Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 2 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10528588/W10528588.html

บทที่ 2

ตะเกียงดวงเล็กแขวนแกว่งตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่าง แสงสลัวที่บางคราวาววาบ บางคราหลุบหรี่ ก่อความระทึกขึ้นกลางใจของสามแสนอยู่หลายครั้ง

เธอนอนกระสับกระส่ายใต้ผ้าห่ม สองตากลอกขึ้นไปบนหลังคาที่ปรากฏเงาเคลื่อนไหวมากมาย สองโสตเงี่ยสดับเสียงแปลก มันดังพิลึกพิลั่นนอกกระท่อม และดังกุกกักเหมือนมีใครกำลังทำอะไรบางอย่างนอกห้อง

นกหนูออกหากินกันจัง ขณะที่เคลื่อนไหวในซอกมืด ก็เปล่งเสียงคึกคักเต็มไปด้วยพลังแห่งการมีชีวิต

แต่เมื่อมันลอยวาบเข้ากระทบโสตระแวง สามแสนก็มีอันสะดุ้งกระตุก เธอเหนื่อยกับการนอนเกร็ง หรี่ตา กัดปาก หรือขยับดีกรีสูงขึ้นถึงขั้นบดกราม จึงตัดสินใจลุกมานั่ง ถอนใจเฮือกๆ

'พี่ชายหายไปไหนนะ ก็ไหนบอกว่าจะเข้ามานอนด้วยไม่ใช่หรือ' เธอตั้งคำถามสงสัย ก่อนจะสาวผ้าห่มไปไว้ด้านข้าง ก้มมองหัวเข่าที่พันด้วยผ้าสีตุ่นๆ อยากแก้ออกมาดูว่า ชายหนุ่มพอกสมุนไพรอะไรให้ ทำไมกลิ่นมันฉุนยาวนานอย่างนี้

สรรพคุณในการสมานแผลของมัน คงจะยอดเยี่ยมมากทีเดียว สามแสนไม่รู้สึกเจ็บหรือระบมอีกเลย นอกจากรำคาญอาการคันที่ตอดยุบยิบเป็นพักๆ เท่านั้น

ทันใดนั้น บังเกิดเสียงกู่ยาวเป็นทอดๆ ดังขึ้น กระแสลมพัดแรงเข้ามาในจังหวะนั้น ทำให้ตะเกียงแกว่งหนักหน่วง ก่อนจะดับวูบ

สามแสนเพิ่งจะเงยหน้าขึ้น ก็พลันกระทบกับความมืดผืนใหญ่ เธออ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง ไม่กล้าขยับผลุนผลัน มีความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากนั่งคุดคู้ ยึดโคนต้นไม้ใหญ่เป็นเรือนตายในกลางป่า เพราะตรงหน้ามันแผ่ทะมึนไปด้วยม่านสีดำ

"พี่ชาย" เธอลองตะโกนเรียกเบาๆ ก่อน เผื่อว่าเขาอาจจะนั่งเล่นอยู่ข้างนอก "พี่ชายคะ อยู่ไหม ตะเกียงดับแล้ว"

เมื่อเพิ่มระดับเสียงก็แล้ว บอกปัญหาที่เกิดในห้องก็แล้ว ข้างนอกก็ยังคงเงียบกริบ ปราศจากเสียงสะท้อนตอบสนอง

สามแสนกลืนน้ำลาย เริ่มใจคอไม่ดี รู้สึกหวาดกลัวเสียงกู่ยาวเป็นทอดๆ ที่เหมือนจะเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา เธอเดาว่า มันเป็นสัญญาณที่รับรู้กันเฉพาะกลุ่ม

'โครม' สามแสนสะดุ้งโหยงกับเสียงที่กังวานก้องขึ้นกลางความมืด เธอกระเถิบจากตำแหน่งเดิมเพียงเล็กน้อย ยังไม่กล้าขยับห่างจากฟูก และไม่แน่ใจว่าจะเลื่อนตัวเองไปปะทะชนกับอะไรบ้าง

"พี่ชาย" ลองเรียกซ้ำอีกครั้งอย่างแผ่วๆ หวังลึกๆ ว่าเสียงเมื่อครู่ เป็นฝีมือที่เขาก่อขึ้น "พี่ชายหรือเปล่าคะ จุดตะเกียงให้สามแสนหน่อย ตะเกียงในห้องดับแล้ว"

'เคร้ง โครม' เป็นอีกสองเสียงหนักและก้องกลางความมืด มันดังกระชั้นกันในระยะเพียงชั่วเสี้ยวนาที สามแสนเริ่มใจเสีย น้ำตารื้นอย่างหวาดกลัว สองมือชุ่มจากเหงื่อที่ผุดด้วยความตื่นเต้น

