ก่อนถึงวันหยุด ขอลงต่อ 2 ตอนเลยนะครับ ขอบคุณกิฟต์จากทุกท่านด้วยนะครับคุณ คุณนุ้ยนารีจำศีล, คุณ Jeab_Forest55, คุณ Hermosa, คุณ เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก, คุณ รัตนจันท์, คุณ yaimooyoyo, คุณ Friday Story, คุณ มานีโอลา,คุณ kdunagin, คุณ Travel to the moon,คุณ เขมปัณณ์ และคุณ เรียวรุ้ง
คุณ Hermosa, คุณ scottie, คณไก่ : ตอนท้ายบทนี้อาจจะสยองหน่อยครับพอเป็นกระสาย เดี๋ยวจะเริ่มบทย้อนอดีตแล้วครับ
คุณ เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก : เรือลำนี้จะเป็นการนำไปสู่บทสรุปของเรื่องครับ
สาปพิษฐานตอนที่ผ่านมานะครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10509374/W10509374.html
บทที่ 18
ยอดธง ทับคีรี กำลังนั่งจุดบุหรี่สูบอยู่ที่ห้องพักส่วนตัวอย่างสบายอารมณ์ เขารอคอยให้ บอดีการ์ดหรือสมุนเอกคนสำคัญทั้งคู่เดินทางกลับมารายงานความคืบหน้าและความสำเร็จ ซึ่งมันไม่น่าจะผิดไปจากแผนการที่วางไว้สักเท่าใด
กำจัดผู้กองพระแสง โดยทำว่าทุกอย่างเป็นเหมือนอุบัติเหตุ!
น่าขอบใจหมอกประหลาดที่เข้ามาช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายยิ่งขึ้นไปอีก...
นายหัววัยชราเอนกายลงกับพนักพิง พลางทอดอารมณ์ไปถึงเหตุการณ์ในอดีต อันเป็นชนวนเหตุสำคัญที่โยงมาถึงปัจจุบัน
มันเริ่มต้นจากไอ้สุ่นหรือสุนทร อัศวยุทธการที่ทุกคนรู้จักกันในนาม โกสุ่น สหายคนสนิทที่ร่วมเรียงเคียงบ่าในความสำเร็จทางการเมืองมาพร้อมกัน เขารักสุนทรเหมือนน้องชายคนหนึ่งและพร้อมจะสนับสนุนอีกฝ่ายให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การเมือง ตำแหน่งต่างๆที่สุนทรได้รับมาล้วนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาคอยให้ความสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
เหลือเพียงการก้าวข้ามจากนักการเมืองท้องถิ่นไปสู่การลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับชาติเท่านั้น ที่ต่างก็รอคอยจังหวะเวลาอันเหมาะสม
ถ้าเพียงแต่ไอ้สุ่นจะไม่ทรยศเสียก่อน!!
และคนที่มันหันไปแปรพักตร์ด้วย ก็เป็นศัตรูคนสำคัญที่ ยอดธงไม่อาจจะรับได้... นายหัวชิงฉัตร ธารานพรัตน์!! เขาแฝงเร้นความเกลียดชังและดูถูกไอ้นายหัวหนุ่มใหญ่ผู้นั้นมาตั้งแต่มันยังเป็นเพียงกุลีรับจ้างจนๆแถบท่าเรือ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนลูกเจ๊กไฮ้ พ่อของมันที่ตายโหงไปก่อนหน้า พวกมันเป็นเทือกเถาเหล่ากอของคนชั้นต่ำคนที่เขาเคยดูแคลนและไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อน
แต่แล้วมันก็สามารถพัฒนาตัวเองจากไอ้ตังเกกำพร้า กลายเป็นเจ้าของเรือหาปลา เป็นเจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน ลานเท* และยังทำธุรกิจต่างๆจนประสบความสำเร็จอีกมากมายจนก้าวขึ้นมาเทียบเคียงกับเขาได้อย่างน่ามหัศจรรย์
เขาสู้อดทนมองเห็นความก้าวหน้าในชีวิตของมันที่ทวีขึ้นเรื่อยๆราวกับเทวีแห่งโชคคอยอำนวยพรให้ด้วยความริษยา ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ควรจะมีสิงห์อยู่ได้เพียงหนึ่งเดียว ถ้าต้องการผู้สืบทอดตำแหน่งและสายเลือดแห่งราชสีห์นั้นด้วยแล้ว มันควรจะต้องเป็นสายเลือดแห่งทับคีรี ไม่ใช่ธารานพรัตน์!!
