บันทึกของคนเดินเท้า
คนรักรถไฟ
เทพารักษ์
ผมเป็นคนชอบโดยสารรถไฟมาตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น เริ่มเดินทางด้วยรถไฟไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าทัศนาจร เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ ถึงจังหวัดเชียงใหม่ และน้ำตก แม่กลาง กับเพื่อนอีกสองคน คือ นายออดกับนายผี แล้วก็ไป มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร กับสมุทรสงคราม ด้วยรถไฟสายแม่กลอง กับนายออด นายแมวและนายหงอก ต่อมาก็ไปบางปะอิน อยุธยาพิษณุโลก กับเพื่อนหน้าเดิม ๆ ไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยรถไฟสาย ธนบุรี น้ำตก อีกครั้งหนึ่ง เลยไปน้ำตกไทรโยคน้อย ด้วยรถไฟสายเดิม และเมื่อเวลาล่วงเลยจากครั้งแรกได้ประมาณ ๑๐ ปี ก็ได้กลับไปเยือน ห้วยแก้วจังหวัดเชียงใหม่ อีกครั้งหนึ่ง
สมัยนั้นไปด้วยรถไฟชั้นสามเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพราะมีเพื่อนร่วมขบวนร่วมทางมากมาย นั่งบ้างนอนบ้างยืนบ้าง คึกคักครึกครื้นดี เพราะยังแข็งแรงถึงไหนถึงกัน
ต่อมาหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ไปกับครอบครัวหรือเพื่อนอาวุโสด้วยกัน ก็มักจะไปกลางคืนโดยรถนอนโท บางทีก็ปรับอากาศด้วย เพราะต้องการความสบาย จังหวัดไหนที่มีรถไฟผ่านจะต้องไปกลับโดยรถไฟ รถนอนนั้น มีเก้าอี้นั่งข้างหน้าต่างซ้ายขวาข้างละสองคน เมื่อถึงเวลานอนคนหนึ่งจะต้องนอนเตียงบนและอีกคนหนึ่งต้องนอนเตียงล่าง ด้วยราคาที่แพงกว่าข้างบน ซึ่งต้องปีนบันไดขึ้นไป และทุกเที่ยวผมจะต้องจอง เตียงนอนชั้นบน ที่ใคร ๆ เขาไม่ชอบ ซึ่งจะจองได้ง่ายกว่าเตียงล่าง
จนเมื่อ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๗ เพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันมาก ซึ่งไม่ใช่เพื่อนเมื่อหนุ่ม แต่เป็นนักเรียนวัดรุ่นเดียวกัน มาคบกันเมื่อเข้าวัยกลางคนแล้ว ชื่อค่อนข้างจะเรียกยากคือ นายเฉวียน ชวนไปเยี่ยมญาติที่เชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง นัยว่าเป็นพี่ชายของลูกสะใภ้คนโต แต่อายุใกล้เคียงกันคือวัยใกล้เกษียณราชการ แม้จะอายุน้อยกว่าเราทั้งสองร่วม ๑๐ ปี
ครั้งนั้นเราไปรถด่วนสายเหนือ ชั้นนอนโทปรับอากาศ ผมนอนเตียงบนตามอัธยาศัย ส่วนเพื่อนนอนเตียงล่าง รถไฟออกจากหัวลำโพงประมาณทุ่มครึ่ง เราขึ้นที่สถานีสามเสนโดยนั่งรออยู่ที่ร้าน อาหารตามสั่งหลังสถานี จนหมดเหล้าไทยเหรียญทองไปครึ่งแบน กับเบียร์ตัวใหญ่หนึ่งขวด พอได้ขึ้นรถและหาที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็บรรเลงต่อ เพื่อนของผมคนนี้เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ระหว่างเวลาตั้งแต่สองทุ่มไปจนถึงเวลากางเก้าอี้ให้เป็นเตียงนอน เขาก็ผูกมิตรสัมพันธ์กับทุกคนที่เดินผ่านมา ทั้งนายตรวจตั๋ว ตำรวจรถไฟ พนักงานปูเตียง จนถึงพนักงานรถเสบียงทั้งชายหญิง เมื่อเขาปูที่นอนมาถึงเตียงผม ซึ่งอยู่ข้างบน เจ้าหน้าที่เขาก็ดึงหิ้งลงมาจากเพดานรถ กลายเป็นเตียงนอน และเครื่องนอนสองชุด สำหรับปูทั้งเตียงบนเตียงล่าง ส่วนด้านล่างเขาก็ดึงม้านั่งและพนักพิงทั้งคู่ให้เข้ามาต่อกัน ก็วางที่นอนลงไปพอดี
