ไม่ช้า แอชลีนน์ก็รู้ความหมาย
เวลานี้กระแสลมเย็นพัดต้องหน้าของเธอ กระทั่งเส้นผมยาวซึ่งรวบมัดหางม้าไว้ไม่ให้เกะกะยังปลิวไปข้างหลังโดยแรง
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะก้มลงมอง เห็นทุ่งหญ้าซึ่งถูกขับจนเป็นสีน้ำเงินเข้มในยามราตรีอยู่ต่ำลงไปลิบๆ เบื้องล่าง ขณะที่ชายหนุ่มผู้มีปีกสีดำแผ่สยายเบื้องหลังอุ้มร่างของเธอไว้ ทั้งยังกำชับให้กอดคอเขาไว้ให้แน่น ตั้งแต่ก่อนที่จะโผบินขึ้นจากสวนด้านในของจวน และขออนุญาตเปิดการสื่อสารทางใจกับเธอ
ไม่มีใครเห็นเราจริงๆ หรือนี่ เจ้าหญิงนึกถาม ขณะเลื่อนสายตากลับขึ้นมาเห็นฟ้าประดับดาวข้างบน ซึ่งมีเมฆลอยอยู่เป็นหย่อมๆ และแทบแยกไม่ออกจากทิวเขาสีดำลิบๆ ที่เส้นขอบฟ้า
ไม่หรอก ข้ากางมนตร์กำบังไว้แล้ว เสียงของอาเมียร์ดังก้องขึ้นในใจ เมื่อครู่ เจ้านั่นเองก็วิ่งวุ่นไล่ตีคนอื่นอยู่หลายด้าน คงไม่มีอำนาจพอจะมาชนกับข้าตรงๆ ในตอนนี้แน่
แอชลีนน์ได้แต่พยักหน้ารับ ขณะทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นจากปากคำของชายหนุ่ม ซึ่งเล่าให้เธอฟังในห้องนอน ขณะที่หญิงสาวเปลี่ยนเสื้ออยู่หลังฉากไม้ เป็นชุดเสื้อกางเกง และรองเท้าบู๊ตเพื่อความคล่องตัว
ทัมมุซในร่างของมาดายไม่ได้ใช้เพียงเฟย์ลิม ทว่ายังมีกันซุคห์ และเสด็จพี่ไอลีช...ยืนยันข้อสันนิษฐานของอาเมียร์อย่างชัดแจ้งที่สุด
แต่ทำไมถึงต้องทำร้ายมาลิอากับรูอาร์คล่ะ หญิงสาวยังคงสงสัย ถึงมาลิอาจะเคยขัดขวาง...ทัมมุซ...แต่นางก็ช่วยล้างมลทินให้ท่านไม่ใช่หรือ แล้วรูอาร์คก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทำไมต้องฆ่าเขาด้วย
ข้าไม่ค่อยแน่ใจ บางทีมันอาจจะอยากทำให้ข้าเสียใจถึงขีดสุด เพื่อที่มันจะได้ยึดครองร่างข้าง่ายขึ้นกระมัง หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะอยากได้วิญญาณของสองคนนี้ไปใช้งาน พวกเราจะได้สู้ลำบากขึ้น
แอชลีนน์นิ่งฟัง เธอคิดว่านั่นอาจเป็นไปได้ แต่กระนั้นก็ยังแปลก...พวกมันมีดวงพระวิญญาณของเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่ อีกทั้งเฟย์ลิมเป็นตัวประกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ และทัมมุซก็น่าจะรู้ดีว่าอาเมียร์ไม่ใช่คนที่จะท้อแท้สิ้นหวังเมื่อพบกับความสูญเสีย
เขามีแต่จะโกรธแค้นและมุ่งมั่นเอาชนะจิตอีกด้านของตนยิ่งไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ หากว่ามันกล้าทำร้ายใครก็ตามที่เขารักมากไปกว่านี้
ก็จริง อาเมียร์ตอบรับความคิดของเธอ แต่ข้าก็ไม่อยากให้ใครถูกทำร้าย และไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว เมื่อครู่ก่อนหน้าก็มีช่วงที่ข้ารู้สึกอยากให้ทุกอย่างมันจบไปเสียเหมือนกัน ...โดยเฉพาะถ้าปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้ ข้าก็คง—
อาเมียร์... แอชลีนน์บีบไหล่เขาแน่นขึ้นครู่หนึ่ง ข้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไปหรอก เชื่อข้าเถอะ
เธอรู้ ว่าเป้าหมายของทัมมุซคือตัวเธอ เป้าหมายของแฟคท์นาก็ยังคงเป็นตัวเธอ พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้เธอตายไป
