Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 14 น้ำตาอัคคี ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 13 เพื่อนร่วมทาง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10490872/W10490872.html

<14>

น้ำตาอัคคี

“เจ้าดับกองไฟดีแล้วหรือโมได”

เสียงโซลย์เอ่ยถามขึ้น เด็กหนุ่มอ้าปากหาวเสียงดังพลางตอบ

“ข้าดับมันเรียบร้อยแล้ว อย่าห่วงนักเลยน่ะ ตาแก่”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลเหลือบตามองดูเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกอยากจะเข้าไปขย้ำคอเขา แต่เพราะความชาชินกับคำพูดและนิสัยก่อกวนที่ได้ยินเป็นอยู่เป็นประจำทำให้โซลย์ละความคิดนั้นและหันไปมองฟอร์เซ็ตติแทน เขาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นจอมเวทหนุ่มหันหน้าไปทางป่าอาถรรพ์ที่เพิ่งจากมาได้หนึ่งวัน สีหน้าของเขาฉายความหวั่นวิตกออกมาจางๆ

“มีอะไรหรือ”

“ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก” ฟอร์เซ็ตติตอบโดยที่สายตายังคงมองจ้องไปยังนครต้องสาป “มีกระแสลมแปลกๆพัดมากระทบตัวข้าเมื่อคืนนี้”

“แค่ลมเท่านั้นเอง ทำไมต้องคิดอะไรมากมายด้วย” โมไดพูดขึ้น จอมเวทหนุ่มส่ายหน้า

“มีกลิ่นคาวเลือดปะปนมาในสายลมนั้น”

“บางทีอาจจะเป็นเพียงพวกสัตว์ป่าที่คุ้มคลั่งกำลังกัดทำร้ายกันเองเท่านั้น อย่าได้วิตกมากจนเกินไปนักเลยฟอร์เซ็ตติ”

โซลย์เอ่ยเตือน ฟอร์เซ็ตติพยักหน้ารับทั้งที่สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวล เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองสว่างรำไรเริ่มปรากฏให้เห็น จอมเวทหนุ่มจึงกล่าว

“ฟ้าสางแล้ว พวกเรารีบออกเดินทาง....”

เสียงที่กำลังพูดเงียบหายไปจนโซลย์รู้สึกแปลกใจ เขาหันกลับไปมองฟอร์เซ็ตติที่กำลังเพ่งสายตามองย้อนเข้าไปในป่า ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตระหนก

“เกล! แนชท์!”

ร่างสูงใหญ่ของบุรุษแห่งนครต้องสาปล้มลงแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อของเขา โซลย์และฟอร์เซ็ตติรีบปราดเข้าไปรับเอาไว้ได้ทันก่อนที่ร่างกำยำจะกระแทกพื้น ส่วนโมไดคว้าร่างไร้สติของแนชท์ซึ่งอยู่บนบ่าของเกลอย่างว่องไวก่อนที่นางจะหล่นลง

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านจึงมีสภาพเช่นนี้”

จอมเวทหนุ่มถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างกายอันยับเยินของเกล ตลอดทั่วตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลอันเกิดจากรอยกัดและรอยขีดข่วนจนแทบหาช่องว่างไม่ได้ ต่างจากแนชท์ที่ไม่มีแม้แต่รอยถลอกสักเพียงปลายเล็บปรากฏให้เห็น โซลย์เปิดถุงน้ำของเขาและบรรจงรินใส่ปากเกลอย่างระมัดระวัง เขาดื่มมันไปเพียงสองสามอึกก่อนปัดออก

“นครของพวกเราถูกบุกรุกเมื่อคืนนี้”

บุรุษแห่งนครต้องสาปพูดเสียงแหบ ฟอร์เซ็ตติ โซลย์และโมไดถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตระหนกอย่างที่สุด  

“นครของเราถูกบุก เป็นไปได้ยังไงกัน” จอมเวทหนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว “เป็นฝีมือของใคร” เขาถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ เกลมองหน้าเขา

“คอร์ฟคาคาร์ส จอมมารแห่งแซฟเวจย์”

คำตอบของชายที่กำลังนอนเจ็บอยู่ตรงหน้าสร้างความตกใจให้บังเกิดขึ้นต่อคนทั้งสามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฟอร์เซ็ตติ เขาถึงกับร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เขาเข้าไปในนครของเราได้อย่างไร ต่อให้เขาใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดของเขาก็ไม่สามารถเปิดประตูอารักษ์เข้าไปได้ง่ายแน่”