เมื่อเขาจัดการเรื่องนี้เสร็จ เพื่อนก็ขอบคุณ และให้รางวัลเจ้าหน้าที่ไปตามสมควร เช่นเดียวกับพนักงานรถเสบียงที่ได้รับไปหลายคนแล้ว ผมก็กำจัดน้ำเปลี่ยนนิสัยไปหลายกระป๋อง เห็นว่าพอสมควรแล้วก็ปีนบันได้ขึ้นไปนอน ปิดม่านบังแสงไฟแล้ว ก็นอนแกว่งไปมาเหมือนนอนเปล ในไม่ช้าก็หลับไป ปล่อยให้เพื่อนนั่งโจ้ต่อไปคนเดียวหรือสองคน กับเจ้าหน้าที่รถเสบียงที่หมดงานแล้ว ก็ไม่ได้เอาใจใส่
เราตื่นนอนตอนเช้าล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็ลงจากรถไฟที่สถานีลำพูน เพราะญาติของเพื่อนทำงานอยู่ลำพูน เป็นที่ทำการสาธารณสุขจังหวัด ทักทายปราศรัย อาบน้ำอาบท่าและถอนตอนเช้าแล้ว เขาก็พาเรานั่งรถยนต์ของเขาและภรรยา ไปไหว้พระธาตุหริภุญชัย และเจ้าแม่จามเทวี จนถึงเวลาเย็นก็เดินทางด้วยรถยนต์คันเดิมไปเชียงใหม่ กินอาหารค่ำที่บ้านญาติคนที่สอง อำเภอเมือง แล้วไปพักที่บ้านญาติคนแรก ใกล้วัดพันหลัง อ.ดอยสะเก็ด
รุ่งขึ้นนัดพบญาติคนที่สาม แล้วขึ้นรถตู้ไปเขื่อน:-)ัด อำเภอแม่แตง แต่ก็ไม่ได้เห็นตัวเขื่อน คงจะอยู่ทางด้านหน้าเขื่อนที่มีน้ำมาก กินอาหารกลางวันที่ร้านริมน้ำแล้ว ไปชมวัดเด่นสะหลีศรีเมืองแถน อำเภอแม่แตง ตอนเย็นไปชมสวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อำเภอ แม่ริม ค่ำกลับมากินอาหารที่ร้าน ป.ปลาหนึ่ง อำเภอเมือง แล้วไปนอนบ้านญาติคนที่สาม อำเภอสันทราย
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ได้พบกับญาติคนที่สี่ พักผ่อนพูดคุยกัน ตั้งแต่อาหารเช้าจนเลยอาหารกลางวัน ถึงเวลา ๑๖.๐๐ น.อำลามาขึ้นรถด่วนพิเศษขบวนเดิมกลับกรุงเทพ ออกจากเชียงใหม่ ๑๖.๔๕ น. ระหว่างทางตั้งแต่ก่อนมืดจนถึงเวลานอน ก็เหมือนเดิม คือผมปีนขึ้นไปนอนก่อน ทิ้งเพื่อนให้มีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานรถเสบียง ตามสบาย จนถึงสถานีบางซื่อจึงตื่นนอน และถึงสถานีสามเสนเมื่อ ๐๖.๑๕ น. จึงแยกย้ายกับกลับ ผมแวะลงสวนอ้อย เพื่อนกลับไปซอยวัดพระเงิน
ไปเที่ยวเชียงใหม่คราวนี้ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสี่คนพร้อมทั้งครอบครัว ซึ่งได้ติดต่อส่ง ส.ค.ส.กันมาอีก ๒-๓ ปี แล้วก็ร้างรากันไป
จนเวลาล่วงไปหกปี ถึง พ.ศ.๒๕๕๓ เดือนมกราคม นายเฉวียน ได้จัดงานแต่งงานหลานสาวปู่ จึงได้พบกับญาติกลุ่มนี้ ที่มาจากเชียงใหม่ในนี้งานสองครอบครัว คือญาติที่หนึ่ง และที่สาม ได้คุยกันจนงานเลิกและไปส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว เราชวนเขาค้างเพื่อพรุ่งนี้จะได้พาเขาเที่ยวกรุงเทพบ้าง แต่เขาอยู่ไม่ได้ เพราะเช่ารถตู้มา ต้องกลับคืนนี้ ถึงเชียงใหม่พรุ่งนี้เช้า จึงจำต้องลากันไปด้วยความอาลัย
เวลาผ่านไปจนถึงเดือนตุลาคม จึงได้ข่าวจากเชียงใหม่อีก แต่เป็นข่าวร้ายว่าญาติที่สามผู้เป็นสามีที่ดวดกันมาอย่างสูสี ได้ป่วยเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัดใหญ่ เพื่อนอยากจะไปเยี่ยมแทนญาติที่อยู่ทางกรุงเทพ ก็มาชวนผมซึ่งไม่ได้อิดออดลังเลเลย ทั้ง ๆ ที่อายุใกล้จะครบ ๘๐ ปีแล้ว เป็นการเดินทางไกลที่มีผู้ออกปากว่า ผู้เฒ่าอายุแปดสิบ จะขึ้นรถไฟไปเยี่ยมญาติอายุหกสิบเศษ ซึ่งป่วยอยู่เชียงใหม่ห่างไปกว่า ๗๐๐ ก.ม.
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
6 พ.ค. 54 04:43:53
|
|
|
|