใจ เมื่อระลึกได้ว่า สามแสนไม่เคยลืมเพื่อนสนิทของเขาเลย นับแต่วันแรกที่เธอฟื้นตัวจากอาการป่วยหนัก ซึ่งมันก็ผ่านการนอนซมเกือบเอาชีวิตไม่รอดร่วมสามสัปดาห์

"ไปพูดถึงพี่ชายอีกทำไม พูดแล้วใจสบายหรือ" เขาเก็บความคิดข้างใน แล้วเปรยนุ่มดั่งเตือนสติกึ่งปราม

"เขาเป็นคนเดียวที่สามแสนอยากพูดถึงตลอดเวลา" สามแสนสารภาพเต็มเสียง "สามแสนคิดถึงพี่ชายมาก อยากกลับไปหาเขา จะไปบอกเขาว่า สามแสนเรียนจบแล้ว จะหนีบปริญญาบัตรไปอวดเขาด้วย"

"อย่าเลย" เสียงนุ่มกึ่งปรามกึ่งแย้งตามเคย "ปล่อยเขาไว้กับชีวิตที่เขาเลือกเถอะ"

"แต่ว่า.. "

"สามแสน" คุณหมอกระแอม คล้ายว่าเพิ่งฉุกคิดได้ถึงจุดประสงค์ที่สาวงามมาในวันนี้ "พี่ชายเขาตัดสินใจดีแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงไม่ไปจากสามแสนเมื่อห้าปีก่อน อย่ารื้อฟื้นเรื่องที่มันจบไปแล้วอีกเลย"

"ใครจบหรือคะ" สาวงามเสียงตึงขึ้นมาบ้าง "พี่ชายจบเอง หรือคนรอบข้างบีบคั้นให้เขาจบ แล้วตลอดเวลาห้าปีนี้ คนรอบข้างอีกเหมือนกัน พยายามบีบคั้นให้สามแสนจบด้วย"

"สามแสน"

"สามแสนจะบอกว่า ที่มาวันนี้ ก็เพื่ออวดพี่หมอว่า สามแสนเรียนจบแล้ว จากนั้น ก็จะเข้าไปหาพี่ชาย ไปบอก.. "

"ทำไมไม่เอาเวลาไปวางแผนทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แทนการคิดเรื่องเหลวไหลที่เป็นไปไม่ได้"

บรรยากาศร่มรื่นแปรเปลี่ยนเป็นอบอ้าว เมื่อการสนทนาเดินเข้าสู่สนามแห่งความขัดแย้ง คุณหมอแสวงบุญไม่สบายใจ ที่ต้องเค้นเสียงหนักปรามความปรารถนาของสาวงาม

หากแต่สามแสนก็ได้ตัดสินใจมาอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว บิดามารดายังทัดทานเธอไม่สำเร็จ คุณหมอใจดีตรงหน้า ก็ไม่มีวันเก่งไปกว่าบุพการีได้

"สามแสนก็ทำอยู่นี่ไงคะ ความปรารถนาสูงสุดของสามแสนก็คือ อดทนรอให้ถึงวันที่จะได้พบหน้าพี่ชายอีกครั้ง"

"สามแสน"

"สามแสนทำตามคำแนะนำของพี่หมอทุกข้อแล้วไม่ใช่หรือคะ หักอกหักใจจากพี่ชายเมื่อห้าปีก่อน ตั้งอกตั้งใจเรียนให้จบ จากนั้น สามแสนอยากทำอะไร พี่หมอก็จะไม่ขัด"

อาหารสองสามอย่างที่พนักงานยกมาเสิร์ฟคั่นจังหวะ ไม่ได้ช่วยลดความตึงเครียดที่ขึงการสนทนาของหนุ่มสาว อีกอย่าง มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้ทั้งสองมานั่งประจันหน้าในวันนี้




คุณหมอแสวงบุญเข้าใจแล้วว่า การนัดกินข้าวกลางวันของสาวงาม เป็นเพียงข้ออ้าง

จุดประสงค์แท้จริงก็คือ การมาประกาศเจตนารมณ์ที่ไม่เคยลืมเลือน แต่เมื่อมันถูกยกมาตั้งเต็มโต๊ะแล้ว จะปล่อยให้มันเดียวดายก็ใช่ที่ คู่สนทนาจึงจำต้องงดเว้นการประฝีปากลงชั่วคราว

