Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพลงพริบตา 5 ติดต่อทีมงาน

เพลงพริบตา

5

เสียงถอนหายใจหนักหน่วงจากหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พาสายตาของพริบตากลับไปมองอีกครั้ง หลังจากวางโทรศัพท์และเพิ่มข้อตกลงเรื่องชื่อเล่นแล้ว เจ้าของบ้านสาวก็กลับไปนั่งถอนหายใจเฮือก ๆ อยู่มุมทำงาน แม้ว่าเขาจะเอากระเป๋าไปเก็บอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมานั่งอ่านนิตยสารซึ่งถูกส่งมาพร้อมกระเป๋า หญิงสาวก็ยังคงอยู่ในกิริยาเดิม พริบตาวางนิตยสารในมือ มองแผ่นหลังของหญิงสาวอย่างชั่งใจก่อนตัดสินใจลุกเดินไปหาเมื่อเห็นว่าหญิงสาวถอนหายใจอีกเฮือก

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับยุง ?” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาว้าวุ่น สีหน้าอ่อนเหนื่อย

“จะช่วยได้ยังไงในเมื่อคุณชอบผู้ชาย” โมเรศเอ่ยเสียงขุ่น พริบตาหน้ายู่ก่อนรีบยิ้มกลบเกลื่อน

“แต่ผมก็ชอบผู้หญิงด้วยนะครับ” เขาแย้งเสียงยิ้ม “ถ้ายุงอยากรู้อะไรเกี่ยวกับ...ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ผมตอบได้หมดแหละ” แววขุ่นขึ้งว้าวุ่นของโมเรศจางหายแทบจะทันทีที่ได้ยิน หญิงสาวจ้องเขม็งยังชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาเปี่ยมหวัง

“แน่นะ ?!” ถามอย่างลิงโลด พริบตายกมือขึ้นกอดอกสีหน้าอมภูมิ

“รับรองว่าอยู่กับพริบ ครบถ้วนทุกกระบวนท่า คุ้มค่าทุกสตางค์แน่นอน !” คำรับรองแปลกจนต้องนิ่วหน้า แต่ความยินดีมีมากกว่าโมเรศจึงโยนข้อกังขาเก็บเข้าลิ้นชัก หญิงสาวหันหน้าเข้าหาจอคอมพิวเตอร์นิ้วมือเตรียมพร้อมรัวคำพิมพ์

“คืออย่างนี้นะ ฉันกำลังเปิดตัวพระรองของเรื่อง แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะให้เป็นคนแบบไหนดี...งั้นขอยืมคุณก็แล้วกันนะ” โมเรศกระตือรือร้นรัวพิมพ์สิ่งที่คิดทันที “ตอนนี้คุณช่วยกด...อืม...อารมณ์ชอบผู้ชายไว้ก่อนนะ ฉันขอส่วนที่ชอบผู้หญิงก่อนตกลงไหม ?”

“ได้เลยครับผม พริบพร้อมเพื่อยุงอยู่แล้ว ถามมาได้เลย”

“คุณ...ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอ ?” เสี่ยงส่งคำถามแรกหลังจากใคร่ครวญแล้ว โมเรศก็ได้แต่กลั้นใจรอฟังคำตอบ หล่อนยอมรับกับตัวเองล่ะว่าที่ถามไปไม่ใช่เพียงต้องการพระรองในนิยาย หล่อนเองก็อยากรู้ด้วย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากรู้...เพราะรู้สึกแบบนั้นหลังถามแล้วจึงพยายามไม่เหลือบมองคนนั่งใกล้ นิ้วก็แสร้งรัวพิมพ์อักษรบนแป้นคีย์บอร์ดโดยไม่หวังผลว่ามันจะรวมเป็นคำให้อ่านออกหรือมีความหมายหรือไม่