“เขาใช้สัตว์ป่าที่อยู่รอบๆล่อหลอกคนของเรา ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าคืนที่ผ่านมาเป็นคืนอะไร” เกลสำลักไอเป็นเลือดระหว่างที่เล่า ฟอร์เซ็ตติรีบประคองเขาด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายกลับปัดมือที่กำลังเช็ดเลือดให้ออก

“อย่าสัมผัสกับโลหิตของข้า ท่านจอมเวท” ดวงตาสีเข้มส่องประกายปวดร้าวขณะห้าม “มีคนของเราบางคนลอบออกไปล่าสัตว์ก่อนคืนเดือนดับสองครั้ง พวกเราพยายามสืบหาเท่าใดก็ไม่พบ ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือเขานำซากสัตว์นั้นกลับเข้ามาในเมือง เลือดพิษของพวกมันได้หยดลงสู่พื้นดินภายในกำแพงทำให้มนตราต่างๆที่กำกับเอาไว้เสื่อมสลายลง เหล่าบริวารของจอมมารได้ถือโอกาสทำลายปราการแห่งมนตราและบุกเข้าไปกัดกินพวกเราอย่างเหี้ยมโหด ตอนที่ข้านำแนชท์หนีออกมาตามคำสั่งของท่านไรด์ จอมมารได้ปรากฏตัวขึ้น เหตุการณ์หลังจากนั้นคิดว่าพวกเจ้าคงจะรู้”

“แล้วท่านไรด์ล่ะ” ฟอร์เซ็ตติถามเสียงแห้ง เกลมองหน้าเขานิ่งแทนคำตอบ จอมเวทหนุ่มถึงกับกัดปากตนเองและผุดลุกขึ้นทันที

“ถึงท่านจะไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ท่านจอมเวท” เกลกล่าวเสียงเศร้า “เพราะนอกจากแนชท์แล้วไม่มีผู้ใดในนครต้องสาปรอดชีวิตเลยสักคน”

“เจ้าอีกคนไง” โมไดกล่าวขึ้นหลังจากใช้ผ้าคลุมของเขาห่มให้กับเด็กสาวเรียบร้อยแล้ว เกลสั่นหน้าทันที

“เจ้าไม่เห็นรอยแผลบนตัวของข้าหรือ เจ้าหนู” เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้น รอยแผลฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าห้ารอยปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ทุกรอยล้วนเกิดจากการถูกกัดกระชากก้อนเนื้อจนหลุดออก เลือดสีแดงฉานไหลออกมาไม่หยุด

“อีกไม่นานข้าก็คงกลายไปเป็นเหมือนพวกมัน” น้ำเสียงของเกลเต็มไปด้วยความเจ็บใจ “ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”

ดวงตาสีเข้มจ้องหน้าฟอร์เซ็ตตินิ่ง จอมเวทหนุ่มทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าเขา เกลเอื้อมมืออันสั่นเทาออกไปกุมผ้าคลุมของฟอร์เซ็ตติแน่น

“ได้โปรดเผาข้าด้วยเพลิงเวทของท่าน ขอให้เหลือไว้เพียงเถ้าถ่านเพื่อที่จะได้อาศัยสายลมพัดพาวิญญาณของข้ากลับไปสู่ป่าอันเป็นบ้านเกิด”

“ตกลง”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสตอบ เกลยิ้มก่อนเลื่อนสายตาไปมองดูแนชท์ด้วยความห่วงใย

“ฝากดูแลนางแทนข้าด้วย”

“ข้าจะดูแลนางดุจเดียวกันกับที่ไรด์เคยกระทำ” ฟอร์เซ็ตติตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เกลถอนหายใจออกมายาวๆและหลับตาลง มือที่กุมผ้าคลุมของจอมเวทคลายออกและตกลงข้างตัวพร้อมกับศีรษะที่ผงะหงาย ลมหายใจรวยรินหยุดนิ่ง โซลย์ก้มหน้าลงพร้อมกับยกมือขึ้นวางจรดไว้บนหน้าอกดุจไว้อาลัยในขณะที่โมไดทำได้เพียงแค่กัดริมฝีปากตัวเอง ฟอร์เซ็ตติวางร่างของเกลลงและยกมือของเขาประสานกันไว้บนแผ่นอกด้วยท่าทางเงียบขรึม จากนั้นจึงลุกยืนขึ้นและหมุนตัวเดินกลับไปยังป่าอาถรรพ์ โซลย์รีบก้าวขาเพื่อที่จะเดินตามแต่จอมเวทหนุ่มกลับพูดห้ามเขาไว้

“รอข้าอยู่ที่นี่”

“แล้วเกลล่ะ เจ้าจะปล่อยเขาเอาไว้แบบนี้หรือ”