เทปลับที่คนสนิทส่งมาให้ เป็นการเจรจาต่อรองระหว่างไอ้สุ่นกับนายหัวฉัตร อีกฝ่ายกำลังคิดจะลงเล่นการเมืองในนามพรรคการเมืองใหม่แห่งหนึ่งที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นไม่นานและมีนโยบายที่จะพุ่งเป้าลงมาเจาะสนามเลือกตั้งในเขตจังหวัดนี้รวมอยู่ด้วย สุนทรเองก็มองเห็นการเติบโตในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกลำดับแรกๆของพรรค เมื่อเจตนาของทั้งสองฝ่ายตรงกันจึงนำไปสู่ความร่วมมือครั้งใหม่... แต่ยอดธงไม่อาจรับได้ ฝ่ายหนึ่งคือคนที่เขามองเป็นเหมือนศัตรูผู้ที่เคยหยามเหยียดมาโดยตลอดแม้จะไม่แสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้ก็ตาม และอีกฝ่ายก็คือคนที่เขารักไม่ต่างกับน้องชายร่วมสายโลหิตแต่มันกลับทรยศอย่างไม่ควรได้รับการอภัย...
ยอดธงตัดสินใจโดยไม่ลังเล วางแผนทุกอย่างเป็นอย่างดี การยิงนกครั้งนี้จะใช้กระสุนเพียงนัดเดียว... กำจัดพวกมันทั้งคู่ คนหนึ่งสังหารให้ด่าวดิ้น และอีกคนหนึ่งก็ฆ่าให้มันตายทั้งเป็น ด้วยข้อครหา ผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังการสังหาร!
ไม่คาดคิดว่าแผนการแนบเนียนเหมือนฟ้าไร้ตะเข็บจะเกิดมีช่องว่างสำคัญขึ้นมา เมื่อไอ้ผู้กององอาจเข้ามาเกี่ยวข้องโดยบังเอิญ จากการสืบสวนสอบสวนการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของโกสุ่น ยอดธงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายส่าย รู้ลึกสักเพียงไหน แต่สัญชาตญาณก็บอกกับเขาไม่อาจยอมให้อีกฝ่ายทำหน้าที่นี้ได้อีกต่อไป
เขาติดต่อ ผู้ใหญ่ที่รู้จักกันให้ทำเรื่องขอย้ายไอ้ผู้กององอาจไปอยู่ทีอื่น แต่สิ่งที่น่าหนักใจยิ่งกว่าก็มาแทนที่ เมื่อกลายเป็นว่าผู้กองคนใหม่ที่เดินทางมารับตำแหน่ง กลายเป็นเพื่อนสนิทกับผู้กองคนเก่า และมีการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลา
เขาส่งคนไปค้นหาข้อมูลที่อาจจะมีที่บ้านพักชั่วคราวของไอ้ตำรวจเดนตายนั่น แต่ก็ไม่ยักพบอะไร แต่ยอดธงก็ยังไม่วางใจ
ถ้าพวกมันยังมีปากพูดอีกต่อไป เรื่องทั้งหมดก็อาจจะแดงขึ้นมาได้ในเวลาใดเวลาหนึ่งข้างหน้า เขาต้องการความมั่นใจในข้อนี้ โดยเฉพาะเมื่อไอ้กายอมือสังหาร... สายสืบของเขารายงานมาว่าพวกมันนัดพบกันก่อนส่งมอบ พยานวัตถุชิ้นหนึ่งติดมือผู้กองพระแสงมาได้ กายอปิดปากไอ้องอาจได้สำเร็จก็จริง แต่พระแสงกับรอดไปได้ แม้จะส่งทีมสมุนมือดีไปเก็บชีวิตมันอีกรอบระหว่างการเดินทางไปงานศพผู้กององอาจ มันก็ยังอุตส่าห์หนีเอาชีวิตรอดพ้นมาได้ราวปาฏิหาริย์ ซ้ำยังวิสามัญไอ้กายอได้สำเร็จอีกต่างหาก!!
โชคดีที่เขาเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจสาวมาถึงตัวได้สำเร็จ แต่ก็สูญเสียมือดีไปถึงสามคน
พระแสงทำให้เขาแค้นแทบกระอักเลือด ต่อให้มันพก พระรอดติดตัวสักร้อยพันองค์ เขาตั้งใจไว้ว่าจะปลิดชีวิตมันให้สาสมความแค้นนี้ให้ได้ ภายใต้รอยยิ้มของนายหัวยอดธง จึงซ่อนความปรีดาเอาไว้ไม่มิด เมื่อเห็นการปรากฏตัวของนายตำรวจหนุ่ม ตามที่วางหมากเอาไว้แต่แรก
เขาพอรู้มาว่า รสลินน้องสาวชิงฉัตรมีใจให้กับพระแสงอยู่ไม่ใช่น้อย ประเด็นนี้สำคัญมาก...เพราะถ้าหากนายหัวฉัตรเกิดร่วมมือกับ ว่าที่น้องเขยขึ้นมา แล้วเอาความลับที่พบว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของโกสุ่น สำหรับการแบล็คเมล์ อนาคตทั้งหมดของเขาและซิ้วหลีก็คงจะพินาศไม่เหลือชิ้นดี
คนอย่างโกยอดไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของใครอย่างเด็ดขาด!
