มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๙ : เจ้าชายแห่งธาตวากร
|
 |
++ แอบลั้นลาดีอกดีใจช่วงนี้ เพราะได้ยินข่าวว่า มีการจัดพิพม์นิยายขนาดสั้น (หรือว่าเรื่องสั้นขนาดยาวหว่า) เรื่อง แว่วเสียงรายา ของคุณลุงพนมเทียนออกมาแล้ว เรื่องนี้เขียนได้งดงามมาก อินมีฉบับพิมพ์ครั้งแรกปี 2497 ยังนึกเสียดายเลยว่า ทำไมไม่มีใครคิดเอามาพิมพ์ซ้ำอีก พอได้ยินข่าวนี้ ดีใจมากมาย 555+
เอาล่ะ หลังจากเพ้อ+เวิ่นเว้อมาพอสมควร มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะคะ ^^ ++
บทที่ ๙ : เจ้าชายแห่งธาตวากร
บนคุ้มหลวงมืดมิดไม่มีผู้ใดมาตามประทีปชวาลาให้สว่างดุจเคย ผู้เป็นเจ้าของคุ้มนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจนัก มือใหญ่เลื่อนมาแตะที่ด้ามดาบก่อนจับแน่นอย่างพร้อมที่จักดึงมันออกมาทุกเมื่อ นี่ทหารหายหน้าไปที่ใดกัน จึงปล่อยให้คุ้มหลวงร้างไร้ผู้คนดุจคุ้มร้างเยี่ยงนี้ ความสงัดเงียบผิดปรกติของคุ้มทำให้เขาเริ่มไม่ไว้วางใจ จริงอยู่ว่าตนนั้นได้ครอบครองเวียงแลมีอำนาจเหนือชาวเวียงตองเทียนทุกผู้ แต่นั่นเป็นการปกครองเพียงร่างกายหาใช่จิตใจ ก็ผู้ใดเล่าจักยอมตนอยู่ใต้อำนาจผู้รุกรานข่มเหงได้ตลอดไป สิ้นแสนหลวงไปสักคนก็มิได้หมายความว่าจักไม่มีคนที่คิดการกอบกู้เวียงเช่นเดียวกันอยู่ เพียงแต่เพลานี้เขายังไม่แน่ชัดเท่านั้นว่ามีผู้ใดอีกบ้าง การทลายกองกำลังลับเมื่อหกเพ็ญที่ล่วงมานั้น ทำได้เพียงให้คนเหล่านั้นซ่อนตัวสงบนิ่งรอโอกาสอันดีเท่านั้น ไม่ต่างอันใดกับความสงบก่อนพายุจักตั้งเค้าสักน้อย
อัคนีจรดฝีเท้าย่างเหยียบขึ้นบันไดคุ้มช้าๆ ความไม่ชอบมาพากลที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ นำพาให้หนึ่งในสี่ขุนพลเอกแห่งธาตวากรกระชากดาบออกจากฝักกระชับแน่นในมือ นอกจากแสงจันทร์ข้างขึ้นที่ทอผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้ก่อให้เกิดเงาวูบไหวของกิ่งต้นพิกุลที่ปลูกไว้รอบคุ้ม แลเงาของตนเองแล้ว ก็มิได้ปรากฏเงาของสิ่งมีชีวิตอื่นใดให้เห็นอีกเลย ร่างสูงเดินแนบหลังกับผนังคุ้ม นัยน์ตามองกวาดไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง ตราบจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูห้องซึ่งเคยเป็นห้องบรรทมของเจ้าหลวงบุญวงศ์ มือใหญ่เอื้อมแตะแผ่นไม้ก่อนผลักให้เปิดผางออกด้วยกำลังแรง นอกจากความมืดแลความเงียบแล้ว ก็ไม่ปรากฏสิ่งใดขึ้นอีกเลย หากจักมีก็คงเป็นเสียงถอนใจหนักๆ ของตนเองเท่านั้น เขาเคลื่อนตัวผ่านเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ได้ความว่าอย่างใด อัคนี