จอมเวทหนุ่มชำเลืองมองดูร่างไร้วิญญาณของบุรุษแห่งนครต้องสาปเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเย็น

“ข้าจะกลับมาชำระมลทินให้กับเขาก่อนตะวันพลบ ไม่ต้องกังวล”

“เจ้า....ไม่เป็นอะไรแน่นะ ฟอร์เซ็ตติ” โซลย์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง จอมเวทหนุ่มกระตุกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกยิ่งในสายตาของแม่ทัพแห่งมอร์เซล

“ข้าสบายดี และจะกลับมาในร่างของจอมเวทแห่งมาวัลลัส โดยสติยังครบถ้วนสมบูรณ์”

กล่าวจบฟอร์เซ็ตติก็เดินจากไปทันที โซลย์ถึงกับระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนหันไปทางโมไดที่ยังคงนั่งดูแลแนชท์ด้วยความเป็นห่วง

“หวังว่าเขาคงจะควบคุมตัวเองได้นะ”

โมไดเปรยขึ้น แม่ทัพแห่งมอร์เซลเม้มปากตนเองแน่น

“ข้าก็หวังเอาไว้เช่นนั้น”

โซลย์กล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบแต่ความกังวลกลับเจืออยู่ในน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง

*-*-*-*-*-*-*

ฟอร์เซ็ตติก้าวขาข้ามผ่านซากต้นไม้ซึ่งเคยเป็นประตูอารักษ์แห่งนครต้องสาป บัดนี้มันเป็นเพียงเศษท่อนไม้ที่ถูกฉีกด้วยกรงเล็บของสัตว์ป่าจนกระจุยไม่มีชิ้นดี จอมเวทหนุ่มกวาดตามองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกเศร้าใจเมื่อพบว่านครที่เขาเคยถือว่าเป็นบ้านมีสภาพไม่ต่างไปจากสุสานร้าง บ้านเรือนที่เคยสร้างอย่างมีระเบียบถูกทำลายลงจนแทบไม่เหลือแม้แต่รากฐาน เศษชิ้นส่วนร่างกายของชาวเมืองกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่ว กลิ่นคาวเลือดอบอวลจนแทบสำลัก

ฟอร์เซ็ตติรีบเดินผ่านภาพอันน่าหดหู่เพื่อตรงไปยังที่พำนักของไรด์ ฝูงผีเสื้อกลุ่มใหญ่บินผ่านเขาและร่อนลงไปหากองเนื้อเละๆเพื่อรุมดูดกินเลือดอย่างกระหายแทนที่จะเป็นการดอมดมดอกไม้เพื่อกินน้ำหวานจากเกสรดังที่เคยเป็น จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเบือนหน้าไปอีกด้านและพบกับหมูป่าที่กลายสภาพเป็นปิศาจเขี้ยวยาวโง้งแหลมคมกับลูกของมันกำลังรุมฉีกเนื้อคนในหมู่บ้านกินด้วยท่าทางตะกละตะกราม ฟอร์เซ็ตติกระแทกไม้เท้าในมือของเขาลงไปบนพื้น แรงสั่นสะเทือนที่บังเกิดขึ้นสร้างความตกใจให้กับแม่หมูป่า มันหันมามองและส่งเสียงร้องก่อนจะวิ่งหนีออกไป ลูกหมูตัวหนึ่งแยกเขี้ยวขู่ด้วยความโกรธที่ถูกขัดจังหวะ มันพุ่งตัวเข้าใส่จอมเวทด้วยความดุร้าย เขาตวัดไม้เท้าในมือฟาดลงไปยังกลางหลังของมันเต็มแรงอย่างไร้ความปราณี เจ้าลูกหมูอุบาทว์ถึงกับขาดเป็นสองท่อน มันกระตุกสองสามครั้งก่อนแน่นิ่งไป ฝูงหนอนและไส้เดือนคืบคลานออกมาจากผืนดินและตรงเข้ารุมชอนไชซากของมันอย่างรวดเร็ว

เสียงร้องครวญครางดังออกมาจากใต้ซากบ้านหลังหนึ่งเรียกความสนใจจากจอมเวทหนุ่ม เขารีบก้าวยาวๆตรงไปหาต้นเสียงทันที ดวงตาของฟอร์เซ็ตติเบิกกว้างเมื่อพบร่างของวาเก็นโผล่พ้นออกมาจากเศษปรักหักพังของบ้าน เขาเดินเข้าไปและดึงเศษวัสดุต่างๆออกอย่างเร็ว จากความยินดีแปรเปลี่ยนไปเป็นความเศร้าใจในบัดดลเมื่อร่างของผู้ที่เคยติดตามไรด์ปรากฏให้เห็นเพียงครึ่งเดียวส่วนท่อนล่างตั้งแต่ช่วงเอวทั้งหมดของเขาขาดหายไป วาเก็นมองใบหน้าของฟอร์เซ็ตติและสำลักออกมาเป็นเลือดสดๆ