“ผู้หญิงแบบที่ผมชอบหรือครับ...อืม...” คำลากยาวทิ้งท้ายของชายหนุ่มเร่งจังหวะการเต้นของหัวใจโมเรศอีกครั้ง แม้ว่าสายตาจะยังคงจับแน่วที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และนิ้วยังพิมพ์รัว “อย่างแรกเลยผมชอบผู้หญิงผมสั้น” เพียงคำตอบแรกก็ทำให้นิ้วของโมเรศสะดุดจากการรัวพิมพ์เป็นข้าวตอกแตกเหลือเพียงการจิ้มกอกแกก...แค่คำตอบข้อแรกก็อดคิดเปรียบกับตัวเองไม่ได้ เพราะช่างห่างไกลจากหล่อนเหลือเกิน เจ้าผมที่ขมวดขยุกขยุยอยู่บนหัวนี่ถ้าปล่อยหวีดี ๆ ยาวถึงกลางหลังเลยทีเดียว.... “เหตุผลที่ชอบ เพราะเวลาอยากจูบจะได้ไม่ต้องพะวงว่าต้องรวบหรือปัดผมยาวเกะกะออกก่อน” คำตอบตามมาฉุดโมเรศให้กลับมารัวนิ้วพิมพ์อีกครั้ง...มันคือข้อมูลของงาน...หญิงสาวคิดบอกตัวเองในใจ

“ผมชอบผู้หญิงที่มีเวลาว่างให้ผมเยอะ ๆ เพราะผมเป็นลูกคนกลางที่ขาดความอบอุ่นมาก” ...นี่ก็ไม่ใช่หล่อนอีกล่ะ เพราะตลอดเวลาของหล่อนคืองานซึ่งจะบันดาลเงินให้ในที่สุด “โดยเฉพาะความอุ่นจากอ้อมกอดนุ่ม ๆ ยิ่งชอบ” ...เออ...สงสัยคู่รักฝ่ายชายของเขาคงเป็นหนุ่มร้อนไฟแรงแน่ ๆ โมเรศคิดค่อนแคะในใจ

“ผู้หญิงที่ผมชอบไม่จำเป็นต้องเก่งงานบ้าน ไม่ต้องทำอาหารเก่งก็ได้ เพราะผมกลัวว่าจะถูกขุนเป็นหมูในอนาคต”...นี่ยิ่งไม่ใช่หล่อนแน่ ๆ เพราะนอกเหนือจากการเขียนนิยาย หล่อนชอบทำกับข้าว ทดลองทำอาหารสูตรใหม่ ๆ แล้วก็ไล่หาคนชิม “ในความคิดผมถ้าผู้ชายอ้วน ๆ เวลา ‘อย่างนั้น’ ผู้หญิงคงหนักแย่” คำต่อท้ายของชายหนุ่มคราวนี้ โมเรศถึงกับหยุดพิมพ์หันมองหน้าคนพูดเต็มตา

“เดี๋ยว ๆ นี่...ตกลงผู้หญิงที่คุณชอบไม่ต้องทำอะไรนอกจากเรื่องอย่างว่าหรือไง !” หญิงสาวแขวะมองค้อนปะหลับปะเหลือก พริบตาหน้าเหวอก่อนตอบคำที่ทำเอาคนฟังอ้าปากค้าง

“ใช่ !” ตอบรับอย่างมั่นอกมั่นใจแล้ว พริบตาก็สะดุดกับกิริยาของหญิงสาว เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยอ้อมแอ้ม “ก็...เพื่อนนะบอกว่ายุงต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้น...ไม่ใช่หรือครับ ?” โมเรศกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนถอนหายใจยืดยาว...หนักอกยิ่งกว่าตอนคิดงานเมื่อครู่เสียอีก หญิงสาวคิดปลง ๆ

“มันก็ใช่...แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดมาฉันว่า...มันมากไป”

“ไม่เป็นไรครับ ผมลดได้ ยุงต้องการระดับไหนสั่งได้เลย” พริบตาบอกอย่างใจป้ำ แต่คนฟังได้แต่ใจแป้ว...ตกลงคิดผิดหรือเปล่าหนอเรา...กำลังปลงตกถอนหายใจ เสียงครืดคราดจากคนใจป้ำก็ดังแทรก เมื่อหันไปมองก็เห็นเพียงรอยยิ้มแหย “แต่ว่า...ก่อนจะมีโปรโมชั่นให้เลือก...กระเพาะควรเต็มเปี่ยมไปด้วยอาหาร พลังงานถึงจะเกิดนะครับ” โมเรศหัวเราะเบา ๆ เมื่อฟังจบ หญิงสาวเซฟเก็บข้อมูลแล้วก็ผุดลุกขึ้นเดินเข้าครัว

