 |
ผมก้าวเข้าไปในกระบวนรถไฟฟ้า จังหวะการทรงตัวผิดพลาดเล็กน้อยจึงเซไปชนชายชาวต่างชาติร่างโย่ง เขามองผมด้วยความไม่พอใจ ผมจึงก้มศีรษะลงเล็กน้อย ๆ เพื่อเป็นการขอโทษ แต่เขากลับทำหน้าตึงตอบกลับแบบที่ทำให้ผมอยากอัดให้น่วมลงไปนอนบนพื้น ผมทำตาพองพร้อมกับเบะปากใส่เขาแล้วกก้าวยาว ๆ เลี่ยงไปอยู่ตรงจุดเชื่อมระหว่างขบวนรถ
ยืนนิ่งได้สักพักก็รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา คล้ายกับว่ามีสายตาใครสักคนจับจ้องอยู่
ผมกวาดตามองโดยรอบห้องโดยสารด้วยความตื่นตระหนก หนุ่มสาวคู่หนึ่งเอ่ยถามเรื่องอาหารค่ำแว่วผ่านหู เด็กชายตัวผอมเล่นเกมในโทรศัพท์ทั้งส่งเสียงหนวกหูทำผมหงุดหงิด ผมยืนสั่นเทาทั้งร่างความเครียดพุ่งพล่านขึ้นสมอง เหงื่อชื้นเต็มแผ่นหลัง ผมจึงถอยจากหยุดที่ยืนเดินผ่านไปอีกขบวนที่สงบกว่า ผมก้าวต่อไปจนพ้นจากเสียงรอบกายที่วุ่นวน แต่ก็ต้องมาพบกับพนักงานบริษัทกลุ่มใหญ่คุยกันเสียงดังสลับด้วยการหัวเราะอยากสนุกสนานแทนและเป็นจังหวะนั้นเองที่ประตูรถไฟฟ้าเลื่อนเปิดออก ผมตั้งสติแล้วพุ่งตัวฝ่าผู้คนที่ยืนอออยู่หน้าประตูชานชาลาสถานี ผมเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไกลจากเสียงต่าง ๆ ที่ไล่หลังมาติด ๆ กระนั้นยังสัมผัสได้ถึงเสียงผู้คนดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้าง
ผมพาตัวเองมาถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน รอบตัวผู้คนสัญจรบางตา ทั้งวังเวงและแฝงด้วยความเศร้าสร้อย ผมถอนหายใจหนักหน่วงรู้สึกเหงา เคว้งคว้างจนต้องคุยกับใครสักคน นิ้วโป้งซ้ายผมกดหารายชื่อโทรออกครั้งล่าสุด หนึ่งในนั้นมีชื่อของ เจ้ย รวมอยู่ด้วย
เจ้ยในภาพที่ผมร่างเอาไว้ในใจ เธอเป็นคนที่มีความสำคัญกับผมมาก บางทีผมอาจเข้าใจไปเองว่า เธอเป็นคนพิเศษ ของผมทั้งที่จริง ๆ แล้วก็รู้ดีว่า เธอ..ไม่เคยคิดเกินเพื่อนกับผมเลย เจ้ยเป็นคนสวยดวงหน้าขาวผุดผาด นัยน์ตาเป็นประกราย รูปร่างสูงเพรียวสมส่วน ผมมักจะนึกถึงเสียงแหบทุ้มลึกของเธอซึ่งขัดกับความน่ารักที่ฉายอยู่รอบตัว เจ้ยจึงเป็นทอมบอยแสนน่ารักที่ผมมักจะควงไปหัวหกก้นขวิดด้วยกันบ่อย ๆ
ผมถอนหายใจด้วยความลังเล ก่อนรวมความกล้าต่อสัญญาณโทรศัพท์
หือ..ทัพพ์เหรอ เสียงเข้มแกมความรำคาญ
ยุ่งอยู่เปล่า เสียงผมสั่นมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอกเธอ
ร้อยแปดอย่างเลยละ เราไม่ได้ลอยชายเหมือนใครบางคนนี่ แล้วได้คุยกับตาแก่ โรคจิตทำหนังสือหลอกเด็กพวกนั้นแล้วซี ถึงได้โทรมาหาเราได้ เธอถอนหายใจแรงผิดกับผมที่กั้นเอาไว้จนอึดอัด
หนังสือหลอกเด็กที่ไหน แต่ละเล่มออกจะสร้างแรงบันดาลใจ รับรองอ่านแล้วจินตนาการบันเจิดทั้งนั้น
อย่ามาโม้มีเหรอคนอย่างนายคนนั่นจะเขียนนิยายดี ๆ ออกมาได้ หลอกคนอื่นคงได้ละแต่กับเราไม่มีทาง
อ๊ะคนที่ว่านั่นพี่ตะวันนะเจ้ย เรียกนายนั่นนายนี่ อย่างกับว่าเป็นคนอื่นแน่ะ ทำไมน้าพี่น้องคู่นี่ถึงเข้าหน้ากันติดสักที เหลือกันแค่สองคน แต่ทำอย่างกับว่าอยู่กันคนละโลก
แล้วจะเป็นอะไรไหม ถ้าเราไม่อยากนับญาติกับผู้ชายคนนั้น น่าเบื่อชะมัด...ถ้าจะพูดเรื่องนี้ เราขอวางก่อนนะ มีงานค้างอยู่...