และมันก็ช่างเป็นจังหวะและโอกาสสำคัญพอดี ในงานแซยิดปีนี้ ชิงฉัตรเกิดอาสาเป็นเจ้าภาพจัดเรือสำราญให้กับเขา นั่นก็เป็นโอกาสที่จะได้ยืมมืออีกฝ่ายลอบกำจัดไอ้ผู้กองพระแสง เขารู้ว่างานนี้รสลินไม่มีทางมาร่วมงานโดยขาดผู้กองหนุ่มในดวงใจมาด้วยเด็ดขาด และทุกอย่างก็ลงล็อคสวยงาม เมื่อเขาได้เห็น เหยื่อเดนตายทั้งสองคน เดินทางเข้ามาร่วมงานนี้พร้อมกันทีเดียว
ทั้งผู้กองพระแสงและหญิงสาวที่ชื่อศาปานต์! โกยอดติดต่อบอดีการ์ดที่มาด้วยกันในทันทีเพื่อดำเนินการ...
เมื่อพระแสงถูกกำจัดทิ้งไป นอกจากจะเป็นการขจัดเสี้ยนหนามคาใจชิ้นสำคัญพร้อมหลักฐานมัดตัวจากผู้กององอาจถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว ในอีกทางหนึ่งก็จะช่วยเป็นการสร้างความเชื่อให้กับทุกคนว่า นายหัวใหญ่ผู้กำลังจะก้าวขึ้นเป็นนักการเมืองท้องถิ่น มีปมอดีตอันดำมืดของเงาฆาตกรซ่อนอยู่!!
ไม่ใช่สิ่งสำคัญว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่... ขอเพียงแค่ให้เกิดกระแสเสียงร่ำลือด้วยความคลางแคลงสงสัยนั่นแหละ จะเป็นตัวจุดชนวนลบแรงศรัทธาที่อีกฝ่ายพยายามพากเพียรสั่งสมมันขึ้นมาให้ปลาสนาการไปในชั่วข้ามคืน เป็นการ ดิสเครดิตอีกฝ่ายลงอย่างสวยงสดงดงาม โดยอาศัยแค่ลมปากที่เป่าออกไปโดยไม่อาจดมหาเจ้าของลมปากคนแรกได้เลย...
และจากนั้น... ย่อมไม่ยาก ที่เขาจะดันยอดมณี ทับคีรี... ซิ้วหลี ทายาทสาวคนเดียวให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนักการเมืองท้องถิ่นคนใหม่ทดแทน ในจังหวะเวลาอันเหมาะสม ด้วยภาพลักษณ์สะอาดตาปราศจากมลทินและความเป็นเพศหญิงที่อ่อนหวานนุ่มนวล อย่างที่บุตรสาวของเขามีอยู่แล้วพร้อมสรรพ โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงโปรโมทให้เหนื่อยเปล่าอีกต่อไป... ส่วนศัตรูตัวฉกาจที่ถูกหลอกมาเป็นมิตรก็พังพินาศด้วยด้วยของมันเอง!
ป่านนี้ ไอ้ราไวย์และกาวี คงจะจัดการไอ้ผู้กองเดนตายนั่นไปเรียบร้อยแล้ว? ต้องขอบคุณสภาพอากาศอันวิปริตครึ้มทะมึนไปด้วยม่านหมอก ที่เข้ามาช่วยสร้างสถานการณ์เป็นใจให้กับปฏิบัติการครั้งนี้อย่างพอเหมาะ...
ชายเฒ่ามากเล่ห์กดปลายบุหรี่ลงกับจานรองกระเบื้อง ตอนนี้ได้เวลาที่ต้องไปปรากฏตัวยังห้องรับรองอีกครั้งแล้ว ทำตัวให้เหมือนกับเจ้าของงานที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น... ชายสูงวัยขยับกายลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงด้วยอารมณ์อันรื่นรมย์แล้วก้าวเดินตรงไปยังบานประตูห้อง หากยังไม่ทันจะหมุนลูกบิดเปิด เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกก็ดังขึ้นเสียก่อน
นาย... นายช่วยผมด้วย...