จนเวลาผ่านไปสิบนาที สามแสนรวบช้อนก่อน ดื่มน้ำเย็น แล้วตามด้วยน้ำส้มคั้นที่ยังเหลืออีกเล็กน้อย จากนั้น ก็เป็นฝ่ายมองคุณหมอใจดีซับปาก ดื่มน้ำ ขยับตัว และจ้องตานิ่ง

"บอกมาซิ จะไปหาพี่ชายได้ที่ไหน ป่าทั้งผืนนะสามแสน ไม่ใช่สวนสาธารณะในเมือง เดินหาสักชั่วโมงก็เจอ"

"พี่ชายคงไม่ย้ายไปไหนหรอกค่ะ"

"เรื่องย้ายไม่ใช่ปัญหาหรอก"

"ก็นั่นสิคะ ในเมื่อพี่ชายไม่ได้ย้ายไปไหน สามแสนก็ต้องหาเจออยู่แล้ว คราวนี้สามแสนไม่ได้บุกลุยไปคนเดียว แต่จะหาคนนำทางเข้าไปด้วย"

"แล้วถ้าเจอหน้าเขา สามแสนจะทำยังไง"

คำถามนี้ ทำให้สาวงามนิ่ง สายตาหวั่นวิตกเร้นลึกเลื่อนไปจับผิวน้ำในลำคลอง เห็นคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกใหญ่ ก่อนจะเคลื่อนมาซัดริมตลิ่ง แตกตัวจนเกิดฟองฝอย

"ตอบไม่ได้ หรือไม่กล้าตอบ เพราะรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว รู้มาตั้งนานแล้ว รู้มาตั้งห้าปีแล้ว"

สามแสนก้มหน้ามองผ้าเช็ดหน้าในมือ เสียงกล่าวย้ำหนักของคุณหมอใจดี กระทุ้งความหวั่นวิตกให้ยิ่งแผ่จ้าในดวงตาว้าวุ่น
 
"จะดันทุรังให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดไปทำไม" คุณหมอแสวงบุญเลื่อนจานข้าวไปด้านข้าง ถอนใจแผ่ว แล้วแจงเหตุผลด้วยเสียงอ่อน "เคารพในการตัดสินใจของพี่ชายดีไหม ปล่อยเขาไปตามทางของเขา อย่าไปรบกวนความสงบที่เขาต้องการ ให้เขามีความสุขกับความทรงจำดีๆ ทุกความทรงจำไม่ดีกว่าหรือสามแสน"

"แต่สามแสนคิดถึงพี่ชาย" เธออ้อมแอ้มพลางสูดจมูกคล้ายสะอื้น ใบหน้ายังก้มต่ำ แววตาฉายความเศร้า

"พ่อแม่และคู่หมั้นของพี่ชาย ก็คิดถึงเขานะ คิดถึงมากด้วย อาจจะมากกว่าสามแสน เพราะสำหรับพวกเขา พี่ชายคือจุดศูนย์กลางของชีวิต แต่กับสามแสน พี่ชายเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่บังเอิญรู้จักกันไม่กี่วัน"

ลมแผ่วที่พัดผ่านไปผ่านมา ไม่ได้ทำให้สามแสนรู้สึกสดชื่นเย็นฉ่ำเหมือนตอนมาถึงในวินาทีแรก เธอไม่ยอมสบตาอาทรของคุณหมอใจดี และอีกฝ่ายก็มองอากัปกิริยาเช่นนั้นออกว่า สามแสนกำลังดื้อรั้น

"กับพ่อแม่ กับคู่หมั้น พี่ชายยังตัดใจตัดรอนไม่ยอมให้เจอหน้ามากว่ายี่สิบปีแล้ว ประสาอะไรกับสามแสน"

"สามแสนไม่สนใจหรอกค่ะ" แล้วเธอก็เงยหน้าเผยแสงตาเด็ดเดี่ยว "ทุกคนดีแต่เฝ้ารอให้พี่ชายกลับมา โดยไม่ทำอะไรเลย รู้ได้ยังไงว่าพี่ชายไม่อยากเจอหน้าพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความไม่ขวนขวาย"

