Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
1 - หวานรัก ณ ปลายดง ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10515177/W10515177.html

บทที่ 1

รายรอบทิศที่ล้อมร่างระหงในชุดรัดกุมสีสดใสไว้อย่างโดดเดี่ยว คือป่าผืนกว้างที่ไม่คุ้นเคย กวางเขาสวยที่เห็นเพียงแวบเดียว แล้วดูดดึงให้สองเท้าวิ่งซอยตามมาอย่างกระชั้นชิด หายตัวไปแล้ว สามแสนตรึงตัวเองแน่วนิ่ง ใจเต้นระทึก ขณะบอกตัวเองว่า 'หลงป่า'

ตะวันคล้อยลง เหลือเพียงแสงเหลืองอ่อน มันส่องบางเบาจนสามแสนเห็นแล้วใจแห้ง สองขาอ่อนล้าลง และสั่นระริกจนไม่อาจฝืนลากให้เดินต่อไปได้

ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ที่สุด ถูกยึดไว้เป็นที่พักพิง น้ำตารื้นนิดๆ ด้วยความหวาดกลัว การเดินวนเวียนสามสี่รอบ เพื่อย้อนกลับมาซ้ำรอยเดิม บอกให้สามแสนตระหนักแล้วว่า 'เหนื่อยเปล่า'

เท้าเล็กแดงและบวมเป่ง รองเท้าผ้าใบเปรอะโคลนจนมองไม่เห็นสีขาวดั้งเดิม ถุงเท้าชื้นมาก สามแสนถอดแล้วพาดตากลมอ่อนๆ ไว้บนรากไม้ใกล้ๆ พลางนวดเท้าและนิ้วอย่างขะมักเขม้น

จู่ๆ กระแสลมพลันหอบระลอกกระชากกระชั้นมาวูบหนึ่ง เสียงใบไม้เสียดสีกันดังซ่าๆ คล้ายฝนตก สามแสนเงยหน้าขึ้นสำรวจให้แน่ใจ หน้าแห้งอยู่ก่อนแล้ว เจื่อนจืดลงไปอีก เมื่อเห็นฝนเม็ดแรกร่วงลงมา

จากนั้น ฟ้าก็เริ่มครางเสียงครืน ส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า กำลังจะเทฝนลงมา สามแสนกัดฟันสวมถุงเท้าชื้น สอดความบวมเป่งและระบมจัดลงในรองเท้าเปียกเปรอะ

มันเจ็บมากตอนย่างพื้นขรุขระ ซึ่งมีบางช่วงทับถมด้วยใบไม้แห้ง บางช่วงอาจทับถมกันหลายชั้นและหลายวัน จนชั้นบนเปลี่ยนจากแห้งกรอบเป็นชื้นเปื่อย

เมื่อฝืนไม่ไหวจริงๆ สามแสนจึงตัดสินใจถอดรองเท้า เลือกย่ำเท้าเปล่าไปบนใบไม้ชื้นเปื่อยซึ่งคงความนุ่มกว่าพื้นขรุขระอยู่บ้าง

ห่างจากจุดที่นั่งพักเมื่อครู่ประมาณสิบนาทีกระมัง ฝนที่หล่นเม็ด ก็แผ่ความหนาเต็มผืน สามแสนเปียกโชกอยู่ใต้ค้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ร่างเปียกปอนสั่นนิดๆ ด้วยความหนาว ยืนรีรอให้สถานการณ์คลี่คลายอยู่สักพัก ก็เห็นว่าเปล่าประโยชน์ จึงค่อยหย่อนนั่งบนรากไม้ใหญ่ ปลดเป้ข้างหลังยกทูนบังฝนไว้บนศีรษะ

รายรอบเริ่มหรี่แสง ตรงหน้าระบายด้วยสีเทาอึมครึม อีกไม่นาน รัตติกาลก็คงย่างกรายมา สามแสนร้องไห้เงียบๆ เธอกลับค่ายพักแรมไม่ได้อีกแล้ว และป่านนี้ ทุกคนก็อาจจะเดินทางกลับกรุงเทพไปแล้วเช่นกัน

คงไม่มีใครทันสังเกตว่าสามแสนหายไป หรือบางที ทุกคนอาจกำลังแยกย้ายกันออกตามหาจ้าละหวั่น สามแสนภาวนาขอให้เป็นอย่างหลังเถอะ

"ตายแล้ว ทำไมโทรศัพท์ต้องมาแบตหมดตอนนี้ด้วย"

สาววัยสิบเจ็ดต้นๆ บ่นฉุนเฉียว พลางซุกความหวังสุดท้ายกลับใส่เป้ดังเดิม

ฝนซาเม็ดบ้างแล้ว แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อสามแสนอีกต่อไป ในเมื่อสายตาคู่นี้ ไม่คุ้นเคยกับความมืดที่มืดตื๋อกลางป่ากว้าง อากาศเย็นลงทุกขณะ และเพิ่มระดับเป็นเย็นจัด เมื่อล่วงเข้ายามดึก