“ช่างเป็นภาพที่น่าทุเรศเหลือเกินใช่ไหมท่านฟอร์เซ็ตติ” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น จอมเวทหนุ่มสั่นหน้าไปมาเขาขบกรามตนเองจนเป็นสันนูน โทสะเริ่มปะทุขึ้นมาทีละน้อย วาเก็นกวาดสายตาไปรอบๆ

“เกลกับแนชท์เล่า พวกเขาได้พบกับท่านหรือไม่”

“สองคนนั่นอยู่กับโซลย์และโมได” จอมเวทหนุ่มตอบสั้นๆ วาเก็นพยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก

“ท่านไรด์คงดีใจหากได้ยินเช่นนั้น”

“ท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างไร” ฟอร์เซ็ตติถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ วาเก็นยกศีรษะของตนขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับชี้มืออันสั่นเทาไปด้านซ้าย จอมเวทหนุ่มมองตามและพบกับห่อผ้ารูปทรงกลมห่อหนึ่งวางไว้บนพื้น แม้ไม่ต้องเปิดออกดูเขาก็พอจะรู้ว่าภายใต้ผ้าผืนนั้นคืออะไร วาเก็นได้ยินเสียงคำรามดังมาจากลำคอของฟอร์เซ็ตติ

“ฝีมือจอมมารหรือ” เขาถามสั้นๆ วาเก็นสั่นหน้า

“เขามาเพียงแค่เงา สิ่งที่สังหารท่านไรด์เป็นปิศาจอีกตนหนึ่ง มันต้องการให้ท่านไรด์กลายเป็นบริวารผีดิบเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่น แต่ท่านไรด์ไม่ยอม หลังจากที่ถูกกรอกเลือดพิษลงไปในปาก ท่านไรด์ได้สั่งให้ข้าบั่นคอของท่าน เจ้าปิศาจชั่วหันมาพบเข้าพอดีจึงตัดร่างของข้าออกเป็นสองท่อน เพื่อที่ว่าจะได้ทนทรมานอยู่กับร่างครึ่งเป็นครึ่งตายนี้โดยไม่สามารถไปไหนหรือทำสิ่งใดได้อีกต่อไป”

วาเก็นเล่าด้วยน้ำเสียงแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวในขณะที่ฟอร์เซ็ตติกำไม้เท้าในมือของเขาแน่น ดวงตาสีฟ้าใสแปรเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินเข้ม ประกายสีแดงเพลิงปะทุอยู่ลึกๆ ชายผู้เคราะห์ร้ายยกมือที่สั่นเทาขึ้นกุมมือของจอมเวทหนุ่มและบีบแน่น

“ได้โปรดเผานครนี้ให้มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปด้วยเถิดท่านฟอร์เซ็ตติ ทำลายบ้านของท่านก่อนที่คนในครอบครัวจะกลายสภาพไปเป็นผีร้ายและออกไปทำร้ายพวกท่านในภายหลัง”

“ข้า......” ฟอร์เซ็ตติกลืนก้อนเหนียวๆลงไปในคออย่างลำบาก ความพิโรธผนวกกับความเศร้าโศกเสียใจกำลังถาโถมเข้าไปในจิตใจจนเขารู้สึกราวกับจะสูญเสียตัวเอง สติสัมปชัญญะที่เริ่มพร่าเลือนถูกดึงกลับมาเมื่อวาเก็นพูดขึ้น

“พวกเราต้องการให้ท่านชำระล้างวิญญาณ และปลดปล่อยทุกคนให้เป็นอิสระจากคำสาปเลือดอันยาวนานนี้ให้จบสิ้น ได้โปรดเถิดท่านจอมเวท”

เสียงสวบสาบที่ดังขึ้นรอบตัวทำให้จอมเวทหนุ่มหันไปมอง หัวใจอันแสนเศร้าหมองหม่นลงไปอีกครั้งเมื่อเขาเห็นชาวนครต้องสาปอีกหลายคนที่ยังไม่สิ้นชีวิตแต่มีลักษณะน่าเวทนาด้วยร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ดวงตาของทุกคนมีน้ำตาไหลหลั่งออกมาแม้ใบหน้าบางคนซึ่งเหลือเพียงเบ้าตากลวง

