เกิดความเงียบทันที เทย์เองก็เกร็งเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าหยุดเอนาเรหมายความว่าอย่างไร ทำให้เธอหลับลึกจนไม่ฝันหรือ หรือว่าใช้วิธีอื่นซึ่งทำให้ฝ่ายนั้นควบคุมไม่ได้ แต่ว่ากันตามจริง ในสภาพที่ถูกควบคุมเช่นนี้ไม่ว่าทำอะไรก็อันตราย ...ไซธีนใช้เธอเป็นตัวประกันเช่นกัน
"อย่าเพิ่งทำอะไรเอนาเร" เจวานเอ่ยเรียบ ๆ ในที่สุด "หากเป็นธาตุน้ำ ข้าต้องทำอะไรได้ ข้าจะหยุดเขาไว้จนกว่าฝ่าบาทจะกลับมาเอง"
เทย์กวาดมือทำลายรูปจำลองทันที
เขานั่งคู้หลังลง...ว่าแล้วว่าคนที่ติดกับดักคนแรกต้องเป็นตาลุง ไม่มีทางเป็นอื่นได้ ตาลุงที่เป็นห่วงชาวบ้านมากเกินไป ตัวใกล้จะเป็นมังกรอยู่แล้วยังใช้พลังไม่จบสิ้น เขามองไปข้างหน้า ไม่รู้จะทำอย่างไร ว่าไปแล้วเขาก็เป็นแค่พ่อมดธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบหลังจากลากยาวมาถึงหกปีเท่านั้นเอง
ถ้าหากไอ้ขอรับอยู่ที่นี่...
ถ้าหากไอ้ขอรับอยู่ที่นี่ ไอ้ขอรับจะต้องทนไม่ได้พอ ๆ กับตาลุง มันจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง แต่เพราะมันโง่ ไม่อาจคิดได้อย่างตาลุง มันจะต้องเดือดร้อนใจและมาถามเขาว่าควรทำอย่างไร เขาจะด่ามัน จากนั้นจะบอกแผนการ เขาบอกไอ้ขอรับได้เสมอ เพราะมันก็เชื่อเสมอเหมือนกันว่าเขาจะบอกได้
แต่ไอ้ขอรับไม่อยู่แล้ว ความรู้สึกว่ามันไม่อยู่ทำให้เทย์ตกใจ ตลอดปีมานี้มันเหมือนแขนขา...แผนกใช้แรงงานที่ขอเพียงเขาคิด มันก็จะทำให้สำเร็จโดยง่าย มันทำทุกอย่างที่เขาไม่กล้าลงมือ บ้าพอจะร่วมหัวจมท้าย เชื่อความคิดของเขาด้วยความโง่อย่างไม่มีเงื่อนไข เชื่อในตัวเขา แม้แต่เมื่อเขาเองยังไม่แน่ใจในตัวเองด้วยซ้ำไป
...เพราะว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นไอ้ขอรับที่ไม่มีวันตายหรือเทย์ นายน้อยอาจจะไม่ได้เป็นคู่หูกับเจ้าตลอดกาลก็ได้
พ่อมดมองมือของตัวเอง
...
รัฟนั่งอยู่ตรงหน้าร้านเอชาน
มันคาบแท่งเหล็กชุบทองไว้ในปาก ที่จริงตอนนี้ในร้านไม่มีใครอยู่สักคนแล้ว ท่านชายเพิ่งมาปิดวันก่อนตามคำขอร้องของเจวาน เขานำมังกรไปไว้ที่วังบนเขาด้วย แต่รัฟไม่ยอมไป สุดท้ายท่านชายบังคับมาก ๆ ยังขู่ฮื่อใส่จะกัด เอลาซไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร ทั้งเข้าใจความหมายในท่าทีของเจ้ามังกรเขียวดีจึงปล่อยมันไว้ เขามาดูมันเมื่อมีโอกาส วันนี้ก็มาเหมือนกัน
รัฟไม่ยอมเล่น ไม่ว่ากับเขาหรือกับริอัลก็ไม่เล่นทั้งนั้น บางทีมันเผลอเล่นชั่วครู่หนึ่ง แต่พอรู้สึกตัวก็หางตั้ง เร่งคาบแท่งเหล็กกลับไปรอที่หน้าบ้านเหมือนเดิม มันไม่ทราบว่าตนถูกสะกดเมื่อวันก่อน และบางทีคงไม่รู้ด้วยว่าโซลโทไม่อยู่แล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็ไม่เชื่อคำของท่านชายกับริอัล รัฟคิดว่าเดี๋ยวโซลโทจะกลับมา ดังนั้นตนจึงมีหน้าที่รอ
บางทีต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับเมือง รัฟก็คงไม่ยอมไป
เอลาซเห็นมังกรไม่เล่นกับตน จึงนั่งอยู่ตรงบันไดหน้าร้าน ไม่มีใครบอกให้เขาทำอะไร ที่จริงแล้วทั้งท่านน้าและท่านลุงเจวานต่างบอกให้ชายหนุ่มไปจากซีเล หากต้องการช่วยก็ให้เรียกกองกำลังมา...ซึ่งเขาก็ทำไปแล้ว ท่านตาโทปาซเองก็ต้องการให้เขาไปจากเมืองนี้เหมือนกัน
