ตอนที่ 37
ห้องนอนของวริษาในยามเที่ยงคืน ที่เงียบสงัด หญิงสาวเพิ่งจะทำงานต่างๆของตัวเองเสร็จเรียบร้อย และ กำลังนั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้ มองกล่องไม้สีขาวที่วางอยู่ข้างๆโน้ตบุ๊คด้วยแววตาครุ่นคิดเป็นเวลาหลายนาที ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดมัน สิ่งแรกที่มองเห็นเมื่อพลิกฝาไม้ด้านบนออกไปข้างๆ ก็คือสมุดบันทึก ริมลวดหน้าปกลายการ์ตูนหมีสองตัวกางร่มกันฝน ที่เมื่อก่อนเธอเองก็คุ้นเคยกับมันราวกับเป็นของตัวเอง เพราะ มันเป็นสมุดบันทึกส่วนตัวของกนต์รพีมาตั้งแต่วัยเด็ก และเขาก็ไม่เคยว่าอะไรยามที่เธอชอบหยิบเอามันมาอ่าน หรือจะเขียนเรื่องของตัวเองแทรกลงไปบ้างในบางครั้ง นอกจากนั้น ก็มี หางตั๋วของตั๋วชมภาพยนต์ที่เคยไปดู ด้วยกัน กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ กับ กระดาษโพสอิท มากมาย ที่เขากับเธอมักจะเขียนโต้ตอบกันไปมานั่งเรียน ในห้อง ซึ่งมีทั้งเป็นข้อความสั้นๆ หรือเป็นรูปวาดการ์ตูน เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขายังเก็บมันไว้แทบทั้งหมด แล้ว ก็ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ซึ่งวริษาจำได้ว่าเป็นของเธอเอง และมันไปอยู่กับเขาได้อย่างไรก็จำไม่ได้ และยังมีแว่นตา กรอบหนาที่ขาแว่นหักไปข้างหนึ่งอยู่ด้วย หญิงสาวหยิบมันขึ้นมามองดูใกล้ๆเป็นอย่างแรก นึกแปลกใจไม่น้อย ที่เขายังเก็บมันไว้เป็นอย่างดี ขาแว่นที่หัก สาเหตุมาจากเธอเอง เธอแกล้งจะดึงแว่นตาออก ตอนเขานั่งก้มหน้า ก้มตาอ่านหนังสือไม่สนใจฟังที่เธอพูด ด้วยความไม่ระมัดระวัง ทำให้ขาแว่นตาของเขาหัก แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ หรือต่อว่าอะไร กลับบอกว่า มันใกล้จะหักอยู่แล้ว ดีเหมือนกันจะได้ซื้อของใหม่ วริษายิ้มเผลอยิ้มกับตัวเองเมื่อ คิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอวางแว่นตาลงที่เดิม แล้ว ก็เปลี่ยนไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งขึ้นมา มีข้อความ ที่เป็นลายมือของตัวเองเขียนด้วยดินสอว่า ง่วง และก็มีข้อความในบรรทัดถัดมาเป็นลายมือของเขาเขียนว่า เหมือนกัน หญิงสาวส่ายศีรษะอย่างนึกขำ แล้ววางมันลง มองไปที่สมุดบันทึกอีกครั้ง แล้วก็หยิบมันออกเปิด ไปเรื่อยๆ ทีละหน้า หยุดมองในบางหน้าที่มีภาพถ่ายสติ๊กเกอร์ที่เคยไปถ่ายด้วยกันแปะอยู่ เปิดไปจนถึงหน้าที่ มีที่คั่นหนังสือคั่นไว้ ก็พอจะเข้าใจว่า สิ่งที่เขาอยากบอก คงเริ่มต้นจากตรงนี้
สวัสดีว่าน
ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี มันมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ที่เลิฟอยากจะบอกว่าน แต่ก็ไม่เคยมี โอกาสได้พูดสักที เลิฟยอมรับว่าเลิฟขี้ขลาด เห็นแก่ตัว และก็กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอย่างที่สุด จนถึง ทุกวันนี้แล้ว เลิฟก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่า สิ่งที่เลือกจะทำ มันแป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด เลิฟเห็นพ่อของ ว่าน มาที่บ้านกับแม่บ่อยๆ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่เลิฟก็บอกว่านไม่ได้ วันที่แม่ของว่านเสียชีวิต เลิฟก็ได้ยิน ได้รับรู้ในสิ่งที่พ่อว่านกับแม่เลิฟพูดคุยกันว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง แต่เลิฟก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่เคยจะทำ อะไรที่จะเป็นการปกป้องความรู้สึกของว่านได้เลย วันที่แม่พาเลิฟไปลาออกจากโรงเรียน เป็นวันเดียวกับที่ว่าน เดินทางไปอเมริกา เลิฟแอบหนีแม่ไปตามหาว่าน แต่เลิฟก็ไม่กล้าเข้าไปบอกลาว่าน มันรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า ได้แต่เดินตามว่านกับเมฆไปห่างๆ ได้เห็นว่านเป็นครั้งสุดท้ายที่แผงหนังสือหน้าโรงเรียน ก่อนที่ว่านจะจากไป โดยที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อว่านได้เลยสักนิดเดียว มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ เลิฟรู้สึกมาตลอดว่า ตัวเองไม่ มีค่าพอที่จะรักว่านเลย และไม่สมควรจะได้รับความรัก ความรู้สึกดีๆจากว่านอีกด้วยซ้ำ แต่เลิฟก็ไม่เคยลืมว่าน ได้เลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ยิ่งเวลาฝนตก เลิฟก็จะคิดถึงว่านทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีใครผ่านเข้ามาหรือ ผ่านไป ก็ไม่ได้ทำให้เลิฟรู้สึกเหมือนที่รู้สึกกับว่านได้แม้แต่นิดเดียว ว่านยังสงสัยอยู่รึเปล่า ว่าทำไม เลิฟต้องทำ เหมือนจำว่านไม่ได้ ทำเหมือนไม่อยากรู้จักกับว่าน ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกัน ก็เพราะว่าเลิฟรู้ไงว่า เมื่อถึง วันที่ว่านรู้ความจริงเรื่องพ่อว่าน เลิฟก็คงต้องสูญเสียว่านไปในที่สุด รักของเราคงเป็นไปไม่ได้ เลิฟอยากให้ ว่านลืมๆเรื่องในอีตของเราสองคนไปซะ หรือ ไม่ต้องหลงเหลือความรู้สึกดีๆที่มีต่อเลิฟเลยก็ยิ่งดี ความรู้สึกผิดที่ ปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ มันจะได้ลดลงบ้าง แต่การที่ว่านบอกว่า ว่านยังรู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เคยเปลี่ยน มันทำให้เลิฟยิ่งรู้สึกว่า เลิฟไม่ควรได้รับความรู้สึกนั้นจากว่านเลยจริงๆ ความจริงแล้ว เลิฟได้เจอว่านโดยบังเอิญ ตั้งแต่วันเปิดเทอมวันแรก หลังกลับมาจากต่างประเทศ ทั้งที่ตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน แต่เลิฟกลับไม่กล้าที่จะเข้าไป เผชิญหน้ากับว่านอีกครั้ง เพิ่งรู้ว่าการทำอะไรที่ตรงข้ามกับความรู้สึกตัวเอง มันช่างทรมานนัก บางครั้งเลิฟก็ อยากโทษโชคชะตาที่กลั่นแกล้งเราสองคนเหมือนกันนะ เพราะถ้าไม่มีเรื่องของพ่อกับแม่เรา เลิฟเชื่อว่า เรื่อง ระหว่างเราสองคน ก็อาจจะไม่เป็นแบบที่เป็นอยู่อย่างในตอนนี้
ไม่ใช่ไม่รู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นการ กระทำที่ดีหรือเลว แล้วเลิฟก็ไม่เคยเข้าข้างแม่เลย แต่เลิฟก็ขี้ขลาด เลิฟทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าแม่ต้องติดคุกจริงๆ เรื่องอุบัติเหตุของคุณตำรวจ พ่อของคุณธรรมโชติ เลิฟก็ไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆนะ ตอนที่รู้ว่าท่านประสบอุบัติเหตุ เลิฟก็ตกใจมาก และสงสัยว่าทำไมมันบังเอิญเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้พอดี เลิฟถามแม่ แต่แม่ก็ไม่ยอมรับ แม่บอก ว่าแม่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สุดท้ายมันก็เป็นคำโกหกคำโตอีกนั่นแหละ แล้วการที่เลิฟกลับไปขอคืนดีกับว่าน กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ทุกอย่างมันก็เป็นความรู้สึกอยากทำตามความต้องการของเลิฟเอง สำหรับเรื่องนี้ เลิฟไม่เคยโกหกว่าน ไม่เคยโกหกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง แต่ ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมันเป็นความ ต้องการของแม่ด้วยเหมือนกัน แม่อยากให้เลิฟอยู่ใกล้ๆว่าน เพื่อคอยติดตามว่าว่านจะทำอะไรเกี่ยวกับการรื้อ คดีในอดีตบ้าง แม่หวังว่า ว่านจะไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มแล้วทุกอย่างก็จะจบ แต่เลิฟรู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น มัน ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ที่เลิฟอยากบอกว่านก็คือ ตลอดช่วงเวลาที่เราได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แม้มันจะ เป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก แต่มันก็ทำให้เลิฟมีความสุขมาก ขอให้รู้ว่านั่นคือความรู้สึกของเลิฟจริงๆ เลิฟ รักว่าน รักมาตลอด แต่ก็รู้ดีว่า ถึงวันหนึ่งที่ว่านได้รู้ความจริง เวลาของเลิฟก็คงหมดลง ไม่ใช่เพราะเลิฟไม่รัก ว่านแล้ว แต่เลิฟไม่มีค่าพอที่จะรักว่านอีกต่อไป ไม่ แม้แต่จะได้รับความรู้สึกดีๆจากว่านด้วยซ้ำ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้ มันจะเป็นยังไงต่อไป ทุกๆความทรงจำระหว่างเรา คือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตและจะอยู่ในหัวใจของเลิฟตลอดไป สุดท้ายสิ่งที่เลิฟอยากจะบอกว่าน ก็คือ เลิฟขอโทษ