“ได้โปรดเผาพวกเราด้วยเถิด ท่านจอมเวท”

พวกเขาร้องอ้อนวอน มือหลายข้างคว้าผ้าคลุมของเขาไว้และร่ำไห้อย่างน่าสงสาร ฟอร์เซ็ตติวางร่างของวาเก็นให้นอนลงบนพื้นและยืนขึ้น

“ด้วยอำนาจแห่งเทพซอนเนสซาร์ผู้อารักษ์”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาของเขาร้อนผ่าวราวกับมีเพลิงคุกรุ่นอยู่ภายใน มือทั้งสองข้างกุมไม้เท้าไว้แน่นจนสั่นระริก

“ขอพระองค์ทรงโปรดประทานพลังเพลิงแห่งแสงอาทิตย์มายังกายของข้าเพื่อชำระล้างดวงวิญญาณทุกดวงในนครต้องสาปแห่งนี้ให้สะอาดและหลุดพ้นจากอำนาจมืดรวมทั้งคำสาปอันยาวนานทั้งหลายไปให้หมดสิ้นด้วยเถิด”

คริสตัลสีฟ้าบนยอดคทาของจอมเวทเปล่งประกายเจิดจ้าแต่อ่อนโยนกว่าทุกครา ร่างทั้งร่างของฟอร์เซ็ตติบังเกิดแสงสว่างราวกับเปลวไฟ เขาก้มหน้าลงมองวาเก็นที่กำลังส่งยิ้มให้

“ขอบคุณ ท่านจอมเวท”

น้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลรินออกมาจากดวงตาของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส มันแปรเปลี่ยนไปเป็นเปลวเพลิงสีฟ้าเข้ม ทันทีที่หยาดน้ำตานั้นหยดลงสู่พื้น ไฟสีน้ำเงินก็ลุกโชติช่วงขึ้นรอบกายของ
ฟอร์เซ็ตติ มันแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วและเผาไหม้ร่างของชนชาวนักรบเวทจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา

“ลาก่อน ครอบครัวของข้า”

ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง เสียงร่ายมนตร์ที่ทรงอำนาจดังขึ้น

“ซอนเนน!”

แรงอัดอากาศอันมหาศาลแผ่กระจายออกไปโดยรอบ ครั้งนี้มันทำลายทุกอย่างที่เคยเป็นนครต้องสาปจนพินาศไม่มีเหลือ แม้แต่สัตว์ปิศาจที่ยังคงวนเวียนแทะกินร่างของผู้คน ม่านพลังเวทสีฟ้าครอบคลุมทั่วอาณาเขตของนครป้องกันมิให้เปลวเพลิงลุกลามออกไปยังป่าโดยรอบ เพียงชั่วอึดใจ เมืองของเหล่านักรบเวทที่เคยซ่อนตัวมานานก็ถูกเผาจนราบเรียบไม่เหลือเศษซากแม้เพียงสักชิ้นไว้ให้ผู้อื่นได้พบอีกต่อไป
 
*-*-*-*-*

โซลย์จัดแจงเตรียมหาเศษไม้ไว้เพื่อสำหรับก่อกองไฟในยามค่ำคืนในขณะที่โมไดยืนจ้องมองดูดวงตะวันที่กำลังเคลื่อนคล้อยต่ำลงด้วยความหงุดหงิดวุ่นวายใจ เขาเดินกลับไปกลับมาหลายหน เสียงระบายลมหายใจดังติดต่อกันหลายครั้งจนแม่ทัพแห่งมอร์เซลต้องพูดขึ้น

“เขาต้องมาทันก่อนพระอาทิตย์ตกดินแน่ อย่ากังวลไปนักเลยโมได”

“ที่ข้ากังวลน่ะไม่ใช่การมาของเขาหรอก แต่เป็นหมอนั่นต่างหาก” เด็กหนุ่มบุ้ยใบ้ไปทางร่างไร้วิญญาณของเกล “ถ้าเกิดเขาลุกขึ้นมาในตอนนี้พวกเรามิแย่กันไปหมดหรือ”

“เจ้าก็ใช้รันนิ่งจัดการกับเขาเสียเลยสิ” โซลย์กล่าว โมไดเบะปาก

“เจ้าจอมเวทนั่นจะได้หักแขนข้าปะไร” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวของตัวเองสองสามครั้งในขณะที่แม่ทัพแห่งมอร์เซลอมยิ้มด้วยความยินดีที่เห็นโมไดรู้จักเป็นห่วงในความรู้สึกของผู้อื่น สายตาอันคมกริบของเขามองผ่านร่างที่กำลังเดินหมุนไปหมุนมา