สุดท้ายเขาก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ซึ่งว่าไป...ตามความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ในบทกวี อัศวินเกราะทองคำสามารถรบกับสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงในโลก แต่ในความเป็นจริง เขาก็คือเอลาซที่เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านพ่อ และจนบัดนี้ยังเป็นทายาทอันดับหนึ่งของราชบัลลังก์ ไม่ว่าอยากเป็นหรือไม่ เขาอยู่ที่นี่เพียงเพราะหวังว่าตนจะทำอะไรได้ แต่ก็ทราบว่าไม่ช้าจะต้องถูกบังคับให้ไป
"อยู่ที่นี่เอง" มีเสียงดังขึ้นข้างหน้า
เอลาซเงยหน้าทันได้ยินเสียงรัฟร้องกี๊ซทักทาย เขาเห็นเทย์ยืนอยู่ใกล้ตน
"เป็นไรไป มานั่งไร้ประโยชน์อยู่ตรงนี้" พ่อมดถาม
ท่านชายได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะหึในคอ
"หรือเจ้ามีประโยชน์มากกว่าข้า เทย์ เฮเบล"
"ก็น่าจะมากกว่าอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ใช้เวทมนตร์ได้ เขายังใช้ข้าลาดตระเวนเมืองอยู่" พ่อมดนั่งลงบนบันไดเช่นกัน เหยียดขายาวของตนไปข้างหน้า "อย่างเจ้าอีกไม่ช้าก็ต้องไปไม่ใช่หรือไง ใครจะกล้าให้ท่านชายทองคำมาเสี่ยงกับเมืองเล็ก ๆ นี่"
"เฮอะ"
ทั้งคู่ต่างเงียบไป เอลาซสงสัยเล็กน้อยว่าเทย์คิดอะไร
"ร่วมมือกับข้าไหม ท่านชาย" พ่อมดเอ่ยลอย ๆ
"หือ"
"ร่วมมือกัน อัศวินเกราะทองกับจอมมาร" เทย์แยกเขี้ยว หันนิ้วโป้งเข้าหาตัวเอง "คนอื่นว่าอย่างไรก็ช่างปะไร ตัวดีกับตัวร้ายร่วมมือกัน รับรองว่าต้องพนันชนะทุกตาแน่นอน"
..........................................................................................................................................................................
สิ้นเสียงฟ้าร้อง โซลโทก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในห้องขังแล้ว
เขาไม่ทราบเหมือนกันว่าที่นี่เป็นที่ไหน ดูเหมือนจะอยู่ในหอคอยหรืออะไรอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงเชิงบันไดเวียน บันไดนั้นหมุนวนขึ้นไป รอบตัวดูคล้ายท้องฟ้าตอนกลางคืน มีแต่บันไดที่เป็นสีขาว...ดูเหมือนกระดูกอย่างประหลาด
"เอาจนได้" เสียงดังขึ้นข้างหลังเบา ๆ ยามโซลโทหันไปจึงเห็นนายทะเบียนยืนอยู่ นายทะเบียนเห็นเขาก็ถอนใจ "ขึ้นไปสิ"
"ขอรับ?"
"ขึ้นไป เจ้าท้าแล้ว ท่านจ้าวรออยู่"
ชายหนุ่มไม่ใคร่เข้าใจนัก จึงเอ่ยขอบคุณนายทะเบียนงง ๆ ทว่ายามก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรก โซลโทก็ตกใจ เขาพบว่าพื้นที่ตนเพิ่งก้าวขึ้นมาสูญหาย กลายเป็นห้วงว่างเปล่า ที่จริงยามตกใจชักเท้าขึ้นบันไดอีกขั้น บันไดที่เคยเหยียบมาก็หายไปเช่นกัน
"รีบขึ้นไป" เสียงนายทะเบียนกระซิบข้างหูห้วน ๆ
โซลโทเองก็ไม่ทราบว่าควรอย่างไรดีกว่านั้นได้เหมือนกัน เขารู้สึกว่าดีที่ตนไม่กลัวความสูงเหมือนเทย์ แม้ขึ้นไปสูงแล้ว เห็นรอบตัวมีแต่ห้วงว่างเปล่าก็ยังไม่รู้สึกอะไรนัก เขาเพียงแต่ปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนไม่แน่ใจว่าตนอยู่ที่ไหน บางทีระหว่างทางก็เห็นช่องเปิดคล้ายหน้าต่างบ้าง บางทีก็เห็นอะไรต่าง ๆ ผ่านช่องหน้าต่าง ทว่าเพราะบันไดหายไล่หลังมาจึงไม่อาจรั้งดูอยู่ได้นาน เขาปีนจนชักรู้สึกชา ค่อยพบว่าตนมาพบบริเวณที่คล้ายชานพักบันได
