Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พิศวาส ณ ยามสาง - 13 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10510304/W10510304.html

บทที่ 13

ครั้นวางร่างแน่นิ่งให้นอนในท่าสบายที่สุดแล้ว ห่มผ้าให้มิดชิดถึงคอแล้ว ร่างสูงเพรียวก็ทำท่าจะถอยห่างเตียง คนนอนแน่นิ่ง ก็พลันละเมอเนือยๆ ออกมา

"คุณยาย เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งไปนะคะ ฝนมีข่าวสำคัญของคุณปูมาบอกค่ะ เราต้องหาทางช่วยเขานะคะ คุณยาย เดี๋ยวค่ะ คุณยายคะ รอฝนด้วย คุณยาย"

"ฝน ตื่นซิ ฝน" ปุราณทรุดนั่งลง ตบแก้มคนละเมอเบาๆ

"คุณปู" วัสอรลืมตามองเพดาน

"อืม"

"คุณยายมาค่ะ คุณยายมาบอกแค่ว่า อดทนหน่อยนะฝน เข้มแข็งไว้นะฝน แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี"

"หมายถึงอาการผีเข้าผีออกของเธอหรือเปล่าล่ะ"

ปุราณแดกดันไปเรื่อยเปื่อย แต่มันก็เป็นความจริงอย่างนั้น วัสอรไม่ได้เหลือบแลเขา นอกจากเพ่งเขม็งไปบนเพดาน เธอแลเห็นมวลควันดำหนาแผ่ผืน มันกระเพื่อมเป็นระลอกคล้ายม่านผ้าที่ขึงต้านแรงลม

มองไม่เห็นแขนขา นอกจากใบหน้าขาววอกที่ลอยเด่นอยู่ตรงกลาง ตาไร้แววคู่นั้น ถลึงจนเกือบถลน ขอบตาแดงข้นน่าสยดสยอง และมันก็กำลังเล็งแข็งอยู่กับสายตาเขม็งของเธอ ปากซีดแห้งแลแสยะจนเดาไม่ถูกว่า กำลังยิ้มหรือแยกเขี้ยวกันแน่

"หุบปากเธอไว้เสียบ้าง ฉันอาจจะทนความสาระแนของเธอไม่ไหว แล้วเธอก็จะหมดอายุขัยก่อนกำหนด ฉันไม่รู้หรอกว่า ฟ้ากำหนดชะตาชีวิตของเธอไว้ยาวแค่ไหน แต่ฉันกล้ารับประกันได้ว่า ฉันจะทำลายชะตาฟ้าให้ขาดกระจุยด้วยความรักของฉัน"

"ไม่ใช่ความรักของคุณ สิ่งที่คุณกำลังทำ มันไม่ใช่ความรัก คุณกำลังทำร้ายฉันอยู่"

วัสอรพยายามเถียง ปุราณหรี่ตา เอียงหน้าเงี่ยหู คิดว่าได้ยินเธอพูด แต่มันแผ่วจัดเกินไป บางที เธออาจแค่เผยอปากเฉยๆ

ตอนนี้ เขาสรุปง่ายๆ แค่ว่า เธอฝันถึงคุณยาย แล้วละเมอตามประสาผูกพัน แต่ที่นึกแปลกใจตงิดๆ ก็ตรงที่เธอมองอะไรนักหนาบนเพดาน มันไม่เห็นมีอะไรเลย เขาก็มองอยู่

"ฉันรู้ แต่ฉันไม่มีทางเลือก สวรรค์หยิบยื่นทางสายนี้ให้ฉันเอง มันก็ช่วยไม่ได้ เอาล่ะ รู้สึกตัวแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ควรเป็นเธอเสียทีสินะ"

"ไม่ ฉันไม่ให้ ร่างของฉัน มันต้องเป็นของฉัน ไม่ใช่ของคุณ ฉันไม่ให้"

วัสอรพยายามปกป้องร่างแน่นิ่งของตัวเองด้วยพลังที่เหลือเพียงน้อยนิด ในจิตร่ำร้องปฏิเสธการแทรกสิงของผีเกเร เธอกระวนกระวายแกมพรั่นพรึงกับมวลควันดำหนาที่หย่อนลงมาอย่างช้าๆ