“เลิกกังวลได้แล้วเจ้าหนู” เขาพยักเพยิดไปด้านหลังโดยมีสายตาของโมไดมองตาม ร่างในผ้าคลุมสีขาวของจอมเวทหนุ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงแดดยามตะวันรอน สายลมร้อนยามเย็นพัดผ่านผ้าคลุมจนสะบัดไหว โซลย์ขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกใจที่ครั้งนี้ฟอร์เซ็ตติไม่ได้ดึงฮู้ดขึ้นคลุมใบหน้าของเขาดังเช่นทุกครั้ง จนกระทั่งเขาเข้ามาจนใกล้แม่ทัพแห่งมอร์เซลจึงเข้าใจเมื่อเห็นความหมองหม่นระทมทุกข์เปี่ยมล้นอยู่บนในหน้าอันแสนงดงาม

“นางเป็นอย่างไรบ้าง”

จอมเวทหนุ่มเอ่ยถามขึ้นทันทีที่มาถึง โมไดรีบตอบอย่างเร็ว

“ยังไม่รู้สึกตัวเลยตั้งแต่เจ้าไป”

ฟอร์เซ็ตติพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและหมุนตัวเดินไปยังร่างของเกล เขายืมก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนร่ายเวทออกมา เปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนลุกสว่างจากคริสตัลด้านบนและเลื้อยลงมาตามด้าม จากนั้นมันจึงไหลลงไปยังร่างไร้วิญญาณของเกลราวกับมีชีวิตและลุกสว่างโชติช่วงเผาไหม้ร่างของเขาจนกลายเป็นเถ้าไปในพริบตา เหลือเพียงละอองธุลีที่ยังคงลอยหมุนวนอยู่กับที่ จนจอมเวทหนุ่มเงยหน้าขึ้นและพูด

“พวกเขาได้รับการชำระล้างมลทินไปเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านเดินทางกลับบ้านอย่างสงบเถิด ส่วนแนชท์ข้าจะปกป้องดูแลนาง อย่าได้วิตกกังวลไปเลย”

สายลมอ่อนพัดผ่านมาอย่างแผ่วเบาพาละอองเถ้าธุลีของเกลกลับคืนไปยังป่าอาถรรพ์
ฟอร์เซ็ตติมองดูด้วยสีหน้านิ่งสงบก่อนหันกลับมาทางโซลย์และโมไดที่ดูเหมือนจะมีท่าทางตระหนก

“เจ้าเผานครต้องสาปไปแล้วหรือ ฟอร์เซ็ตติ”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลถามขึ้น จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะแทนคำตอบและเดินไปหย่อนกายนั่งลงข้างแนชท์ด้วยท่าทางเศร้าสร้อย

“พวกเขาทั้งหมดได้หลุดพ้นจากคำสาปเลือดอันยาวนาน นับจากนี้ไปนอกจากแนชท์แล้วจะไม่มีชาวนักรบเวทหลงเหลืออยู่บนผืนแผ่นดินนี้อีกต่อไป”

ฟอร์เซ็ตติกล่าว เขายกไม้เท้าและร่ายมนตร์ กองฟืนตรงหน้าลุกติดไฟสว่างโพลงขึ้นทันที โซลย์มองหน้าโมไดก่อนจะเดินมานั่งลงด้านตรงข้ามกับเขา

“บางทีแนชท์อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกก็เป็นได้”

“จะเป็นการดีอย่างยิ่งหากแหวนไม่เลือกนาง”

ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงเรียบ แม่ทัพแห่งมอร์เซลถอนหายใจเฮือก

“ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าไม่ต้องการให้นางออกเดินทางเสี่ยงภัยไปกับพวกเรา แต่หากนั่นเป็นชะตาที่ถูกกำหนด เจ้าเองก็ไม่อาจปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงได้ ฟอร์เซ็ตติ”

จอมเวทหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำใดๆ ดวงตาสีฟ้ามองจ้องลงไปในเปลวไฟที่กำลังเต้นไหวอยู่ในกองฟืน สีหน้าของเขาท่ามกลางแสงไฟวับแวมปรากฏเงาหลากหลายจนแลดูน่ากลัวในความคิดของโซลย์ หลังจากนิ่งเงียบไปได้สักระยะ โมไดจึงโพล่งขึ้น

“จริงสิ ข้าจำได้ว่าพ่อเคยพูดถึงเรื่องของเจ้าเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าไปพบกับพ่อของข้าได้อย่างไร และทำไมถึงได้มอบรันนิ่งให้แก่เขา”

