Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ่วงพราย... (รัก ) บทที่ ๓ ติดต่อทีมงาน

ลิงค์ที่ผ่านมา ครับ

 บทนำ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10512616/W10512616.html

 บทที่ ๑ - ๒

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10517262/W10517262.html


-------------

ต่อกันเลย นะครับ


บทที่ ๓


๓ กุมภาพันธ์  วันอังคาร   เวลา ๒๑.๐๐ น



        เสียงรถไฟฟ้าซึ่งแล่นมาตามรางเหล็ก ส่งคลื่นพลังงานลึกลับที่แฝงความชั่วร้ายกดทับลงบนร่างผม  ความประหวั่นใจก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  จู่ ๆ ผมก็รู้สึกกลัวอย่างประหลาด! ความกลัวซึ่งผมรู้ดีว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด กระนั้นผมกลับไม่อาจหลบเลี่ยงมันได้  ไม่ว่าเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก หรือ กระทั่งเติบใหญ่จนวันนี้  


สัญชาติญาณลึกลับที่ติดตัวผมมา  มันกำลังติดต่อกับบางสิ่งซึ่งผมเองก็คาดไม่ถึง!    


  ผมขยับแขนและกอดตัวเองไว้แน่นกว่าเมื่อครู่ ไม่ใช่หวาดกลัวแต่เพราะมันทำให้ผมรู้สึกไม่โดดเดี่ยวเพราะอย่างน้อยผมก็ยังมีตัวเองเป็นเพื่อนตาย!  


           ไฟเหลืองนวลส่องสว่างตามรางรถไฟเข้ามาใกล้สถานีทุกที หัวใจผมเต้นตึ้ก ๆ จากความรู้สึกที่ไม่เป็นส่วนตัว ผมบังคับสายตาตนเองให้มองตรงแนวเส้นสีเหลือง  ในขณะเดียวกัน  ผมสัมผัสได้ว่ามีสายตาใครจ้องมาจากด้านหลัง  ความตึงเครียดทำให้เหงื่อแตกพลั่ก  ก่อนจะตามมาด้วยอาการเย็นวาบตรงต้นคอจนผมต้องทำอะไรสักอย่าง  


            ผมรีบหันหลังไปมองที่มาของคลื่นพลังงานกดทับ  ทว่าก็ไม่พบสายตาใครจะหันมาสนใจผมสักคน


           กลิ่นเหงื่อผสมน้ำหอมหลากหลายชนิดของผู้คนที่เบียดเสียดโชยชายรอบตัวผมทุกคนต่างเฝ้ารอหนอนเหล็กลอยฟ้าที่ทิ้งระยะห่างผิดปกติ  พวกเราอยู่ในอิริยาบถแปลกแยก  และต่างส่งแรงขับจากภายในจดจ่อไปยังรถไฟฟ้าซึ่งเห็นเพียงแสงไฟลิบตา วูบวาบ ๆ  


           ผมกุมโทรศัพท์มือถือไว้นานจนเหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ แสงหน้าจอพลอยให้ความอ้างว้างฉายชัดเจน ตอนนี้ผมเหว่ว้า และกำลังวิ่งวนอยู่ในโลกที่สับสน  ผมปาดเหงื่อบนหน้าผาก  รู้สึกล้าที่ไหล่จากหนังสือที่สะพายอยู่ในเป้ด้านหลัง เมื่อชั่วโมงที่แล้ว สำนักพิมพ์.ตะวันฉาย คือจุดหมายที่ผมไปรับงานพิสูจน์อักษรหนังสือชุดใหม่ พร้อมกับส่งต้นฉบับที่เขียนขึ้นให้กับพี่ตะวัน บรรณาธิการใหญ่


             สำนักพิมพ์ตะวันฉาย เช่าอยู่ในอาคารเก่าบนชั้นสิบ  


       ผมขึ้นลิฟต์ด้วยใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ  พอลิฟต์เปิดก็กลั้นใจก้าวยาว ๆ ตรงไปยังออฟฟิศอันแสนวุ่นวาย ภายในนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังลั่นสลับกับการสบถเป็นชุดพี่ตะวันซึ่งลอดผ่านฉากกั้นออกมาเป็นระยะ ๆ


         ผมเหยียดตัวยาวหลังพิงโซฟาราคาถูกอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเซ็ง ๆ กว่าจะได้พบพี่เขาเข็มนาฬิกาก็เดินจากเวลาบ่ายโมงไปเป็นเวลาเย็นย่ำ
‘ส่งต่อความตาย’ คือต้นฉบับที่ผมสานต่อจากจินตนาการผสมผสานระหว่างนิยายลึกลับและเรื่องเขย่าขวัญเข้าด้วยกัน มันเป็นเรื่องของพิธีกรรมของลัทธิหนึ่งซึ่งผมเกิดไอเดียขึ้นมา ผมรวบรวมข้อมูลอยู่นาน กว่าจะเขียนเป็นนิยายจนเสร็จสมบูรณ์