แต่เจ้านั่นยังมีมนตร์ชุบชีวิต มันอาจ...ทำให้เจ้าฟื้นขึ้นมาเป็นทาสของมันอย่างสมบูรณ์ก็ได้
แต่ท่านบอกข้าเองไม่ใช่หรือ ว่าคนตายที่ฟื้นขึ้นมาเป็น ‘เงาดำ’ ไม่สามารถให้กำเนิดลูกที่มีร่างกายอย่างมนุษย์ได้...เหมือนอย่างลูกของผู้กล้าลูเธียน กับเจ้าหญิงในสมัยของท่าน เจ้าหญิงแย้ง ดังนั้นทัมมุซจะไม่ฆ่าข้าแน่ และแฟคท์นาก็เช่นกัน
เจ้าชายแห่งความมืดเงียบไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ค่อยๆ โผลงพร้อมกับเอ่ยเพียงสั้นๆ ข้าเห็นท่านลูเธียนอยู่นั่น แล้วก็จับตัวตนของมาลิอาได้รางๆ เรามาใกล้ถึงแล้ว
แอชลีนน์ก้มลงมอง และเห็นพระมหาเถระอยู่บนหลังม้าที่ควบเต็มฝีเท้าบนเส้นทางเบื้องล่าง เพียงแวบหนึ่งก่อนอาเมียร์จะบินล้ำหน้ามา
อีกครู่หนึ่ง เธอจึงพบว่าเส้นทางนั้นมุ่งหน้าขึ้นสู่เขา เมื่อมองลงมาจากมุมของนกที่กำลังบินอยู่บนฟ้า ก็ดูแปลกตาจนหญิงสาวจำไม่ได้ในทีแรก แต่ไม่ช้ารายละเอียดต่างๆ ที่ผ่านสายตายามอาเมียร์ลดความสูงลงก็ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ ว่าเป็นภูเขาที่เธอเคยขึ้นมาเก็บแบลเบอร์รีในวันลูคนาซัธปีที่แล้วนั่นเอง
ไม่นานชายหนุ่มก็ลงสู่พื้น และวางร่างของหญิงสาวลงยืน เขาเดินนำไปยังหลืบหินเล็กๆ บนทางไหล่เขา ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปใกล้ยอดบนสุด ในบริเวณที่ชาวบ้านคงไม่ค่อยขึ้นมาเท่าใดนัก
ที่ซอกหินใต้รากต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบเป็นโพรงเล็กๆ ตามธรรมชาติ ร่างของมาลิอานอนหมดสติอยู่ ณ ที่ตรงนั้น คลุมไว้จนถึงอกด้วยผ้าบอกยศของลูเธียน โดยมีผ้าคลุมและเสื้อผ้าขาดวิ่นเปื้อนเลือดของแม่มดดำกองอยู่แถวปลายเท้า
อาเมียร์คุกเข่าลงข้างๆ แล้วเลิกผ้าคลุมออก เผยให้เห็นผ้าพันแผลชั่วคราวซึ่งคงฉีกมาจากแขนเสื้อและชายเสื้อนักบวชตามที่ต่างๆ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ แกะพวกมันออก
แอชลีนน์หลุดเสียงร้อง
บนร่างกายเปลือยเปล่าของมาลิอามีรอยแผลมากมาย มากกว่ารูอาร์ค มากจนนึกไม่ออกเลยว่าแม่มดดำจะรอดชีวิตมาได้อย่างไร ...นอกจากรอยดาบเล็กๆ น้อยๆ บนแขนขา กับรอยขนาดใหญ่ที่พาดผ่านบ่าแล้ว ยังมีแผลไหม้จนเนื้อลอกเป็นสีแดงบนด้านหนึ่งของหน้าท้องด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่อุ้มร่างเล็กปวกเปียกของเด็กสาวออกมาจากโพรงไม้ บอกให้เจ้าหญิงปูผ้าคลุมบนพื้นหญ้าด้านนอก และจัดให้เรียบ ก่อนที่เขาจะวางร่างของแม่มดลงนอนหงายเหยียดยาวบนนั้น
ครั้นแล้ว อาเมียร์ก็ชักมีดสั้นของตนออกมา ขีดเป็นวงกลมรอบผืนผ้า เขาแตะที่รอยขีดนิ่งอยู่เบาๆ ก่อนจะชักมือออก และทิ้งตัวลงนั่งภายนอกวงกลมนั้น
“ข้าใช้เวทหยุดเวลาไว้ คงพอถ่วงได้อีกสักพัก ได้แต่หวังว่าวิธีของลูเธียนจะได้ผล”
เจ้าหญิงนั่งลงข้างๆ เขา
“แล้ว...มนตร์มืดไม่มีมนตร์รักษาเลยหรือ” เธอถามแล้วก็ขยายความ “ข้า...เคยได้ยินว่าราชินีสิมาริเมสรักษาคนเจ็บป่วยได้ไม่ใช่หรือ ไม่ได้จำกัดแค่คืนชีพให้แก่คนตายนี่นา”
“นั่นไม่ใช่การรักษา” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ “สิ่งที่มนตร์มืดทำได้คือ ‘คงที่เวลา’ และ ‘ย้อนเวลา’ เท่านั้น คนที่ได้รับความเป็นอมตะจากอีกด้านหนึ่งของเสด็จแม่ยังคงมีอายุเท่าเดิมเพราะเวลาของร่างกายถูกหยุดไว้ และเวลาเป็นแผล ร่างกายก็จะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพก่อนได้รับแผล”