"อุ๊ย เสียงอะไรน่ะ" สามแสนอุทานถามตัวเองแผ่วๆ พลางดีดร่างที่นั่งเอนๆ เป็นตรงดิกอย่างหวาดระแวง "สวบสาบแบบนี้ ผีหรืองู"

เธอพยายามพูดกับตัวเอง คิดว่าวิธีนี้ จะช่วยลดความหวาดกลัวลงได้

ขณะกลืนน้ำลายสองสามอึก ยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกๆ น้ำตาไหลมาปริ่มซึมในปากที่เม้มกลั้นสะอื้นไว้แน่น แม้จะป้ายทิ้งไปกี่ครั้งกี่หน หากแต่ความหวาดกลัวจับใจ ก็เร่งเร้าให้มันไหลโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

"นี่ทุกคนทิ้งสามแสนไปจริงๆ หรือ ไม่รู้เลยใช่ไหมว่าสามแสนติดอยู่ในป่าอีกคน แล้วสามแสนจะออกไปได้ยังไง"

เสียงประหลาดมากมายเริ่มกังวานมาเป็นระลอก สามแสนไม่รู้จักเสียงเหล่านี้ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน มันอาจจะเป็นแมลงกลางคืน อาจจะเป็นจิ้งหรีด นก หนู หรืองู ชนิดหลังนี่ล่ะ ที่น่ากลัวที่สุด

สาวหลงป่าผู้น่าสงสาร ฟุบหน้าลงบนเข่าเปล่งร่ำไห้เบาๆ เสียงสะอื้นก็แผ่วอยู่ในทรวง ในสมองมันสั่นครืนไปด้วยกระแสหวาดหวั่น

กระทั่งเสียงสวบสาบดังหนักเข้มขึ้นจากข้างหลัง สามแสนหยุดร้องไห้กึก ตาเบิกกว้างจับเขม็งความมืดตื๋อ คาดเดาด้วยใจระทึก มันอาจจะเป็นงูตัวใหญ่ล่ะ แล้วถ้ามันเลื้อยมากระทบกับเนื้อตัวเข้า มันจะทำยังไงเล่า 'รัดหรือฉก'

ท่ามกลางใจระรัวสั่นอย่างพรั่นพรึง เสียงสวบสาบค่อยๆ ห่างออกไปจนกระทั่งเงียบไปเอง น้ำค้างลงแรงจัด ปะปนกับละอองฝนที่พรมบางๆ มันคงดึกมากแล้ว สามแสนเดาไม่ถูกว่ากี่ทุ่มกี่ยาม

เธอทราบเพียงว่า เปลือกตาหนักอึ้งขึ้นทุกขณะ ความมืดที่ดำทึบราวกับถูกฝังอยู่ในหลุมลึก ผลักห้วงนิทราไถลมาใกล้ จนอึดใจต่อมา สามแสนก็หลับผล็อย




เสียงนกร้องประสานกันอย่างไพเราะ ท่ามกลางประกายอ่อนของแดดยามเช้าตรู่ ที่ส่องทะลุกลุ่มใบไม้ดกหนาลงมากระทบแก้มเย็นของสามแสน เธอลืมตาแล้วดีดตัวผลุงขึ้นอย่างตกใจ

หากแต่ภาพธรรมชาติตรงหน้า มันก็ช่างงดงามและเต็มไปด้วยพลังดึงดูดอย่างน่าอัศจรรย์ สาวน้อยยิ้มกว้าง ตื่นตาตื่นใจกับแสงอ่อนสวย ละอองหมอกบางเบา อากาศบริสุทธิ์รายล้อม

เธอสูดเข้าปอดด้วยความรู้สึกสดชื่นมาก ลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตนหลงป่าและต้องนอนคุดคู้ใต้โคนต้นไม้ตลอดหนึ่งคืนเต็ม เปลือกไม้แข็งคม หมั่นทิ่มหมั่นกรีดเนื้ออ่อนแถวต้นคอบ้าง ไหล่บ้าง บางครา เผลอผินแก้มไปแนบ ก็สะดุ้งตื่นอยู่สองสามหน

"สวยจัง ป่าแท้ๆ มันสวยอย่างนี้นี่เอง อากาศบริสุทธิ์มากด้วย สามแสนไม่เคยเห็นของจริงแบบนี้มาก่อนเลยนะ"

เธออุทานออกมาอย่างตื่นเต้น รอยยิ้มและประกายตามันเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า เท้าเปล่าย่ำเหยียบใบไม้ฉ่ำอย่างสนุกสนาน รู้สึกได้เลยว่า นี่คืออิสรภาพอันยิ่งใหญ่ ที่ก่อความสุขและความปลอดโปร่งขึ้นจนหมดห้วงใจ

"อุ๊ย เสียงน้ำไหล แถวนี้อาจมีลำธารนะ"

