2 เธอคือดาว
ข้าวขวัญ สีลม
นำทัพพ์อ่านชื่อเจ้าของตำราคณิตศาสตร์ม.4 ที่เขาหยิบติดมือมาจากยุ้งข้าวหลังนั้นเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว
ชื่อเพราะจริงนะ... ข้าวขวัญ
ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ แปลกประหลาด สามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันไม่รู้ตั้งกี่อย่างในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง...
แรกพบหน้า... เขาว่าเธอสวยมาก สวยจนเขาเพ้อ ใจสั่นหวั่นไหว ไม่อาจตัดใจทำเฉย ปล่อยให้เธอผ่านเลยไปกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เคยพบกันเพียงชั่วครู่ได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจลงจากรถแอบเดินตามเธอไปจนถึงยุ้งข้าวหลังนั้น จากที่คาดว่าทำได้อย่างมากก็แค่เห็นหน้าเธอนานขึ้นอีกสักหน่อย กลับได้พบกับภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น น้องหมีพูห์ของเธอละลายความประหม่าของเขาจนไม่เหลือเลย มันทำให้เขานึกเอ็นดูเธอและกล้าที่จะเข้าหาทำความรู้จัก... แล้วเขาก็มีโอกาสได้สัมผัสกับตัวตนของเธออย่างไม่คาดคิด
หนังสือสอดไส้ก็คงเหมือนกับเจ้าของนั่นแหละ ภายนอก... เธอคือสาวน้อยแสนสวยดูฉลาดและมั่นใจในชุดนักเรียนเรียบร้อย แต่ซ่อนหมีพูห์น้อยไว้ข้างใน หึหึ... ปล่อยออกมาวิ่งเล่นตอนเผลอ แล้วพอโดนจับได้ก็แปลงร่างเป็นปีศาจอาละวาดซะเขาเกือบตาย
ดูสิดู... ในตำราเรียน นอกจากมีตัวอักษรหวัดๆ ลายเส้นหนักๆ ที่เธอเขียนโน๊ตเอาไว้เพื่อความเข้าใจแล้ว ตามขอบหนังสือยังมีรูปเล็กๆ วาดไว้มากมาย ส่วนมากเป็นรูปดอกไม้ การ์ตูนตาโตและการ์ตูนล้อเลียน (เขาเข้าใจว่าน่าจะเป็นคุณครูกับเพื่อนร่วมห้อง) พวกมันช่วยกันฟ้องบอกเขาว่า ข้าวขวัญมีสมาธิในห้องเรียนขนาดไหน แน่ะ... มีเศษขนมติดอยู่ด้วย แสดงว่าแอบกินขนมในห้องแน่ๆ ...แล้วยังมีประโยคจากเนื้อเพลงบางท่อนและบทกลอนสั้นๆ อีกเต็มไปหมด
แปลว่าเวลาเธอเกิดเบื่อหรือนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็จะระบายความคิดเหล่านั้นใส่หน้ากระดาษ...ไม่น่าเชื่อว่าดุขนาดนั้นเขียนอะไรกุ๊กกิ๊กๆ แบบนี้ หน้าไม่ให้เล้ยจริงๆ
นำทัพพ์เป็นบ้าไปแล้ว เขาอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ม.สี่ไปยิ้มไปอยู่คนเดียวในห้องนอน ยิ่งพลิกไป... พลิกไป... แต่ละหน้า เขาก็ยิ่งอยากรู้จักเธอมากขึ้น... มากขึ้น... ได้แต่นั่งนับคืนนับวันรอปลายเดือนมาถึง แต่ทว่า...เรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาหวัง
นำทัพพ์ไม่ได้รับโอกาสสร้างสานสัมพันธ์กับข้าวขวัญเลย แต่กลับได้โอกาสเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง เปิดทางให้เขาได้ค้นพบตัวเองอย่างไม่คาดคิด...
มองหาใครไม่ทราบ!