“แล้วถ้า...ย้อนเวลาให้คนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะ” หญิงสาวตั้งคำถามอีกครั้ง
เขาสั่นศีรษะทันที
“เขตอาคมหยุดเวลาในปัจจุบันยังทำให้มันเลิกทำงานได้ แต่ถ้าข้าย้อนเวลาให้ร่างกายของรูอาร์คกับมาลิอา และคงที่มันไว้ก่อนทั้งสองคนจะได้รับบาดเจ็บ...เวลาของทั้งสองคนนั้นจะไม่มีวันเดินไปข้างหน้าอีก นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ...มากพอๆ กับร่างกายใหม่ที่สร้างขึ้นจากเงาดำ เมื่อร่างกายเดิมตายไปแล้วนั่นล่ะ”
แอชลีนน์เงียบไป
“ที่พ่อกลับมาแก่ชราได้อีก อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีที่สุดแล้วก็ได้” อาเมียร์พูดเรียบเรื่อย “เพราะเขาเอามือไปรับดาบที่อาบพลังศักดิ์สิทธิ์แทนข้า เมื่อตัดเหนือรอยแผลก่อนพลังแสงจะลามไปทำลายทั้งร่างกาย พลังย้อนจึงรักษาได้แค่บาดแผลตรงที่ขาดไป แล้วก็สลายไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องแลกด้วยแขนทั้งข้าง”
เขาพูดถึงตอนนั้นก็มีเสียงกีบเท้าม้าดังเข้ามาใกล้ และทั้งสองหันไปเห็นลูเธียนจูงม้าของตนเดินเข้ามา
นักบวชหนุ่มไม่พูดอะไรเมื่อเห็นเขตอาคมที่เจ้าชายแห่งความมืดทำไว้ และเพียงแต่รื้อค้นของบางอย่างจากกระเป๋าของตน จำพวกถุงหนังใส่น้ำและผ้าสะอาด ซึ่งคงจะขอมาจากหมอที่จวน ตรงเข้ามาหาทั้งสอง
“อาเมียร์ ท่านล้างแผลให้มาลิอาที ข้าจะเบิกพลังให้เจ้าหญิง”
ชายหนุ่มรับคำเบาๆ ก่อนจะรับถุงน้ำไป ส่วนหญิงสาวหันเข้าหาลูเธียนซึ่งทรุดกายลงนั่งข้างหน้าตน
ในมือของเขามีสร้อยประคำร้อยจี้ตราของซาเกรดา โซลซึ่งมีขนาดใหญ่ และฝังแก้วผลึกสีส้มแดงรูปวงรีเหมือนไข่อยู่ที่กึ่งกลาง เม็ดย่อมกว่าไข่นกกระทาไม่เท่าใดนัก
ในผลึกนั้นมีแสงสีทองหมุนวนเริงรำ งดงามราวกับแสงแดดที่ไหวระริกยามส่องผ่านม่านใบไม้
“นี่คือแก้วสุริยะ เป็นหินผลึกที่ผ่านพิธีกรรมอัญเชิญพลังของสุริยเทพมาสถิตอยู่ มีเพียงนักบวชชั้นสูงที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครอง และเป็นเครื่องมือประกอบพิธีการต่างๆ รวมทั้งพิธีเบิกมนตรา” พระมหาเถระอธิบาย ก่อนจะบอกให้เจ้าหญิงหลับตาลง และนั่งตัวตรง ปล่อยร่างกายตามสบาย
แอชลีนน์ทำตาม เธอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลึกๆ เป็นจังหวะ ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นรวมอยู่ที่หน้าผาก และแผ่ซ่านออกมา
ในมโนภาพเหมือนจะปรากฏแสงสว่าง แสงซึ่งเหมือนรออยู่ที่ปลายอุโมงค์มืดมิด ลูเธียนบอกให้เธอไปให้ถึงแสงนั้น และจับมันไว้ ประคองมันไว้ในสองมือ
ความอบอุ่นค่อยๆ อาบที่ฝ่ามือซึ่งเจ้าหญิงวางไว้บนตัก ราวกับอยู่ใต้แสงแดดอ่อนๆ ของยามรุ่งเช้า อบอุ่นราวกับจับผ้าเนื้อนุ่มอุ่นไว้ในสองมือ ทว่าไม่ได้ร้อนเสียจนชื้นเหงื่อเหนอะหนะ
“ลืมตาขึ้น”
แอชลีนน์ทำตามนั้น ก่อนจะยกสองมือของตนขึ้นมองอย่างประหลาดใจ
แสงสีทองที่เรืองรองบนฝ่ามือของเธอราวกับอาบอังตะเกียงสว่างวาบขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ดับหายไป
“นี่มัน...”