สามแสนพูดกับตัวเองอย่างลิงโลด ร่างระหงในชุดชื้นสีสดใสปรี่ไปคว้าเป้กับรองเท้า หิ้วพะรุงพะรังพลางวิ่งเหยาะไปยังทิศที่คะเนว่าเป็นต้นเสียงของน้ำไหล

เธอจับทิศไม่เป็น เข็มทิศก็ไม่มี นี่คือการเดินป่าไปตามลำพังเป็นครั้งแรก แล้วมันก็ไม่ใช่การเดินป่าอย่างปกติ แต่เป็นการเดินป่าอย่าง 'หลงป่า'




เวลาผ่านไป คะเนว่าสองชั่วโมงเศษ ท้องร้องจ๊อกด้วยความหิว ในเป้เหลือน้ำดื่มหนึ่งขวดกับขนมขบเคี้ยวเพียงครึ่งถุง

สามแสนไปไม่ถึงต้นเสียงของน้ำไหล มันอาจจะไม่มีลำธาร เสียงที่ได้ยินก็อาจแค่คล้ายคลึงกัน ทำให้สามแสนเข้าใจผิด เธอเหนื่อยมากแล้ว รู้สึกร้อนเห่อทั่วแก้ม มันน่าจะแดงก่ำมากเลย

แต่สามแสนก็ไม่สนใจล่ะ เธอเล็งต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าไว้ต้นหนึ่ง ลากฝีเท้าอ่อนล้าเต็มทีเคลื่อนเข้าไปอย่างแข็งใจ พอถึงก็ทรุดลงกองทั้งตัว หายใจหอบหนักดังๆ

แดดอ่อนสีสวยจางหายไปแล้ว เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาอีก ลมพัดแรง หอบใบไม้แห้งปลิวลอยขึ้น

สามแสนจิบน้ำแก้กระหาย มันเหลือเพียงขวดเดียว กับระยะเวลาที่คะเนไม่ได้ว่า ต้องวนเวียนอยู่กลางป่าเช่นนี้ไปอีกกี่วัน ขนมขบเคี้ยวครึ่งถุง ก็ต้องเจียดกินอย่างประหยัด เคี้ยวให้ช้า ให้ละเอียดที่สุดก่อน แล้วค่อยกลืน

หลังจากรื้อค้นเป้ในระหว่างพักเหนื่อยไปสักพัก ก็เจอลูกอมเหลืออีกหนึ่งถุง อย่างน้อย น้ำหวานก็น่าจะช่วยเพิ่มพลังงานให้สามแสนเดินลุยต่อไปได้อีกหลายยก

ฝนเริ่มปรอยให้เห็นละออง สามแสนมุ่งหน้าสะเปะสะปะ พร้อมกับความหวังว่า อีกไม่กี่ก้าว เธอก็จะถึงค่ายพักแรม อาจจะไม่มีใครอยู่รอ แต่ขอให้ถึงที่นั่น สามแสนก็ออกจากป่าแห่งนี้ได้เองแล้ว

"เจ้ากวางเอ๊ย" สามแสนตะโกนดังๆ แก้เซ็ง "อยู่ไหนน่ะ โผล่เขามาหน่อยซิ มาพาสามแสนกลับค่ายพักแรมหน่อย"

จบแล้ว ก็หัวเราะกับตัวเองขำๆ กวางป่า ก็ต้องอยู่ในป่า และป่าก็คือบ้าน มันอยากจะระเห็จเตร็ดเตร่ไปไหนต่อไหน มันก็มีสิทธิ์

สามแสนต่างหาก ไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิหรือโยนความผิดไปให้มัน ปรักปรำว่าเพราะมันเป็นต้นเหตุมายั่วกิเลสใคร่รู้ของตัวเอง จนทำให้เผลอไผลวิ่งตามมันมา กระทั่งพลัดหลงกับกลุ่มเพื่อน

"สามแสนต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกนะ ออกมาสิ"

เธอตะโกนอีก ป้องปากเป็นเรื่องเป็นราว ตาเป็นประกายไม่ย่อท้อก็หมั่นส่ายสำรวจแนวป่าข้างหน้า

ไม่ทันเห็นก้อนหินผุดจากพื้น จึงสะดุดตึกใหญ่ ล้มคะมำหัวเข่าแตก ได้แผลมาเป็นที่ระลึกและอุปสรรคในการเดินคล่องๆ อีกหนึ่งแผล และเมื่อลากสังขารไปพักใต้ต้นไม้อีกต้น เวลาก็น่าจะคล้อยลงจนลุยามบ่ายแก่ไปแล้ว

เหนื่อยจนบรรยายไม่ถูก การเดินรอนแรมอย่างมีเป้าหมาย แต่ไร้ทิศทางเช่นนี้ มันทารุณจิตใจของสามแสนมากเลย