“งั้นก็รอแป๊บละกัน ฟังเสียงท้องแล้วคงต้องใช้เมนูเร่งด่วนล่ะ” หญิงสาวพึมพำงึมงำก่อนเดินหายเข้าครัว ครู่ใหญ่กลิ่นหอมก็โชยกรุ่นทั่วบ้าน กลิ่นนั้นเหมือนมือกวักเรียกให้ชายหนุ่มเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ครัว หลังแอบเมียงมองแล้วเห็นว่ากับข้าวเสร็จเรียบร้อย พริบตาก็ไม่รอให้แม่ครัวเรียก ตรงเข้าไปหยิบจานกับข้าวทยอยวางบนโต๊ะ ตักข้าวใส่จานวางเรียง รินน้ำบริการเรียบร้อย...แม้ไม่เอ่ยคำใด แต่สีหน้าเต็มยิ้มของหญิงสาวก็บอกให้รู้ว่าพอใจอยู่มิใช่น้อย

“เจ้านี่เรียกอะไรครับยุง ?” พริบตาเอ่ยถามเมื่อเริ่มลงมือตักข้าวเข้าปาก โมเรศมองตามจานที่ถูกชี้ก่อนตอบ

“เต้าหู้เหลือขอ” หญิงสาวบอกอย่างปลื้มเปรมอมยิ้มให้กับอาหารจานใหม่

“ทำไมเต้าหูถึงเหลือขอล่ะครับ ?”

“คือว่าในตู้เย็นเหลือผักเหลือเนื้ออย่างละนิดละหน่อย จะทิ้งก็เสียดาย จะเอาไปทำกับข้าวก็คงได้จานเล็ก ๆ มีเต้าหู้อย่างเดียวที่เหลือเป็นชิ้นเป็นอัน ฉันก็เลยทอดเต้าหู้ แล้วก็จับทุกอย่างมาผัดรวมกันราดลงบนเต้าหู้ กลายเป็นอาหารจานใหม่ เต้าหูเหลือขอ คือทำมาจากของเหลือไงล่ะ” โมเรศอธิบายตบท้ายด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ

“ยุงเก่งจังครับ ผมดูไม่เออกเลยว่ามันทำมาจากของเหลือ หน้าตาน่ากินออกอย่างนี้” พริบตาบอกอย่างทึ่งจัดพลางตักกับข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“แหงล่ะ ฉันชอบทำอาหารนี่นา” โมเรศบอกอวด ๆ ยืดอกอมยิ้มภาคภูมิ คนฟังยิ้มตอบส่งสายตาชื่นชมไม่ปิดบัง มีแววประหลาดไหลวูบวาบบนเม็ดนิลคู่สวย...ไม่ใช่แสดงดวาวตกหล่นเหมือนเช่นทุกครั้ง...แต่เห็นแล้วอุ่นวาบไปถึงหัวใจ !

“ดีเลยครับเพราะผมชอบกิน” พริบตาบอกจริงจัง หลุบตามองจานของกินประกอบคำพูด กิริยานั้นทำให้โมเรศไม่อาจเห็นแววประหลาดจากเม็ดนิลคู่นั้นได้อีก

“งั้นก็กินสิ ฉันทำให้คุณ” โมเรศบอกพลางเลื่อนจานกับข้าวไปตรงหน้าชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น...สุขใจเมื่อมีคนรอกินกับข้าวฝีมือตัวเองจนลืมสนิทใจว่า...ก่อนหน้านั้นชายหนุ่มเคยพูดอะไรไว้

‘ผู้หญิงที่ผมชอบไม่จำเป็นต้องทำอาหารเก่งก็ได้’

พริบตากวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยว เหลือบมองจานว่างเปล่าด้วยสายตาสุดแสนเสียดาย สายตาที่ทำให้คนชอบทำกับข้าวอย่างโมเรศเห็นแล้วอดรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ เหมือนดังเช่นเคยเมื่อมื้ออาหารจบลง พริบตาอาสาเป็นคนเก็บล้างโดยรุนหลังเจ้าของบ้านให้ออกไปจากห้องครัวซึ่งโมเรศก็ไม่ได้อิดออดแต่อย่างใด หลายครั้งที่ผ่านมาบอกได้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มเก็บล้างทำความสะอาดห้องครัวไว้ใจได้