“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าท่านเป็นสายเลือดขององค์สุริยเทพ เบิกพลังให้ท่านยังง่ายกว่านักบวชชั้นพระเถระเสียอีก” ลูเธียนเปรย ก่อนจะขยับเปลี่ยนท่าตนเองให้หันหน้าเข้าหามาลิอา ซึ่งเวลานี้อาเมียร์คงล้างแผลและใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งเรียบร้อย “เดี๋ยวข้าจะสอนวิธีการใช้มนตร์รักษาให้ อาจจะเหนื่อยสักหน่อย แต่ไม่ยากเลย...ขอเพียงท่านนึกถึงแสงสว่างเมื่อครู่ให้มั่น และหวังให้คนรับการรักษาหายดีอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้นเอง”
* * * * *
เวลาคงผ่านไปหลายชั่วยามแล้วหลังจากดับตะเกียง ทว่าดูลัสยังได้แต่พลิกตัวไปมาบนเตียงของตน
เขาเหน็ดเหนื่อยอ่อนเปลี้ย และรู้ดีว่าพรุ่งนี้ต้องรีบออกเดินทางแต่เช้า กระนั้นก็ยังไม่อาจหลับได้ลง ยังคงนึกถึงสิ่งที่ไม่อยากย้อนนึก และสิ่งที่ไม่อยากคาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป
งี่เง่าสิ้นดี
ชายหนุ่มเคยค่อนขอดความรักของเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนในวิทยาลัย เคยดูถูกคนที่ยอมให้ความรักมีอำนาจเหนือตน จนกระทั่งเมื่อผิดหวังก็ดื่มเหล้าเมามาย ฟูมฟาย ปล่อยผลการเรียนการสอบของตนตามยถากรรม เคยรู้สึกว่าความรักของหนุ่มสาวเป็นเรื่องไร้สาระ และหาความมั่นคงแน่นอนอย่างไม่ได้ที่สุด
ทว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเจ้าหญิงไม่เคยเป็นเช่นนั้น เขาภักดีต่อพระองค์ และหวังเพียงจะดูแล ปกป้องพระองค์ให้ปลอดภัย ปลอบโยนให้ทรงพระสำราญ ก็เท่านั้นเอง
นั่นคือสิ่งที่เขาเคยคิด จนกระทั่งรู้ว่าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นจากเขาเลย
แต่กลับต้องการจากคนทรายนั่น
ดูลัสอยากร้องไห้ แต่ก็บอกตนเองว่าจะร้องไห้ไม่ได้ ...ร้องไห้แล้วอย่างไร ทุกสิ่งจะดีขึ้นหรือ เขาจะดูน่าเห็นใจมากขึ้น น่าสมเพชน้อยลงหรือ ไม่เลย ไม่แม้แต่นิด
ชายหนุ่มไม่เคยหวังคำปลอบโยนอยู่แล้ว พ่อมีแต่บอกว่าเขาต้องเข้มแข็งดั่งหินผา มิเช่นนั้นจะปกครองดูแลอุลทูร์ซึ่งเป็นปราการทางทะเลให้แก่ธีร์ดีเรได้อย่างไร ส่วนแม่มีแต่บอกว่าเขาต้องพยายาม ศึกษาเรียนรู้ตามที่พ่อกำชับไว้
ดูลัสอดคิดไม่ได้ถึงตอนที่ตนเองยังเล็ก วิ่งเล่นซุกซนแล้วก็หกล้มหัวเข่าแตก เขาร้องไห้ หวังว่าพ่อซึ่งเดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลจะดึงตนขึ้นมา แต่ก็ไม่ ...พ่อส่งสีหน้าแข็งกร้าวให้เขา บอกว่าล้มเองก็ต้องลุกขึ้นเอง
แม่จะเข้ามาช่วย พ่อก็พูดเสียงแข็งว่าไม่ต้อง แม่จึงได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ จนเด็กชายตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเอง
แต่ครั้นเขาจะวิ่งไปให้แม่ปลอบ พ่อก็ยังตวาดซ้ำว่าไม่ต้อง
ต้องลุกขึ้นเอง และต้องไม่อ่อนแอให้ใครเห็น
พ่อให้เขาฝึก ฝึก และฝึกเพื่อการนั้น ขณะที่ระยะห่างระหว่างเด็กชายกับแม่ค่อยๆ ขยายกว้างออกไป ยืดยาวออกไปทุกที
และขาดสะบั้นลง ในชั่วยามที่ดูลัสรู้ว่าแม่พลัดตกจากระเบียงเสียชีวิต เมื่อเขามีอายุเพียงสิบสองปี
มีข่าวตามมาแว่วๆ ...ว่าอาลักษณ์หนุ่มซึ่งขอลาออกกะทันหันหลังการตายของแม่หายสาบสูญไปในไม่ช้า