เธอเริ่มร้องไห้เงียบๆ อีกครั้ง หลังจากทำเป็นใจแข็ง ปลุกปลอบตัวเองว่า 'อีกประเดี๋ยวก็ถึงค่ายพักแรมแล้ว' แต่ว่า ทุกนาทีที่ผ่านสองขาไป มันปราศจากความหวังแล้วจริงๆ




ป่าทั้งผืนย้อนคืนสู่ความดำมืดเป็นหนสอง สามแสนเดินไม่ไหวอีกแล้ว น้ำดื่มเหลือน้อยนิดเต็มที คืนนี้ อาจจะแข็งใจไม่ยอมจิบ

แต่พรุ่งนี้ หากต้องเดินรอนแรมเช่นนี้อีก อากาศอบอ้าวก็จะบีบบังคับให้ต้องจิบจนได้ แล้วมันก็จะหมดล่ะ ขนมอีกไม่กี่ชิ้น ก็ต้องหมดพรุ่งนี้เช่นกัน ในเป้จึงเหลือเพียงลูกอมครึ่งถุง

อึดใจเดียวเท่านั้น เบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นดำทึบ มองไม่เห็นกระทั่งฝ่ามือของตัวเอง สามแสนถอดรองเท้า ยืดขาตามสบาย รับรู้ว่าตามง่ามนิ้ว และใต้อุ้งเท้า เกิดตุ่มน้ำพองขึ้น แตกเมื่อไหร่ก็คงแสบและเจ็บพิลึก

หัวเข่าเริ่มตึงจนคู้งอไม่ถนัด ตอนนี้ ก็มองไม่เห็นว่าอาการของแผลเป็นยังไงบ้าง เลือดคงแห้งเกรอะกรังเป็นก้อน และมันก็คงเป็นตัวยึดชั้นดีเชียวล่ะ สามแสนจึงต้องนอนเหยียดขาไว้ตลอดทั้งคืน

"พรุ่งนี้ ถ้าย้อนกลับทางเดิม มันก็ค่ำพอดี ถ้าถึงที่เก่า ต้องรอวันมะรืน ย้อนกลับขึ้นไป แล้วมันจะวนกลับมาที่เก่าอีกไหม"

สามแสนพึมพำหารือกับตัวเอง มันเป็นการวางแผนช่วยชีวิตให้รอดพ้นออกไปจากป่าผืนกว้างแห่งนี้ได้อย่างน่าเวทนาที่สุด ก่อนจะหลับผล็อยด้วยความอ่อนเพลีย

เธอยังรับรู้อีกด้วยว่า อาการปวดตุบๆ ที่ระรานสองขมับกว่ายี่สิบนาทีแล้ว คือสัญญาณเตือนว่า พรุ่งนี้ เธออาจเป็นไข้ ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด

เพราะเมื่อวานนี้ ตากฝนอยู่หลายชั่วโมง ตลอดทั้งวันนี้ ก็เดินตากฝนปรอย ตากแดดอ้าว เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนออกอย่างนั้น ไม่ป่วยไข้ก็ให้รู้กันไปสิ




กลิ่นหอมของอาหารโชยตามลมลอดเข้ามาทางหน้าต่างเหนือศีรษะของสามแสน ร่างสะบักสะบอมดีดผลุงขึ้นนั่ง ตาหม่นด้วยพิษไข้หวัด แลพร่าเลือนในวินาทีแรก

ปวดขมับที่ยังเต้นตุบๆ สมองก็เหมือนจะร้าวๆ บวมๆ ชอบกล แต่สามแสนก็ไม่แปลกใจ เท่ากับตกใจที่เห็นสภาพตรงหน้า เธอพูดกับตัวเองในใจว่า 'นี่ไม่ใช่ป่า'

ขณะผลักผ้าห่มบนตักลงกองข้างๆ สามแสนก็เบิกตากว้างอีกหน สำรวจจนแน่ใจแล้วว่า เสื้อผ้าที่สวมอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่ของตนแน่ๆ มันตัวใหญ่มาก เก่ามากด้วย เหมือนจะเป็นเสื้อผ้าของผู้ชายเสียมากกว่า

ความสงสัยเจือหวาดระแวงเริ่มแผ่เป็นผืนอยู่ในความคิด จนไม่อาจรีรอนั่งหาคำตอบต่อไป สามแสนจึงผุดลุก แล้วค่อยร่วงทรุดลงดังเดิม พร้อมกับร้องคราง 'โอ๊ย'

เพิ่งนึกได้ว่า หัวเข่าบาดเจ็บ เธอถลกกางเกงสีดำตัวโคร่งว่องไว ตาโตอีกหนเมื่อเห็นว่า บาดแผลได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีกลิ่นฉุนๆ คล้ายยาสมุนไพรระเหยจางๆ ออกจากผ้าสีเทาเข้มซึ่งพันแน่นมิดชิด