เขาสะดุ้งเมื่อหันไปเจอลุงสิบยืนกอดอกหรี่ตามองมาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
อ่า... เปล่าครับ ไม่ได้หาใคร
งั้นเก็บเงินเสร็จแล้วก็รีบไปสิ
ดุจังเลย ...นำทัพพ์เข้าใจว่าที่ลุงสิบไม่ชอบเขาเพราะไม่ยอมขายที่ดินให้ แถมยังเก็บค่าเช่านาแบบรายเดือน มันคงโหดร้ายมากสำหรับเกษตรกรซึ่งเก็บผลผลิตสองครั้งต่อปี เขาอุตส่าห์ลดค่าเช่าให้แล้วก็ยังทำหน้าดุใส่ไม่หาย หารู้ไม่ คุณพ่อยังหนุ่มคนนั้นหวงลูกสาวต่างหาก
จริงอยู่ตอนแรกที่คุยกับทนาย ยังไม่ได้พบกัน ลุงสิบไม่พอใจหลานชายกำนันทรงเลย ยิ่งไม่ชอบนายทุนหน้าเลือดอย่างปู่ของเขาเป็นทุนอยู่แล้ว แต่พอได้เห็นหน้าเขาครั้งแรก ก็กลับถูกชะตากับรอยยิ้มสดใสนั้นอย่างประหลาด เกิดความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเห็นที่ไหนมาก่อน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ยิ่งเมื่อเห็นเขาพิการเดินขากระเผลก และได้รู้จากทนายในภายหลังว่าครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งครอบครัวเหลือเด็กหนุ่มตัวคนเดียวต้องไปอาศัยญาติอยู่ คนจิตใจดีอย่างลุงสิบก็เกิดความสงสาร ความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายมลายสิ้น ถึงขนาดให้ค่าเช่าที่นาเพิ่มด้วยความเวทนา
แต่ทว่า เมื่อเห็นท่าทางชะเง้อชะแง้แลหาของเด็กหนุ่ม ผู้ชายด้วยกันแถมยังอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมเข้าใจในทันทีว่าไอ้บ้านี่หวังอะไร! หนอย ทำมาเก็บค่าเช่านารายเดือนเร๊อะ... ฝันไปเหอะ!
อย่านึกว่าลุงสิบอย่างเขาตามเด็กสิบเจ็ดไม่ทันนะ ฮึ่ม!...ตอนอายุเท่านี้ เขาก็เคยมีความรัก... รู้ดีว่าหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดปีนี่มัน อันตราย และสามารถ ทำอะไรๆ ลูกสาวสุดที่รักของเขาได้มากมายขนาดไหน! ...นึกถึงความหลังครั้งเก่าของตัวเองแล้วใจยังสั่นไม่หาย... อา... กลิ่นกายสาวของ เธอ ยังอบอวลอยู่ไม่เคยจาง รสสัมผัสอ่อนหวานยังคาค้างอยู่ในความรู้สึกไม่มีวันลืมเลือน... คิดถึง เธอ เหลือเกิน...
อ๊ากกกก...! (ลุงสิบมัวแต่ เพ้อถึงเธอ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผิดประเด็น เขากำลังหวงลูกสาวอยู่นี่หว่า)
ไม่ได้ไม่ได้ไม่ได้!!! มันจะมาทำอะไรข้าวขวัญอย่างที่เขาเคยทำอย่างงั้นกับ เธอ ไม่ได้เด็ดขาด แค่คิดก็โมโหอยากหักคอมันแล้ว เขาต้องปกป้องลูกน้อยด้วยชีวิตวิตวิตวิตวิตวิต (เสียงก้องจากทุ่งนาปทุมธานี)
สามเดือนผ่านไป นำทัพพ์ไม่เคยได้พบหน้าคนที่เขาอยากเจอเลยสักครั้ง เขาได้รับอนุญาตให้อยู่แค่หน้าประตูรั้วต้นไม้ หลังกดออดเพียงชั่วอึดใจ ลุงสิบก็จะออกมาพร้อม ค่าเช่านารายเดือน ที่เตรียมใส่ซองไว้ให้ มีแต่เกินไม่มีขาด แล้วเจ้าของบ้านจะให้เวลาเขาได้เหยียบแผ่นดินตรงนั้นอีกเพียงหนึ่งนาทีเพื่อนับเงิน เสร็จ... เขาก็ถูกไล่กลับบ้านทุกครั้ง
เดี๋ยวสิครับ ... ผมต้องเอาเงินมาทอนอีก...