พ่อไม่เคยบอกว่าเกิดอะไรขึ้น และพูดเพียงว่าข่าวลือก็คือข่าวลือ ความจริงที่มีอยู่มีเพียงแม่ของเขาตายไปแล้ว ส่วนดูลัสจะมามัวแต่อ่อนแอ โศกเศร้าถึงคนตายย่อมไม่เกิดผลดีอะไร
มีแต่การฝึกฝนเรียนรู้ มุ่งไปข้างหน้า ก้าวต่อไป และต่อไป
ไม่มีความรัก ไม่มีผู้หญิง ...ดูลัสไม่รู้จะชอบพอใคร ในเมื่อรู้ดีว่าคู่ชีวิตของตนต้องเป็นคนที่บิดาจัดหาให้ เขาไม่อยากมีคนรักหรืออนุภรรยา ผู้หญิงล้วนแต่มีเรื่องจุกจิกยุ่งยาก
เขารู้สึกเช่นนั้นมาตลอด จนวันที่ตระหนักว่าตนเองอยากอยู่เคียงข้างเด็กหญิงคนหนึ่ง
เด็กหญิงน้อยไร้เดียงสา ร่าเริงราวกับนกตัวเล็กๆ ...แต่ขณะเดียวกันก็อยู่สูงสุดเอื้อม สูงจนมิบังอาจ สูงจนไม่บังควร
เด็กหญิงคนนั้นสูญเสีย เด็กหญิงคนนั้นอ่อนแอ เด็กหญิงคนนั้นร้องไห้ ดูลัสจึงได้อยากปลอบโยนเธอ ...แม้ตัวเขาเติบโตมาโดยไร้คนปลอบโยน แต่เธอเป็นเด็กผู้หญิง จึงควรได้รับการปลอบโยนปกป้องไม่ใช่หรือ
ยิ่งพ่อแม่และพี่ชายของเธอล้วนฝากเธอไว้กับเขา ดูลัสจึงยิ่งรู้สึกแรงกล้าว่าตนต้องปกป้องเธอ ปกป้องเธอตลอดไปจนชั่วชีวิต ด้วยชีวิตของเขาเอง ทุ่มเททั้งชีวิตของเขาให้กับเธอ และภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของเธอ
แล้วคนทรายนั่นเป็นใคร มาจากที่ใด มันฉกฉวยเธอไปโดยไม่สนสิ่งใด ฉีกกระชากกฎเกณฑ์ ทำลายสิ่งที่เขาได้มาด้วยการเคี่ยวกรำฝึกฝนตนอย่างหนัก มันช่าง...
“ใช่แล้ว มันช่างหน้าด้านจริงๆ พระคู่หมั้นดูลัส”
ชายหนุ่มผุดลุกจากเตียงทันที เมื่อได้ยินเสียงอันไม่คาดฝันนั้น
บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเล็กๆ ในห้อง มีเงาร่างสีขาวนั่งอยู่...โดยที่เจ้าของห้องไม่รู้เลยว่าเข้ามาได้อย่างไร
“ข้าเข้ามาได้อย่างไร คงไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ข้าตั้งใจมาพูดกับท่านกระมัง พระคู่หมั้นดูลัส” ชายชราในชุดขาวหัวเราะน้อยๆ ขณะโบกมือให้แสงตะเกียงบนโต๊ะข้างเตียงของเขาลุกไหม้โชนแสงขึ้นเอง
“เจ้าต้องการอะไร” ดูลัสถามเสียงเครียด และชักมีดสั้นที่ซ่อนไว้ใต้หมอนออกมาทันที
หางตาปรายมองไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท ...เขารู้ดีว่าย่อมมีนักรบเรเวนเฝ้าอยู่ข้างหน้านั้นตลอดเวลาตามคำสั่งของฟีอาครา จึงได้สงสัยว่าควรส่งเสียงเรียกออกไปหรือไม่
“ไม่มีทางหรอก ข้าร่ายมนตร์ป้องกันไม่ให้ใครได้ยินการสนทนาของเราเป็นอันขาด ส่วนเรื่องที่ว่าข้าต้องการอะไร ไม่สำคัญไปกว่าท่านต้องการอะไรหรอกนะ” นัยน์ตาสีฟ้าเรืองของมาดายจ้องตรงมาทางเขา “ข้าผิดหวังในตัวท่านจริงๆ พระคู่หมั้นดูลัส เพียงเพราะเรื่องจดหมายแค่นี้...ท่านก็จะปล่อยให้ความพยายามของพ่อท่าน และชีวิตมากมายที่เขาสละไปเพื่อการนั้นต้องสูญเปล่าแล้วหรือ”
“ข้าไม่ต้องการเป็นราชาด้วยวิธีคดโกง” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน และจดปลายมีดออกมาข้างหน้า พร้อมกระโจนใส่ชายอีกคนในห้องได้ทุกเมื่อ “และเจ้าหญิงก็ทรงทราบแล้วว่าท่านพ่อร่วมมือกับคนมีเวทมนตร์ทำเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่นานคงจะสาวมาถึงตัวท่านแน่”
“แล้วอย่างไร”
“ซาเกรดา โซล จะเผาท่านทั้งเป็นในฐานะพ่อมดนอกรีต ในทันทีที่จับกุมท่านได้”
พระเถระชราเพียงตอบด้วยเสียงหัวเราะร่วน
“ขำอะไร!”