"เกิดอะไรขึ้น" เธอถามตัวเองอย่างสับสน "หรือว่าเราตายแล้ว" คาดคะเนด้วยเสียงหวิวๆ อีก "ที่นี่อาจจะเป็นชายแดนของสวรรค์ ดวงวิญญาณของเราคงลอยมาพักแถวนี้ก่อน แต่เอ๊ะ ชิดขอบสวรรค์อย่างนี้ ทำไมยังได้กลิ่นหอมฉุยของกระเทียมเจียวอีก"

มันเป็นข้อสงสัยที่กระตุ้นให้หาคำตอบเสียจริงๆ สามแสนจึงค่อยๆ ลุกมาชะโงกสำรวจนอกหน้าต่าง เธอพบราวป่าข้างหน้า มันโปร่งจนเห็นลำแดดแผ่ประกาย และกลางประกายสีเหลืองอ่อนก็พราวพร่างไปด้วยหยาดรุ้งมากมาย

ควันไฟลอยมาจากด้านข้างของกระท่อม อ้อ จริงสิ นี่คือกระท่อมหลังหนึ่ง สามแสนเริ่มจะลำดับเหตุการณ์อย่างมีสติ ที่นี่คงไม่ใช่ชายแดนสวรรค์ เธอคงไม่ถึงฆาตหมดอายุขัยเร็วขนาดนั้น

สภาพภายในที่แลเห็นขณะนี้ คือห้องขนาดกะทัดรัด ซึ่งปราศจากการตกแต่งและประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ใดๆ นอกจากฟูกหมอนและผ้าห่ม

บนขื่อข้างประตู แขวนตะเกียงเล็กๆ คงจะใช้ประโยชน์ตอนกลางคืนโน่นล่ะ อ้อ มีกระจกบานเล็กแขวนตะปูบนเสาไม้ มีชั้นเล็กๆ ทำด้วยไม้ลวกๆ วางหวีกับแป้งกระป๋อง แล้วก็ตลับอะไรก็ไม่ทราบ สองสามตลับ

สามแสนผลักประตู เยี่ยมหน้าออกมาเจอชานกว้างโล่ง ไร้ระเบียงกีดขวาง เธอสามารถไปนั่งแล้วห้อยเท้าแกว่งเล่นได้อย่างสบายทีเดียว

แต่ถ้านั่งไม่ระวัง ก็มีสิทธิ์หล่นตุบลงข้างล่าง ครั้นมาชะโงกคะเนความสูง มันก็ไม่อยู่ในระดับอันตราย เธออาจจะสปริงตัวขึ้นมานั่งบนนี้ได้เลย อย่างสบายๆ เหมือนกัน

สองข้างของชานมีบันไดทอดขึ้นลง ทางซ้ายเจ็ดขั้นลงพื้นทันที แต่ทางขวาสามขั้นลงไปเจอชานกว้างอีกแห่ง

สามแสนเดาว่ามันคงเป็นครัว เพราะมุมหนึ่ง ตั้งเตาตั้งหม้อ และมุมตรงข้ามก็ยังมีห้องให้เดินเข้าไปอีก แต่เธอไม่กล้าบุ่มบ่าม ได้แต่จดจ้องอยู่ตรงบันไดนี่เอง

"ตื่นแล้วหรือ"

'อุบะ' สามแสนอุทานในใจด้วยคำติดปาก ตกใจกับเสียงทักกะทันหัน คนทักก็ตกใจ เพราะร่างในชุดโคร่งลื่นพรืดลงมากองพื้น เจ้าตัวร้องเอะอะเสียงดัง ก่อนจะทำหน้าเหยเก ลูบคลำก้นกบป้อยๆ

"ขวัญอ่อนนี่ ฉันก็ทักเบาๆ "

เจ้าของเสียงติขำๆ แต่ก็ยังใจดี เดินมาพยุงหยาบๆ ฉกแขนเล็กเหมือนหิ้วปีกห่าน ลากขึ้นไปนั่งบนชาน ปล่อยให้ห้อยเท้าสบายๆ

"หิวหรือยัง เธอหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เป็นไข้หวัดนิดหน่อย ฉันกรอกยาต้มให้กินไปสองถ้วย ตั้งใจไว้ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่ตื่นอีก จะหิ้วเข้าเมืองไปหาหมอแล้วล่ะ"

เขาเป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำเล็กน้อย กรอบหน้าเข้มจนมองออกว่าดุ ตาเรียวใหญ่ดำสนิทคู่นั้น ฉายประกายเย็นชา แม้ในยามที่เหลียวมาสบตาสำรวจเจือระแวงของสามแสน ก็ดูจะไร้ความเป็นมิตร

จมูกเขาสวยมาก โด่งเป็นสันตรง คิ้วดกเข้ม ผมหยักศกดกดำ ยามที่เขาเดินไปใกล้แสงแดด มันก็ส่องสะท้อนเป็นเงาชุ่มชื่น ดูมีชีวิตชีวาดีจัง

