เสียงเพรียกหา...บทที่๑ เจ้าหญิงนิทรา
|
 |
สวัสดีค่ะ..เราเพิ่งได้เข้ามาเยือนถนนนักเขียนครั้งแรกเลย..หลังจากที่ลงให้blogมาเยอะแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง..๕๕๕+
ชื่อเรื่องออกจะแปล่งๆนิดหน่อย เพราะยังหาชื่อถูกใจไม่ได้..
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ พร้อมติชมวันล่ะนิด คนเขียนแจ่มใสค่ะ . .......................................................... บทที่๑ เจ้าหญิงนิทรา
ความชุลมุนเมื่อครู่ได้คลายลงไปแล้ว เหลือไว้เพียงความเงียบสงัดและฟ้ามืดยามราตรีที่ถูกเเสงเทียมไล้จนลุกสว่าง แต่ความวุ่นวายสับสน แว่วเสียงไซเรนที่ตีมวนอยู่ในอกกลับทวีกำลังเเรงขึ้นเรื่อยๆ
ผมย่ำเท้าพล่านไปมาบนพื้นโถงนี่นานเท่าไรแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมกระวนกระวายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งความรู้สึกผิดก็เริ่มเข้ากัดกินหัวใจเข้าแล้วเสียด้วย ผมไม่ได้ทำร้ายเธอ แต่ผมรู้สึกแย่ที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้มากไปกว่านี้ อินเทิร์นอย่างผมไม่อยากเอาความไม่ชำนาญเข้าไปเสี่ยงกับชีวิตคนแบบนั้น
ใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาว เปรอะเลือดและบาดแผลฉกรรจ์ปาดละเลงจนแยกเค้าเดิมไม่ออกยังคงติดตรึงในมโนคติ ประตูบานใหญ่เปิดไล่ภาพนั้นให้จางไปในอากาศ ปรากฎชายผิวคล้ำผู้หุ้มกายด้วยชุดสีเขียว คาดหน้ากากอนามัยเหลือไว้เพียงดวงตาลุกวาว " พี่ชาติ...คนไข้เป็นยังไงบ้าง" พี่ชาติฟังคำถามนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เม็ดเหงื่อผุดไหลอาบแก้มกร้านของเขา ผมมองถุงมือยางเปื้อนเลือดคู่นั้นอย่างรอฟังคำตอบ " มีเศษกระสุนฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ...ผ่าออกแล้วล่ะ แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร เนื้อสมองช้ำมาก คงต้องให้อาจารย์มาดู" ดวงตาของเขาฉายแวววิตกอย่างชัดเจน ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากผมสักเท่าไร
" ก็ยังดีที่ผมไม่ตัดสินใจลงมือผ่าเอง..ถ้าพี่ไม่มาคนไข้อาจทรุดลงกว่านี้" ยิ้มประหลาดผุดบนริมฝีปากของรุ่นพี่ มือที่ปราศจากถุงมือตบบนบ่าของผมเป็นเชิงปลอบใจ " อย่าโทษตัวเองเลย...ตอนพี่เป็นอินเทิร์นเหมือนแกทรหดกว่านี้อีก บางเคสเราก็ทำไม่ได้จริงๆต้องให้อาจารย์มาดูก็มีบ่อยไป ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ" ผมยิ้มแห้งรับคำ คราวนี้มันเกินความสามารถของผม การตัดสินใจโอนเจ้าของไข้ให้พี่ชาติเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว ร่างบางบนเตียงถูกเข็นผ่านหน้าผมไป คล้ายกับภาพนั้นฉายเชื่องช้า หญิงสาวภายใต้ผ้าพันแผลและเครื่องมือสะกดให้ไม่สามารถถอนสายตาออกมาได้ ม่านหมอกสีดำแผ่ปกคลุมโถงสว่างจนสลัวลงอย่างเยือกเย็น ลมหนาวปะทะกายปานแท่งน้ำแข็งบาดผิว ยิ้มบางแสยะทาบบนริมฝีปากซีดคล้ำ เธอยิ้ม....หรือ? ผมสะบัดศีรษะไล่ภาพนั้นออกไป แสงนีออนยังคงติดสว่างรอบกาย แผ่นหลังของพนักงานเวรเปลเคลื่อนลับหายไปจนสุดทางเดิน
นี่..ผมเป็นอะไร...
พี่ชาติกลับหลังเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง ผมตามชายในเสื้อคลุมสีเขียวผ่านประตูไปด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า พยาบาลสาวยังคงขะมักเขม้นกับการทำความสะอาดเครื่องมือบนถาดโลหะ ชายร่างใหญ่ถอดชุดออกอย่างใจเย็นก่อนจะล่วงออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก พลันสายตาสะดุดเข้ากับเศษโลหะชิ้นเล็กบนถาดเคลือบเงา ถ้าเดาไม่ผิด มันคงเป็นเศษของหัวกระสุนที่พี่ชาติกล่าวถึง ขอบกลมมนสีเงินเหลือบด้านเปรอะคราบเลือดเกรอะกรังนอนนิ่งอย่างสงบ เธอจะเจ็บปวดขนาดไหน ผมไม่อยากคาดฝันวาดจินตนาการถึงมัน พยาบาลสาวคีบมันหย่อนลงในถุงซิบก่อนจะยื่นมันมาให้ผม นี่ล่ะ-หลักฐาน ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยให้การตามตัวผู้ต้องหาง่ายขึ้นเท่าไร เพียงแต่เป็นเรื่องยืนยันถึงลักษณะการก่อเหตุอันเจตนาเอาชีวิตก็เพียงเท่านั้น มันมีประโยชน์กับการตั้งข้อหากับคนที่ยังหาตัวไม่เจอ " นี่ต้องเป็นคดีใหญ่เเน่ๆ" พี่สุนัน-พยาบาลวิสัญญีที่ผมสนิทด้วย เอ่ยขึ้นมา พลางควานหาของในกระเป๋ากางเกงที่เปลี่ยนแล้วของผู้ป่วยสาว " ไม่มีอะไรเลย...บัตรประชาชนก็ไม่มี" จริงของเขา ในกระเป๋าทุกช่องที่มีไม่ปรากฎหลักฐานใดที่แสดงความเป็นตัวเธอเลยสักอย่าง เธอเป็นใคร เหมือนคำตอบตกในหุบเหวดำมืด
" อย่างนี้จะทำโอพีดียังไงครับเนี่ย" ผมถามเธอ พยาบาลหญิงผละจากเครื่องมือตรงหน้า ก่อนไล้สายตาอาบซองกระสุนในมือของผม ปลายนิ้วของเธอจรดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
" ก็ต้องรอ..รักษาต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะดีขึ้น ระหว่างนี้ก็ให้พวกประชาสัมพันธ์ตามหาญาติมาจัดการเรื่องคดี" ทำได้เพียงรออย่างนั้นหรือ ทำไมระบบถึงได้เชื่องช้าอย่างนี้ ป่านนี้ฆาตกรคงหลบหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพียงแต่ช่วยได้เท่าที่ช่วยตามอัฒภาพและสิทธิที่พึงกระทำ จะไปก้าวก่ายระบบของเบื้องบนหรือเร่งเร้าอะไรก็คงจะไม่ได้
นอกเสียจาก..
หญิงสาวคนนั้นจะมีแรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต้องการความช่วยเหลือ....
แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 12:47:26
จากคุณ |
:
พลเมืองตัวน้อย
|
เขียนเมื่อ |
:
10 พ.ค. 54 14:28:13
|
|
|
|