“เมื่อครู่ท่านยังกลัวเจ้าหญิงจะทรงเกลียดชังท่าน ซ้ำยังคร่ำครวญว้าวุ่นว่าจู่ๆ ไอ้คนทรายนั่นมาแย่งของรักของท่านทำไม แต่พอข้ามาเสนอความช่วยเหลือฉันมิตร ท่านกลับขู่ฟอดๆ ใส่ข้า ราวกับแมวที่ถูกเสือไล่ต้อนจนมุมเสียอย่างนั้น”
ชายหนุ่มขบฟันอย่างสุดกลั้น
“ข้ามี ‘เวลา’ น้อยนะ พระคู่หมั้นดูลัส” มาดายลุกขึ้นยืน แล้วก็ยักไหล่ “แต่หากท่านถามว่าข้าต้องการอะไร...ข้าต้องการให้ท่านร่วมมือกับข้า เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม เพื่อให้เจ้าหญิงทรงปลอดภัย และเป็นราชินีของท่านอย่างสมบูรณ์”
“เจ้าจะหลอกลวงอะไรข้าอีก!”
“หลอกลวง? ข้าเคยหลอกลวงอะไรท่านหรือ พระคู่หมั้นดูลัส ข้าอุตส่าห์ยอมให้ท่านรู้ความจริง ว่าบิดาของท่านเป็นคนเปิดเส้นทางให้ท่านมีสิทธิ์เอื้อมถึงเจ้าหญิงที่ท่านรักหรอกนะ” ใต้แสงตะเกียง ใบหน้าซีกหนึ่งของชายชราดูจะเหยียดยิ้ม “แล้วในเมื่อพวกคนทรายนั่นใช้มนตร์ดำพาเจ้าหญิงไปจากท่าน ข้าก็จะยินดีจะใช้มนตร์ช่วยให้ท่านได้เจ้าหญิงคืนมาเช่นกัน”
เหงื่อเริ่มผุดพราวขึ้นข้างขมับของดูลัสด้วยความตึงเครียด ขณะที่พระเถระชราหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุม
เป็นขวดแก้วเล็กๆ สูงเพียงหนึ่งฝ่ามือ ภายในบรรจุน้ำยาสีใสราวกับน้ำเปล่า
มาดายชูขวดแก้วให้ชายหนุ่มดูครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ แล้วพูดต่อไป
“ไม่ใช่ยาพิษอย่างที่ท่านคิดหรอก พระคู่หมั้นดูลัส แต่เป็นยานอนหลับ และ...ยาที่จะทำให้เจ้าหญิงรักท่าน เมื่อได้เห็นหน้าท่านเป็นคนแรกหลังตื่นจากบรรทมต่างหาก”
ครั้นดูลัสเอาแต่ส่งสายตาเคลือบแคลงตรงมา ชายชราก็หัวเราะอีกครา
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ท่านจะเอาไปให้ใครลองดื่มก็ได้ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ ไม่ว่าชีวิตใดก็ไม่มีทางจบสิ้นเพราะยานี้เด็ดขาด...แต่หากใช้กับคน ก็จงระวังอย่าให้เขาเห็นท่านเป็นคนแรกเสียแล้วกัน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะเกิดปัญหาเกินแก้ก็เป็นได้”
“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามียาแบบนี้มาก่อน” ชายหนุ่มแย้ง
“เช่นเดียวกับที่ท่านไม่เคยรู้ว่าเวทมนตร์มีจริง และชายคนทรายนั่นสามารถใช้มันพาตัวเจ้าหญิงไปจากท่านได้เพียงใต้จมูก แค่วันเดียวก่อนท่านได้สมรักกับพระองค์เช่นนี้เอง”
ดูลัสต้องสะกดกลั้นโทสะเป็นอย่างหนัก กับคำตอบที่จงใจยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด
“หากท่านใช้ยานี้กับเจ้าหญิง ปัญหาที่ทำให้ท่านว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับในคืนนี้ก็จะอันตรธานไปในทันที ...เจ้าหญิงจะยินดีเป็นราชินีของท่าน โดยที่คนทรายนั่นไม่อาจแย่งนางไปจากท่านได้อีก”
“ตกลงนี่มันยาวิเศษอะไรกันแน่”
มาดายยักไหล่อีกครา