เดี๋ยว...เออ เจ้ยจำที่ผมเคยบอกได้ไหมไอ้รูหนอนกาลเวลาน่ะ ผมหมายถึง ปรากฏการณ์ซ้อนทับเดจาวู
เรื่องเพ้อเจ้ออีกน่ะสิ ทำไมจะจำไม่ได้ละ เราฟังเสียจนเห็นภาพซ้อนอย่างทัพพ์แล้ว พออะไรวูบวาบผ่านหน้าไปหน่อย สมองก็คิดเป็นตุเป็นตะเห็นภาพแปลก ๆ สงสัยได้ความคิดประหลาดมาจากทัพพ์แหง ๆ ไม่เอาแล้วละ หยุดพูดเรื่องพวกนี้ที ขืนยังปลูกฝังเราอย่างงี้ ไม่แน่นะ คงได้บ้ากันทั้งคู่ เปล่านะ ตะกี้ผมก็เห็นแบบชัดเจนเลย มันวาบมาในหัว แล้ว...เปรี้ยง!ชนเข้ามาอย่างกับว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดซ้ำไป ซ้ำมา จนไม่รู้อันไหนภาพจริงภาพในหัว
เรื่อง เพี้ยน ๆ แบบนี้เอาไว้เราเห็นพร้อมกันก่อนนะ เราถึงจะเชื่อ แต่ตอนนี้ระวังให้ดีเถอะฝึกจิตบ่อย ๆ ประสาทจะเสียเอา คราวนี้ได้ไปโรงพยาบาลบ้าจริง ๆ ล่ะ
เจ้ยหมายความว่าไง เป็นห่วงกลัวผมเพี้ยนแล้วต้องเลี้ยงดู รึจะหลอกด่ากันแน่ ฮึ ชักโกรธแล้วนะ
ก็รู้ ๆ อยู่ เราพูดอย่างนั้นเสียเมื่อไหร่ เป็นห่วง ก็แค่นั้น อย่ามาชวนทะเลาหน่อยเลย นี่ก็ดึกแล้ว แค่นี่นะ ยิ่งพูด ยิ่งไร้สาระ แล้วกลับมาถึงห้องเมื่อไหร่ โทร.รายงานด้วย
เฮ้อ ทำตัวอย่างกับเป็นแม่เราอีกละเจ้ย ผมเสียงแข็งตอบ
อ้าวเห็นชอบไม่ใช่เหรอ... แต่บอกไว้ก่อน แม่คนนี้ เลี้ยงวัวให้ผูกรักลูกให้ตีนะ ไม่มีโอ๋ ตามใจจนเสียคนหรอก
เป็นงั้นไป เออ...คือ...ผมซื้อผ้าพันคอให้แน่ะ ว่าจะเอาไปให้ พรุ่งนี้
แหมไปรวยอะไรมาละ เสียใจด้วยนะพรุ่งนี้เราติดแหง็กอยู่มหาลัยค่ำโน่นแน่ะ ยังไงก็ขอบใจนะที่ยังคิดว่าเราเป็นสุภาพสตรีที่เหมาะกับผ้าพันคอสวย ๆ ว่าแต่ตั้งใจซื้อให้เราจริงรึเปล่า รึจะซื้อให้คนอื่นแล้วไม่กล้าให้
พูดไปละ...รู้งี้ซื้อ ดัมเบลล์ให้ก็ดีหรอก เจ้ยจะได้ยกน้ำหนักให้มันล่ำกว่านี้
ว่าไงนะ ปากดีขึ้นทุกวันนะนี่ คอยดูเถอะกลับมาเมื่อไหร่ จะชกให้หน้าหงายเลย เธอเงียบไปหลังจากพูดจบ เจ้ยปล่อยให้ผมถือโทรศัพท์แนบหูและกรอกเสียงขานเรียกชื่อเธอเพียงฝ่ายเดียวจนสายตัดไปในที่สุด