แม้จะไม่รู้ตัวว่า เปิดช่องให้อีกฝ่ายสิงร่างเอาแต่ใจครั้งแรกไปเมื่อไหร่ แต่ครั้งนี้ เธอเห็นอยู่กับตาอย่างนี้แล้ว มีหรือจะยอมแต่โดยดี คนอย่างวัสอรไม่ได้เกิดมาเพื่อยอมให้ใครต่อใครเอาเปรียบรังแกได้อยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ

"หยุดกำแหงกับฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าเธอกล้าลุกขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจของฉันละก็ ฉันจะเลิกปรานี"

"ถ้าคุณอยากอยู่กินกับคุณปูต่อไป ทั้งที่ตัวเองก็ตายไปแล้ว ก็ไปหาร่างอื่นมาสิงแทนร่างของฉันสิ นี่มันร่างของฉันนะ ยังไงฉันก็ไม่ให้"

"วัสอร"

"ฉันไม่ไห้"

วัสอรเค้นพลังเฮือกสุดท้ายขึ้น เพื่อต้านทานอำนาจชั่ว เธอดีดตัวขึ้นด้วยความเหนื่อยสุดขีด ปุราณสะดุ้งนิดๆ เขาเลิกคิ้วคล้ายสงสัยกับงุนงงปนๆ กัน แต่เธอไม่มีเวลาอธิบาย นอกจากขยุ้มคอเสื้อ แล้วกระชากวืดลงมา พาร่างหนักเสียหลัก แล้วทอดทับร่างสิ้นแรงของตัวเองจนมิด

ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มวลควันผืนใหญ่เกือบจะแทรกสู่กายบริสุทธิ์ หากแต่ก็ช้าไปชั่วเสี้ยววินาที ร่างอัปลักษณ์ของผีเกเรจึงปะทะเข้ากับแผ่นหลังใหญ่ของสามีเต็มแรง

เสียง 'ทึบ' อุบัติขึ้น พร้อมกับมวลควันดำหนาก็ดีดสะท้อนลอยกลับไปขึ้นไปแทรกเกาะบนเพดานดังเดิม

ปรากฏการณ์เช่นนี้ ย่อมสร้างความตระหนกสุดขีดแก่สรัลในทันที ความหวาดกลัวจู่โจมจิตสะท้านจนมวลควันดำหนาส่ายรวน ด้วยกริ่งเกรงไปว่า ต่อไปข้างหน้า อาจเข้าใกล้หรือแทรกทะลุผ่านร่างของสามีไม่ได้อีก  

'ไม่นะ มันต้องไม่เป็นอย่างนั้น' จิตสะท้านเกรี้ยวกราดอย่างไม่ยินยอม สภาพร้าวรานสุดแสนของเมื่อสามปีก่อนจะต้องไม่ย้อนคืนกลับมา

หล่อนไม่ยอมเป็นฝ่ายแลเห็นสามีไปอย่างโดดเดี่ยว ไม่ยอมให้เขาต้องเป็นฝ่ายคร่ำครวญโหยหา และเฝ้ารอว่า เมื่อไหร่หล่อนจะปรากฏตัวให้เขาชื่นใจ ไม่ยอมหรอก หล่อนไม่ยอม

แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงละก็ หล่อนก็จะให้วัสอรรับผิดชอบ เพราะนังเนื้อคู่แท้คนนี้คนเดียวไม่ใช่หรือ ที่กระชากสายสัมพันธ์อันแสนสงบให้แปรเปลี่ยนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมอยู่แล้ว

ยามเมื่อผลักบาปไปโยนแหมะให้สาวดวงตกเป็นคนรับ ความเดือดดาลก็พลันก่อเกิดร้อนแรง น้ำตาเลือดสีดำก็พลันหยดติ๋ง ปากแสยะแลแผ่กว้างอวดฟันคมแหลมน่าขนลุกขนพอง แขนขาแลกลืนหายเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับมวลควันดำหนาที่แผ่ผืนอีกครั้ง

และยังคงเหลือไว้เพียงดวงหน้าดุร้าย ที่ขาววอกโดดเด่นอยู่ตรงกลาง แต่มันก็น่าเกลียดน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อดวงหน้านั้นถูกล้อมกรอบด้วยกลุ่มผมซอยที่แผ่สยายชี้ฟูและแข็งทื่อประหนึ่งขนเม่น