เธอขยุ้มผ้าห่มมาซุกหนีบไว้ในตัก กลอกตาเพ่งม่านสีดำตรงหน้า อยากเห็นอะไรก็ได้สักอย่าง เป็นเงารางเลือนก็ยังดี แต่เมื่อนึกได้ว่า ควรหันไปมองประตูดีกว่า และถ้าเห็นเพียงเงาตะคุ่มได้ เธอจะรีบคลานไปทันที

'อุบะ ฝนตกหรือ' เสียงซู่หนักๆ ดังแทรกเสียงกู่ยาวเป็นทอดๆ สามแสนขยับหันไปทางหน้าต่าง สัมผัสกระแสลมกับละอองฝนฉ่ำๆ ได้เล็กน้อย

ฟ้าแลบสว่างขึ้น ทำให้เห็นว่า หน้าต่างอยู่ไม่ไกลมาก เธอจึงคลานคลำไปอย่างช้าๆ จนสามารถยืดตัวขึ้น และมองฝ่าความมืดทึบออกไป

เบื้องนอกปรากฏเส้นสีขาวไกวพลิ้วเหมือนม่านลู่ลม แรงกระแทกบนหลังคาค่อนข้างหนักหน่วงเอาการ เธอเอื้อมมือออกไปดึงบานหน้าต่าง แต่ทันใดนั้น ก็พลันเห็นกลุ่มคนไม่ต่ำกว่าห้าคน เคลื่อนไหวว่องไวฝ่าสายฝนมาจากราวป่าอันมืดทะมึน

มือไม้อ่อนทันทีทันใดด้วยความหวาดกลัว ฟ้าที่แลบสว่างเพียงเสี้ยววินาที ส่องให้เห็นอาวุธปีนและมีดยาวที่อยู่ในมือของคนกลุ่มนั้น

สามแสนปล่อยบานหน้าต่าง ถอยหลังกรูด แล้วฉับพลัน แผ่นหลังก็ปะทะกับบางอย่างที่แข็งและแกร่งมาก แม้จะโดนร่างของสามแสนกระแทกดังตึก แต่บางอย่างนั้นก็ไม่เขยื้อน

สาวเสียขวัญหลับหูหลับตากรีดร้องก้อง สองมือยกปิดหู ซอยเท้ารัวอย่างตระหนกสุดขีด เมื่อสัมผัสแรงรัดแน่นรอบเอว อึดใจต่อมา ปากก็โดนสกัด เสียงกรีดร้องก็พลอยชะงัก และอู้อี้อยู่ในบางอย่างที่อุ่นจัด

"ฉันเอง หุบปาก"

โสตสะท้านด้วยเสียงทุ้มหนัก แต่สามแสนจำได้ว่าเป็นเสียงของชายหนุ่ม เธอรู้สึกลิงโลดและขวัญมาเป็นกอง ร่างสั่นพลันหมุนขวับ กลับไปกอดรัดแน่น ปากก็พร่ำเรียกเสียงเครืออยู่ในแผงอกเปียก

"พี่ชาย ทำไมเพิ่งมา สามแสนเรียกตั้งนานแล้ว สามแสนกลัว พี่ชาย.. พี่ชาย"

"ไม่ต้องกลัว แค่ฝนตกฟ้าร้อง ตะเกียงดับอีกนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก แล้วมายืนตากฝนตรงนี้ทำไม ถอยซิ"

ร่างสั่นถูกเหวี่ยงไปข้างหลัง มือใหญ่เอื้อมปิดหน้าต่างได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างใดๆ ด้วยว่าสายตาคมกล้าคุ้นเคยกับความมืดมากกว่าสามแสน ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเขาอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว เป็นเวลากว่าสิบห้าปีแล้ว

แสงสว่างที่สามแสนโหยหาย้อนคืนกลับมา ตะเกียงเจ้าพายุดวงเดิม ถูกย้ายมาแขวนบนขื่อกลางหลังคา เขาสูงมากเลย สามแสนห่อปาก ทึ่งว่าเขาแค่ชูมันขึ้นไปเกี่ยวกับตะปูแบบสบายๆ ไม่ต้องเขย่งเท้าหรือเหยียดแขนให้ทุลักทุเล

"พี่ชายสูงมากเลย" ความหวาดกลัวทยอยจากไป เมื่อพี่ชายปรากฏตัว สามแสนจึงเริ่มสนทนาเสียงใสได้อีกครั้ง

"สูงอะไร เธอต่างหาก เตี้ยมากเลย"

"นี่ อย่าเพิ่งรีบว่าสามแสนนะ ปีนี้ สามแสนอายุสิบเจ็ดเองนะ โอกาสสูงยังมี ตอนอยู่บ้าน สามแสนดื่มนมแทนน้ำนะจะบอกให้"