ไอ้ราไวย์
ยอดธงจำเสียงละล่ำละลักผิดปกติของลูกสมุนคนสนิทได้ เขารีบผลักประตูเปิดกว้างและร่างของราไวย์ก็คะมำพรวดเข้ามา นัยน์ตาเหลือกลานจนแทบจะเห็นแต่สีขุ่นขาวแทนตาดำ
เมื่อเห็นผู้เป็นนายใหญ่ ราไวย์ก็รีบคลานกระเสือกกระสนเข้ามาเกาะขาด้วยอาการหวาดกลัวสุดขีด
ช่วยผมด้วย... ช่วย...
ยอดธงเพิ่งเห็นว่าร่างทั้งร่างของมันเต็มไปด้วยรอยแผลคล้ายถูกขบกัด กลิ่นเลือดปนกลิ่นเหงื่อและกลิ่นปัสสาวะที่ไม่อาจกลั้นผสมผเสกันจนแทบจะทำให้อาเจียนออกมา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมิได้กังวลกับสภาพบาดเจ็บของร่างกายตนเอง แต่กำลังหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่างที่ตามมาจากด้านนอกมากกว่า
อะไร??
คำตอบมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นพอดี ยอดธง ทับคีรี ขยี้นัยน์ตาอย่างประหลาดใจมากกว่าตกใจเมื่อมองเห็นร่างหนึ่งยืนผงาดตระหง่านเงื้อมอยู่เบื้องหน้า หากเมื่อสายตาปรับภาพจนมองเห็นได้ชัดเจน โกยอดก็ถึงกับยืนนิ่งราวถูกสาปให้เป็นรูปปั้น
นี่คืออสุรกายในร่างมนุษย์อันมีรูปโฉมอัปลักษณ์น่าสะพรึงที่สุดในชีวิต!
ร่างนั้นก้าวตรงเข้ามาอย่างเชื่องช้า แม้จะมิได้มีท่าทีคุกคามใดๆ แต่เขามองเห็นประกายตาเรืองแสงสีแดงก่ำเจิดจรัสราวก้อนทับทิมทั้งคู่ บนใบหน้าปูดโปนบิดเบี้ยวผิดรูป รอยยิ้มของมันแสยะกว้างจนมองเห็นฟันซี่โตคมกริบเรียงพรึ่ดเต็มไปทั้งปาก เป็นสีหน้ากระหยิ่มยินดีอย่างสาสมใจบางอย่าง...
ท่ามกลางเสียงแหกปากด้วยความหวาดกลัวสุดขีดของสมุนคู่ใจ ยอดธงพยายามเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
กะ-แก... พวกแกเป็นใคร เป็นใครกัน?
จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสามและสี่ห้าคนที่ทยอยกันเข้ามา โดยที่เขาไม่ทันคิดหาทางออก สมองอันเคยฉับไวของนายหัวเฒ่าคล้ายอ่อนล้าโรยแรงลงกะทันหัน เหมือนต้องมนตร์สะกด
เสียงหัวเราะกระหึ่มขึ้นพร้อมกันจากพวกมันบ่งถึงความสาสมใจและกระหายหิว กลิ่นเหม็นเน่าโชยตลบอบอวลรอบบริเวณ เขาชักปืนออกมาแล้วยิงออกไปเมื่ออสูรตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามา แล้วกระชากร่างสั่นเทาของราไวย์หายลับออกไปจากประตูห้อง
เปรี้ยง!
ไม่มีอาการสะทกสะท้านใดๆเกิดขึ้น นายหัวยอดยิงออกไปไม่นับจนหมดกระสุนแล้วถอยกรูดกลับเข้าไปจนร่างประชิดกับผนังห้อง เสียงหัวเราะแผ่วเบาชวนขนลุกดังขึ้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนร่างทะมึนก้าวเข้ามผงาดเงื้อมเหนือร่าง
เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน ก็คือเสียงคำรามอย่างพึงใจ และคล้ายสดับเสียงหนึ่งแทรกผ่านเข้ามาเพียงบางเบาก่อนที่ชีวิตจะโบยบินออกจากร่าง
ขอต้อนรับสู่นคราของข้า... กุรุงปักกา เมืองที่เข้ามาแล้วจะไม่มีวันกลับออกไป! *************************
นี่มันที่ไหนกัน เราอยู่ที่ไหน?