อนิจจาเหลือเกิน ดวงวิญญาณแสนสวย ที่สามารถปรากฏกายเบาโปร่งขาวนวลเป็นครั้งคราวเมื่อสามปีก่อน บัดนี้ ได้กลายรูปแปรร่างเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยจิตที่เคลือบแน่นด้วยพลังกิเลสมืด

และภาพอัปลักษณ์เช่นนั้น ก็ส่งความหวาดกลัวจู่โจมหัวใจดวงน้อยของวัสอร เสียจนไม่กล้าปล่อยสองแขนให้หลุดจากคอหนาของปุราณ เธอกอดแน่นแล้วแน่นอีก และดูท่าว่า ตลอดคืนนี้ ก็คงไม่ยอมปล่อยพ่อหม้ายหนุ่มเป็นอิสระง่ายๆ เสียแล้วด้วย

"นังวัสอร เธอกล้าลองดีกับฉัน ได้ เอาเลย คืนนี้ ฉันยอมยกอิสรภาพให้เธอหนึ่งคืน แต่จำเอาไว้นะ นับแต่พรุ่งนี้ไป เธออย่าหวังว่าจะได้รับมันอีกตลอดกาล นังสารเลว"

สาวแม่บ้านน้ำตาไหล หวาดกลัวจับใจกับเสียงยืดยานโหยหวนที่ขู่อาฆาตทิ้งท้าย ก่อนจะลอยโฉบออกนอกหน้าต่าง เธอยังแลเห็นน้ำตาสีดำไหลหยดติ๋งๆ แล้วเหือดแห้งไปเองก่อนจะหล่นสู่พื้น




ร่างนวลด้วยประกายบุญของแม่อ่อน ลอยมาหยุดเนิบนิ่งแทนที่มวลควันดำหนาของปีศาจสาว

นางแสนเวทนาหลานสาวเคราะห์ร้าย แต่ด้วยตระหนักว่า นี่เป็นโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดไว้แล้ว วัสอรยังต้องผจญกับฤทธิ์เดชของปีศาจเกเรไปอีกสักพัก จนกว่าเดือนเกิดจะย่างกรายมา

นางได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เกิดเหตุร้ายใดๆ จนถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะเลือดบริสุทธิ์ ที่แม้จะหลั่งเพียงหยดเดียว แต่ขอเพียงสัมผัสและซึมซับไว้ได้ วิถีปีศาจก็จะแปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์

สรัลจะกลายคืนสู่ร่างคนอีกครั้ง และอย่างถาวรอีกด้วย ที่นางหวั่นวิตกยิ่งกว่านั้น ก็คือ หากเกิดเหตุวิปโยคเช่นนั้นขึ้นจริงละก็ วัสอรของนางจะหายไป แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะยังคง 'ใช่'

"แม่นมอ่อนอย่านึกนะคะว่า จะมาช่วยแม่หลานสาว และคอยขัดขวางสรัลไม่ให้อยู่กับปูต่อไปได้สำเร็จ" ปีศาจสาวปรากฏตัวเบื้องหลัง พร้อมกับเสียงยืดยานท้าทาย

"นมไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นเลย" ร่างนวลค่อยหมุนกลับมาเผชิญตาไร้แวว ที่กำลังแผ่รังสีพยาบาท "ที่นมมาก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้คุณสรัลเลิกแล้วต่อภพภูมิเก่า"

"ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ สรัลรู้ทันหรอกว่า แม่นมอ่อนอยากยกระดับแม่หลานสาว แล้วไม่ต้องมาอ้างว่าแม่นั่นเป็นเนื้อคู่แท้ของปูนะ แม่นมอ่อนฉวยโอกาสต่างหาก เห็นว่าสรัลตายแล้ว จึงยัดเยียดหลานสาวตัวเองให้เขา"

"นมยินดีให้ปรักปรำตามสบาย ขอเพียงคุณสรัลยอมปล่อยคุณปูไป ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตตามวิถีคนธรรมดาที่ควรเป็น ให้เขาได้เริ่มต้นกับก้าวใหม่ กับเนื้อคู่แท้ของเขา ซึ่งมันก็เป็นครรลองที่ฟ้าได้ลิขิตแล้ว"