สายตาของโซลย์ฉายแววประหลาดใจออกมาในขณะที่ฟอร์เซ็ตติมองหน้าเด็กหนุ่มนิ่ง รอยยิ้มแต้มบนมุมปาก

“ข้าคงหาเวลามานั่งเศร้าไม่ได้เลยใช่ใหม โมได ถ้าข้างกายของข้ามีเจ้าอยู่ด้วย”

จอมเวทหนุ่มมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง เขาหันไปมองดูแนชท์ซึ่งยังคงนอนหลับสนิทก่อนเริ่มเล่าเรื่อง

“ตอนที่ข้าพบกับเดฟล่อนบิดาของเจ้านั้น เขายังเป็นเพียงรองแม่ทัพแห่งมอร์เซลแต่เป็นรองแม่ทัพที่กล้าหาญ เก่งกาจและฉลาดเฉลียวมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ เดฟล่อนไล่ล่าโจรกลุ่มใหญ่ที่มีสมุนมากกว่าร้อยคน โดยที่ตัวของเขาเองมีกำลังติดตามไปเพียงแค่สามสิบ เจ้าโจรกลุ่มนี้ได้ออกปล้นและเข่นฆ่าผู้คนตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกของมอร์เซลไล่เรื่อยไปจนถึงเขตชายแดนที่ติดกับมาร์วัลลัส ลำพังฝีมือของโจรกลุ่มนั้นคงไม่น่ากลัวสักเท่าใดหากหนึ่งในบริวารของมันไม่ใช่ปราชญ์จากแซฟวี”

“ปราชญ์จากแซฟวี” โซลย์ทวนคำด้วยความรู้สึกแปลกใจ “ข้าเพิ่งรู้ว่าคนของแคว้นนี้ก็ฝักใฝ่ในทางชั่วร้ายด้วยเหมือนกัน”

“ไม่มีมนุษย์คนใดแยกความดีและความเลวออกจากตัวเองได้อย่างเด็ดขาดหรอก โซลย์ แม้แต่ชาวมาร์วัลลัสหรือเหล่าเอลฟ์ก็เช่นเดียวกัน พวกเขามีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนคละเคล้ากันไป ดุจแสงสว่างกับเงามืดนั่นเป็นสัจธรรม”

“แล้วพ่อข้าเจอกับเจ้าได้ยังไงกัน”

โมไดถามแทรกขึ้นและหันไปถลึงตาใส่โซลย์คล้ายกับจะต่อว่าที่เขาพูดขัดกลางคัน ฟอร์เซ็ตติยิ้ม

“ปราชญ์แห่งแซฟวีผู้นั้นได้สร้างอาวุธที่ใช้ยิงธนูได้ครั้งละหลายสิบดอกขึ้น รวมทั้งเครื่องยิงก้อนหินร้อนในระยะไกล สิ่งเหล่านั้นทำให้กองทหารของมอร์เซลต้องพ่ายแพ้ไปทุกครั้งที่พบกับโจรกลุ่มนี้และนั่นเป็นเหตุสำคัญให้เจ้าพวกชั่วช้านี่หลุดรอดจากการจับกุมไปได้ตลอดเวลา หลังจากที่ติดตามไล่ล่าอยู่หลายวัน ในที่สุดพ่อของเจ้าก็ตามกองโจรกลุ่มนี้ทันและบุกเข้าล้อมจับ อาศัยอาวุธของแซฟวี ทำให้ทหารภายใต้บังคับของพ่อเจ้าล้มตายไปหลายคน และคงจะรวมถึงชีวิตเดฟล่อนหากบังเอิญวันนั้นข้าไม่ผ่านไปทางนั้น”

“เจ้าช่วยพ่อข้าโดยวิธีใด”

“พวกมนุษย์เพียงใช้เวทบางบทก็สามารถกำจัดได้โดยง่ายแล้ว แต่ข้าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเจ้ามากนักจึงทำเพียงแค่จัดการกับเจ้าปราชญ์แห่งแซฟวีนั่นและมอบรันนิ่งให้กับพ่อของเจ้าเพื่อใช้ทำลายอาวุธอุบาทว์ให้พินาศ โจรกลุ่มนี้จึงถูกจับได้เกือบทั้งหมด และหลังจากนั้นข้ากับเดฟล่อนก็ไม่เคยพบกันอีกเลย”

“ธนูที่ยิงได้ครั้งละหลายสิบดอกกับเครื่องยิงหินระยะไกลหรือ น่าสนใจแฮะ”

โมไดเปรยออกมา แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอันกราดเกรี้ยวจากฟอร์เซ็ตติ