สามแสนมองเขาเดินเข้าเดินออก เดี๋ยวก็หายเข้าไปหยิบถ้วยในห้อง ซึ่งยังเดาไม่ถูกว่าห้องอะไร เดี๋ยวก็มาก้มๆ เงยๆ ขยับฟืนในเตา คนอะไรก็ไม่ทราบในหม้อ อีกเตาก็ตั้งกระทะค้างเอาไว้ กระเทียมเจียวยังหอมอยู่ในนั้นล่ะ

แต่ในระหว่างที่ง่วนกับสิ่งที่ตัวเองทำ เขาก็พูดกับสามแสนไปเรื่อย ด้วยน้ำเสียงทุ้มราบเรียบ ฟังตอนแรกก็เหมือนจะเย็นชา แต่พอฟังไปนานๆ ก็รู้สึกได้ว่าเขา 'ใจดี'

"ที่นี่ที่ไหนคะ"

"ป่า ถามอะไรโง่ๆ เห็นห้างร้านอาคารตึกหรือ"

'อ้าว' สามแสนอุทานในใจฉุนๆ ทำไมยียวนแบบนั้นเล่า คนเขาถามดีๆ ก็น่าจะตอบมาดีๆ เธอไม่ได้หาเรื่องสักหน่อย ก็มันสงสัย

เธอจำได้ว่า ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียในป่า แล้วพอตื่นก็มาโผล่อยู่ในห้องข้างบน ออกมาก็เจอกระท่อมหลังย่อมหลังนี้ เจอครัว เจอเขา แล้วจะไม่ให้สงสัย ไม่ให้ถามบ้างเลยหรือ

"สามแสนรู้แล้ว" เธอบอกออกไปด้วยน้ำเสียงคล้ายประชด "แต่สามแสนหมายถึง มันคือที่ไหนของป่า"

"ป่าก็คือป่า ที่ไหนๆ ที่อยู่ในอาณาเขตของป่า มันไม่มีชื่อหรอก หิวหรือยัง อ้อ เธอไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า แล้วค่อยมากินข้าว"

"จัดการตัวเอง"

"ยังอาบน้ำไม่ได้นะ เช็ดตัวก่อน เดินลงบันไดไปหลังกระท่อมโน่น รีบไปก่อนจะค่ำ ป่ามันต่างจากในเมืองก็ตรงที่ว่า หมดแสงตะวันปุ๊บ ก็มืดปั๊บ"

'อืม อันนี้จริง' สามแสนครางเห็นด้วยในใจ เธอมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังบันไดอีกฟากของชานครัว ก็เพิ่งจะเห็นว่ามีบันไดทอดลงอีกสามขั้น เธอมองอย่างลังเล จนเขาเอ็ด

"รีบไป มัวโอ้เอ้อะไรอยู่อีก"

"มันมีห้องน้ำไหม"

"ไม่มีหรอก" เขาตอบเรียบเรื่อย แต่อึดใจก็หยุดงานที่กำลังง่วน แล้วหันมาตรึงตาข้นขุ่นใส่สามแสน "ทำไม เธอกลัวว่าฉันจะปล้ำหรือ อย่ามาปัญญาอ่อน ถ้าฉันทำ ก็ทำไปตั้งแต่เจอเธอนอนสลบใสลในป่าแล้ว"

"สามแสนสลบหรือ หลับต่างหาก" เธอกึ่งเถียง กึ่งอุทานประหลาดใจ

"ชื่อสามแสนหรือ"

"ค่ะ"

"อืม ดีแล้ว ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยสามแสน อ้อ ยืนตรงนั้น รอเดี๋ยว"

เขาเป็นผู้ชายที่แปลกไปหน่อย น้ำเสียงเดี๋ยวดุเดี๋ยวใจดี แต่ตาข้นขุ่นเมื่อครู่ น่ากลัวมาก เขาไม่พอใจและเข้าใจสามแสนผิด

เธอไม่เคยนึกลบหลู่เขาอย่างนั้นสักหน่อย แค่อยากรู้ก็ถามเฉยๆ แล้วความคิดหวาดระแวงที่มันดาษดื่นในสมองก็เหมือนกัน มันควรจะเป็นสามแสนต่างหากที่มี ไม่ใช่เขา

"เอ้า เสื้อผ้าชุดใหม่ ชุดนั้นใส่มาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว กลิ่นยามันคงฉุนเต็มที"

สามแสนรีบตะครุบห่อผ้าที่เขาโยนตุบลงมา ดูไปแล้ว ก็ไม่ค่อยจะมีความเป็นสุภาพบุรุษนัก แต่เมื่อมาคิดอีกที เขาก็อาจจะเป็นคนป่าแถวนี้ การศึกษาก็คงไม่มี สมบัติผู้ดี มารยาทที่พึงปฏิบัติต่อสุภาพสตรี เขาก็คงไม่เคยเรียนรู้มา