ออกมานั่งจุ้มปุ้กอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์งานของโมเรศก็ยังกะพริบวิบวับ ตัวอักษรเรียงรายบนหน้าจอกำลังยิ้มยั่วยวนชวนให้หล่อนยื่นนิ้วไปสัมผัสปุ่มคีย์บอร์ดเพื่อเพิ่มจำนวนผองเพื่อนให้กับมัน จะว่าไปโมเรศก็อยากทำอย่างนั้นใจจะขาด...ติดอยู่ตรงที่...อารมณ์ของหล่อนตอนนี้มันสุนทรีย์เกินกว่าจะเขียนฉากรันทดของนางเอกตั้งท้องอ่อน ๆ กำลังหาวิธีง้อชีคซาตานจอมเถื่อนที่เข้าใจผิดด้วยคิดว่านางเอกนอกใจจนไม่ยอมร่วมรักด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วที่นางเอกไม่ยอมเป็นเพราะ...เจ็บเล็บขบ...เอ...นิยายรักเกาะขอบเตียงหรือซาตานคอมมิดี้กันแน่หว่า ?

“ถึงไหนแล้วครับ ? ถึงตอนที่ผมควรช่วยหรือยัง ? เรื่องถนัดของผมน่ะ” คำถามทะลุภวังค์พร้อมถ้อยใจความถามไถ่พาลให้โมเรศเผลอสะดุ้งหันขวับไปมองคนพูดซึ่งเห็นจากหางตาก่อนหน้านั้นว่ามายืนอยู่ใกล้ ๆ

...ถ้าโมเรศจะรู้สักนิดว่าชายหนุ่มตัวสูงไม่ได้ทำเพียงยืนใกล้ ๆ แต่เขายังโน้มตัวลงมายื่นหน้ามาอยู่ใกล้ ๆ หล่อนคงไม่รีบร้อนหันไปจนพบระยะห่างระหว่างใบหน้าเพียงชั่วลมหายใจกั้น...แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้...หัวอกหัวใจไหวกระหน่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

...หลุมดำสองหลุมเล็ก ๆ นั่นทอประกายแสงดาวอีกแล้ว...

หยุดคิดซะ ! เขาเป็นเกย์ !

...จมูกโด่งได้รูปสวยชะมัด...อยากลองสัมผัสดูสักครั้งจัง...

เขาสนจมูกผู้ชายมากกว่า ! เขาเป็นเกย์ !

...ริมฝีปากหนาได้รูปกำลังยกยิ้ม...ทำไมมันดูยั่วยวน...โอย...อยากคิดลามกได้ไหม...อยากสัมผัส...

โอ๊ย ! เขาเป็นเกย์นะ !

ลนลานกับความคิดตัวเองจนลืมไปว่ากำลังอยู่ในระยะใกล้ชิด...กระทั่งหลุมดาวชวนมองเริ่มเปลี่ยน...แสงดาววิบวับในนั้นเลือนหายไป โมเรศเห็นคล้ายกับว่ามีลูกไฟดวงน้อย ๆ กำลังก่อตัวกลางเม็ดนิลคู่นั้น และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวรีบผงะถอย อารามรีบร้อนมือเผลอปัดเอากล่องใส่ดินสอล้มกลิ้ง ดินสอกระจายเกลื่อนโต๊ะ

“อุ๊ย...อ๊ะ !”

คำแรกอุทานด้วยความตกใจ ส่วนคำหลังอุทานด้วยความตกใจมากกว่า เพราะขณะที่โมเรศกำลังเอี้ยวตัวหมายไปเก็บดินสอกลับเข้ากล่อง มือใหญ่ข้างหนึ่งของพริบตากลับกวาดคว้าดินสอเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว อะไรก็ไม่น่าตกใจเท่ากับว่า ณ ขณะนี้แขนแข็งแรงข้างหนึ่งของเขาเท้าพนักเก้าอี้ของหล่อนไว้ ร่างท่อนบนโน้มพาแขนไปเก็บของ ศีรษะของโมเรศปะทะเข้ากับแผงอกว้างที่หล่อนเคยนึกสงสัยถึงความหนั่นแน่นของมันเข้าเต็มเปา !