"ฟ้าลิขิตอีกแล้วหรือ" ปีศาจสาวเค้นเสียงโหยหวนคับแค้น "ก็เอาสิ อยากลิขิตอะไรก็ลิขิตไป แต่สรัลไม่ยอมแพ้หรอก สรัลจะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด ต่อให้ดวงวิญญาณจะต้องแตกดับ สรัลก็จะไม่มีวันเลิกแล้วต่อความรักของสรัล ไม่มีวันยกปูให้ผู้หญิงหน้าไหนได้ทาบรอยรักของสรัลอีก เขาเป็นของสรัล และต้องเป็นตลอดกาล แม้แต่นังวัสอรนั่นก็เถอะ สรัลจะทำให้ร่างของมันเป็นของสรัลอย่างถาวร แม่นมคอยดู"

"คุณสรัล"

แม่อ่อนส่ายหน้าสะทกสะท้อน มวลควันดำหนาลอยห่างออกไปอย่างคับแค้น ทิ้งไว้เพียงน้ำเสียงยืดยานโหยหวนหากแต่แฝงความมุ่งมั่นกร้าวแกร่ง

ไม่มีหนทางใดจะเกลี้ยกล่อมให้ปีศาจสาวยอมเลิกล้มความตั้งใจในการก่อบาปให้ถึงที่สุดเสียแล้วใช่ไหม หรือว่าเหตุเช่นนี้ ก็เป็นชะตาที่ฟ้ากำหนดแล้วเช่นกันหรือ
 
โอ.. มันช่างน่าเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดเลยละกระมัง หากว่าวันหนึ่ง วัสอรผู้น่าสงสาร จะหลงเหลือเพียงร่างให้คนอื่นยอมรับว่า นั่นคือเธอ แต่จริงๆ แล้ว เธอในวันนั้น ก็คือ 'สรัล'





ฟ้าร้องครืนๆ อยู่ข้างนอก เม็ดฝนเกาะพราวเต็มหน้าต่างกระจก ไอเย็นผุดฝ้าเกาะเป็นคราบหนา ในห้องนอนที่ยังสว่างจ้า ทอดนิ่งด้วยสองร่างที่ประกบเกยขวางเตียง

วัสอรหายใจระทวยพร้อมกับลืมตามัวหม่นอย่างช้าๆ เธอรู้สึกหนักเหมือนมีบางอย่างทับเต็มร่าง รู้สึกเมื่อยแขนที่ยกชูและค้างนิ่งไว้นานแค่ไหนก็ไม่ทราบ จึงค่อยส่ายตาสำรวจความผิดปกติทั้งหมดอย่างช้าๆ อีก

แล้วเมื่อเห็นถนัดถนี่ว่าอะไรเป็นอะไร แม่บ้านวัยใสก็ตาโต แสงมัวแสงหม่นก็หายวับ หลีกทางให้แสงตื่นเต้นพราวอยู่ในแก้วตาสีน้ำตาลอ่อน

ร่างอรชรเริ่มขยับล่ะ แต่ร่างผู้ชายที่นอนทับสบายอุราก็หนักเกินไป เธอจึงปลดสองแขนกางแผ่หลาแก้เมื่อยไปก่อนสักพัก จากนั้น จึงค่อยเรียกเบาๆ

"คุณปูคะ คุณปู ลุกขึ้นหน่อย คุณปูนอนทับฝนอยู่นะ หนักนะ"

วัสอรกลอกตาไปบนเพดาน ความรู้สึกมันคลับคล้ายคลับคลา กึ่งจริงกึ่งฝัน จนเธอเริ่มไม่แน่ใจในความทรงจำเลือนรางของตัวเอง

เพียงแต่เห็นว่า ภาพที่ไหวแผ่วอยู่บนนั้น มันฉวัดเฉวียนด้วยมวลควันดำหนา ตาไร้แววแข็งกระด้างดุดัน กับแพผมซอยสยายชี้ฟูและแข็งทื่อเหมือนขนเม่น มีอะไรอีกที่ไหลเคลื่อนเข้ามาปะปน อ้อ นั่นไง คุณยายกับร่างขาวนวลที่แสนละมุนตานัก

ครั้นพอหลับตาลงเพื่อลดความสับสนว้าวุ่น ความมืดอันน้อยนิดก็ฉายภาพวุ่นวายในงานศพของคุณยาย ภาพของมารดาคุยกะหนุงกะหนิงกับสามีวัยรุ่น บางครั้งก็แอบไปนั่งร้องไห้อย่างเศร้าโศกตามลำพังในมุมที่ร้างผู้คนหน่อย