ในความรู้สึกแรกผ่านแสงวาบที่ปลายหางตารวดเร็วไม่ต่างกับอยู่ท่ามกลางสายฟ้าคำรน คำตอบอ่อนโยนดังแผ่วพร่ามาจากข้างกาย... จากคนที่หล่อนได้สัมผัส ตราบจนรับรู้ถึงสภาพอันเป็นจริงเบื้องหน้า และมีผลให้ศาปานต์ต้องห่อไหล่ด้วยความหนาวเหน็บยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต
นี่คือกุรุงปักกา นครที่เข้าไปแล้วจักไม่มีวันกลับคืนออกมา
พี่ปอ!
ศาปานต์มองร่างสง่างามของบุรุษหนุ่ม ที่ค่อยๆ แปรสภาพ ทีละน้อย จนคืนกลับมาเป็นร่างอรชรของปรมา แสงบดินทร์ ราวกับร่างของพี่สาวสุดที่รักของหล่อนถูกชะล้างด้วยเปลือกนอกพรางตาออกไปจนหมดสิ้น นี่คือผู้ที่หล่อนเฝ้าเพียรตามหาแทบล้มประดาตาย ด้วยความห่วงหาอาวรณ์สุดแสน
แท้จริงแล้วพี่ปอกลับพรางกายอยู่ภายในร่างของชายหนุ่มปริศนาคนนี้... สิงหบดี ปกาพงศ์!!
พี่ปอ... ทำไม ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?
ป่าน... พี่ขอโทษ-พี่...
ศาปานต์อยากจะโผเข้าซบร่างพี่สาวคนเดียวด้วยความคิดถึงระคนสังหรณ์ประหลาด หากปรมากลับถอยห่างออกมาช้าๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเศร้า ยิ้มที่หล่อนเคยอ่านความหมายจากสิงหบดี ปกาพงศ์ไม่ออกมาก่อนนั่นเอง ความละม้ายคลับคล้ายอันคุ้นเคยจากบุรุษผู้นั้น แท้จริงก็คือปรมานั่นเอง ศาปานต์มองเห็นนิ้วมือเรียวยาวคล้ายจะโปร่งแสงได้ชี้ตรงไปข้างหน้า เพื่อให้หล่อนได้มองเห็นภาพ... ภาพที่ย้อนกลับไปสู่ห้วงอดีต อันเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด...
ดังที่เคยสัญญาเอาไว้
*******************
ผ่านแนวน่านน้ำอันเรียบสงบไร้คลื่น ขบวนเรือรบหลวงเดินทางกลับมาถึงกุรุงปักกาโดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือคาบสมุทร ในขณะที่บุหรงปุระบัดนี้เหลือแต่เพียงซากปรักหักพังอันยับเยิน ปราศจากซึ่งสรรพชีวิตใดๆบนเกาะแห่งนั้นอีกต่อไป
เจ้าชายสิงหราปาตีประทับในสุวรรณอาสน์ ณ บาหลีด้านท้ายลำเภตรา ทรงทอดพระเนตรผ่านช่องพระแกลนาวาออกไป จากทิวคลื่นระลอกน้อยๆสีครามมองเห็นแนวกำแพง คูเมืองและป้อมปราการแห่งกุรุงปักกาเป็นสีทองเจิดจรัสเด่นจ้าสะท้อนผ่านรัศมีแห่งมะตาหะรีหรือดวงตะวัน เมื่อทรงเบนพักตร์กลับมาก็ทรงเห็น นางเชลยยังประทับแน่วนิ่ง แม้ดวงเนตรแดงช้ำด้วยสายโลหิตก็ยังมิเหลือบแลมายังพระองค์...
ติกาหลังหนึ่งหรัด
ทรงตรัสเรียกด้วยสุรเสียงอ่อนโยน อย่างมิเคยตรัสกับผู้ใดมาก่อนแล้วจึงลุกจากบัลลังก์ที่ประทับเสด็จมาอยู่เบื้องพระพักตร์เจ้าหญิงแห่งบุหรงปุระ พระเนตรทอดวงพักตร์งดงามราวเทพเลขาด้วยความลุ่มหลงดื่มด่ำเต็มเปี่ยมไปทั้งอุระ สาสมพระทัยที่ได้ตัวนางมาครอบครองยิ่ง
ถ้าเจ้าตัดสินใจยอมรับคำขอเป็นตุนาหงันกับข้าแล้ว จะไม่มีวันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเด็ดขาด
ทรงพยายามปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยถ้อยพระวาจาอ่อนหวาน ทั้งที่รู้ดีว่ามิได้ทรงพระปรีชาในด้านวาทศิลป์เลยแม้แต่น้อย เฉกเช่นเดียวกับพระรูปโฉมอันอัปลักษณ์จนสตรีเกือบทุกนางต่างก็ผินหน้ารังเกียจ!!