พอเผลอพาดพิงถึงบ้าน สีหน้าสาววัยรุ่นก็สลดลง เสียงใสก็ไม่เจื้อยแจ้วอีก ชายหนุ่มทรุดนั่งใกล้ฟูก มองเธอทำปากยื่นหน้ามุ่ย ก็พอเดาได้ว่า เจ้าตัวกำลังคิดถึงบ้าน คิดถึงสมาชิกในครอบครัว

ทางโน้นก็คงเช่นกัน ป่านนี้ คงทราบแล้วว่า เธอหายตัวไปในระหว่างเดินทางมาตั้งค่ายพักแรมกับอาจารย์และเพื่อนสนิท

เขาเชื่อว่า ทุกคนไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุอันน่าระทึกเช่นนี้ ตำรวจคงต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนี้ ก็อาจจะระดมกำลังออกตามหาตัวกันอย่างขะมักเขม้น

"คิดถึงพ่อแม่หรือ" เขาถามขรึม แววตาฉายความเอ็นดู ที่เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ เมินไปทางอื่นเพื่อซ่อนน้ำตา "อดทนหน่อยนะ รอให้เธอหายป่วย แผลที่หัวเข่าแห้ง ฉันจะพาเธอกลับบ้านเอง"

"จริงนะ" ใบหน้าที่เมินไปทางอื่น หันขวับกลับมา แววตาฉายความลิงโลดเปิดเผย

"อย่าให้มันมากไป" เสียงขรึมติหนัก "ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น อะไรก็ตามที่ฉันพูดหรือทำ มันจริงทั้งนั้น"

"เอ๊ะ พี่ชายนี่น้ำขึ้นน้ำลงจริงๆ " สามแสนติบ้าง หน้ามุ่ยออกแนวขุ่นปนงอน "เมื่อกี้นี้ ยังหน้าดีเสียงดีอยู่เลย ตอนนี้ขึ้นยักษ์ขึ้นมารอีกแล้ว"

"นอนได้แล้ว"

"เชอะ ตัดบท" สามแสนไม่เลิกยอกย้อน "เถียงไม่ขึ้นใช่ไหมล่ะ ผู้ใหญ่กี่คนต่อกี่คน นิสัยเหมือนกันหมดเลย พอเด็กอธิบาย ก็ว่าเด็กเถียง แต่พอตัวเองเถียงไม่ขึ้น ก็ตัดบทขึงขังกลบเกลื่อน นึกว่าเด็กโง่หรือไง"

"ใช่ ฉันกำลังคิดอย่างนั้น เพราะถ้าเธอเป็นเด็กฉลาด เธอต้องรู้จักนอบน้อมถ่อมตน ทำตัวให้ฉันเอ็นดู มากกว่ารำคาญ แล้วพานตะเพิดลงไปนอนกลางฝน จะหุบปากได้หรือยังสามแสน หรืออยากออกไปนอนกลางฝนจริงๆ "

สามแสนรีบสั่นหน้า เคลื่อนตัวหาฟูก แล้วนอนเลย เธอยิ้มกว้างด้วยใจซาบซึ้ง ตอนเขาขึงตาดุ แต่มือกลับช่วยตลบผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหน้าอก

"เมื่อกี้นี้ สามแสนได้ยินเสียงโครมๆ เหมือนใครมาโยนอะไรก็ไม่รู้ มีเสียงเหมือนอะไรหล่นจากที่สูงด้วย อ้อ แล้วก็มีเสียงกู่แปลกๆ ด้วย พี่ชายไปไหนมาคะ สามแสนเรียกตั้งหลายหน"

"ไปขนฟืนที่ตากหลังกระท่อมมาเก็บ ก็ฝนจะตก ฉันก็ต้องรีบขนก่อนมันจะเปียก ไอ้เสียงที่เธอได้ยิน ก็เสียงฉันโยนฟืนพวกนั้นนั่นแหละ ส่วนเสียงกู่อะไรที่เธอว่า ก็เสียงของชาวบ้านละแวกนี้ นัดกันไปส่องสัตว์ตอนดึกๆ เมื่อกี้นี้ ฉันก็กู่ตอบไปแล้วว่าไม่ไป"

"จริงหรือ" ร่างใต้ผ้าห่มดีดลุกมาถามย้ำอย่างตื่นเต้น "พี่ชายกู่ตอบด้วยหรือ ยังไงคะ กู่ให้ฟังหน่อยสิ"

"เรื่องมาก นอน"

สามแสนหน้ามุ่ยปากยื่นอีกหน เขาจิ้มหน้าผากหยาบคาย ยันร่างหล่นตึง ศีรษะถึงหมอนพอดี ชี้หน้าขู่สำทับไม่ให้แข็งข้อ ปากก็ขู่เข้มว่า