แต่ใช่ชานพักหรือเปล่า เขาเห็นบันไดไปสูงกว่านั้นจริง แต่พื้นตรงหน้าก็กว้างขวาง ทั้งยังไม่สูญหาย ที่ตรงนั้นเขาเห็นใครยืนอยู่คนหนึ่ง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ...ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง ผู้หญิงผมยาวสีดำ สูงโปร่งยิ่งกว่าท่านวิดา สวมใส่ชุดขนสัตว์สีขาว นางสวมมงกุฎที่คล้ายทำจากแท่งน้ำแข็ง แต่ในมือกลับถือคทาที่ทำจากกิ่งไม้ กำลังแตกตาหลายตา บางตาก็กลายเป็นใบอ่อนสีเขียวแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่สาวและไม่ชรา จะอธิบายว่าสวยก็ไม่อาจว่างามตามขนบได้ ควรว่ามีบางสิ่งโดดเด่น ทำให้ไม่อาจละสายตามากกว่ากระมัง
"ท่านเป็น...จ้าวแห่งความตาย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนรู้ได้อย่างไร
"เป็นอย่างนั้น ข้าได้ยินคำท้าจึงมา เจ้ารบกวนเวลาของข้าบนโลก" โซลโทอธิบายเสียงของอีกฝ่ายไม่ถูก แต่เขาคิดว่านางก็ไม่ถึงกับขุ่นเคือง
"ข้าไม่คิดว่า...เอ้อ...จ้าวแห่งความตายจะเป็นอย่างนี้" ท่านเจ้าของร้านอดไม่ได้
อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นสูง
"ตอนนี้ข้าเป็นจ้าวแห่งฤดูหนาว ดังนั้นจึงขึ้นกับว่าเจ้าเห็นฤดูหนาวเป็นอย่างไร เจ้าวิญญาณ"
ชาวนาส่วนใหญ่จะไม่ใคร่ชอบฤดูหนาวเท่าไรนัก เพราะเป็นฤดูอดอยากต้องระวังกักตุนอาหารไว้ให้ดี เพาะปลูกก็ไม่ได้ นอกจากนั้นหากหิมะหนายังต้องอยู่ในบ้านเกือบตลอดเวลา แต่โซลโทค่อนข้างชอบฤดูหนาว แม้จะไม่เท่าฤดูใบไม้ร่วง เขาเกิดในช่วงฤดูหนาวต่อฤดูใบไม้ผลิพอดี แม้คนแถวบ้านจะเชื่อว่าเด็กเกิดฤดูหนาวเลี้ยงรอดยาก แต่เขาก็รอดมาได้ ทุก ๆ ปีพอวันเกิดมาถึง อีกไม่กี่อึดใจก็ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ด้วยเหตุนี้โซลโทจึงเห็นฤดูหนาวเป็นช่วงของการรอเกิดใหม่ โลกเป็นสีขาวสวยดี แม้ว่าจะดูเย็นชาเข้มงวด แต่ก็ไม่มีการเสแสร้งอะไร นอกจากนั้นข้างกองไฟในฤดูหนาวก็เป็นสถานที่ที่ดี
"หากท่านคือจ้าวแห่งความตาย" เขารวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น "ข้าจะขอท้าท่าน ไถ่วิญญาณของตนเองคืน ข้ายังไม่ตาย"
เจ้าแห่งความตายไม่ได้ยิ้มหรือบึ้งตึง นางพูดเพียงความจริง
"แล้วรู้ไหมว่าถ้าแพ้ข้า จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับโลกคนตาย"
"จ่ายอย่างไรหรือขอรับ"
"จ่ายตามที่ข้าเรียกร้อง คนสุดท้ายที่แพ้ข้า ข้าไม่ให้เขาได้ไปเกิดอีกต่อไป ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ตลอดกาล"
เจ้าของร้านเอชานหนาวเยือกขึ้นมาทันที
"แต่แน่นอน...ข้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการท้าทายได้ และข้าคิดว่าเจ้าเองก็รู้จึงได้กล้าท้าแบบนี้ ยามจ้าวแห่งความตายเสนอบททดสอบในการพนัน จะต้องเสนออย่างยุติธรรม นั่นหมายความว่าในการทดสอบของข้า เจ้ามีโอกาสทั้งแพ้และชนะก้ำกึ่งเสมอกัน แม้มนุษย์มักจะไม่เข้าใจว่าความยุติธรรมแท้คืออะไร แต่นี่เป็นกฎที่ตราไว้แต่โบราณ"
นางยกคทาขึ้นชี้หน้าเขา
"ดังนั้นข้าจะยอมรับคำท้าของเจ้า โซลโท เอชาน"
ชายหนุ่มไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมาถึงใกล้ตัวเมื่อไร นางยกมือขึ้นผลักอกเขา ร่างก็ร่วงตกจากชานพักลงไป สู่อนธการที่ไม่มีอะไรเลย
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
8 พ.ค. 54 22:50:15
|
|
|
|