เอ.. แต่ทำไมมีภาพบาดหมางห่างเหินของเธอกับท่านด้วย ไม่น่าเป็นไปได้ ดูเหมือนว่าเธอไม่ยอมให้ท่านกอดหรือยังไงนี่ล่ะ เธอน่ะหรือไม่ยอม คงจะฝันฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง เธออ้อนเก่งจะตาย มารดายังชอบบ่นด้วยซ้ำไปว่า เธอเป็นลูกแหง่

เมื่อเห็นว่าภาพใต้เปลือกตามันยุ่งเหยิงชวนมึนนัก วัสอรก็ลืมตามองเพดานที่ปราศจากเงาใดๆ ให้เวียนหัว แต่นี่แน่ะ เหนือร่างเธอยังนอนนิ่งไว้ด้วยกายหนักหนึบของเจ้านายพ่อหม้าย เธออึดอัดหายใจไม่ออกแล้วล่ะ แต่ทำไมเขายังไม่ยอมลุกขึ้นเสียที

'เอ๊ะ' แล้ววัสอรก็สะดุ้งโหยงในใจ หรือว่าปุราณลอบเข้ามาในห้องนอน แล้วกระทำมิดีมิร้ายตอนเธอหลับหรือเปล่า ตายแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เวลานี้เธอก็เป็นของเขาแล้วหรือเปล่าล่ะ ไม่อย่างนั้น เขาจะย่ามใจนอนทับอยู่อย่างนี้ได้เป็นนานสองนานหรือ

เพียงคิดว่าตนตกเป็นคู่สวาทพลั้งเผลอของพ่อหม้ายเคราน่าลูบ แม่บ้านวัยใสก็เค้นพลังที่เหลือในกายขึ้นอย่างเต็มที่ แล้วยันไหล่พ่อหนุ่มจนล้มตะแคงไปนอนแน่นิ่งด้านข้าง ตอนนั้นเองที่เธอค่อยพบความจริงว่า 'เขาหมดสติ'

"คุณปูคะ คุณปู เป็นอะไรไป ตื่นซิ คุณปู"

เธอพยายามปลุกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ตบแก้มเบาๆ วูบหนึ่งก็ฉวยโอกาสแทรกความตระหนก รีบลูบเคราเขียวจางๆ ที่ใฝ่ฝันไปเสียสองสามทีด้วย

แต่เมื่อเขายังพอใจกับการแน่นิ่งไม่ตอบสนอง เธอก็เริ่มกระวนกระวาย รีบคลานลงจากเตียง วิ่งไปหยุดมองฝนพรำข้างนอกตรงหน้าต่าง เท้าสะเอวว้าวุ่น

ยามก้มมองตัวเอง ก็โล่งใจว่าอาภรณ์อยู่ครบและมิดชิดดี สภาพเช่นนี้ คงไม่มีเรื่องงามหน้าเกิดขึ้นตามที่หวาดระแวงไปเอง อีกอย่าง ผู้ชายที่รักภรรยาหัวปักหัวปำ สมสู่ไม่แยกแยะว่าร่างผีร่างคนแบบเขา คงไม่คิดจะหันเหมาเหลียวแลแม่บ้านหน้าสวยแต่นิสัยเป๋อเหลออย่างเธอแน่ๆ

วัสอรวิ่งไปเปิดประตู ทำท่าจะลงไปตามพริ้มเพรา แต่อีกแวบหนึ่ง ก็เปลี่ยนใจรีบวิ่งย้อนกลับมาดูนาฬิกาก่อน ครั้นเห็นว่าเกือบตีสองแล้ว ก็เกิดความเกรงใจ เธอไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมปุราณถึงได้มานอนทับตัวเธออยู่บนเตียง แถมยังสลบใสลแบบนั้นอีก

จะบอกว่าเขาใช้กำลังหมายปลุกปล้ำ แล้วเธอก็ต่อสู้เพื่อป้องกันตัว อาจเผลอพลั้งทำรุนแรงต่อเขา จนเขาหมดสติ ก็เหลือเชื่อเกินไป ด้วยรูปร่างน้ำหนักและพละกำลัง เธอด้อยกว่าอยู่เห็นๆ