"สามแสน"

"ไม่จริงหรือคะ คุณตาคุณยายเป็นพ่อแม่แท้ๆ แต่นั่งรอให้พี่ชายกลับไปหา พี่บุษบงเป็นคู่หมั้น แต่ก็แค่สวมแหวนหมั้น รอว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะกลับไปสวมแหวนแต่งงาน ทุกคนคิดเป็นอยู่อย่างเดียวว่าต้องรอเท่านั้น"

"พวกเขาทำทุกวิถีทางแล้วต่างหาก แต่ไม่สำเร็จ ไม่มีใครดึงพี่ชายกลับออกมาได้หรอก เขาเลือก.. "

"แต่ถ้ามีใครสักคนพยายามให้มาก ให้เขาเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญที่ทุกคนต้องการจริงๆ เขาก็ต้องใจอ่อน"

"สามแสน"

"สามแสนจะเป็นคนคนนั้น จะแสดงให้เขารู้สึกให้ได้ว่าเขาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต เขาต้องกลับออกมาพร้อมกับสามแสน หรือถ้าไม่กลับออกมา สามแสนก็จะอยู่กับเขาที่นั่นตลอดไป"

"สามแสน"

คุณหมอแสวงบุญอุทาน เบิกตากว้างอย่างทึ่ง ไม่นึกว่าสาวงามจะมุ่งมั่งเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ปีนี้เธอเพิ่งสัมผัสอายุยี่สิบสองต้นๆ เท่านั้น แต่กลับดึงดันจะพัดพาความสะพรั่งเปล่งปลั่งไปหมกไว้ที่ปลายดง มันคุ้มค่าดีแล้วหรือ

"สามแสนไม่ได้มาขออนุญาตพี่หมอนะคะ จึงไม่จำเป็นต้องฟังว่าพี่หมอจะตอบว่าได้หรือไม่ได้ สามแสนตัดสินใจแล้ว ใครก็ทัดทานสามแสนไม่ได้ทั้งนั้น พรุ่งนี้ สามแสนจะเข้าไปตามหาพี่ชาย"

น้ำเสียงแข็งกร้าวบอกถึงจุดยืนชัดเจน ทำให้คุณหมอใจดีต้องลอบสะท้อนใจ เขาไม่อยากนึกภาพอันน่าสลด ในวินาทีที่เพื่อนสนิทได้เจอหน้าสาวงาม เพราะทายได้ว่าฝ่ายโน้นต้องออกปากไล่อย่างเลือดเย็น เสมือนว่าไร้ใจเป็นอย่างยิ่ง

"พี่ขอถามตามตรงเถอะ สามแสนมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอีกหรือเปล่า นอกเหนือจากที่อ้างว่า พี่ชายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเมื่อห้าปีก่อน"

"สามแสนรักพี่ชายค่ะ"

'รักหรือ' คุณหมออุทานกึ่งทวนคำตอบนั้นอย่างทึ่งอีกครั้ง เขาถอนใจเฮือกยาว ชำเลืองไปเห็นพนักงานชายเมียงมอง ก็พยักหน้าเรียกให้เข้ามาจัดการกับค่าอาหาร

"ด้วยความรู้สึกนี้หรือ ที่สามแสนมั่นใจว่าจะดึงพี่ชายกลับออกมาได้"

"ค่ะ"

"ทั้งที่สามแสนก็รู้ที่มาที่ไปดีแล้ว"

"ค่ะ สามแสนไม่เคยลืมว่า เพราะความรักทำให้พี่ชายต้องพัดพาตัวเองไปซ่อนความเจ็บช้ำในป่าลึก แต่เขาก็อยู่ในนั้นนานเกินไปแล้วนะคะ ชีวิตของคนเรา ไม่จำเป็นต้องสิ้นสุดลงที่รักแรกเสมอไปไม่ใช่หรือคะ"

"พี่ชายคงไม่กลับออกมาหรอกสามแสน เขาคุ้นเคยกับชีวิตที่เขาเลือกมายี่สิบปีแล้ว"