ความเก่งกล้าสามารถในการยุทธนา หาได้มีมนตร์ดึงดูดอิสตรีใดให้เข้ามาถวายความจงรักภักดีได้เลย เห็นจะมีก็แต่พระชายาสามัญชนผู้ได้รับการสถาปานาเป็นเจ้าหญิงเกนหลงดะราหวันเท่านั้นกระมัง ที่ยินยอมสามิภักดิ์อย่างจริงใจ? เพียงนึกถึงสตรีอีกผู้หนึ่ง เจ้าชายสิงหราปาตีก็ได้แต่ถอนพระทัยหนักหน่วง พระอารมณ์ต่อสู้กันเองระหว่างความผิดชอบชั่วดีไม่ต่างกับอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ
เจ้าหญิงพระองค์นั้นมีแต่เพียงความซื่อสัตย์ จงรักภักดีแด่องค์ภัสดาจนน่าสงสาร แต่ความโสภิตนั้นก็หาได้เลิศล้ำจนสามารถผูกมัดพระทัยเอาไว้ได้ไม่ เป็นความแตกต่างอย่างเหลือประมาณกับระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัดผู้ทรงโฉมเช่นนี้...
ทันทีเมื่อได้ประสบแผ่นภาพจิตรเลขา รูปวาดจอมนารีแห่งบุหรงปุระ พระทัยขององค์ระเด่นหนุ่มแห่งกุรุงปักกาก็มิอาจถ่ายถอนได้อีกเลย คงมิผิดแผกไปจากวิหยาสะกำที่เฝ้าแต่หลงรูประเด่นบุษบาหนึ่งหรัดกระนั้น...
คลี่ดู เห็นรูป เยาวเรศ ดังแว่นทอง ส่องเนตร เสียวกระสัน สุดแสน ประดิพัทธ ผูกพัน ป่วนปั่น หฤทัย ไปมา...**
มิได้เลย องค์ระเด่นสิงหราปาตี ปาเดรี พระองค์จะกล่าวอ้างด้วยเหตุผลเช่นนั้นมิได้โดยเด็ดขาด
สุรเสียงแม้จะแผ่วเบาหากก็กรีดลอดผ่านไรทนต์ออกมาด้วยความคั่งแค้นสาหัส เนตรแดงช้ปราศจากแม้อัสสุชลสักเพียงหยาดเดียวบนวงพักตร์ กระนั้นเจ้าชายหนุ่มแห่งกุรุงปักกาก็ยังเคลิบเคลิ้มไปด้วยน้ำเสียงเสนาะพระกรรณ ไม่ต่างกับเสียงนกกากะสุระหรือนกการเวก ในตำนาน อา... ติกาหลังหนึ่งหรัดผู้ทรงทั้งพระสิริโฉม และพระสุรเสียงแม้แต่ในยามเปล่งถ้อยบริภาษ!
นอกจากความลุ่มหลงมัวเมาในรูปโฉมอันมิใช่สิ่งเที่ยงแท้แห่งสังขาร ยังเป็นเพราะความโลภ กระหายในอำนาจและความเชื่อของพระมารดาของพระองค์เองต่างหาก ความโลภนี่แหละนำมาซึ่งความตายของผู้บริสุทธิ์นับหมื่นแสนแห่งบุหรงปุระ
ติกาหลังหนึ่งหรัด!
คราวนี้มิใช่สุรเสียงแห่งระเด่นสิงหราปาตี แต่มาจากด้านหน้าลำสำเภาหลวง องค์รายาบุหลันรัศมีทรงแหวกม่านวิสูตรออกมาด้วยวงพักตร์บึ้งตึงขมวดเกรี้ยว ประมุขแห่งกุรุงปักกาลอบฟังถ้อยพาทีมาโดยตลอดจนมิอาจห้ามพระทัย
บังอาจมากนักนะนางเชลยตัวดี เจ้าก็เห็นแล้วว่าแสนยานุภาพแห่งกองทัพกุรุงปักกาเหนือยิ่งกว่าบุหรงปุระมากสักเพียงใด เพียงแค่เศษหนึ่งในร้อยของกองทัพข้าก็สามารถกรีธาเข้าบดขยี้บุหรงปุระของเจ้าจนราพณาสูรในชั่วรัตติกาลเดียว เจ้าก็ประจักษ์แล้วมิใช่หรือ?
พระมารดาผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จแห่งกุรุงปักกาสรวลร่าคล้ายเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา เครื่องถนิมพิมพาภรณ์และอัญมณีที่ยึดมาได้จากดาหงัน การศึกครั้งนี้ ได้ทรงนำมาประดับพระวรกายจนแพรวพราว แม้แต่ผืนผ้าปัตหล่าคล้องพระศอ อันทอด้วยไหมสลับทองแล่งก็ประดับประดาด้วยเพชรมณีเจิดจรัส ระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัดทรงเผลอขบริมโอษฐ์แน่น เมื่อทรงเห็นมหามงกุฎแห่งพระมารดา... องค์ประไหมสุหรีแห่งบุหรงปุระ บัดนี้กลับกลายเป็นศิราภรณ์ประดับเศียรองค์บุหลันรัศมีไปแล้ว
เหนืออื่นใดคือสิ่งที่วางแนบอยู่ในอุ้งหัตถ์นั้น... ติกาหลัง เรือนแก้วผลึกอันเป็นสิ่งคู่บ้านเมืองแห่งบุหรงปุระ!!
ไปตามท่านอาหยัน*** ปะตาปาเข้ามาพบข้า
รายาแห่งกุรุงปักกามีพระบัญชาให้กิดาหยันมนตรี มหาดเล็กส่วนพระองค์ผู้คลานตามเข้ามารอรับคำสั่งอยู่แล้ว เพียงครู่เดียวอลัชชีเฒ่าในชุดพราหมณาจารย์สีขาวคลุมเรือนกายอันสูงใหญ่ล่ำสันของมันก็คลานหมอบเข้ามาอย่างสำรวม ติกาหลังหนึ่งหรัดทรงมองเห็นนัยน์ตาคมกล้าประจุด้วยพลังอำนาจลึกลับประดุจนกเหยี่ยวเหลือบแลมายังพระองค์เพียงวูบหนึ่ง ก่อนจะเบนหลบต่ำลงไปเมื่อได้ยินคำตรัสขององค์รายา
ท่านปะตาปา บัดนี้เราได้ของทั้งสองสิ่งมาแล้วตามคำของท่าน ทั้งติกาหลังปัตราเรือนแก้ววิเศษและติกาหลังหนึ่งหรัด จากนั้นจักต้องทำฉันใดต่อไปฤา?
ใบหน้ารกเรื้อไปด้วยหนวดเคราของปะตาปาเฒ่าเงยขึ้นสบองค์รายาผู้ยิ่งยงโดยมิพรึงพรั่น
ต้องทรงใช้พระโลหิตของเจ้าหญิงผู้ครอบครองเรือนแก้ว เพื่อหลั่งชโลมเรือนแก้วติกาหลังให้สีแดงแห่งโลหิตลบล้างอาถรรพ์จากบุหรงปุระพระเจ้าค่ะ เมื่อนั้น จึงจักสามารถเฉลิมฉลองเรือนแก้วนั้นให้เป็นสง่าราศีแก่กุรุงปักกาได้ดังพระประสงค์
รายาพยักหน้าอย่างพึงพระทัยในคำเพ็ดทูล
ดี ถ้าเช่นนั้น เราจะใช้กริชกุนุงมัสอันศักดิ์สิทธิ์คู่บารมีของกุรุงปักกานี่แหละ กรีดโลหิตของมันออกมาด้วยตัวเอง!
รายาบุหลันรัศมีแย้มโอษฐ์กว้างด้วยความอำมหิต ทรงชักกริชกุหนุงมัสที่เหน็บวรกายออกมากระชับหัตถ์ แล้วสาวพระบาทตรงปรี่มายังร่างน้อยที่หมอบนิ่งอยู่ข้างแท่นบรรจถรณ์ หมายพระทัยจะจ้วงด้ามกริชอันคมกริบลงไปในทันทีให้สาสมพระทัย ประกายสีอร่ามแปลกตาวูบวับสะท้อนทุกคดกริชอันบิดเป็นสันคมกริบอย่างน่าสะพรึง หากองค์ระเด่นสิงหราปาตีกลับเป็นฝ่ายถลันองค์ลงมาจากบัลลังก์เสียก่อน ร่างหนาทึบอัปลักษณ์กางพาหาโอบกั้นติกาหลังหนึ่งหรัดเอาไว้ไม่ต่างกับเกราะแก้วป้องภัย
พระมารดาได้โปรด...