         ลึก ๆ แล้วผมรู้ดีแก่ใจว่าคงไม่ใช่งานจะขายได้ในกลุ่มกว้าง แต่ในความแตกต่างของงานชิ้นนี้ ผมได้แต่หวังว่ามันจะสื่อสาร ‘บางสิ่ง’ ที่อัดแน่นอยู่ข้างในถึงใครสักคน ที่ติดอยู่ในบ่วงกรรม และต้องการชำระล้างบาปที่ได้ก่อขึ้น!

 
         ผมอ่านทวนหน้ากระดาษ กลุ่มคำที่ตั้งใจเขียนให้ดึงดูดแต่พออ่านทวนอีกรอบ  กลับความรู้สึกว่า มันยังไม่ดีพอ การตีความดูเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ เนื้อหาเต็มไปด้วยทัศนคติแง่ลบ พอกันกับชีวิตผมที่ขีดเส้นใต้ให้ไม่ก้าวล้ำเข้าไปในโลกสีชมพู


        “ เฮ้ยเป็นไงบ้าง ไปทำอะไรมาวะ  หน้าแหลมขึ้นทุกวันนะไอ้หนู”  พี่ตะวันชายผิวสีน้ำผึ้งเดินเข้ามาแตะไหล่ผม เขามีหุ่นสมาร์ตแบบคนออกกำลังกาย  ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าอายุจะเข้าสู่เลขสี่สิบตอนปลาย  



       “ ก็อดนะซีพี่  ส่งงานที่ไรไม่ผ่านสักที  งานอดเลยเป็นอาชีพเสริมผมไปแล้วละ”  ผมก้มหน้าเมื่อต้องนั่งอยู่ตรงข้ามพี่เขา รอยยิ้มกว้างอวดฟันมีคราบสีเหลืองจากกาแฟและบุหรี่  ทำให้ผมต้องหายใจเข้าลึก ๆ  เพราะมันดูน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย  


       พี่ตะวันเกาหนวดแข็งใต้คาง  ทำเสียงในลำคอจนผมรู้สึกคลื่นไส้  แล้วเขาก็ขบกรามตึงแล้วพูดเสียงเข้มจนผมใจฝ่อ  “ นี่นะเหรอที่จะให้พี่อ่าน  ว่าแต่เรื่องนี้ยังโรคจิตเหมือนเดิมรึเปล่าวะ”


“แปลกกว่าเดิมนิดหน่อยครับ  คราวนี้เป็นความเชื่อเรื่องแก้กรรม”


“เอ...จับกระแสรึไง ฮ่ะ ๆ แต่พี่ว่า  อย่างแกเหมาะกับเรื่องโศก ๆ มากกว่านะ  อ่านเรื่องไหนก็ไม่เห็นมันจะน่าขนลุกเสียวสันหลังมีแต่เรื่องเครียด ๆ ไหนจะศพ ไหนจะหนอนผีเสื้อพวกนั้นอีก เพลา ๆ บางเถอะแกก็รู้นี่ว่ามันขายยาก”


           ผมหลบสายตาเขาที่เพ่งมา  พี่ตะวันเคาะนิ้วบนโต๊ะกระจกเสียงมันดังบาดใจผมจนต้องกลืนน้ำลายลดความตื่นเต้น   เพราะต้องมานั่งฟังคำพิพากษางานเขียนที่ผมบ่มเพาะมาด้วยความรัก  


           “เข้าใจกฎที่นี่ใช่มั้ย  ตัวเอกต้องไม่ตาย มีฉากแอ็คชั่นไล่ล่ามัน ๆ  เรื่องก่อนอ่านช่วงต้นอืดชิบ   แกยังเอาคนอ่านไม่อยู่ตั้งแต่หน้าแรกด้วยซ้ำ   แถมเรื่องยังขาดจุดเชื่อมต่อเหตุการณ์  บอกแล้วว่าให้มั่นใจหน่อย  เค้นมันออกมาน่ะความสามารถ  ต้องบีบอารมณ์ให้คนอ่านลุ้นตั้งแต่หน้าแรกสิ ไม่อย่างงั้น ก็เสียเวลาเปล่า  