แม้พยายามก้มศีรษะลงเพื่อให้แผงอกซึ่งหล่อนรู้สึกถึงความแน่นตึงบ้างแล้วเพื่อเพิ่มระยะห่าง แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเข้าใจว่านั่นคือการเปิดทางให้เขาได้ยื่นไปเก็บดินสอได้ถนัดยิ่งขึ้น...โมเรศได้แต่อึดอัดกับระยะประชิดโดยไม่ทันตั้งตัวครั้งที่สองซึ่งเกิดขึ้นห่างกันในเวลาไม่กี่วินาที...ไม่ใช่ว่าหล่อนรังเกียจอะไรหนักหนาหรอก จะว่าไปมันก็...ก็รู้สึกดีกับอาการหัวใจเต้นแรงแบบที่เป็นอยู่...แต่มันก็แผ่วทันทีเหมือนกันเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่า...เขาเป็นเกย์

“ว่าไงครับ ถึงตอน...นั้น...หรือยัง ?” คำถามของพริบตาพร้อมการเก็บดินสอกลับเข้ากล่องเรียบร้อย และถอยอกกว้างกลับไปอยู่จุดเดิมโมเรศได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ยังหรอก พระเอกนางเอกทะเลาะกันอยู่” ตอบพร้อมขยับท่านั่งใหม่อย่างผ่อนคลาย พริบตาพยักหน้ารับหงึกหงัก ยื่นหน้าไปใกล้จอคอมพิวเตอร์กวาดสายตาอ่านคำพิมพ์ ไม่นานคิ้วเข้มก็ขมวดยุ่ง

“นางเอกหรือเปล่าครับนี่ ?” พร้อมคำถามชายหนุ่มชี้ไปยังบทบรรยายบนหน้าจอ โมเรศพยักหน้ารับโดยไม่หันไปมองคนถาม เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นก่อนพริบตาจะพูดต่อ “นางเอกของยุงนี่ เป็นกระดาษหรือเปล่าครับ ?” คราวนี้คนถูกถามตวัดตาขุ่นไปมองทันที

“หาเรื่องหรือไง !” เสียงถามเขียวปัดไม่แพ้กระแสสายตาจนชายหนุ่มอดสะดุ้งโหยงไม่ได้ กระนั้นก็ยังตอบคำอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อย่ามองอย่างนั้นสิครับ ผมสงสัยนี่นา ดูสิครับ...ร่างบาง แขนบาง เอวบาง ไหล่บอบบาง มือบาง ไม่ให้เข้าใจว่าเป็นกระดาษอย่างไรไหว บางทุกสัดส่วนอย่างนั้น...อ้อ...มีไม่บางอยู่สองที่...นี่ไง...หน้าอกอวบอิ่มกับสะโพกกลมกลึง” ไม่พูดเปล่ายังชี้นิ้วไปยังคำพิมพ์บนหน้าจอประกอบ โมเรศมองตามแล้วก็ได้แต่เม้มปากพูดไม่ออก เพราะเมื่ออ่านตามจุดที่ชายหนุ่มพูดมามันจริงทุกประการ

“ก็ มันเป็นพิมพ์นิยมนางเอกนิยายนี่นา” หญิงสาวบอกอ่อย ๆ หน้ายังตูม

“พิมพ์นิยมยังไงก็ควรใกล้เคียงกับคนตัวเป็น ๆ หน่อยสิครับ นี่ถ้าผมเป็นพระเอกนิยายหล่อเลือกได้นะ ผมขอนางเอกแบบไม่ต้องผอมบาง ไม่ถึงกับอวบ ‘มี’ ในสิ่งที่ควรมี นิสัยดีแค่นี้ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มบอกจริงจัง โมเรศกะพริบตาปริบ ๆ มองจ้องตัวอักษรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ได้แต่นิ่งเงียบพูดไม่ออกแม้ว่าคำของชายหนุ่มจะเจือแววล้อเล่นมากกว่านี้หล่อนก็คงจะนิ่งเช่นเดิม...เพราะนั่นคือความจริง