ไม่ต้องทอน! ลุงสิบตัดบททันที ...ยกให้! ...รับไว้แล้วรีบๆ กลับไปซะเถอะ
แต่ว่า... ผมไม่... เขายังไม่อยากจากไปเลยนี่
บอกว่าให้ก็ให้สิ! ถือว่าช่วย... อ่า... ช่วยๆ กันไป... ยังดีที่ลุงสิบไม่โมโหหลุดปากออกมาว่า ถือว่าช่วยทำทานเด็กพิการกำพร้าก็แล้วกัน
แต่เด็กกำพร้าขาพิการหลานกำนันทรงไม่ยอมแพ้ เขาต้องแก้เกมส์!... ถ้ามัวมายืนยิ้มสู้อยู่หน้าประตูเดือนละครั้ง อีกสิบชาติก็คงไม่สมหวัง สู้แช่แห้วกระป๋องมานั่งเปิดกินเย็นๆ อยู่ที่บ้านดีกว่า! ...คนฉลาดย่อมรู้ว่า ต่อให้เปลี่ยนวิธีเก็บค่าเช่านาเป็นรายปักษ์หรือรายสัปดาห์ ต่อให้เป็นรายวันก็เหอะ เปล่าประโยชน์!
เอ่อ...คือว่า... ลุงสิบคารับ หุหุ หวังว่ายิ้มของเขาจะชนะใจคุณพ่อจอมโหดได้ ...ช่วยสอนผมทำนาหน่อยได้รึเปล่าครับ
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นำทัพพ์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ แต่อย่าให้ต้องเล่าเลยว่า กว่าลุงสิบจะยอมรับศิษย์คนนี้ เขาต้องผ่านการเคี่ยวกรำสุดแสนทรมานยังไงบ้าง ไม่แตกต่างจากในหนังกำลังภายในที่พระเอกต้องคุกเข่าตากแดดตากฝนอยู่หน้าประตูถ้ำสิบวันสิบคืน วิดพื้น ยืนขาเดียว หาบน้ำขึ้นเขา ฯลฯ กว่าจะได้โขกศีรษะคำนับยอดคนเป็นซือแป๋ คุณหญิงไพลินแม่บุญธรรมของเขาถึงกับกรี๊ด
ตายแล้ว ตาทัพพ์ นี่ลูกไปทำอะไรมา ทำไมสารรูปกลายเป็นอย่างงี้
แฮะๆ... ร.ด.ครับ ร.ด.
นำทัพพ์ไม่อยากจะบอกว่ามันโหดกว่าร.ด.เยอะ สิบเขาชนไก่ก็ไม่ร้ายเท่า!
ทางด้านลุงสิบ เขาไม่หลงกลเจ้าหนุ่มหน้าใสง่ายๆ แค่เหล่มองด้วยหางตาก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กหน้าขาวนี่มัน มาแผนสูง ทั้งๆ ที่รู้อยู่ แต่ด้วยความขยัน อดทน โดนเขาลองใจกลั่นแกล้งยังไงก็ไม่ย่อท้อ แถมยังฉลาด เรียนรู้อะไรได้ไว ในที่สุดก็ใจอ่อนยอมเอ็นดู รับมันไว้เป็นลูก... ไอ้บ้า ฝันไปเหอะถ้าคิดจะมาเป็นลูกเขย เขาก็แค่ไม่มีลูกชาย แล้วก็เห็นมันใช้ง่ายดี แถมยังพิการและกำพร้าน่าสงสาร เลยให้มาช่วยงาน เผื่อจะสืบสานปณิธานของเขาได้ เพราะถึงยังไง ที่ดินที่เขาสู้อุตส่าห์ทำจนอุดมสมบูรณ์ผืนนี้ มันก็ไม่ยอมขายให้เขา ถึงที่สุดแล้ว ถ้ามันยอมทำเกษตรอินทรีย์ต่อจากเขาก็ยังดีกว่าเอาไปทำโรงงานหรือบ้านจัดสรร แต่ถ้ามันกล้ามายุ่งกับข้าวขวัญล่ะก็ มีตาย!