"อย่าลุก ถ้าลุกฉันจะดับตะเกียง แล้วจะออกไปส่องสัตว์ ทิ้งให้เธอนอนมืดไปตามลำพัง จะเอายังไงสามแสน"

"สามแสนจะไม่ลุก จะไม่ให้พี่ชายดับตะเกียง จะไม่ให้พี่ชายไปส่องสัตว์ จะไม่ให้พี่ชายทิ้งสามแสนนอนมืดไปตามลำพัง"

เธอยืนยันความปรารถนาน่ารัก ด้วยการเลื่อนมือเล็กออกจากผ้าห่ม แล้วกุมมือใหญ่อุ่นจัดเอาไว้อย่างแน่นหนา หลับตาพริ้มอย่างคลายกังวล แล้วไม่นานนัก เธอก็ผล็อยหลับ ทำให้มือใหญ่อุ่นจัดไหลหลุดออกไปอย่างเงียบๆ




ตลอดห้วงนิทรานั้น สามแสนไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่า ตนถูกโลมไล้จากมือใหญ่ด้วยความรู้สึกพิศวง

ชายหนุ่มโน้มหน้าลงใกล้เกือบชิด ลมหายใจอุ่นเป่ารดบนปลายจมูกโด่ง เอียงหน้าอีกเล็กน้อย ลมหายใจก็ย้ายลงพรมปากหยักบาง มันอิ่มจิ้มลิ้ม ยวนยั่วให้ประทับจุมพิตเสน่หายิ่ง

ในโลกนี้ ยังมีเรื่องพิสดารมากไปกว่า การได้เจอหน้าใครสักคนที่จากโลกไปนานแล้วกว่าสิบห้าปีอีกหรือเปล่า

มันจะมีหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่สำหรับเขา สามแสนคือเจ้าของเรื่องพิสดารที่มาอุบัติขึ้นตรงหน้า เธอปลุกพลังแห่งชีวิตที่นอนนิ่งอย่างยาวนานให้ตื่น

มันไม่ได้ตื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วงัวเงียสักพักกว่าจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใสกับการตื่นอีกครั้ง แต่เป็นการตื่นอย่างตระหนก

และเป็นความตระหนกที่ทำให้เขาอ่อนระทวยไปหมด ทิ้งได้ทุกอย่างที่เรียกว่าสัมภาระ แล้วโผร่างกำยำเข้าหาร่างที่นอนสลบใสลพาดอยู่บนรากไม้ ว่องไวประหนึ่งถูกพลังแม่เหล็กดูดดึง

"กลับมาเกิดใหม่แล้วใช่ไหมชุ เร็วจังเลยนะ"

น่าเสียดายจริงๆ ที่สามแสนหลับสนิท จึงพลาดโอกาสซึมซับอิริยาบถโหยหาของชายหนุ่ม

เขาหลุบมองหน้าผากเนียนในแสงสลัว ปรารถนาจุมพิตอย่างเสน่หา แต่ตระหนักว่าสาวน้อยตรงหน้า ไม่ใช่สุดที่รัก จึงไม่กล้าประทับราคีแห่งรักให้แปดเปื้อน

หากแต่วงหน้าหมดจดในยามนิทรา ก็หมั่นเร่งเร้าให้หัวใจสั่นคลอน กระตุ้นให้เกิดความหวั่นไหว บีบคั้นให้แรงใคร่พลุ่งพล่าน

"จำฉันไม่ได้ใช่ไหม เพราะเธอไม่ใช่ชุของฉันอีกแล้ว วันนี้ เธอชื่อสามแสน เป็นสาวแปลกหน้า มานอนสลบอยู่ท้ายป่าใกล้กระท่อมฉันนี่เอง แล้วฉันจะบอกกับเธอได้ยังไงว่า ฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน จะยืนยันได้ยังไงว่า ความรักที่ฉันมีต่อเธอ มันไม่เคยเสื่อมคลายลงไปจากวันแรก ทั้งที่เราสองคนก็พลัดพรากจากตายกันนานกว่าสิบห้าปีแล้ว"

มือใหญ่ย้ายผมปอยหนึ่งไหลไปกองอีกด้าน เผยแก้มใสในแสงสลัวให้ยลอย่างหมดจด น้ำตารื้นด้วยแรงรัก ก้อนขมขื่นมันลอยมาจุกแน่นในลำคอ กลืนน้ำลายก็ลำบากนัก

"แก้มเธอเย็นมาก เหมือนคืนแรกที่เธอยอมหลอมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน เธอบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนสามแสนเวลานี้ และปีนั้น เธอก็อายุสิบเจ็ดเหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ที่ฉันจะได้ยินเธอเรียกฉันว่าคุณภีมอีกครั้ง"