ทางเดียวที่จะได้รับคำตอบอันกระจ่าง ก็คือทำให้เขาฟื้น วัสอรรีบเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กไปชุบน้ำ แล้วมาซับหน้าคอแขน ใจจริงก็อยากถอดเสื้อนอนออก ซับอกซับตัว แต่เธอเป็นสาวเป็นนาง ให้เปลื้องอาภรณ์ผู้ชายหุ่นดีมากคนนี้ ใจมันก็ลุ่มๆ ดอนๆ พิกล

"คุณปู" เธอเรียกอย่างลิงโลด เมื่อเขาขยับตัวแล้วครางเบาๆ "รู้สึกตัวแล้วหรือคะ เป็นยังไงบ้าง ใครทำร้ายคุณหรือ เอ้า ค่อยๆ ลุก นั่งพิงค่ะ นี่ค่ะหมอน ยกหลังนิดนะคะ ได้ค่ะได้"

เธอกุลีกุจอจัดท่าให้เขาเสร็จสรรพ แล้วตัวเองก็มานั่งพับขาอยู่ข้างๆ ตาเรียวเบิ่งแป๋ว รอฟังเขาตอบหลายคำถามที่ป้อนไปเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ เขายังสาละวนทุบต้นคออยู่เลย

"เป็นยังไงบ้าง" ปุราณเป็นฝ่ายถาม เหมือนไม่ได้ยินคำถามหลายข้อเมื่อหนึ่งนาทีก่อน

"สบายดีค่ะ คุณปูนั่นแหละ เป็นยังไงบ้าง ทำไมมานอนทับฝนอยู่บนเตียงนี่ แล้วนี่ก็ห้องนอนของฝนด้วย เข้ามาตอนไหน ทำไมฝนไม่รู้สึกตัวเลย"

"ไม่รู้สิ นี่กี่โมงแล้ว"

"ตีสองพอดี"

'ตีสองพอดีหรือ' ปุราณทวนในใจ พลางลอบตระหนก เขาจำได้ว่าอุ้มสาวแม่บ้านเข้ามาวางบนเตียง จากนั้น ก็ฟังเธอละเมอถึงคุณยาย แล้วถัดจากนั้นอีก เธอพึมพำในลำคอหลายประโยค แต่เขาจับความไม่ได้ จู่ๆ เธอก็ดีดผลุงขึ้นแล้วจ้องหน้าเขา

"อะไรนะคะ ฝนน่ะหรือเป็นฝ่ายกระชากคุณปูลงไปนอนทับ" สาวแม่บ้านร้องโวยวาย น้ำเสียงอย่างนั้นมันบอกชัดเลยว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเล่าด้วยน้ำเสียงมึนๆ "เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ฝนไม่กล้าอาจเอื้อมเกินตัวอย่างนั้นหรอก ขืนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสิ คุณยายจะได้ด่ายับหูพิการปะไร"

"อ้อ แล้วเธอก็คงจะฝันเห็นแม่นมอ่อน ละเมอออกมาด้วย แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าละเมอว่ายังไงบ้าง"

"ฝันถึงคุณยายหรือคะ"

วัสอรเริ่มลำดับเหตุการณ์อีกครั้ง เธอสับสนกับภาพรางเลือนที่ไหลเข้ามา คล้ายว่าเธอที่เห็นในหลายๆ เหตุการณ์เหล่านั้น เหมือนไม่ใช่ตัวเธอ แต่ที่เห็นก็เป็นตัวเธอจริงๆ

"ฝนจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ เอ้อ สงสัยคงจะตกใจมากไปหน่อย อ้อ คุณปูปลอดภัยดีใช่ไหม ไม่เป็นไข้ ไม่เป็นหวัดใช่ไหม"

"ทำไมถามอย่างนั้น"

"อ้าว ก็คุณปูกระโจนลงจากเรือ ลงไปว่ายน้ำกลางสระตอนฝนตกหนัก จำไม่ได้หรือคะ ฝนนี่แหละที่เป็นคนลงไปช่วย บอกไว้เลย ถ้าไม่ได้ฝนละก็ ป่านนี้ คุณปูอาจจะปอดบวมตายไปแล้ว คราวหน้าอย่าทำอีกนะคะ มันอันตรายออก นี่ถ้าคุณยายทราบละก็ ท่านต้องเป็นห่วงคุณปูมากเลย ทำอะไรก็นึกถึงคุณยายฝนบ้างสิ ท่านยิ่งป่วยหนักอยู่นะ"