“พระคู่หมั้นดูลัสไม่เคยได้ยินหรือ คำโบราณว่าไว้ ว่าการครอบครองสตรีนั้นทำได้สามรูปแบบ หนึ่ง...ใช้กำลังหักหาญ สอง...ใช้อำนาจหรือทรัพย์สินบังคับให้นางยินยอม และสาม...ทำให้นางยินดีมอบกายให้ด้วยความรัก” เอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของนักบวชชราก็แผ่วเบาราวกับกระซิบซาบ ทว่ายังคงได้ยินชัดเจน “ยานี้จะทำให้เกิดผลประการที่สาม”
ความร้อนผ่าวฉีดขึ้นใบหน้าและทั่วร่างของชายหนุ่มในทันที
“หมายความว่าอย่างไร”
“อะไรกัน ท่านไม่เคยฟังเคยอ่านตำนานของทริสตันกับอิโซลท์ และยาแห่งรักที่ทำให้ต่างฝ่ายตกอยู่ในห้วงรักอย่างแรงกล้าจนไม่อาจหักห้ามเลยรึ”
ดูลัสไม่ตอบ แม้ชาวธีร์ดีเรส่วนมากย่อมรู้เรื่องนี้ ...ตำนานรักต้องห้ามของอัศวินนามทริสตัน กับเจ้าหญิงอิโซลท์ผู้ที่จะเป็นชายาของลุงของเขา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองดื่มเหล้าซึ่งควรเป็นเหล้ามงคลในพิธีเสกสมรสด้วยความพลาดพลั้ง
นั่นเป็นเหล้าปรุงด้วยเวทมนตร์ซึ่งพระมารดาของเจ้าหญิงเตรียมไว้ เพื่อพันผูกให้เจ้าหญิงสามารถรักพระสวามีวัยคราวพ่อได้แนบสนิทใจ
และนั่นเอง ที่ทำให้ชีวิตของอัศวินกับเจ้าหญิงผู้ลอบรักกันใต้ฤทธิ์ยามนตราต้องประสบหายนะในท้ายที่สุด
“อัศวินและเจ้าหญิงในตำนานรักคนที่ไม่ควรรัก แต่ท่านเป็นผู้ชนะในพิธีสยุมพร เจ้าหญิงจึงควรเป็นของท่านมาแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อยานี้ทำให้พระองค์รักและยินดีเสกสมรสกับท่าน คนทรายนั่นก็ไม่อาจขวางทางท่าน หรือเรียกร้องอะไรได้อีกต่อไป ไม่มีเหตุให้พ่อของท่านทำลายธีร์ดีเรอีก ไม่มีสงคราม และท่านก็สามารถครองคู่ดูแลเจ้าหญิงไปได้ชั่วชีวิต ตามที่ท่านต้องการ” นักบวชชราเอ่ยเรียบเรื่อย “ยาในขวดนี้มีส่วนผสมสองส่วน ส่วนแรกเป็นยานอนหลับ ซึ่งจะมีฤทธิ์อยู่ราวสามชั่วยาม ส่วนหลังนั้นเป็นยาที่จะทำให้เจ้าหญิงทรงรักชายคนแรกที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเมื่อตื่นจากบรรทมหลังสามชั่วยามนั้น หลังจากนั้น ไม่ว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระองค์ พระองค์ย่อมยินยอม...ไม่สิ...ยินดีด้วยซ้ำ ใช่จะเหมือนครั้งที่พระองค์ทรงผลักไสเมื่อท่านจุมพิต หรือคืนที่ท่านอารักขาเจ้าหญิงแอชลีนน์กลับพระราชวังหลวง...ซึ่งท่านพลาดโอกาสครอบครองนางในรูปแบบแรกไปโดยสิ้นเชิง เพราะความขลาดเขลาของตัวท่านเองต่างหาก”
ดูลัสพลันรู้สึกสะอิดสะเอียน รังเกียจทั้งผู้พูดและตนเองที่มีความปรารถนาดำมืดเช่นนั้นขึ้นมาในทันที
ใช่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเคยคิด ในเวลาที่เฝ้าดูพระองค์อยู่เพียงลำพัง ในรถม้า ในยามราตรี ไฟที่แผดเผาใจยิ่งพลุ่งพล่าน...เมื่อเผลอนึกไปว่าเจ้าคนทรายได้ล่วงล้ำก้ำเกินพระวรกายของพระองค์ไปแล้วหรือไม่
คงมีแต่ความทรงจำในครั้งที่มาดายเกือบฆ่าเขาได้โดยไม่ต้องเข้าใกล้เท่านั้นเอง...ที่ยังรั้งร่างของอดีตราชองครักษ์ไว้อยู่