'คุณภีม' กว่าสิบห้าปีแล้ว ที่เขาไม่ได้ยินใครเรียกหาเขาด้วยชื่อนี้อีกเลย กลางป่าแถบนี้ ชาวบ้านละแวกนี้ ทุกคนรู้จักเขาในฐานะ 'นายดุ' หนุ่มชาวกรุง ที่หอบหัวใจสลายมาซ่อนระกำอย่างเดียวดาย

กระท่อมหลังนี้ ก็ได้ชาวบ้านใจดี มาช่วยเนรมิต ข้าวปลาอาหารในระยะแรก ก็ล้วนหลั่งไหลมาจากน้ำใจบริสุทธิ์ วิถีชีวิตในป่า มันคงจะขลุกขลักและลำเค็ญเป็นที่สุด หากไม่ได้ชาวบ้านช่วยเหลือโอบอุ้มเสมือนว่าเขาเป็นเครือญาติ




'ภภีม ลือสาย' ย้ายตัวเองออกมานั่งมองฝนด้วยจิตใจหดหู่ เขาคิดถึงชุลียา สาวใช้ผู้น่าสงสารคนนั้น ตายจากเขาไปนานกว่าสิบห้าปีแล้ว

หล่อนไม่ได้พรากตัวเองไปตามลำพัง แต่ยังพัดพาเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไปด้วย หากหล่อนยังมีชีวิตอยู่ ทายาทคนแรกของเขา ก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับสามแสนละกระมัง

น้ำตาไหลอย่างเงียบๆ พร้อมกับหัวใจสลายที่ค่อยๆ ฟื้นความเจ็บลึก มือใหญ่กุมทรวงระกำด้วยท่วงท่าระทมหนัก

มันไม่น่าเลยไม่ใช่หรือ เขากับสามแสนไม่ควรมาเจอกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สาวน้อยน่าจะพลัดหลงไปให้ไกลจากละแวกนี้ แล้วเช้าตรู่วันนั้น เขาก็ไม่น่าจะเลี้ยวไปย่างกราย 'ณ ปลายดง' นั้นเช่นกัน

ชุลียากลับมาแล้ว หล่อนกลับมาในร่างของสามแสน อีกไม่กี่วัน รอจนเธอสร่างไข้ แผลที่เข่าทุเลา เขาก็ต้องพาเธอกลับออกไปจากป่าแห่งนี้ โอกาสที่จะได้เจอกันอีก มันไม่มีอีกเลย

สำหรับสามแสน เหตุการณ์ระทึกช่วงสั้นๆ เพียงไม่กี่วันนี้ จะกลายเป็นประสบการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ ระลึกถึงยามใดก็จะหยิบยกมาเล่าสู่เพื่อนฝูง และตัวเขาเองในคำบอกเล่านั้น ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น

สำหรับเขา ความรักที่ตายไปพร้อมกับชุลียา มันฟื้นคืนมาแล้ว กว่าที่จะกลบฝังบังคับให้มันกลับลงไปนอนสงบในหลุมอดีตดังเดิม เขาต้องเหน็ดเหนื่อยนานไปอีกกี่ปีเล่า

สิบห้าปีทีเดียวที่เขาอุตสาหะต่อการลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แล้ว ความอุตสาหะของเขาก็พังทลายลง ด้วยการปรากฏตัวชั่วครู่ชั่วยามของสามแสน

เหตุผลเท่านี้ พอหรือยัง ที่มันจะทำให้เขาต้องตรอมตรมอยู่ในทะเลระกำซ้ำรอยเก่า สามแสนไม่ได้เพียงแค่กลับออกไปจากป่า เธอทิ้งปัญหาที่ตนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้เขาสะสางอย่างน่าโมโห

ปีนี้ เขาอายุสามสิบห้าแล้ว เขาเหนื่อย และคงจะแก่เกินไปแล้ว ต่อการหมั่นอำพรางความเจ็บปวด มันต้องผุดขึ้นมาทิ่มแทงทุกๆ นาทีที่ระลึกถึงใบหน้าของสามแสน หากแต่ในห้วงคะนึงนั้น สาวน้อยคือตัวแทนของชุลียาสุดที่รัก

ภภีมคู้กายลงประหนึ่งเหน็บหนาว ละอองฝนกลางที่โล่งลอยตามกระแสลมมาพรมไหล่ เสื้อกล้ามสีเทาเข้มเพียงตัวเดียวแทบจะต้านไอเย็นคมกริบนั้นไว้ไม่ไหว หากชายหนุ่มก็ยินดีจะตรึงกายไว้ตรงนี้