แทนที่จะมองจุดบกพร่องในเรื่องนี้ สามแสนควรเปลี่ยนเป็นมองว่า เขามีน้ำใจช่วยชีวิต ทั้งที่ธุระก็ไม่ใช่ แถมยังแบ่งปันของใช้ส่วนตัวมาให้หยิบยืมอย่างไม่ถือสาอีก และแทนที่จะตำหนิ สามแสนก็ควรจะ 'ซาบซึ้ง'




อากาศเย็นลง แดดสีเหลืองอ่อนตามแนวป่าโปร่งเริ่มหุบ หยาดรุ้งก็เริ่มหาย นกกาหลายกลุ่ม ทยอยบินผ่านหน้าไป ทิ้งเสียงร้องครึกครื้นไว้เป็นที่ระลึก

สามแสนเงยขึ้นไปมองแล้วยิ้มกว้าง โบกมือให้มันด้วย เธอไม่เห็นว่า ชายหนุ่มแอบมาเมียงมองอย่างเป็นห่วง แต่ครั้นเห็นกิริยาซุกซนเข้า ก็คลายใจแล้วย้อนกลับขึ้นชานครัวไปเงียบๆ

ในห่อผ้า มีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่กับผ้าขนหนูผืนเล็กสีตุ่นๆ แต่กลิ่นสะอาด แสดงว่ามันถูกซักแล้ว และเจ้าของยังไม่ได้ใช้เลย ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ก็มีพร้อม สบู่ในกะลาเก่าๆ วางบนแท่นหินขนาดย่อมใกล้ตุ่มน้ำ

สามแสนจุ่มผ้าขนหนูผืนเล็กลงน้ำ แล้วซับตามเนื้อตามตัว หลีกเลี่ยงแผลตรงหัวเข่าไว้ มันก็ทุลักทุเลเล็กน้อย กับการเช็ดเนื้อตัวกลางที่โล่งแจ้งเช่นนี้

หากแต่สามแสนกลับมองว่า มันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะต้องจดจำไปจนวันตาย และเป็นการจดจำอย่างประทับใจมากด้วย

สามแสนใช้เวลาจัดการตัวเองประมาณยี่สิบนาที มันนานเกินไปสำหรับชายหนุ่มที่คุ้นเคยกับวิถีป่า เขาตั้งสำรับรอเรียบร้อยแล้ว สีหน้ารำคาญของเขา เรียกรอยยิ้มประจบพราวทั่ววงหน้าแช่มชื่นขึ้นของสามแสน

"รีบกินข้าว จะได้เข้านอน" เขาบอก ลอบเอ็นดูกิริยากระตือรือร้นต่อการกินของเธออย่างเงียบๆ

"นี่อะไรคะ" สามแสนเพ่งผ่านแสงตะเกียง ไปจับน้ำสีน้ำตาลเข้มในถ้วยกระเบื้องกลม

"ยาต้ม ต้องกินต่อไปอีกสักมื้อสองมื้อ ไข้ลดแล้ว ก็วางใจไม่ได้ นอนสลบในป่านานแค่ไหนก็ไม่รู้ ยุงป่าน่ะร้ายจะตาย ฉันยังนึกว่าเธอโดนไข้มาลาเรียเล่นงานแล้วด้วยซ้ำ"

"อุ๊ย ไม่หรอกค่ะ สามแสนหัวแข็งออก"

แกงป่านก แกงจืดผักโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว มันเป็นอาหารพื้นๆ ที่อร่อยที่สุดในโลก เมื่อตกถึงกระเพาะของสามแสน

เธอกลืนคำแรก แล้วน้ำตาไหล สะเทือนใจว่า ตนรอดชีวิตราวกับปาฏิหาริย์ แม้จะยังไม่หลุดพ้นออกจากป่าแปลก แต่อย่างน้อย ก็ไม่ต้องผวาหวาดไปตามลำพังกลางความมืด

"เป็นอะไรไป ปวดหัวหรือ" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอาทร

สามแสนสั่นหน้า สูดจมูกพร้อมกับยิ้มปนหัวเราะเบาๆ เธอก้มลงกราบตักของชายแปลกหน้าใจดี แต่ยังไม่ทันได้กล่าวคำว่า 'ขอบคุณ' เขาก็รีบกระเถิบถอยห่าง ร้องเอะอะว่า

"อะไรของเธอ ทำพิเรนทร์อะไร"

"สามแสนอยากขอบคุณนี่คะ ถ้าไม่ได้คุณ เอ้อ คุณชื่ออะไรคะ"

"อยากเรียกอะไรก็เรียกเถอะ"

โดนปัดฉับห้วนเข้า สามแสนก็เจออึ้ง เธอจะเรียกเขาว่าอะไรได้บ้างเล่า ทำไมเขาเป็นคนประหลาดอย่างนี้ เพียงแค่จะบอกชื่อให้เรียกหา ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ หรือว่าชื่อของเขามันตลกมาก แล้วเขาก็อายที่จะบอกต่อสามแสนหรือ