สิงหรา จงถอยไป
ไม่พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เสด็จแม่ทำอะไรกับติกาหลังหนึ่งหรัด เราตกลงกันแล้ว ว่าการศึกครั้งนี้ หม่อมฉันขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และได้ให้สัจจะสัญญากับหม่อมฉันไว้แล้ว
เนตรอันปูดโปนจนแทบถลนจากเบ้าตาช้อนขึ้นสบพระมารดาอย่างอาจหาญ รายาแห่งกุรุงปักกาหยุดชะงักไปชั่วอึดใจ ทรงหันไปมองปะตาปาเฒ่าที่หมอบราบอยู่ด้านหน้า อีกฝ่ายพยักหน้าคล้ายส่งสัญญาณรับรู้แก่กัน สุรเสียงตวาดกริ้วจึงอ่อนลง
จะเป็นไรไปเล่า ในเมื่อแม่สัญญากับเจ้าไว้แล้ว ก็ต้องเป็นสัญญา... แล้วแม่จักจัดงานอภิเษกให้แก่เจ้าโดยเร็วที่สุด
*********************
สำเภาหลวงขึ้นเทียบท่านคราแห่งกุรุงปักกาโดยสง่างาม ใบนาวาขนาดมหึมากางใบผงาดท้าแสงตะวันยามบ่ายราวกับต้องการประกาศถึงความยิ่งใหญ่อันมีชัยเหนือหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงแห่งคาบสมุทรด้วยความอหังการ เสียงโห่ร้องต้อนรับของประชาชนชาวเมืองดังประสานกันกึกก้องปานพสุธาถล่มทลาย เมื่อองค์รายาเสด็จขึ้นสู่สีวิกากาญจน์ประทับดำเนินผ่านราชมรรคาเข้าสู่พระตำหนักกำมังละการอันโอฬาริก
ขบวนวอสีวิกาลำดับถัดไปนำขบวนโดยประสันตาพระพี่เลี้ยงขององค์ระเด่นสิงหราปาตีและดะหมังเสนาผู้ตามเสด็จ บัดนี้เจ้าชายผู้อัปลักษณ์รูปโฉมและพระทัยฉุนเฉียวอยู่เป็นนิจกลับทรงแหวกสายวิสูตรออกทักทายมหาประชาชนด้วยรอยแย้มสรวลตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดทราบว่า ด้านหลังวอทอง นางเชลยรูปงามแห่งบุหรงปุระจะถูกมัดวรกายจนมิอาจขยับเขยื้อนหนี นางกำลังถูกส่งตัวไปยัง ปะเสหรันอากงหรือวังลูกหลวง อันเป็นพระตำหนักส่วนพระองค์ของเจ้าชายผู้เป็นรัชทายาทพระองค์เดียวแห่งรายาบุหลันรัศมี เพื่อรอการเข้าอภิเษก
ในท่ามกลุ่มคนที่มาร่วมแสดงความปีติยินดี บุรุษหนุ่มใบหน้ารกรุงรังด้วยหนวดเคราในชุดมอซอซอมซ่อไม่ต่างกับวณิพก กำลังหมอบราบอยู่ข้างเส้นทางขบวนเสด็จด้วยอาการอันสงบเสงี่ยมเจียมตัว อาภรณ์เก่าคร่ำคร่าผืนใหญ่ยาวช่วยอำพรางปกปิดร่องรอยบาดแผลที่เริ่มแห้งเป็นสะเก็ดและเรือนกายกำยำด้วยมัดกล้าม ให้ดูเหมือนเป็นเพียงชายยาจกเข็ญใจผู้ยากไร้คนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อขบวนสีวิกาขององค์ระเด่นดำเนินผ่าน ร่างนั้นจึงเงยขึ้นหากมิได้ทอดมององค์สิงหราปาตีผ่านช่องพระแกลนั้นแม้แต่น้อย สายตาของบุรุษวณิพกมองเพ่งราวกับจะให้ทะลุผ่านไปยังด้านหลังสีวิกาหลังนั้นให้เห็นถึงร่างเชลยผู้หนึ่งที่ถูกพันธนาเอาไว้
นัยน์ตาของชายหนุ่มเขม็งมั่น ขบกรามเพื่อข่มอารมณ์พลุ่งพล่านรุ่มร้อนจนขึ้นเป็นสันนูน แทบห้ามตัวเองไม่ให้กรากออกไปประทุษองค์เจ้าชายอัปลักษณ์เบื้องหน้านี้มิได้ เพื่อให้สาสมกับความคั่งแค้นที่สุมจนแน่นไปทั้งทรวงอก หากก็ต้องระงับความต้องการนั้นเอาไว้อย่างยากเย็น... เพื่อนางเดียวที่เขารักจนสุดหัวใจ
นี่คือองค์ระตูอิสมารา อินทราผู้เป็นคู่ตุนาหงันกับเจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัดนั่นเอง!!
************************* *ลานเท คือสถานที่สำหรับซื้อขายผลปาล์มทั้งทะลายหรือลูกร่วง โดยจะมีกลุ่มพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ
**พระราชนิพนธ์อิเหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ***อาหยันหรืออายัน คือ อาจารย์, ดาบส
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
4 พ.ค. 54 08:38:10
|
|
|
|