“ลองตัดสินใจดูเถอะนะ พระคู่หมั้นดูลัส” มาดายเอ่ยพลางเดินตรงไปที่หน้าต่างห้องพัก ซึ่งเวลานี้เปิดกว้างเพื่อรับลมในคืนฤดูร้อน “เจ้าหญิงแอชลีนน์ตรัสว่าทรงไม่อยากให้เกิดสงคราม...ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ดีว่าท่านแฟคท์นามีแต่จะยิ่งก่อสงครามเมื่อเรื่องลอบปลงพระชนม์ถูกเปิดโปง นี่คือหนทางที่ดีที่สุดทั้งต่อท่าน เจ้าหญิง และธีร์ดีเร ท่านไม่เห็นด้วยกับข้าเลยหรือ”
ไม่มีคำตอบจากดูลัส พระเถระชราวางมือทาบลงบนกรอบหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ยานั้น ข้าจะฝากไว้กับท่าน และจะรอดูว่าท่านจะเลือกใช้มันเพื่อความสุขของตัวท่านเอง หรือสารของเจ้าหญิง...เพื่อจุดไฟสงครามบนแผ่นดินธีร์ดีเร”
เปลวไฟในตะเกียงส่งเสียงฟู่...ก่อนจะดับวูบไปในทันใด
ชายหนุ่มเผลอหันขวับไปทางตะเกียงดวงนั้น
เมื่อหันไปทางหน้าต่างอีกที ก็ไม่ปรากฏมาดายหรือใครอยู่ที่นั่นอีกต่อไป ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงการเล่นสนุกของภูตพรายในคืนฤดูร้อนเท่านั้น
ทว่าขวดใสใบหนึ่งยังคงตั้งอยู่บนโต๊ะ เสมือนหนึ่งหลักฐานยืนยันเพียงอย่างเดียว ว่าดูลัสไม่ได้ฝันไป
* * * * *
คนเขียนขอคุย
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ
ในฐานะคนเขียน รู้สึกเหมือนนอนรอไอเดียตอนนี้มาในรูปแบบแปลกๆ แฮะ
ตอนนี้เป็นตอนที่มีไอเดียแรกชัดเจนที่สุดคือฉากของดูลัส แต่ก็เขียนฉากนี้เป็นฉากท้ายสุด เพราะรู้สึกว่าควรจะอธิบายสถานการณ์ทางกระรอกเจ็บกับแม่มดก่อน จึงต้องไปค้นวิธีรักษาพยาบาลแบบยุคกลางมาเป็นแนว ซึ่งก็ทำเอาซี้ดปากแทนรูอาร์คกันเลยทีเดียว (แต่เจ้ากระรอกคงบอกว่าคนเขียนแค่สูดปาก ตัวกระรอกเองสิร้องอ๊ากลั่นแถมมีรอยไหม้บนตัวเพิ่มอีกที่ ^^a)
ในตอนนี้ก็เป็นตอนแรกที่มีช่องทางอธิบายหลักการของมนตร์มืดในตำนานอาณาจักรมนตรา คือเวทมนตร์อมตภาพ และมนตร์ฟื้นคืนชีพ รวมทั้งแง้มๆ ถึงแก้วสุริยะ ที่มีหลักการเดียวกับผลึกสุริยะในเรื่อง The Sun Seeker ด้วย เรียกได้ว่าโยงกันเป็นใยแมงมุมเลยทีเดียว
หวังว่าเรื่องที่แอชสามารถใช้พลังแสงสว่างและพลังเยียวยาได้จะปูมาพอสมควร จนไม่กะทันหันเกินไปนะครับ (ที่จริงคือวนลูปมาหลายรอบจนแอชมีพลังเพิ่มขึ้นมากแล้วนั่นแหละ เลยทำได้...เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ^^a)
ด้านของดูลัส เขียนความในใจของหมอนี่แล้วก็รู้สึกว่าต้องมีวนมาโทษอาเมียร์ในสักแวบสินะ ส่วนตำนานที่มาดายพูดถึง คือเรื่องของ Tristan กับ Iseult ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในตำนานอัศวินโต๊ะกลมของพระเจ้าอาเธอร์ โดยทริสตันเป็นอัศวินโต๊ะกลมคนหนึ่ง และรักโศกนาฏกรรมของทั้งคู่ก็ถูกเล่าขานในฉบับต่างๆ กัน
ยาของมาดายจะทำให้แอชรักดูลัสจริงหรือไม่ และดูลัสจะยอมใช้ยานั้นกับเธอ หรือฟีอาคราจะเผลอดื่มเข้าไปแทน (???) โปรดติดตามชมต่อไปครับผม :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
9 พ.ค. 54 21:31:45
|
|
|
|