สุดท้าย แทนที่นำทัพพ์จะได้สนิทสนมกับลูกสาวลุงสิบ กลายเป็นได้สนิทสนมกับลุงสิบแทน
ยิ่งเวลาผ่านไป หนุ่มต่างวัยก็ยิ่งเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย นำทัพพ์เริ่มสนใจการทำนาโดยไม่ใช้สารเคมีและศึกษาอย่างจริงจัง เขาพบว่า ไร่นาสวนของลุงสิบแตกต่างจากที่นาอื่นๆ ที่เขาให้เช่า นอกจากดินดี มีความชุ่มชื้นและอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังประหยัดต้นทุนได้มาก เขาเคยสงสัย (และแอบเจ็บใจ) ว่าทำไมลุงสิบถึงไม่เคยเดือดร้อนผ่อนผันค่าเช่าที่เหมือนชาวนาคนอื่นๆ (เขาจะได้สมบทบาทพระเอกใจโฉด บังคับเอาลูกสาวมาขัดดอกซะหน่อย) และวิธีการทำนาแบบพึ่งพาตนเองของลุงสิบก็คือคำตอบ (จ๋อย... อดกินดอกเลย)
ยิ่งเมื่อเขาลองเก็บข้อมูลผลผลิตและผลประกอบการของเกษตรกรที่เช่าที่ดินของเขาและลูกหนี้เก่าแก่ที่ติดมาตั้งแต่รุ่นปู่ของเขาจนปู่ตายไปเป็นสิบปีแล้วป่านนี้ยังไม่มีใช้คืนเลย ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ต่อมาจึงเกิดไอเดีย ช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าที่เช่าที่นาเขาทำด้วยการทะยอยพามาศึกษาดูงานบ้านลุงสิบ เพราะเห็นว่า ไหนๆ ลุงสิบก็มีปณิธานช่วยสอนเพื่อนชาวนาคนอื่นอยู่แล้ว โดยเขาเป็นคนออกค่าใช้จ่ายและค่าเดินทางให้ จนทนายที่ดูแลการเงินของเขาสงสัย
ไปยุ่งอะไรกับเค้าล่ะครับ สิ้นเปลืองเปล่าๆ
เอาน่า... ถ้าเค้าทำนาได้ผลผลิตดี ก็มีเงินจ่ายเราตรงเวลา ที่ติดหนี้อยู่ก็จะได้มีใช้คืนไง ถือว่าดีทุกฝ่าย
บางคนลองทำตามที่ลุงสิบแนะนำดูแล้วได้ผล มีเงินมาใช้หนี้จริงๆ อย่างที่เขาชี้แจง แต่หลายคนก็ไม่ยอมเชื่อ กลับไปซื้อปุ๋ยเคมี ฉีดยาฆ่าแมลง และจ้างคนอื่นทุกขั้นตอนเหมือนเดิม แต่นำทัพพ์ก็ไม่ย่อท้อ เขากับลุงสิบยังเดินหน้าต่อไป ยิ่งนานวัน ศาลาข้างนา ของลุงสิบก็ยิ่งเหมือน โรงเรียนชาวนา มากขึ้นทุกทีๆ
นำทัพพ์รับแนวความคิดของลุงสิบมาเต็มๆ เกิดเป็นความศรัทธาแรงกล้า และรู้สึกอยากสานต่อปณิธานด้านการเกษตรที่ลุงสิบทำ พอเรียนจบมัธยม เขาก็ตัดสินใจเลือกเรียนเกษตร นำความปลาบปลื้มมาให้พ่อแม่บุญธรรมเป็นอันมาก ท่านเจ้าสัวและคุณหญิงไพลินคิดว่าลูกชายคนเล็กที่เก็บมาเลี้ยงนี้จะกตัญญู ทำงานรับใช้อณาจักรทรูฟู๊ต บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรครบวงจร ซึ่งขายทุกอย่างตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืช อาหารสัตว์ และเทคโนโลยีการเกษตร ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป
ตาทัพพ์เรียนเกษตรดีเลย จะได้มาช่วยตาพล ...พล คือลูกชายแท้ๆ ของท่านเจ้าสัวกับคุณหญิง ...ส่วนตาพลก็เรียนบริหารไปแหละเหมาะแล้ว เพราะต้องสืบทอดกิจการ ให้ตาทัพพ์มาช่วยดูแลด้านพัฒนาธุรกิจ นั่นคือ ตำแหน่งแห่งที่ ที่พ่อแม่บุญธรรมวางหมากไว้
ตั้งเด็กแล้ว นำทัพพ์ถูกเลี้ยงให้เป็น พระรอง มาโดยตลอด เขาไม่ได้คิดน้อยใจไปเอง แต่มองโลกด้วยความสายตาที่เป็นกลาง และเข้าใจผู้มีพระคุณเป็นอย่างดี สายเลือดแท้ๆ ของมาลีวงศ์วัฒนาพานิชกิจเจริญย่อมต้องเป็น ทายาท ของตระกูล เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดแก่งแย่งหรือแค่ชิงดีชิงเด่นอะไรเลยแม้แต่น้อย ความจริงคุณหญิงแม่ไม่มีความจำเป็นต้องพูดเป็นนัยในเชิงกีดกันแบบนั้นเลย
ครอบครัวที่เขามา อาศัยอยู่ นี้ความจริงมีกันอยู่ห้าคน ท่านเจ้าสัวและคุณหญิงไพลินมีลูกคนแรกเป็นหญิงชื่อ พลอย คนที่สองเป็นชายชื่อ พล และคนสุดท้องเป็นหญิงชื่อ แองเจลล่า หรือ แองจี้ ซึ่งคุณหญิงไม่ยอมนับเธอเป็นลูก แต่กลับมารับเขาเป็นลูกบุญธรรมเพื่อแก้เคล็ดแทน ดังนั้นเขาจึงเหมือน ตัวโชคลาภ ของบ้านนี้ ใครๆ ก็ปฏิบัติต่อเขาคล้ายเกรงใจคล้ายห่างเหิน ราวกับเขาเป็นแขกมากกว่าเป็นลูก พยายามทำเหมือนว่าเขาเป็นคนสำคัญ แต่ก็กลับกดไม่ให้เขาสำคัญเกินไป ...โดยเฉพาะพี่พล ซึ่งโตกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือน ถึงไม่เคยแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่นำทัพพ์ก็รู้ดี พี่พลคอยแข่งขันกับเขาตลอดเวลาทั้งๆ ที่เขาไม่เคยคิดจะแข่งด้วยเลย ในขณะเดียวกัน แม้ไม่เคยพูดออกจากปาก แต่สายตาที่พี่พลใช้มองเขา ไม่ใช่สายตาของพี่มองน้อง แต่เป็นสายตาของ ลูกชายสมบูรณ์แบบ มอง สิ่งมีชีวิตเกรดสอง ...คล้ายของมีตำหนิที่ไม่มีวันเทียบชั้นกับเขาได้
แต่ก่อนนี้ ด.ช.นำทัพพ์เคยเป็นเด็กดื้อ ฉลาด ร้ายกาจ และเอาแต่ใจ เพราะพ่อกับแม่แท้ๆ ของเขาตามใจลูกชายคนโตคนนี้เหลือเกิน แต่พอก้าวเข้ามาอยู่ใต้หลังคาของบ้านหลังใหม่ เด็กฉลาดอย่างเขาย่อมรู้ว่า สถานะ ของตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงเติบโตขึ้นมาแบบเจียมเนื้อเจียมตัว ซ่อนงำประกายไว้ ไม่กล้าแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ยอมเป็นเงาอยู่เงียบๆ ให้ทุกคนสบายใจดีกว่า...