โมเรศไม่ปฏิเสธว่าตั้งแต่เปลี่ยนแนวจากการเขียนตำราอาหาร หันมาเขียนนิยารักโรแมนติกหวานแหววหลายเล่ม ก่อนจะเปลี่ยนมาเขียนนิยายรักเกาะขอบเตียงอีกหลายเล่ม ติดอันดับหนังสือขายดีก็หลายเล่ม หากนับจำนวนผลงานก็ร่วมยี่สิบเล่ม...หล่อนไม่กล้าย้อนกลับไปอ่านนิยายของตัวเองเท่าไหร่นักเพราะ...หล่อนเองก็ขัดใจกับบทบรรยายนางเอกบางเป็นกระดาษเหมือนที่ชายหนุ่มว่าเมื่อครู่ ใจจริงแล้วโมเรศก็อยากบรรยายนางเอกหรือพระเอกให้ดูสมจริงมากกว่านี้ แต่ปัจจัยหลายอย่างก็ทำให้หล่อนยังไม่สามารถทำอย่างใจหวัง

‘ยุง งานเสร็จหรือยัง ? เร่งหน่อยนะพี่ขอล่ะ เราต้องส่งโรงพิมพ์ให้ทันอาทิตย์นี้นะ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ทันออกบูท’

‘ยุง พี่ขอตัดไอ้บทบรรยายฉากนี้ นี้ นี้ ออกนะ มันทำให้หน้าเกินแล้วพี่ว่ามันก็ไม่จำเป็นกับเรื่องเท่าไหร่’

‘ยุง เอาฉากน้ำตาออกได้ไหม แทรกฉากจึ้กกะดึ๋ยแทนแล้วกันนะ คนอ่านชอบ’

‘ยุง เดือนหน้าขอพระเอกแบบเถื่อน ๆ กว่านี้หน่อยนะ เอาแบบโหดร้ายกับคนอื่นแต่รักนางเอกม้าก มาก ขอนางเอกแบบอ่อนแอขาเป็นน้ำเดินทีล้มทีต้องการการปกป้องมาก ๆ ด้วย’

คิดแล้วโมเรศก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนระอา...ตั้งแต่ริเป็นนักอยากเขียนมาจนป่านนี้...หล่อนได้เขียนในสิ่งที่ ‘อยาก’ บ้างหรือยังนะ...

“ถ้ายุงจะให้ผมเป็นพระรองในเรื่องนี้ ขอคู่พระรองแบบไม่บางเป็นกระดาษนะครับ” เสียงของพริบตาปลุกโมเรศให้ตื่นจากภวังค์

“ไม่ทันแล้วล่ะ ฉันเปิดตัวนางรองไปแล้ว กระดาษพอกันกับนางเอกนั่นแหละ แต่ร้อนแรงกว่าเอาไหมล่ะ ? ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไร ฉันปลดคุณออกจากเรื่องนี้ก็ได้ไว้ค่อยกลับมาแสดงใหม่เรื่องหน้าละกัน” โมเรศบอกขึงขัง

“แหม ผมก็อยากเล่นตัวหรอกนะ แต่โอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อย ๆ ด้วย อย่าปลดผมเลยนะครับยุง” คำอ้อนและกิริยาเว้าวอนของชายหนุ่ม โมเรศได้แต่หัวเราะเบา ๆ...เออเนอะ...บางทีเกย์ก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยเวลาเขาทำท่าหงุงหงิงแบบนี้ก็ให้รู้สึกเอ็นดูอย่างไม่ขัดเขิน...ถ้าเกิดว่าพริบตาไม่ใช่เกย์หล่อนคงรู้สึกแปลกพิลึกล่ะ !

“เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณมากที่คุณยอมช่วย สำหรับตอนนี้ถ้าคุณอยากช่วยจริง ๆ ฉันอยากได้เวลาสงบชนิดมาก ๆ เพราะต้องส่งงานพรุ่งนี้” โมเรศบอกจริงจัง และคนฟังอมยิ้มพยักหน้ารับพร้อมผุดลุกทันที

“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะกลับห้องและอยู่ให้เงียบที่สุด...เพื่อยุง”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนหันหน้าเข้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ จรดนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดและเริ่มเรียบเรียงความคิดเป็นคำพิมพ์ พริบตาขยับตัวหมายเดินกลับห้องดังบอกกับหญิงสาว กระนั้นสายตาก็อดเหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่หญิงสาวเพิ่มคำพิมพ์ไม่ได้ เขาได้แต่อมยิ้มก่อนเดินจากไปเมื่อประโยคแรกของย่อหน้าใหม่คือ...