อัคนีสะดุ้งขึ้นสุดตัว เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เจนโสตดังมาจากทางด้านขวาของห้อง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเตียง เสียงคล้ายหินเหล็กไฟตีขึ้นอยู่สองสามคำรบ แสงเล็กๆ ของเทียนก็ส่องสว่างขึ้น ขุนพลธาตวากรเย็นเยือกไปทั้งตัว ได้แต่ยืนนิ่งไม่ติงกาย มีเพียงนัยน์ตาเท่านั้นที่มองจ้องการเคลื่อนไหวของแสงเทียนที่กำลังจ่อกับชวาลาซึ่งตั้งอยู่ที่ตั่งเล็กข้างเตียง กระทั่งเมื่อแสงสว่างมากขึ้นแลสาดต้องดวงหน้าของผู้บุกรุกเห็นชัดเจน ร่างสูงถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องนั่นเอง
จ...เจ้าชายศิขริน
ข้าเอง ฤๅเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด
บุรุษผู้ทรงพระนามเจ้าศิขรินยังคงประทับนิ่งบนเตียง พักตร์เข้มสมเป็นชายชาติทหารมิได้ปรากฏพระอารมณ์ใดๆ ออกมาให้อีกฝ่ายเห็นสักน้อย เนตรสีน้ำตาลไหม้ในกรอบเนตรกว้างนั้นมิได้ฉายแววใดๆ ยังคงนิ่งสงบประดุจน้ำในสระลึก เกศาดำยาวที่ทรงรวบไว้อย่างง่ายๆ รุ่ยร่ายด้วยเจ้าตัวมิเคยใส่พระทัย
เอ้า! ว่าอย่างใดเล่า ข้าถามไยไม่ตอบ
สุรเสียงยังคงห้วนสั้นดุจเคย อัคนีเพิ่งได้สติรีบวางดาบแล้วถวายความเคารพเร็วรี่
ข้าบาทมิได้คิดว่าจักเป็นพระองค์ กระหม่อม
หึ!
เจ้าชายเสด็จมาแต่เมื่อใด กระหม่อม
นานแล้ว มาตั้งแต่เย็น มองหาเจ้าไม่เจอเลยเดินดูโน่นนี่จนมาถึงที่นี่ เจ้าพวกนั้นเห็นข้าก็ทำราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน ถามไถ่ได้ความว่าเป็นที่พักของเจ้า เลยถือวิสาสะเดินขึ้นมา เพลียก็เลยนอนอยู่จนเจ้าเข้ามานั่นแหละ เจ้าชายศิขรินตรัสบอก
อ้าว! แล้วไยมิทรงให้เจ้าพวกนั้นไปตามข้าบาทล่ะ กระหม่อม
จักทำให้มากความไปด้วยเหตุใดรึ อย่างใดเจ้าก็กลับมาอยู่แล้ว อ้อ! เจ้ามิต้องตามคนพวกนั้นมาลงโทษค่าที่มิได้อยู่อารักขาข้าหรอกนะ ข้าเป็นคนสั่งพวกมันเอง
อัคนีเพิ่งเห็นผ้าปูที่นอนที่มีรอยยับย่น นี่ก็อีก จักเสด็จไปเสด็จมามิทรงเคยบอกกล่าวกันล่วงหน้า ทรงทำราวกับว่าเสด็จประพาสอุทยานก็มิปาน บางคาบคราก็ทรงทำพระองค์ 'ง่าย' เสียจนน่าหนักใจ เจ้าชายศิขรินทรงลุกขึ้นเสด็จไปทรงยืนพิงกรอบหน้าต่าง สองกรสอดอยู่กลางอุระ ทอดพระเนตรความมืดเบื้องหน้าราวมิได้ใส่พระทัยอันใด หากอัคนีรู้ดี ภายใต้ท่าทีสงบเย็นดั่งนี้ซ่อนไว้ซึ่งความแรงร้อนที่พร้อมปะทุออกมาทุกเมื่อ ทรงทำดั่งนี้ทุกคราวที่รอสดับคำตอบที่จักรับสั่งถามเพียงคำรบเดียว เป็นหน้าที่ของผู้ตอบที่ต้องจดจำเอาเองว่าทรง 'ถาม' เอาไว้ว่าอย่างใด หากจำไม่ได้แล้วไซร้ ก็จักตรัสเพียงประโยคสั้นๆ ว่า
หัวเจ้าจดจำสิ่งใดมิได้แล้วนี่