ตาเรียวขรึมชุ่มด้วยหยาดน้ำที่กลั่นจากแรงระทม ในใจก็พร่ำคร่ำครวญดั่งจะตัดพ้อต่อสวรรค์อย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยประโยคที่ว่า 'ไม่น่าเลย เธอไม่ควรมาที่นี่ และฉันก็ไม่ควรเจอเธอ ไม่ควรเลยสามแสน'




ฝนซาเม็ดตอนใกล้รุ่งสาง ภภีมออกจากกระท่อมเข้าไปหาผลไม้ สามแสนยังไม่ตื่น เธอหลับปุ๋ยได้อย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะไป เขาแวะเข้าไปดู กังวลว่าไข้จะย้อนกลับมาเล่นงานอีก แต่เมื่อเห็นว่าเธอปกติดี เขาก็โล่งใจ

ตอนพ้นชายป่าไปเล็กน้อย เขาเจอกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ จึงแวะทักทายกันตามประสาคนรู้จัก

"นายดุต้องระวังไว้บ้างนะ ข่าวหนาหูแบบนี้ มองข้ามไม่ได้"

"นั่นสิ ไอ้โจรวัยรุ่นพวกนี้ มันเกิดมารกแผ่นดินเป็นบ้า อนาคตก็ไม่มี ชีวิตก็เอาดีไม่ได้ แถมยังขยันก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก จับตัวได้ จะยัดเข้าตะรางเสียให้หมด"

สองในกลุ่มปรารภกึ่งกระจายข่าวที่กำลังแพร่สะพัดมาจากหมู่บ้านอื่น ชายหนุ่มรับฟังโดยไม่ขัดจังหวะ เขาแสดงความเห็นว่า

"แต่หมู่บ้านละแวกนี้ ก็ไกลจากหมู่บ้านที่เกิดเหตุมากไม่ใช่หรือ เด็กๆ ไม่น่าจะดั้นด้นมาแผลงฤทธิ์ถึงที่นี่ได้"

"มันจะมาหรือไม่มาก็ช่างมันเถอะ แต่เราๆ ก็ต้องไม่ประมาท ไม่ชะล่าใจ รู้ข่าวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันระมัดระวัง อ้อ เป็นหูเป็นตากันหน่อยก็ดี"

"ได้ แล้วฉันจะช่วยสอดส่องอีกแรงนะ"

"อ้อ แล้วแม่หนูคนนั้น อาการดีขึ้นหรือยัง"

"ดีขึ้นแล้ว รอสักวันสองวัน ก็ว่าจะพาไปส่งข้างนอกแล้วล่ะ ขอบใจที่ถามถึง"

ชาวบ้านใจดีผละไป ชายหนุ่มเลี้ยวตาไปเห็นไก่ป่าตัวอ้วนพีในซอกไผ่ จึงค่อยย่องกริบไปจ่อหน้าไม้ เขาใช้อาวุธชนิดนี้ได้คล่องแล้ว ชาวบ้านใจดีคนหนึ่งเป็นคนสอนให้ ตอนพาเขาไปส่องสัตว์กลางดึก

ช่วงแรกที่ดั้นด้นเข้ามาใช้ชีวิตในดงในป่า เขาพยายามมองหากิจกรรมมากมายมาหันเหอาการหัวใจสลาย

ความเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้นเสมอทุกครั้งที่เขาว่างพอต่อการระลึกถึงชุลียา ดังนั้น การฝึกใช้อาวุธชนิดนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เขาชอบมาก และทำได้ดีมากด้วย

ไก่ป่าแตกตื่นเตลิดหนี ทันทีที่ได้ยินเสียงกิ่งไม้แห้งหักเป๊าะ ภภีมหัวเราะฉุนๆ เขาเผลอเหยียบเอง ตาเรียวดุรีบเร่งย้ายหาเหยื่อตัวใหม่ สายมากแล้ว ป่านนี้ สามแสนอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วตกใจว่าถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง

กระต่ายป่าตัวเก่ง วิ่งผ่านหน้าไปแวบๆ ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าไล่ตามกระชั้นชิด กระทั่งพิชิตมาใส่ย่าม นอกจากจะเป็นอาหารเช้าแล้ว ตัวอ้วนพีของมัน น่าจะเหลือเฟือไปถึงมื้อกลางวันและมื้อเย็นได้เสียด้วยซ้ำ




สามแสนสะดุ้งตื่น ร่างใต้ผ้าห่มพลิกปราดเปรียว สองโสตยังสะท้านกับเสียงกรีดร้องแปลกๆ อาจเป็นเสียงของสัตว์ป่าสัตว์ปีกที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เป็นได้

ร่างน้อยคลานไปชะโงกมองตรงหน้าต่าง เห็นราวป่าข้างหน้าทอดยาวเป็นสีเขียวขจี ท้องฟ้าเท่าที่เห็น ไม่ถึงกับแจ่มใสนัก เมฆขาวกลุ่มหนึ่ง กับเมฆเทาจางอีกกลุ่ม ลอยเฉื่อยไล่ๆ กันไป