"ฝน"

ปุราณใจคอไม่ดีเลย แม้จะยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมตนมานอนหมดสติในห้องนอนของสาวแม่บ้าน แล้วก็จำช่วงเวลาหลังนาทีที่ล้มตึงลงทอดทับร่างอรชรจนมิดไม่ได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ

เอาเป็นว่า ตอนนี้เขาหายมึนแล้ว ปรับสายตาให้คุ้นเคยกับแสงจ้าทั่วห้องได้แล้ว รับรู้อย่างชัดเจนว่า ตนครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงของวัสอร และในห้องพักส่วนตัวของเธอ ดังนั้น ทุกเสียงบ่นกึ่งเตือนสติของเธอ จึงทำให้เขาสะทกสะท้อนกึ่งหวาดระแวง

"มีอะไรหรือคะ"

"ไม่มีอะไร ฉันอยากกราบพระ พาฉันไปหน่อย"

จะให้บอกไปตามตรงว่า แม่นมอ่อนจากไปแล้ว ในภาวะที่เธอยังบอกเล่าเรื่องราวด้วยความสับสนเช่นนี้ เขาก็ใจไม่แข็งพอ คงต้องให้ไปเห็นเองในห้องพระ

ถ้าเธอฟูมฟาย เขาก็พร้อมจะปลอบโยนด้วยใจเอ็นดู แต่ถ้าเธอเฉยๆ และตั้งรับกับการสูญเสียได้ เขาก็จะโล่งอกและสบายใจขึ้นเป็นอย่างมากเชียวล่ะ




แม่นมอ่อนหมอบคู้อยู่ตรงมุมหนึ่งอย่างนอบน้อม ขณะเจ้านายหนุ่มพาร่างสูงเพรียวเข้ามาในห้องพระพร้อมกับหลานสาวดวงตก เขานั่งลงกราบพระ สั่งให้เธอกราบด้วย แล้วค่อยพยักพเยิดไปยังโกศแก้วบนตั่งเตี้ยด้านข้าง พลางบอกเบาๆ ว่า

"แม่นมอ่อน"

"คะ"

"คุณยายของเธอจากเราไปแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ก่อน"

"คะ"

"เราเพิ่งกลับจากกรุงเทพ แม่นมอ่อนอยากกลับมาที่นี่ ฉันจึงพามาด้วย"

"คะ"

เสียงที่พยายามจะถามหรือคาดคั้นให้บอกซ้ำ ค่อยแผ่วลงและแผ่วลงในครั้งถัดๆ มา

วัสอรเบิกตากว้างและค้างอยู่อย่างนั้น ในหัวใจมันโหวงเหวง ในสมองเหมือนมีน้ำเคลื่อนกระเพื่อม รู้สึกไปว่า ตลอดทั้งตัวมันโคลงเคลงเหมือนอยู่บนเรือแจว แต่สะเออะไปลอยลำกลางมหาสมุทรใหญ่ที่คลุ้มคลั่งไปด้วยคลื่นยักษ์กลางมรสุม

"คะ.. คุณ.. คุณยาย.. ตะ.. ตายแล้ว"

"ท่านไปอย่างสงบแล้ว อย่าเศร้าโศกเสียใจเลยนะ เดี๋ยวท่านจะไม่สบายใจ"

วัสอรเลียปาก น้ำเสียงนุ่มทุ้มของพ่อหม้ายหนุ่ม แทบจะเซาะความตระหนกเข้ามาไม่ได้ เธอก่อมันขึ้นเป็นกำแพง เพื่อที่จะบอกตัวเองว่า 'ไม่เชื่อ'

ก็คืนก่อนยังฝันเห็นว่าคุณยายมาเยี่ยมอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ก็มาด่วนจาก แล้วมันเป็นไปได้ยังไง ที่เธอจะไม่ไปร่วมงานศพ ไว้อาลัยให้แก่คุณยายสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้าย มันไม่จริงหรอก เขาเพ้อเจ้อ เขาโกหก

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 54 00:23:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com