         แกก็รู้ดี คนอ่านยุคใหม่เขาต้องการอะไรที่ตื่นเต้น  และต้องแรง ๆ  หัดดูกระแสโลกด้วย งานจะได้อยู่ในกลุ่มกว้าง ๆ  ถ้ายังเขียนงานเฉพาะกลุ่มอย่างงี้ ถ้าไม่เจ๋งจริง ก็จอด เข้าใจ้ ”  พี่ตะวันมองหน้าผมที่ตอนนี้คงซีดจัด  เขาจึงรีบสรรหาคำมาปลอบใจผมได้ทันควัน



          “ แต่ก็เอาน่าคนเรามีก้าวแรกเสมอ งานพี่ก็ใช่ว่าจะขายดี อาศัยตลาดล่างละ สำนักพิมพ์ถึงอยู่ได้มาจนถึงวันนี้  ไม่งั้นได้ขายบ้าน ขายตัวกินแน่ ๆ ”  เขาหัวเราะอย่างได้รสชาติ    พลอยให้ผมต้องทำเสียงขื่นตามไปด้วย  


“ผมก็แค่เขียนอะไรที่ใจอยากนะครับ เท่าที่ทำได้ตอนนี้ก็จับความคิดในอากาศมาแปรเป็นตัวอักษรนี่ละ   ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ผ่านอีกผมคงต้องหาอะไรอย่างอื่นทำแล้วพี่ ”


                  “ไม่ผ่านก็เขียนใหม่สิ  พี่อ่านให้เสมอ ยกเว้นว่ามันห่วยแตกจนเกินเยียวยา  ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่ก็เชื่อว่าแกคงไม่ทนทำมันหรอกใช่ไหม”


“ ความตั้งใจผมมันก็เต็มร้อยละพี่ ติดนั่น ติดนี่ อยู่เรื่อย  ไม่รู้ทำไมเขียนแล้วไม่เหมือนที่ใจคิดสักที”


“เขียนไปเถอะน่า สักวันเอ็งคงก้าวผ่านคำว่านักเขียนไส้แห้งได้  เชื่อพี่อย่าท้อ   แต่ถ้าอยากดังเร็ว ทำไมไม่หัดเขียนแนวตลาดสักเรื่องละ สำนวนเอ็งก็ไม่ใช่ย่อย เอาใจคนอ่านอีกนิด ยังไง ๆ ก็ขายได้ ถ้าไม่มีคนพิมพ์เดี๋ยวพี่พิมพ์ขายเอง แต่ค่าเรื่องต้องหยวนนะ ฮ่า ๆ ”


            “ เรื่องรัก ตบจูบ แล้วลากกันขึ้นเตียงน่ะเหรอพี่ เขียนไปมีหวังเลือดจุกอกตาย ไม่ไหวหรอกผมยังรักษาแผลเก่าไม่หายเลย  เอาไว้อารมณ์มันพาไปตอนไหน ผมจะเขียนให้เนียนเลยพี่คอยดู”



           “ เออ ยังไงก็เขียนชาตินี้แล้วกัน พี่จะได้อ่านเสียที เออ...แล้วนี่เจ้ยมันเป็นไงบ้าง เจอกันรึเปล่า บอกมันส่งข่าวมาบ้างนะ   พี่โทรหามันทีไรก็บอกแต่ติดธุระ ไม่ว่างคุยสักที ไม่รู้มันจะหลบหน้าไปถึงไหน มีกันอยู่แค่สองคนมันจะยังทำอย่างนี้อีก  ไม่เข้าใจมันเลยน้องสาวคนนี้”



            “อารมณ์สาวโสดก็งี้ละ บางทีผมยังเข้าหน้าไม่ติดเลย  วันไหนดีก็ดีจนใจหาย  แต่ถ้าร้ายมาผมก็ต้องเป็นกระสอบทราย  เจ้ยยังเป็นเจ้ยไม่เคยเปลี่ยนตัวเองเลย   ลึกลับซับซ้อน  พี่ว่าไหม ผู้หญิงอะไรประหลาดจนกู่ไม่กลับแล้วมั้ง”  ผมเอ่ยถึงน้องสาวของพี่ตะวัน  หลายครั้งที่ผมนึกเปรียบเทียบทั้งคู่  ผมคิดว่าพี่ตะวันแข็งนอกอ่อนใน  ถึงจะปากร้าย แสดงความดุดันวางมาดนักเลงแต่ก็ใจดีจนไม่น่าเชื่อ  ผิดกับน้องสาวที่อ่อนไหวเปราะบาง แต่ลึก ๆ แล้วเธอรั้นเอาเรื่อง