ผมเดินคอตกตามทางเดินจนถึงบันไดเลื่อน เจ้าหน้าที่ขอตรวจสิ่งค้นสัมภาระ ผมเปิดกระเป๋าช้า ๆ เขาชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ ๆ เขาขมวดคิ้วอยากรู้แต่ผมหน้าบึ้งใส่ ก่อนที่จะปล่อยให้ผมคว้ากระเป๋าสะพายหลังเดินหน้าง้ำลงบันไดเลื่อนไป ผมยืนชิดราวบันไดด้านซ้ายมือ
ในสภาวะเหม่อลอยเพราะคิดอะไรไปพลาง ๆ ผมจึงไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังมีใครบางคนกำลังเร่งรีบ ร่างบางกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดผ่านผมไป กระเป๋าผ้าสีขาวกระแทกหลังผมอย่างแรงจนผมเกือบล้ม ผมฉุดตัวเองกลับในท่าเดิม ครางอย่างอารมณ์เสียทันทีที่เห็นว่า เขาเมินเฉยต่อการกระทำนั้น ด้านล่างของสถานี มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวจนดูเหมือนหุ่นยนต์
ไกลออกไปพนักงานทำความสะอาดในชุดสีฟ้า ทำงานอย่างขะมักเขม้น ผมหันมองด้านซ้ายของตนจนเจอร่างของเขาคนนั้น คนที่ชนหลังผมเมื่อครู่
เขายืนอย่างกับคนเสียสมดุล แอ่นตัวไปทางซ้ายที ขวาที เดี๋ยวก็หมุนตัวอย่างคนคิดอะไรไม่ตก
ร่างนั้นหายใจแรงอย่างไม่ปกติ โงนเงนไปมา และผมเริ่มคิดว่าเขาอาจจะไม่เต็มเต็ง แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ ผมไม่ไว้วางใจเขาเสียเท่าไหร่ผมจึงเดินห่างออกมาอีกสองช่องประตู แสงไฟสว่างวิบวับ ผมเดินเข้าไปรอที่ช่องหน้าประตูรถไฟฟ้า หนอนเหล็กดังมาแต่ไกล เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินเข้ามาใกล้ ๆ หล่อนขยับเครื่องสื่อสารฟังแล้วพูดราบเรียบกับผม รอคันต่อไปค่ะ หล่อนตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะกลับไปยืนที่จุดเดิม
หนอนเหล็ก แล่นผ่านสถานีโดยไม่รับผู้โดยสาร ผมหัวเสียเมื่อมองนาฬิกาข้อมือด้วยกลัวว่ารถประจำทางจะหมดเสียก่อน จังหวะนั้นจู่ ๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางกางก็สั่นไหว ผมล้วงออกมาเพ่งดูหน้าจอและมันปรากฏคำว่า เบอร์ส่วนตัว
พอผมกดรับก็ต้องตะโกนถาม เมื่อปลายสายนั้นเอ่ยเสียงเบาจนฟังไม่รู้เรื่อง
ฮัลโหล ใคร !
ผมถามประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง เงียบจนผมรำคาญและรู้สึกแปลก ๆ เพราะไม่ชอบที่มักจะมีใครโทร.เข้ามา และทำเสียงเงียบ ไม่พูดวางนะ ผมตัดสายทิ้งไปในที่สุด
รถไฟขบวนใหม่มาเทียบสถานี ประตูกระจกเลื่อนเปิดออกหญิงชราจูงมือเด็กชายซึ่งก้าวย่างของเขาเชื่องช้าจนผม ต้องเร่งนับจังหวะในใจ กว่าจะได้เข้าไปในรถไฟฟ้าเสียงปิ๊ปก็ดังเร่งให้ต้องกระโดดตัวลอยเข้าไปภายในขบวนรถ ด้านในมีผู้โดยสานนับคนได้ นอกจากผมและชายคนนั้น ยังมีสาว ๆ แต่งหน้าจัดจ้านนั่งห่างออกไปอีกห้องโดยสาร ดูเหมือนพวกเธอจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ส่งภาษาสื่อสารกันอย่างไม่เกรงใจใคร รถผ่านสถานีต่าง ๆ จนถึงปลายทางที่ผมจะต้องลง
ความรู้สึกเย็นยะเยือกเล่นงานผมอีกจนได้ เมื่อเสียงผิวปากแว่วผ่านมาให้ได้ยิน ผมหันขวับมองรอบตัว ผ่านออกไปนอกหน้าต่าง แสงสว่างสลับความมืดวูบไหวให้ผมจินตนาการถึงบางสิ่งที่ซ่อนเร้นในอีกมิติหนึ่ง
ได้ยินรึเปล่า...ปลาดาว เสียงเล็ก คล้ายเด็กผู้หญิงเอ่ย สลับการหายใจฟืดฟาด
หนูมาลี มีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ผมหันขวับไปมอง เป็นเขานั่นเอง ร่างผอมบางสวมหมวกสีน้ำตาล ใบหน้าซูบผอม เต็มไปด้วยน้ำลายเหนียวแตกฟองฟอดเจียนจะไหลย้อยออกมา
คิก ๆ เสียงหัวเราะนั้นชวนขนลุก
บ้านี่หว่าปล่อยให้ขึ้นรถไฟได้ไงลำคอผมกลับแห้งผากขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผมรีบเปิดเป้สะพายหลังควานหาขวดน้ำดื่ม ไม่ทันไรผมก็สะอึกติด ๆ กัน
ผมคว้าขวดน้ำได้แต่ก็เปิดฝาออกอย่างลำบาก รถไฟแล่นไปอีกสักพัก ผมจึงหันไปมองเขาเพราะรู้สึกถึงพลังรุนแรงที่แผ่ออกมา เขาโต้ตอบผมด้วยการทำตาพองลอดแว่นหนา มันทั้งน่าเกลียดน่ากลัว ผมผุดลุกจากที่นั่งแล้วรีบก้าวจากไปโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองเขาอีก
ผมเลือกที่นั่งปะปนกับผู้คนในขบวนในสุด แล้วล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา หน้าจอสว่างทีละน้อย เพียงประเดี๋ยวก็มีเสียงแจ้งบอกข้อความใหม่เข้าดังติดต่อกันหลายครั้ง ผมกดอ่านทีละข้อความและลบมันอย่างไม่ใส่ใจนัก จนถึงข้อความหนึ่งที่บันทึกเอาไว้ ผมอ่านช้า ๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน
มีความสุขมาก ๆ นะทัพพ์ โตเป็นผู้ใหญ่เสียที เราจะได้หมดห่วง ข้อความจากเจ้ย ที่ส่งมาให้เมื่อครั้งวันคล้ายวันเกิดของผมเมื่อปีที่แล้ว พออ่านก็รู้สึกถึงความห่วงใยของเธอ
แล้วทัพพ์จะรู้ว่าสี่ปีในรั้วมหาลัยให้อะไรมากกว่ากระดาษแผ่นเดียว เสียงของเธอกับแววตาที่มากความมุ่งมั่น ของเจ้ยในวันนั้นกลับมาทำร้ายผมอีก ถึงแม้ผมเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าตนเองคิดผิด ที่ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วออกมาใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามลำพัง กระนั้นผมก็ต้องหาทางออกจากเขาวงกตนี้ให้จงได้