"ไม่เป็นไรนี่คะ เมื่อกี้นี้ สามแสนก็บอกแล้วว่า ถ้าพี่ชายไม่กลับออกมา สามแสนก็จะอยู่กับเขาที่นั่นตลอดไป"

"ปีนี้เขาอายุสี่สิบแล้ว แต่สามแสนเพิ่งจะ.. "

"ปล่อยให้เป็นเรื่องของอายุไปเถอะค่ะ เพราะความรักไม่เคยมีเงื่อนไขใดๆ ไม่ใช่หรือคะ"

"สามแสน"

"ไม่อย่างนั้น พี่ชายซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลทิศยศ จะลักลอบได้เสียกับสาวใช้จบประถมต้นจนมีโซ่ทองคล้องใจด้วยกันได้ยังไงคะ"

ชุลียาผู้จากโลกไปนานร่วมยี่สิบปี ถูกหยิกยกกลับมาพาดพิงถึง เพียงเพื่อจะยึดมั่นในเจตนารมณ์เด็ดเดี่ยว คุณหมอใจดีไม่ปรารถนาให้ดวงวิญญาณของคนจากไป ต้องลอยไปสะดุ้งไป

อีกทั้งเห็นว่า ป่วยการจะฉุดรั้งหัวใจแข็งกร้าวดวงนั้น ด้วยว่าเหตุผลมากมายของสามแสน มันก็ฟังเข้าทีอยู่บ้าง เขาจึงถอนใจแผ่วยาว พร้อมกับตัดบทไปว่า

"เอาเถอะ ดูจากท่าทางเด็ดเดี่ยวของสามแสน ก็คงไม่มีใครทัดทานได้แล้วจริงๆ พี่ก็ได้แต่ภาวนาขอให้พี่ชายซาบซึ้งในความมุ่งมั่นของสามแสนด้วยก็แล้วกัน เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น.. "

"สามแสนเผื่อใจมาแล้วค่ะ" เธอตอบพร้อมกับเริ่มระบายยิ้มซนให้เห็นอีกครั้ง "ถึงแม้ว่าสามแสนจะรู้จักกับพี่ชายได้ไม่กี่วัน แต่อุปนิสัยแข็งกร้าวของเขา สามแสนก็พอเข้าใจอยู่บ้าง"

"ความรักทำให้พี่ชายเปลี่ยนไป" คุณหมอใจดีปรารภกลั้วรอยยิ้มสะทกสะท้อน "อุปนิสัยจริงๆ ของพี่ชายไม่แข็งกร้าวสักนิด อ่อนโยน ใจดี และมีเมตตามาก เขาต้องเป็นหมอที่ดี เป็นขวัญใจของคนไข้และพยาบาล ถ้าเขาเรียนจบ"

ตอนท้าย คุณหมอเปรยความเสียดายลึกๆ สามแสนพยักหน้าเห็นพ้อง เธอเองก็เคยนึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่าในป่าผืนนั้น

มันน่าอัศจรรย์ ที่พบว่าอิสรภาพมากมายในนั้น กลับสามารถกักขังว่าที่คุณหมออนาคตไกลคนหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา และไม่ใช่แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากแต่เป็น 'ตลอดไป'

"เรากลับกันดีไหมคะ พี่หมอต้องเข้าประชุมอีกไม่ใช่หรือคะ"

"ครับ"

ความคิดในใจของทั้งสองสิ้นสุดลง เมื่อเดินออกจากร้านอาหารแห่งนั้น คุณหมอแสวงบุญพาสาวงามมาส่งถึงรถคู่ใจใหม่ถอดด้าม หลังจากที่ยืนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกสองสามเรื่องแล้ว ทั้งสองจึงค่อยแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง




หญิงสาวขับรถเข้าไปจอดในโรงโปร่งด้านข้าง คุณหมอแสวงบุญให้กุญแจบ้านพักมาแล้ว เธอไม่ต้องไปพักโรงแรมให้สิ้นเปลือง เพราะพรุ่งนี้ ก็ต้องออกเดินทางเข้าป่าไปตามหาพี่ชายในดวงใจแล้ว