"ถ้าอย่างนั้น สามแสนเรียกพี่ชายก็แล้วกัน เพราะเท่าที่ดู พี่ชายก็ยังไม่แก่เลย"

"ฉันก็บอกไปแล้วว่า อยากเรียกอะไรก็เรียก รีบกินเถอะ จะได้กินยา แล้วเข้านอนเสียที"

เสียงทุ้มเข้มตัดบทห้วน ทำให้สามแสนแอบเบ้หน้าระอา เธอกินข้าวมื้อแรกในรอบสองวันอย่างเอร็ดอร่อย แต่เธอไม่ทราบเลยสักนิดว่า แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นมื้อแรกในรอบสามวันต่างหาก

เพราะตอนชายหนุ่มไปเจอเธอสลบใสลใต้ต้นไม้ มันเป็นเช้าตรู่ของอีกวัน เขาอุ้มเธอกลับมากระท่อม ปล่อยให้เธอนอนซมกับพิษไข้หวัดไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม

"กลั้นใจกรอกเข้าไปเถอะ ยาดีมันก็ต้องขมแบบนี้แหละ ถ้ากรอกเองไม่ได้ ฉันจะจับกรอกเอง เลือกเอา"

สามแสนย่นจมูกใส่เสียงข้นไร้ไมตรี วาจาคาดคั้นก็ออกแนวโหดไปสักนิด ถ้ารู้ว่าต้องกล้ำกลืนกับรสขมเฝื่อนบาดคอบาดลิ้นขนาดนี้ สามแสนแกล้งถ่วงเวลา กินข้าวให้หมดจานอย่างช้าๆ ดีกว่า

"พี่ชาย มันขมมากเลย"

เธอโอดครวญเสียงเครือแกมอ้อน และหลังจากที่ผลุงไปโก่งคออาเจียนจนน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว ชายหนุ่มก็ค่อยขยับมาใกล้ รั้งแขนกระตุกร่างโผเผลงตัก แล้วบีบจมูก บังคับเฉียบให้อ้าปาก จากนั้น ก็กรอกพรืด ตามด้วยสำทับดุ

"กลืน อย่าอ้วกออกมา อย่าสำลัก กลืน ให้หมด สามแสน ให้หมด ดีมาก"

ยาหมดถ้วย ชายหนุ่มวางกระแทกลงดังตึก แต่ยังไม่ยอมปล่อยจมูกเล็ก เขาลูบแผ่นหลังรุมๆ ออกจะเวทนากับน้ำตาไหลหยดแหมะ

อยากตามใจ อยากโอ๋ แต่เด็กในเมืองมักจะกินยายาก โดยเฉพาะยาต้มสดๆ อย่างนี้ รสธรรมชาติดั้งเดิม มันคงความขมอย่างโหดร้ายนัก

"พี่ชาย" พอเขาปล่อยจมูก สามแสนก็ตีตึกๆ ลงบนตักอย่างโมโห  "ทำไมทำแบบนี้กับสามแสน ใจร้าย"

"แล้วทำไมฉันต้องใจดีกับเธอด้วย ลงจากตักได้แล้ว"

เขาขึ้นเสียงเถียงขุ่น ผลักสะโพกมนในชุดโคร่งหยาบๆ สามแสนเคืองเขาจัง เธอถูกบังคับให้กินยาต้มขมจัดด้วยวิธีพิสดาร ไม่นึกเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะกล้าวิสาสะประชิดถึงเนื้อถึงตัวอย่างนั้น

หน้าเธอคงบึ้งจัด ทำให้เขาส่ายหน้าเหมือนรำคาญ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เธอได้ยินเขาตัดบทไล่ให้ไปนอน ตัวเองก็ลุกก่อน แล้วฉุดข้อมือเธอให้ลุกตาม

"แล้วพี่ชายนอนที่ไหนคะ"

"ก็ข้างในนั่นแหละ นึกว่านี่อะไร คฤหาสน์หรูหรือ นี่มันกระท่อมนะ ห้องมันก็มีแค่ห้องเดียว ตัวใหญ่นักหรือ ฉันถึงได้นอนด้วยไม่ได้ ไป"

'เอ๊ะ' สามแสนฉุนกึก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องผลักศีรษะไล่กันด้วย แล้วประโยคที่จบลงเมื่อครู่นี้ ก็เหมือนกัน ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องกระแนะกระแหนด้วย เขาคงคิดว่าเธอหวาดระแวง กลัวโดนเขาปล้ำอีกแล้วกระมัง

ตั้งแต่นาทีแรกที่เจอ จนถึงเดี๋ยวนี้ เธอไม่เคยมีความคิดหยาบหยามน้ำใจเขาอย่างนั้นเลย 'คนอะไร ขี้ระแวงแล้วก็มองโลกในแง่ร้ายเป็นบ้า'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 54 15:38:25




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com