รักว่าน Love
ปล. เรื่องทุกเรื่อง น้องเอินไม่เคยรู้อะไรด้วยเลย น้องไม่ได้อยู่กับแม่กับเลิฟมาตั้งแต่เด็ก อย่างที่เลิฟเคยเล่า ให้ว่านฟังว่า พ่อกับแม่เลิฟแยกทางกันตั้งแต่เลิฟกับน้องยังเด็ก เลิฟมาอยู่กับแม่ ส่วนน้องก็ไปอยู่กับพ่อ เพิ่งจะ มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันก็ตอนน้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะพ่อย้ายไปทำงานต่างประเทศ ช่วงเวลาที่เลิฟไม่ได้ อยู่กับน้อง และน้องต้องอยู่คนเดียว ถ้าเลิฟจะฝากให้ว่านคอยช่วยดูแลหรือช่วยเหลือบ้าง ถ้าน้องต้องการ อย่างน้อยที่สุดก็ในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ คงไม่ได้รบกวนจนเกินไปหรอกใช่มั้ย วริษาไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ จนเมื่อรู้สึกว่าตัวหนังสือที่อ่านอยู่เริ่มพร่าเลือนมากขึ้นทุกที เธอนั่งมองสมุดบันทึกทั้งน้ำตาอยู่เงียบๆ เป็นเวลานานแค่ไหนไม่รู้ ในความคิดเต็มไปด้วยภาพความทรงจำใน อดีตระหว่างเธอกับเขา เขาคงเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิต ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งรัก และทั้งอยากลืม ไม่อยากจดจำ ว่าเคยรู้จักหรือเคยคิดว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอีกต่อไปแล้ว ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำใจให้เลิกรักเขา ไม่ได้เลย
ตอนสายวันต่อมาซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ วิษุวัตกลับมาที่บ้านพร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่ สร้างความแปลกใจ ให้กับ รศ.ณรงค์ ผู้เป็นตา ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตรงสวนดอกไม้หน้าบ้านพอดี
สวัสดีครับ คุณตา
วิษุวัตยกมือไหว้เมื่อเปิดประตูรั้วเดินเข้ามา
นึกยังไงถึงกลับมาบ้านล่ะเรา ตังค์ก็โอนไปให้แล้วนี่นา
ปาล์มไม่ได้กลับมาขอตังค์หรอกครับ แต่ตั้งใจจะกลับมาอยู่บ้าน จนกว่าจะสอบปลายภาคเสร็จ อยู่มหาวิทยาลัยมันไม่ค่อยมีสมาธิน่ะครับ แล้วคุณยายกับพี่ว่านล่ะครับ
ยายเค้ามีลูกศิษย์มาหา คุยกันอยู่ในห้องรับแขก ส่วนว่านก็เห็นหอบงานไปนั่งทำอยู่ที่ศาลาโน่นแน่ะ แล้วกินอะไรมารึยังล่ะเรา หิวมั้ย ในครัวมีกับข้าวเยอะเลย
ยังไม่หิวเลยครับ งั้นผมขอตัวไปหาพี่ว่านก่อนแล้วกัน
วิษุวัตบอก ก่อนจะเดินตามทางเท้าไปที่ศาลากลางสวน และก็เห็นพี่สาวนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ อย่างมีสมาธิ เธอดูเหมือนเป็นปกติดีทุกอย่าง ทว่า เขาก็ยังสังเกตเห็นความเศร้าในแววตาคู่เรียวสวยนั้นอยู่ดี
อ้าว ปาล์ม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ วันนี้นึกไงถึงกลับบ้านเนี่ย โห แล้วดูสิ หน้าตาเหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
วริษาเงยหน้าขึ้นมาทัก เมื่อรู้สึกเหมือนมีใครมายืนจ้องมองอยู่นานแล้ว วิษุวัตเดินขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมกับวางกระเป๋าเป้ลง
ก็มันเบื่อๆน่ะครับ อยู่ที่โน่นไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือ เลยว่าจะมาอยู่บ้านจนกว่าจะสอบเสร็จ นั่นแหละ
เขาตอบแล้วก็ถอนใจยาว วริษามองหน้าที่ดูเหมือนกำลังเบื่อโลกของน้องชายแล้วก็ถอนใจบ้าง
แต่พี่ว่า ไม่น่าจะมีสาเหตุแค่นั้นหรอกมั้ง พี่กำลังอยากคุยเรื่องนี้กับปาล์มอยู่พอดีเลย
เรื่องอะไรเหรอครับ
เรื่องน้องเอินน่ะ
ทว่า วริษายังไม่ทันได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น วิษุวัตก็พูดสวนกลับทันควัน
ปาล์มไม่มีวันกลับไปคบกับคนในครอบครัวของฆาตรกรที่ฆ่าคุณแม่ของเราหรอกนะครับ ไม่มีวัน เด็ดขาด
จากคุณ |
:
Travel to the moon
|
เขียนเมื่อ |
:
วันฉัตรมงคล 54 01:48:07
|
|
|
|