ระหว่างทาง เธอโทรศัพท์นัดคนนำทางให้มาเจอกันที่นี่ ฝ่ายโน้นรับปากแข็งขันว่าจะตามมาสมทบภายในยี่สิบนาที

หลังจากที่เก็บสัมภาระไว้ในห้องพักเรียบร้อยแล้ว สามแสนก็ลงมาเตร่ในสวนข้างบ้าน จนเห็นรถกระบะคันหนึ่ง เลี้ยวมาจอดชิดขอบสวนหย่อมข้างโรงรถ

ชายผิวคล้ำ รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ เดินมาพร้อมกับชาวผิวขาว รูปร่างสันทัด และสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเหมือนกัน

"นายพรานคนนี้ชื่อ นายเก่งกาจครับ คนนี้ละครับ เจ้าของฉายานายพรานทั่วสิบทิศ"

'นายปัญญา รุ่มรวย' แนะนำนายพรานคนเก่งให้รู้จัก เจ้าตัวเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มีความเชี่ยวชาญและช่ำชองในการท่องป่าทั่วทิศ จะเมืองกาญจน์เมืองไหน พ่อนายพรานคนเก่งก็ท่องมานักต่อนัก สามแสนพยักหน้ารับรู้ พลางกวาดสำรวจเจ้าของชื่ออย่างถี่ถ้วน

"หน้าลุงซีดๆ นะ" เธอตั้งข้อสังเกต "ไม่สบายหรือเปล่า แล้วจะนำทางไหวหรือคะ"

"ไหวครับ ผมเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด เจอนายปัญญาไปรออยู่ที่บ้าน ติดต่อให้มาช่วยนำทางคุณสามแสน ได้ยินว่า คุณสามแสนเป็นญาติกับคุณหมอแสวงบุญ ผมก็เลยไม่กล้ารีรอ"

"อยากจะพักสักวันสองวันก่อนก็ได้นะคะ สามแสนรอได้"

"ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ คิดว่าคงจะใช้เวลาหากันไม่นานนัก หากตามที่นายปัญญาเล่ามา มันไม่ผิดเพี้ยน ผมก็เดาว่าน่าจะใช่คนที่ผมสงสัย"

"สงสัยหรือ ลุงจะบอกว่ารู้จักกับพี่ชายหรือคะ" สามแสนรีบถามอย่างตื่นเต้นระคนลิงโลดนิดๆ

"ผมก็ยังไม่กล้ายืนยันเต็มเสียงหรอกครับ แต่ถ้าป่าแถบนั้น แล้วก็ผู้ชายลักษณะนั้น ก็มีไม่ค่อยกี่คน ผมก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่าน่าจะใช่"

"ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ใช่ มันไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เจอกันแล้วก็ต้องรู้อยู่ดี เอาเป็นว่า พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันเลย ลุงเก่งกาจนัดเวลามาเลยค่ะ กี่โมงดีคะ"

"เช้าหน่อยก็ดีครับ จะได้มีเวลาหากันนานๆ ถ้าโชคดี เราก็อาจเจอก่อนค่ำ"

สามแสนพยักหน้ากระตือรือร้น เธอไม่มีปัญหาเรื่องหาเจอก่อนค่ำ หรือจะหาไม่เจอภายในวันเดียว เพราะสำหรับเธอ เวลาทั้งหมดหลังจากนี้ มีไว้เพื่อทุ่มเทให้เขาคนเดียวเท่านั้น

ขณะเดินมาส่งคนนำทางสองคนที่รถ และยืนรีรอจนรถกระบะหายลับไป หัวใจของสามแสนก็กระชุ่มกระชวยไปด้วยพลังฮึกเหิม

เธอพร้อมแล้วสำหรับบุกลุยเข้าไปในป่าทุกผืน ไม่หวั่นเกรงว่าจะโดนไข้ร้ายภัยทรชนคนเลวใดๆ เล่นงานปางตายเหมือนเมื่อห้าปีก่อน เจอหน้าเมื่อไหร่ เธอจะบอกเขาทันทีว่า 'สามแสนรักพี่ชายค่ะ'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 54 10:27:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com