เท่านั้นเอง คนผู้นั้นก็จักถูกกุมตัวไปเอาหัวที่ใช้การไม่ได้นั่นออกเสียจากตัว อัคนีกลืนน้ำลายเหนียวหนับลงคออย่างยากเย็นเมื่อพยายามทบทวนว่าผู้เป็นนายทรงถามอย่างใดไว้บ้าง พักตร์เข้มดุผินกลับมาทอดพระเนตรคนสนิทนิ่งอยู่จนอีกฝ่ายแทบหายใจไม่ทั่วท้อง หลังจากทบทวนอยู่สักครู่ก็ทูลตอบ
ยังตามหาไม่พบ กระหม่อม ข้าบาทคิดว่าพวกมันน่าจักหนีไปนอกเขตเวียงตองเทียนแล้ว แลไม่น่าจักอยู่ในแถบเมืองใกล้เคียงนี้ด้วย ซึ่งข้าบาทไม่อาจส่งทหารติดตามไปนอกเขตนี้ได้ กระหม่อม
แล้วเจ้าไม่คิดทำอย่างใดเลยรึ
ข้าบาทเชื่อว่าพวกมันจักหวนคืนมาแน่ ข้าบาทเตรียมพร้อมทุกขณะจิต ทิวาใดที่มันกลับมาเหยียบเมือง นั่นจักเป็นทิวาสุดท้ายที่มันจักมีลมหายใจ ข้าบาทขอถวายคำมั่นว่าจักตัดหัวของมันมาถวายให้จงได้ กระหม่อม
เพลานี้มันยังไม่กลับมา เจ้าก็กลับไปธาตวากรกับข้าสักเพ็ญสองเพ็ญเป็นไรไป
กลับ? ทรงหมายความว่า...
ทุกสิ่งพร้อมแล้ว ขุนพลทั้งสี่ขาดเพียงเจ้าผู้เดียว ศิรา ปาษาณ อนิล ล่วงหน้าไปรออยู่สามสี่ทิวาแล้ว ขาดก็แต่เจ้าคนเดียวข้าเลยมารับ
มิจำต้องถามว่าขุนพลแห่งธาตุทั้งสามนั้นกลับคืนธาตวากรด้วยวิธีใด ขุนพลแห่งไฟก็นึกรู้โดยทันที ก็คงไม่พ้นวิธีเดียวกันกับเขานี่ล่ะ เพราะสามคนนั้นไม่มีทางที่จักกลับธาตวากรโดยมิได้ส่งข่าวให้เขารู้แน่ อัคนีนึกขันในใจเมื่อคิดว่า ถึงเขาจักมิได้กลับไปธาตุทั้งสี่ก็ครบถ้วนบริบูรณ์ดีอยู่แล้ว ด้วยไฟธาตุตรงหน้าเขานี้แรงร้อนกว่าตนเองเป็นทวีตรีคูณ ควรจักได้พระนามอัคนีมากกว่าเขาเสียอีก
เจ้าหลวงวายุกูลทรงทราบหรือไม่ว่าเจ้าชายเสด็จมาที่นี่ กระหม่อม
ไม่มีพระวาจาใดตอบกลับมา นอกจากเสียงสรวลหยันๆ ในพระศอเท่านั้น ก่อนจักทรงหันกลับไปสนพระทัยความมืดภายนอกอีกคำรบ อัคนีลอบถอนใจยาว อันที่จริงเจ้าหลวงวายุกูลจักทรงทราบฤๅไม่ก็มีค่าเท่ากัน ในเมื่อลูกผู้พี่พระองค์นี้เจ้าชายศิขรินมิทรงเคยทอดพระเนตร หรือแม้แต่จักทรงคิดว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอยู่แล้ว
ข้าบาทจักให้คนขึ้นมาจัดห้องพระบรรทมแลยกพระกระยาเสวยมาถวาย กระหม่อม
ขุนพลธาตวากรทูลลาแล้วผลุบออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เจ้าหลวงศิขรินทอดพระเนตรตามหลังคนสนิทอย่างขันๆ รอยแย้มพระโอษฐ์จางๆ ที่ปรากฏขึ้นน้อยหนึ่งนั้นช่วยให้พักตร์เข้มดุดูอ่อนโยนลง พักตร์ที่มิเคยมีข้าราชบริพารคนใดแม้กระทั่งคนสนิทได้เห็นจากพระองค์ เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรบนผืนฟ้าอันดารดาษด้วยดารา สุดสายพระเนตรทางด้านทักษิณทิศนั้น ดวงดาวสีแดงอมส้มทอแสงสุกสกาวแทบว่าจักกลบข่มแสงของดาวดวงอื่น ด้วยดาวดวงนั้นคือดาวประจำพระองค์เจ้าชายศิขรินนั่นเอง
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
10 พ.ค. 54 16:06:41
|
|
|
|