ประตูรถไฟเลื่อนเปิด ช่วงที่ผมกำลังจะก้าวจากไป เสียงขลุกขลักดังไล่หลังมา การหายใจติดขัดทำให้ผมต้องหันกลับ ร่างผอมนั้นยกกระเป๋าผ้าอย่างอ่อนแรง ในตอนนี้ผมพึ่งมองเขาเต็มตา เขาเป็นแค่เด็กชายผอมสูงคนหนึ่ง ดวงหน้าเสี้ยมแหลมสวมแว่นสายตากรอบใหญ่ เสื้อตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงผ้ายืดสีมอมีกลิ่นตุ ๆ อบอวล
เจ้าหน้าที่ประจำสถานีเดินเข้ามาประกบและพูดอะไรกับเขา แต่ก็ผละจากไปอย่างหัวเสีย ผมก้าวห่างพวกเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อหย่อนเหรียญผ่านออกจากสถานี รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีเพราะไม่ต้องเห็นเขาอีก
ในขณะที่อยู่ในโถงทางเดินผมได้ยินเสียงซุบซิบเข้าหู แล้วตามด้วยเสียงหอบหายใจของคนสูงวัย ผมมองไปด้านหน้าหญิงชรานั่งรถเข็นสาระวนกับการจัดข้าวของ มีชายหนุ่มยืนใกล้ ๆ ครั้นพอผมมองเลยไปอีกนิดร่างเพรียวในชุดสีแดงเพลิงก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามา
ผมมองอยู่ครู่ก็แน่ใจว่าคือคนที่เห็นอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า หล่อนคือคนที่ผมในมิติรูหนอน เดจาวู
ทว่ายามนี้ดวงหน้าหล่อนนั้นอิดโรยอยู่มาก และคราวนี้ผมพึ่งรู้ว่าหล่อนนั้นมีอายุพอสมควร
ร่างนั้นจ้ำอ้าวอย่างร้อนรน หล่อนเกาศีรษะแกรก ๆ แม้จะไม่สังเกตมากนัก ผมกับได้ยินเสียงเล็บครูดหนังศีรษะดังบาดหู
เจ้าหน้าที่สองคนวิ่งไล่หลังหล่อนมาจากด้านบน เพียงไม่กี่วินาที ความโกลาหลพลันเกิดขึ้น ผมยืนชิดผนังมองการเคลื่อนไหวของพวกเขา หล่อนก้าวเข้าไปใกล้ร่างที่หอบหิ้วถุงผ้าสีขาว จากนั้นก็กรีดร้องโหยหวนออกมา เจ้าหน้าที่นายหนึ่ง พยายามจะควบคุมสถานการณ์ เขาเดินเข้าไปขวางคนทั้งคู่ ที่ไฟแห่งอามรณ์โกรธกำลังเดือดปุด ๆ
หล่อนง้างมือสูงกระชากถุงผ้าจากร่างบอบบาง การปะทะของคนทั้งคู่ทำให้ผมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เผียะ! แรงมือทำให้ดวงหน้าเรียวสะบัดไปอีกทาง เสียงร้องโหยหวนของเขาครางอย่างกับสัตว์ป่าถูกทำร้าย เจ็บ ผมเจ็บ
ฉันพูดกรอกหู แกตั้งกี่ครั้ง จำใส่กะโหลกบ้างไหม
ผมยืนนิ่งสายตาจับที่ใบหน้าของเขา ยามนี้แว่นสายตาหลุดร่วงไปอยู่ที่พื้น ดวงตาของเขาเหลือกค้าง ริมฝีปากบางอ้ากว้าง มือสองข้างยกปิดหูตนเองประหนึ่งว่าไม่ต้องการได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ร่างผอมโคลงไปมาก่อนจะโผตัวเข้าไปแย่งถุงในมือหล่อนกลับคืน
ผมมองภาพนั้นอย่างใจระทึก กระเป๋าผ้าถูกฉุดกระชากยื้อไปมา แล้วตามด้วยเสียงตบดังก้องโถงทางเดิน จากนั้นร่างผอมก็ลงไปนอนดิ้นบนพื้นด้วยความเจ็บปวด