นำทัพพ์ยังจำได้ว่าพี่พลอาละวาดหนักแค่ไหนตอนเรียนจบป.หก ท่านเจ้าสัวซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกให้เขาเป็นรางวัลที่สอบได้เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ศูนย์ จนคุณหญิงต้องรีบไปซื้อคอมพิวเตอร์สเป็คท์แรงกว่ามาให้ลูกชายคนโตเป็นรางวัลปลอบใจที่ได้เกรดเฉลี่ยสองกว่าๆ และทะเลาะกับสามีจนบ้านแทบแตก จากนั้นมา นำทัพพ์ไม่กล้าสอบได้เกรดสี่อีกเลย เขาฉลาดจนยอมโง่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้อไหนคือคำตอบที่ถูก แต่จงใจวงกลมเลือกข้อที่ผิดเป็นบางข้อ คำนวนคะแนนให้ได้เกรดต่ำกว่าสี่ทุกวิชา เพื่อความสงบสุขของครอบครัว
แน่นอนว่านำทัพพ์ย่อมไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ลุงสิบฟัง ถึงเขาไม่ได้คิดจะปกปิดเป็นความลับ แต่ก็ไม่ค่อยอยากให้ใครๆ รู้ว่า เขาเป็นลูกบุญธรรมของท่านเจ้าสัว ยิ่งแนวความคิดของลุงสิบ สวนทางกับธุรกิจของตระกูลแบบไปกันคนละทิศเลย อีกอย่าง... เขาเรียกพ่อ แม่และพี่ แต่ไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นพ่อ แม่และพี่ กลับรู้สึกว่าพวกเขาเป็น ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้จะตอบแทนยังไง มากกว่า
โชคดีที่คุณหญิงอนุญาตให้เขาใช้นามสกุลเดิม ทรัพย์สมบัติสถิต เพราะถึงยังไง... ก็เป็นนามสกุลเก่าก่อนแต่งงานของท่าน คุณหญิงไม่อาจตัดใจให้ ลูกพี่ลูกน้องของท่าน ผู้เป็น ปู่ของเขา ไร้ทายาทสืบสกุลได้ และเงาอย่างเขาไม่เคยให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์และนิตยสารเหมือนพี่พลกับพี่พลอย ดังนั้น คนนอกจึงไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ครอบครัวมาลีวงศ์วัฒนาพานิชกิจเจริญ ยังมีลูกชายคนเล็กขาพิการที่ชื่อนำทัพพ์อยู่อีกคนหนึ่ง ยิ่งไม่รู้ว่ามีลูกสาวสุดท้องสายเลือดแท้ๆ ของท่านเจ้าสัวชื่อ แองเจลล่า อีกคนด้วย
เขามักจะบอกคนอื่นๆ ว่า อาศัยอยู่กับป้า ...เขาบอกกับลุงสิบแบบนั้นเหมือนกัน
แล้วนี่ป้าเอ็งเค้าใจดีหรือเปล่า? ลุงสิบถามเพราะเป็นห่วงกลัวลูกกำพร้าอาศัยญาติอยู่จะโดนรังแก
ดีสิครับ ป้าผมน่ารักมาก
นำทัพพ์ไม่ได้โกหก เขาอยู่กับป้าจริงๆ ป้าของเขาก็คือ แองเจลล่า หรือ แองจี้ ลูกสาวคนเล็กที่คุณหญิงไพลินไม่ยอมรับเป็นลูกนั่นแหละ ป้าจี้ ของเขาเด็กกว่าเขาตั้งเก้าปีกว่า ตอนนี้อายุแค่เจ็ดขวบ ยังผูกผมเปียเรียนป.สองอยู่เลย แต่ที่เรียกป้าเพราะเคยนับญาติกัน แล้วพอหนูน้อยแองจี้รู้ว่ามีศักดิ์เป็นรุ่นเดียวกับพ่อแม่เขา เจ้าตัวร้ายน้อยก็บังคับให้เขาเรียกป้า
ป้าจี้ถูกกีดกันให้อยู่ในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งซึ่งคุณหญิงสั่งให้ปลูกไว้ริมรั้วตั้งแต่เกิด และบ้านน้อยหลังนี้เองก็เป็นเหมือนเซฟเฮ้าส์ของเขา เด็กชายนำทัพพ์มักมาหลบอยู่ที่นี่เสมอ เพราะเป็นที่ที่เขารู้สึกสบายใจเหมือนได้อยู่บ้านตัวเองจริงๆ ป้าจี้ก็ช่างน่ารักน่าชังและติดเขาแจ