             จากนั้นผมก็ผมสนทนากับพี่ตะวันอยู่นานค่อนชั่วโมง  กว่าหนังสือจะมาจากโรงพิมพ์   ถึงจะไม่ใช่หนังสือที่ตัวเองเขียน แต่การได้สัมผัสหนังสือที่พึ่งออกมาใหม่ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจกับนักเขียนเหล่านั้น  ผมเปิดอ่านด้านในมีชื่อผมอยู่ในตำแหน่งพิสูจน์อักษร  นี่คือก้าวแรกของผมที่เลื่อนขั้นมาจากคนขายหนังสือ  ต่อไปนี้ผมคงมีชื่ออยู่หน้าปกเมื่อวันนั้นมาถึงผมก็หวังว่า  ความรู้สึกที่ได้รับจะยิ่งใหญ่และทำให้ผมภูมิใจมากกว่านี้  



             ผมลาพี่ตะวันเกือบจะหกโมงเย็น  ได้กินขนมปังกับกาแฟเย็น ที่เขาเลี้ยงพอไม่ให้หิวจนเกินไป ครั้งนี้พี่เขาจ่ายค่าเหนื่อยให้ผมเร็วกว่าปกติ กระเป๋ากางเกงผมเลยหนาขึ้นเล็กน้อย  ซึ่งมันเพียงพอที่ผมจะทำอะไรตามใจตัวเองได้บ้าง


              คืนนี้ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีดำ อากาศหนาวเหน็บทำให้หนุ่มสาวบนสถานีรถไฟฟ้าเบียดตัวเข้าหากัน   ผมซุกมือไว้ในเสื้อคลุม  ผมเสมองสิ่งอื่นด้วยไม่อยากเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะแว่วมาให้ได้ยิน   ผมหมุนตัวรอบทิศเพื่อที่กวาดสายตาในมุมกว้าง  ชั่วขณะหนึ่งความทรงจำในครั้งเก่าส่งบางสิ่งให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องราวที่ซ้อนทับกัน  คล้ายกับว่าผมเคยมาอยู่ในจุดนี้มาก่อน  และมันกำลังจะย้อนรอยเกิดขึ้นซ้ำ


ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า มิติซ้อนทับหรือ‘เดจาวู’ หรือที่ผม รู้จักชอบที่เขาให้คำจำกัดความว่า ‘อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา’


ผมตั้งสมาธิปล่อยให้ภาพและความคิดสัมพันธ์กัน  


ทฤษฎีโลกคู่ขนานกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และผมคือผู้เฝ้ามองมันผ่านโสตประสาทของตนเอง



….หญิงคนนั้นสวมชุดสีแดงเพลิง เดินตรงมาจากด้านซ้ายมือ หล่อนหยุดอยู่ห่างผมสองสามช่วงตัว แว่นกันแดดสีดำปกปิดดวงตาไว้มิด ใบหน้าขาวจัดแต่งแต้มด้วยสีฉูดฉาดแต่ก็งามลึก ปากบางขยับไหว เชิดหน้าสูงและหันไปทางรถไฟฟ้าที่แล่นฉิวเข้ามาใกล้สถานีทุกที


เสียงล้อเหล็กบดขยี้รางรถไฟ เจ้าหน้าที่ท่าทางขึงขังเป่าลูกหวีดยาว  เขาชี้มือเตือนหล่อนที่ก้าวล้ำเส้นสีเหลือง   ผมมองปลายเท้าตนเองเมื่อเห็นว่าล้ำอยู่เล็กน้อย จึงถอยหลังกลับ  ต่างจากหล่อนซึ่งไม่ใส่ใจกับแสดงท่าทีกราดเกรี้ยว


“ ปรี๊ด ”  เสียงหวีดยาว  ขนต้นคอผมลุกชัน เย็นเยียบจับจิต เจ้าหน้าที่คนเดิมก้าวกึ่งกระโดดเข้าไปหยุดอยู่ข้างหล่อน   เขาออกคำสั่งอย่างน้อมโน้ม  ทว่าหล่อนกลับสะบัดหน้าหนี แล้วครางเสียงดังด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นใบหน้าขึ้งเครียดก็หันมาทางผม   หล่อนค่อย ๆ  ถอดแว่นกันแดดออก และจ้องมองผมด้วยดวงตาที่น่าเกลียดน่ากลัว…  



            ทุกอย่างผ่านไปเพียงแค่แวบเดียว  สิ่งที่ผมสัมผัสได้กับเหมือนจริงเหลือเกิน


          ทว่าไม่เกินอึดใจจากนั้น  ภาพที่ผมเห็นเมื่อครู่มันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผมอีกครั้ง !?!




ทำปกร่างมาเขย่า ขวัญ น่ะครับ  เอ... มันหวานไป เปล่าหนอ

แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 54 21:40:11

 
 

จากคุณ : เขมปัณณ์
เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 54 21:32:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com