แม่ ผมกลัว ผมกลัวแล้ว ปล่อยน้อง อย่าทำน้อง น้องไม่สบาย ผมจะป้อนยา แม่ใจร้าย เอาน้องคืนมา! เขาสั่นเทิ้มเสื้อสีขาวตัวโคล่งพลิ้วตามร่างที่เคลื่อนไหว สองมือของเขาทุบอกตัวเอง จากนั้นก็พุงเข้าไปคว้าถุงผ้าด้วยความหวงแหน
ถอยไปนะ ขืนยังดื้ออีก แม่จะจับขังเสียให้เข็ด แม่บอกให้หยุด นั่งลงเดี๋ยวนี้! หล่อนจับไหล่เขากดลง เอาน้องมา ๆ อย่าทำน้อง แม่ตีน้องทำไม
แกยังจะมีหน้ามาร้องหามันอีก เมื่อไหร่แกเข้าใจซักที เขาลุกขึ้นยืนชี้มือไปที่ร่างของหล่อน กรีดร้องโหยหวนจนผมสังเวชใจ ดวงตาเขาแดงก่ำร่างผอมแทบจะระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยคุ้มคลั่ง
แกมันบ้าอย่างนี้น่ะสิ มันถึงได้วอดวายกันทั้งบ้านก็เพราะแก ยังจะทำอย่างงี้อีกเหรอ ลูกเวร...เมื่อไหร่จะตายกันให้หมดทั้งพี่ทั้งน้อง....ฉันรับไม่ไหวแล้วนะ
ปลาดาว ! เอาน้องมา เอาน้องมา จะเล่นกับน้อง
เงียบแม่บอกให้เงียบ!
ไม่ เอาน้องมา เอาน้องมา จะเล่นกับน้อง เขาร้องลั่นก่อนจะคลานเข้าไปกระชากถุงผ้าคืนและเอามากอดไว้แนบอกตนเองจนได้
ปล่อย...แม่บอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้ ของพวกนี้เก็บไว้ทำไมหล่อนยื้อถุงผ้ากลับอย่างแรงแต่เขาขัดขืนไม่ยอมให้ผู้เป็นแม่จึงตบฉาดเข้าใบหน้าซูบผอมอีกครั้ง
เจ็บ ผมเจ็บ พอแล้วแม่ วาฬเจ็บ ไม่ทำอีกแล้ว ฮื่อ ฮื่อ...พ่อ! พ่อช่วยผมด้วย
หยุดนะ! แกยังมีหน้าจะเรียกหาเขาอีกเหรอ มือที่ถือถุงผ้าอ่อนแรง หล่อนทำให้มันล่วงหล่นพื้น
แม่ทิ้งน้อง ทิ้งน้องทำไม เขาหวีดร้องเสียสติ ถลาเข้าไปคว้าถุงผ้า ความรวดร้าวของเขาทำให้ผมปวดใจไปด้วย เขาค่อย ๆ เทสิ่งของในถุงใบนั้นออกมาทีละชิ้น
ปลาดาวอยู่นี่ แม่เห็นน้องไหม น้องร้องไห้อีกแล้ว สิ่งที่กลิ้งออกมาจากถุงทำให้ดวงหน้าของหล่อนบิดเบี้ยว
ตุ๊กตาปั้นร่างพิกลพิการ ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด!
เสียงหวีดร้องดังลั่นโถงทางเดิน ผมตะลึงกับสิ่งที่เห็นรู้สึกหนาวทั่วสรรพางค์กายจนต้องกอดตัวเองแน่น เวลานี้ ภาพอดีตที่รางเลือนของผม มันฉายทับกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน!
จบบทครับ
ขอบคุณ ถูกใจ
amlee, สามปอยหลวง, นิชนันท์, แม่แมวเหมียว, =FriEnDiY=, พันธนาการแสงดาว
ติชม แนะนำผมได้นะครับ พอดี ริษยา นักเขียน หนุ่มบางคน เลยรีบอัพ บทนี้ ปล. ชื่อเรื่อง ขอ เติมให้ ลึกลับ หวาน ๆ หลอน นิดนะครับ หากเสียอรรถรส ผมขอรับความผิดนี้ไว้ ด้วยใจจำยอม ( พริสสสสสสสส)
( เริ่มปอดน่ะครับ เมื่อลงบทนี้ แหะ ๆ )
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 54 22:13:38
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 54 22:07:11
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 54 22:05:10
จากคุณ |
:
เขมปัณณ์ (เขมปัณณ์)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันฉัตรมงคล 54 21:34:35
|
|
|
|
 |