นำทัพพ์เห็นเธอมาตั้งแต่แบเบาะ เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ไม่ลืม แรกสัมผัสกับร่างน้อยนุ่มนิ่มอบอุ่นที่พยาบาลส่งมาให้ลองอุ้มตามที่เขาขอ เธอเหมือนตุ๊กตาที่หอมกลิ่นนม ช่างดูอ่อนแอ ไร้ที่พึ่งพิง ราวกับว่า ในโลกนี้ เธอไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเขา... ตาใสดวงน้อยจ้องมองมาราวกับออดอ้อนขอความรักที่พ่อแม่ไม่ยอมให้เธออย่างที่ควร มันทำให้เขาเสียใจและรู้สึกผิดต่อเด็กน้อยเหลือเกินที่เขาต้องมาแทนตำแหน่งของเธอโดยไม่ตั้งใจ
วินาทีนั้น... เขาเกิดความรู้สึกเวทนาร่างเล็กๆ ในอ้อมกอดจนบอกไม่ถูก จึงสัญญากับตัวเองว่า จะเป็นผู้ปกป้องดูแลเธอจนกว่าจะได้เจอคนที่รักเธอและพร้อมจะรับหน้าที่แทนเขาตลอดไป
จากนั้นมา เด็กชายวัยสิบขวบก็พยายามมาเป็นคุณพ่อตัวจิ๋ว มีเวลาว่างก็มาช่วยเลี้ยงและเล่นกับเด็กหญิงแองจี้ไม่ห่าง ยามอารมณ์ดีก็ยอมเป็นม้าเป็นลาให้เธอขี่ ยามร้องไห้ก็ยอมเป็นตัวตลกให้เธอหัวเราะ
จนมาพักหลังๆ นี้ที่เขา ติดลุงสิบ มีวันหยุดเป็นต้องไปช่วยงานแก ป้าจี้งอแงขอตามไปด้วยเขาก็ไม่ให้ กลัวเธอซนไปทำอะไรลุงสิบพังมีหวังเขาโดนไล่ออกแน่
ที่เขาอดขำไม่ได้คือมีวันหนึ่ง เจ้าตัวแสบเล่นแรงจนแขนขาเขามีแต่รอยข่วนเป็นเส้นๆ เลือดซิบๆ พอลุงสิบเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วถาม
นี่ไปโดนอะไรมาวะ? ถึงเสียงจะโหด แต่เขาก็รู้ว่าลุงสิบเป็นห่วงเขา
ฝีมือป้าผมเองครับ
อ้าว ไหนว่าป้าใจดีไง ไหงตีจนแขนขาลายแบบนี้? ลุงสิบเจ็บแค้นแทน ...หลานดีๆ แบบนี้หาได้ที่ไหน ไปเรียกป้ามาคุยกะฉันซิ
อ่า... นำทัพพ์ไม่กล้าบอกว่า ป้าไม่ได้ตี แต่ข่วนตอนฝึกซ้อมกระบวนท่าพยัคฆ์สยบมารกับเขา นี่ยังไม่เท่าไหร่ เดือนก่อนคุณเธอกระโดดจากโต๊ะลงมาเอาคางชนกับหัวเขาจนโนปูด นี่จับแล้วยังเจ็บๆ อยู่เลย ตัวต้นเหตุร้องไห้จ้าคางเขียวบวมตุ่ยเป็นเดือน ส่วนรอยแผลเป็นบางจุดนี่ไม่ใช่ฝีมือป้าตัวแสบของเขา แต่เป็นลูกสาวลุงสิบเองนั่นแหละ ที่ฝากเอาไว้ตั้งแต่แรกที่ได้เจอกันครั้งกระโน้น
แล้วป้าเค้าแต่งงานมีลูกมีหลานรึเปล่า? หรือโดนพวกลูกหลานเค้ารังแกเอา? ลุงสิบยังเดาต่อไม่เลิก
ป้าผมยังไม่แต่งงานครับ แกไม่มีใครเลยนอกจากผมเป็นหลานอยู่คนเดียว คงต้องดูแลแกไปจนกว่าจะแต่งงาน
โอ๊ย อยู่มาจนปูนนี้ ถ้ายังไม่ตบไม่แต่งก็คงไม่ได้แต่งแล้วล่ะ
ก็ไม่แน่นะครับ ป้าผมออกจะน่ารัก โลกนี้ต้องมีผู้ชายโชคดีเหลืออยู่บ้างล่ะ นำทัพพ์รีบพูดเข้าข้างป้า แต่ลุงสิบหัวเราะ
ไอ้บ้า อย่าไปหวังเล้ย ไอ้ทัพพ์ ...คงต้องดูแลเขาไปจนตายนั่นแหละ
นำทัพพ์ไม่แย้งอย่างใจคิด ได้แต่ยิ้มตอบลุงสิบ นึกถามตัวเองในใจว่า ใครหนอโชคดีได้มาเป็นสามีเจ้าตัวน้อยของเขา ป่านนี้คงกำลังวิ่งเล่นขี้มูกโป่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้แน่ๆ
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
4 พ.ค. 54 10:51:08
|
|
|
|