'พี่ชายอยู่ในครัวหรือเปล่า' สมองประหวัดแวบไปถึงเจ้าของกระท่อม ร่างน้อยไม่เสียเวลาคาดเดาคำตอบในใจล่ะ เธอออกมาจากห้อง เมียงมองโดยรอบ แล้วพบว่ามันสงัดมาก

ชานโปร่งว่างเปล่า บางแห่งยังชื้น ขังน้ำเจิ่งไว้เล็กน้อย ลองลงมาชะโงกในห้องครัว ก็เจอแต่ความอับชื้นและกลิ่นฉุนของสมุนไพร มุมหนึ่งกองสุมด้วยฟืนดุ้นเล็กดุ้นน้อย

'เจ้านี้เอง ต้นตอของเสียงโครมเคร้งเมื่อคืนนี้' สามแสนนึกในใจ พลางย่นจมูกใส่เหมือนจะตำหนิว่า เพราะเสียงของมันนั่นล่ะ ทำให้เธอขวัญกระเจิงแทบตาย

'เอ พี่ชายหายไปไหน' คำถามใกล้เคียงกับคำถามเดิมผุดขึ้น ร่างน้อยหมุนกลับหลัง ไปก้มสำรวจหม้อดินใบเขื่อง กลิ่นฉุนของยาต้มโชยมาอย่างรุนแรงเชียวล่ะ สามแสนย่นจมูกใส่อีกแล้ว เธอไม่ชอบรสฝาดเฝื่อนของมัน กว่าจะหายขมในคอ ก็ต้องใช้เวลานานหลายนาที

เตาข้างๆ กัน ตั้งหม้อใบใหญ่ต้มน้ำเอาไว้ มันยังไม่เดือด แต่ก็เริ่มผุดฟองปุดๆ อาจเป็นเพราะฟืนในเตามันนิดเดียวกระมัง เหมือนคนทำตั้งใจตั้งแช่เอาไว้ มากกว่าจะเร่งต้มให้เดือด

"พี่ชาย" เธอป้องปากตะโกน พลางย่ำลงบันได อ้อมไปหลังกระท่อม "พี่ชายอยู่ไหน ขานรับสามแสนด้วย"

พี่ชายของเธอยังคงเย่อหยิ่งไม่ตอบสนองใดๆ ดังเคย สามแสนส่ายหน้า เดาว่าเขาคงจะเข้าป่าไปหาอาหาร อาจจะกลับมาอีกทีตอนใกล้เที่ยง แล้วตะวันที่สายโด่งขนาดนี้ จะเรียกว่ายามอะไร นาฬิกาก็ไม่มี จะเดาว่าแปดโมงหรือเก้าโมงเช้า ก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

ระหว่างรอให้พี่ชายกลับด้วยใจกระวนกระวาย สาวหลงป่าก็หันเหมัน ด้วยการจัดการกับตัวเอง

ใกล้หมอนวางเสื้อผ้าชุดใหม่พับเรียบร้อย เธอหยิบมาผลัดกับชุดเก่าทันที โดยไม่ต้องหยุดเดาก่อนว่า พี่ชายเตรียมไว้ให้หรือเปล่า กลิ่นสะอาดๆ ของมัน เรียกรอยยิ้มสดชื่นพราวทั่ววงหน้าซึ่งก็แช่มชื่นไม่น้อยไปกว่า

'อุ๊ย เสียงอะไรอีก โครมหนักๆ ' สามแสนรีบวางหวี แล้วผลุงออกมาหน้าชาน เหลียวซ้ายแลขวาด้วยใจระทึก ก่อนจะเลี้ยวลงครัวอีกหน

ต้นเสียงมันดังมาจากในห้อง เธอจึงพรวดเข้าไป แล้วปะทะเข้ากับแผงอกใหญ่ มันช่างตั้งมั่นได้อย่างแข็งแกร่งมาก สามแสนเป็นฝ่ายดีดกระดอนวืด ทำท่าจะหงายหลัง พี่ชายใจดีก็ถลันตะปบข้อมือ แล้วดึงวืดกลับไป

"พี่ชาย" เธอร้องอุทานอย่างแตกตื่น หากแต่แผ่วหวิวอยู่ในอ้อมกอดปกป้อง

"อืม พรวดพราดแบบนี้ ถ้าเจอโจรจะทำยังไง" เขาเอ็ดแต่ปาก สองแขนใหญ่หดวงเหมือนห่วงยักษ์ คล้องกายเล็กของสามแสนไว้เสียแน่น

"สามแสนก็นึกว่าเป็นพี่ชายไง แถวนี้จะมีโจรได้ยังไง พี่ชายคุมอยู่ทั้งคน"