“กับอาวุธชั่วช้าเช่นนั้น ข้าไม่เห็นว่ามันจะน่าสนใจเลยสักนิด หากข้าพบอาวุธพวกนี้อีกครั้งข้าจะทำลายมันให้พินาศทั้งคนสร้างและสิ่งของที่มันประดิษฐ์ขึ้นทันที”

“ข้าแค่บอกว่ามันน่าสนใจเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าอยากสร้างมันขึ้นมาสักนิด”

โมไดย้อนด้วยความรู้สึกโกรธที่โดนจอมเวทแสดงวาจาฉุนเฉียว อีกฝ่ายมองหน้าเขานิ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

“เจ้ายังไม่เคยเห็นผลอันเกิดจากอาวุธพวกนี้ ข้าหมายถึงชาวบ้านธรรมดาที่ไร้ความรู้ในด้านการต่อสู้ โมได พวกเขาต้องจบชีวิตลงด้วยสภาพที่น่าเอน็จอนาถอย่างที่ไม่ควรจะได้รับ”

“แล้วเวทของเจ้าล่ะ มันไม่เคยทำร้ายใครเลยหรือยังไง” โมไดเถียงเสียงอ่อน ฟอร์เซ็ตตินิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

“ข้าไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเวทของข้าไม่เคยทำร้ายผู้ใด แต่ข้าก็มั่นใจว่าไม่เคยใช้มนตราที่ศึกษามาไขว่คว้าหาผลประโยชน์ส่วนตน”

ความเงียบครอบคลุมคนทั้งสามอีกครั้ง โมไดเหยียดขาของตนออกราวกับขับไล่ความเมื่อยล้าและพูดเสียงดัง

“ข้าจะอยู่เฝ้ายามแรกให้เอง”

“เจ้าควรนอนพักก่อนผู้ใด” ฟอร์เซ็ตติแย้งในขณะที่โซลย์เห็นด้วย

“ข้าจะอยู่เวรแรกให้ ส่วนเจ้าเฝ้าต่อจากข้าที่เหลือมอบให้ฟอร์เซ็ตติจัดการก็แล้วกัน”

“ข้าคงนอนไม่หลับ” ฟอร์เซ็ตติกล่าว “พวกเจ้านอนพักให้สบายกันเถิด”

“ไม่เด็ดขาด”

โมไดพูดอย่างดื้อรั้นแต่จอมเวทหนุ่มกลับยิ้ม

“เจ้าต้องนอน”

โมไดรีบเบือนสายตามองไปด้านอื่นทันทีเมื่อเห็นประกายวาววับจากดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่าย เขาแค่นหัวเราะออกมาดังๆ

“เฮอะ!คิดจะใช้เวทสะกดข้าอีกงั้นรึ ไม่มีทางหรอกเจ้าจอมเวท เจ้าไม่มีทางเล่นงานคนอย่างข้าด้วยวิธีเดิมเป็นครั้งที่สอง”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้ามีทางทำให้เจ้าหลับเพียงวิธีเดียวอย่างนั้นหรือ” ฟอร์เซ็ตติพูดโดยซ่อนรอยยิ้มไว้ในหน้า โซลย์มองดูควันสีขาวที่กำลังลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบๆตัวของเขาและโมได คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างนึกขัดใจ

“เจ้าใช้ยานอนหลับกับพวกเราหรือ ฟอร์เซ็ตติ”

“ไหนเจ้าบอกว่าไม่เคยใช้ความรู้ทำร้ายคนอื่นไงเจ้าจอมเวทขี้โกง”

โมไดร้องเสียงดังและรีบยกมือขึ้นปิดจมูก เขารู้สึกโกรธจนแทบอยากจะกระโดดข้ามกองไฟไปเขย่าคอฟอร์เซ็ตติแต่เรี่ยวแรงที่ถดถอยลงประกอบกับอาการง่วงงุนที่บังเกิดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเอนตัวหงายหลังและหลับสนิทลงก่อนที่ยังไม่ทันล้มลงถึงพื้น โดยมีร่างของโ.ซลย์นอนเคียงข้าง จอมเวทหนุ่มมองดูเพื่อนทั้งสองแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาเลื่อนตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไร้จันทราแหว่งเว้าดังที่ควรจะเป็น สีหน้าของจอมเวทหนุ่มเจือความวิตกก่อนเบนกลับไปมองยังร่างของแนทช์

“โชคไม่ดีเลยที่ช่วงเวลานี้ตรงกับวันเดือนดับสองครั้ง ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้าทั้งคู่นะ โซลย์ โมได”


*-*-*-*-*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 54 13:51:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com