"เหลวไหลอะไร ฉันไม่ใช่นักเลง เป็นแค่ชาวบ้าน จะพูดอะไรให้มันมีหัวคิดหน่อย แล้วนี่ตื่นนานหรือยัง เช็ดตัวหรือยัง อ้อ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วนี่ หลีกซิ"

'เอ๊ะ' สามแสนทำหน้ามุ่ย อุทานฉุนๆ ในใจ เขาจิ้มหน้าผากแล้วผลักออกอีกแล้ว

ร่างกำยำชื้นเหงื่อ ก้าวผ่านไปยืนเท้าสะเอว ใส่ใจกับยาต้มในหม้อดิน สักอึดใจ ก็เปิดฝาแล้วหยิบช้อนไปเขี่ยๆ ก่อนจะตักขึ้นมาพินิจสีของมัน ปิดฝา แล้วก็หันกลับมาพยักพเยิดกับสามแสน ถามว่า

"หิวหรือยัง วันนี้ได้กระต่ายมาตัวใหญ่เลย กินไปได้ถึงมื้อเย็น"

"กระต่าย" สามแสนอุทาน โผเข้าใกล้ร่างชื้นเหงื่ออย่างตื่นเต้น "กระต่ายหรือพี่ชาย มันอยู่ไหน ตายหรือยัง"

"ปัญญาอ่อนอีกแล้ว ฉันก็บอกอยู่เมื่อกี้นี้ว่า กินไปได้ถึงมื้อเย็น ฉันล่ามันมาเป็นอาหารนะ มันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงอีก มีหัวคิดหน่อย"

"เอ๊ะ พี่ชายนี่ยังไง ทำไมชอบเอ็ดสามแสนอยู่เรื่อย สามแสนก็ถามดีๆ แล้วกินทำไมกระต่ายน่ะ มันน่ารัก พี่ชายทำอะไรมันคะ"

"ยิง"

"ยิง" เสียงใสทวนแล้วทำตาโต "ยิงมันหรือพี่ชาย ทำไมใจร้ายแบบนี้ ไม่น่ารักเลย"

"ไปให้พ้นเลยไป เกะกะขวางทาง"

ไหล่มนโดนรุนจนเจ้าของเซแซดๆ เขาเดินเข้าเดินออกระหว่างห้องเก็บของกับหน้าเตา รอจนน้ำเดือดได้ที่ ก็จัดการย้ายจากหม้อไปลงกระติกน้ำร้อน

เสร็จสรรพก็ลงไปข้างล่าง สามแสนก็ตามลงไปติดๆ เขาเดินไปไหน เธอก็ไปด้วย จนเขารำคาญ หยุดเดินแล้วหันมากระชากเสียงดุใส่

"จะเดินตามหาสวรรค์วิมานอะไร ว่างมากหรือ"

"ว่าง" เธอลอยหน้าบอก "พี่ชายเห็นสามแสนทำอะไรได้บ้างเล่า"

เขาเท้าสะเอว เอียงหน้าดุทำทีจะด่าหรือเอาเรื่องก็ไม่ทราบ สามแสนหัวเราะชอบใจ แล้วค่อยประจบน่ารักว่า

"พี่ชายให้สามแสนช่วยงานบ้างสิ สามแสนทำได้นะ ตอนอยู่บ้าน สามแสนทำงานบ้านเองนะจะบอกให้ แม่บอกว่าเป็นผู้หญิงต้องเก่งงานบ้านงานเรือน สามีจะได้รักได้หลง"

'ชุลียาของเขาก็เก่งนักหนา' ในใจร้าวผุดประโยครันทดตอบโต้เสียงพริ้งของสาวน้อย ภภีมรู้สึกเจ็บทั่วตัว ประหนึ่งมีใครหมั่นกรีดมีดลงในเนื้อเป็นพักๆ

ทุกอิริยาบถของสามแสน มันช่างบังเอิญไปพ้องกับชุลียาอย่างไม่ผิดเพี้ยน สุดที่รักของเขาเป็นสาววัยรุ่น สดใส น่ารักน่าเอ็นดู แล้วเขาก็เอ็นดูมาก รักมาก จนหักห้ามความปรารถนาไม่ไหว ต้องลักลอบ 'ชิงสุกก่อนห่าม'

ผลพวงของการไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจในคืนนั้น กลายเป็นที่มาของโศกนาฎกรรมความรักอันรันทดยาวนานตลอดกาล

เขากับหล่อนต้องพลัดพรากจากตาย หล่อนตายแล้ว แต่เขายังอยู่ และอยู่เพื่อที่จะได้พบกับหล่อนอีกครั้งในวันนี้ ในร่างของ 'สามแสน'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 15:48:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com