‘ร่างบางยืนหันรีหันขวางก่อนมือบางจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ไหล่บางไหวสะท้านตามความรู้สึกหวาดหวั่นภายในใจ หล่อนเม้มริมฝีปากบางสูดหายใจลึกยาวก่อนเปิดประตูกว้าง เท้าบางย่างก้าวเข้าห้อง...’

...ก็ยังดีที่ไม่มีศีรษะบาง ชายหนุ่มคิดขำ ๆ ในใจ...






กลิ่นหอมกรุ่นโอบรอบบรรยากาศช่วงเช้าของบ้านลอยเข้าไปปลุกชายหนุ่มในห้องจนต้องรีบลุกล้างหน้าแปรงฟันด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า กลิ่นหอมแบบนี้ย่อมหมายความว่าเมื่อเขาก้าวออกจากห้องไปจะพบกับของกินอย่างแน่นอน เสร็จจากธุระส่วนตัวแล้วนั่นแหละ พริบตาถึงได้มองนาฬิกาและเพิ่งรู้ว่ายังไม่หกโมงเช้าด้วยซ้ำ เก็บความสงสัยออกจากห้องตรงไปยังครัวที่มีร่างคุ้นตาตักกับข้าวจากหม้อบรรจุถุงร้อน ข้าง ๆ มีถาดใบย่อมวางกับข้าวและข้าวสวยไว้หลายถุง

“อรุณสวัสดิ์ครับยุง ตื่นเช้าจัง” พริบตาเอ่ยทักทายพร้อมชะโงกหน้าไปมองกับข้าวในหม้อ หญิงสาวหันไปมองพร้อมตอบรับ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ จริง ๆ ฉันไม่ได้ตื่นเช้าหรอกค่ะ ยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก” คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก เบือนสายตาจากหม้อกับข้าวมองหน้าหญิงสาวทันที

“อะไรนะ ยังไม่ได้นอน !” น้ำเสียงตกอกตกใจของเขา โมเรศเพียงแต่อมยิ้ม มือก็สาละวนตักแกงใส่ถุง

“เรื่องปกติค่ะ อย่าแปลกใจเลย ช่วงใกล้กำหนดส่งฉันชอบเป็นแบบนี้แหละ...งานเพิ่งเสร็จตอนตีสี่มันเลยเวลาง่วงแล้ว ฉันเลยทำกับข้าวใส่บาตร...ไปใส่บาตรด้วยกันไหมคะ ?” ท้ายประโยคหญิงสาวเอ่ยชวน คำชวนนั้นทำให้สีหน้าตกใจของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเริงรื่นตื่นเต้น

“ไปครับไป ดีจริง...ตอนอยู่ที่โน่นเวลาอยากทำบุญต้องไปที่วัดไทยซึ่งก็อยู่ไกลแล้วผมก็ไม่ค่อยว่างด้วย” พริบตาบอกยิ้ม ๆ กุลีกุจอเข้าช่วย “มาครับ ให้ผมช่วยอะไร”

“ช่วยยกถาดก็แล้วกันค่ะ เพราะเสร็จแล้ว” โมเรศชี้ไปยังถาดพร้อมวางกับข้าวถุงสุดท้าย “ถ้าคุณอยากใส่บาตรอีกก็ได้นะคะ พระท่านผ่านหน้าบ้านเราพอดีไม่ต้องเดินไกล แค่ต้องตื่นเช้าหน่อยเพราะวัดอยู่ท้ายซอย บ้านเราอยู่ช่วงแรก ๆ ถ้าไม่ทันก็ต้องยกไปที่วัดเลย” โมเรศอธิบายพร้อมกับเดินนำคนถือถาดตรงไปหน้าบ้าน พริบตาพยักหน้ารับหงึกหงัก

เดินออกมาถึงประตูรั้ว โมเรศก็ยกโต๊ะไม้ตัวเล็กไปวางไว้หน้าบ้าน ชายหนุ่มยกถาดไปวางอย่างรู้งานขณะที่หญิงสาวชะแง้มองทางที่พระจะผ่านมา พริบตากลับจ้องถุงแกงเขม็ง

“นี่แกงอะไรครับ ?” โมเรศชะงักการชะแง้หันมามองถุงแกงก่อนตวัดตามองคนถามแล้วก็ได้อมยิ้มขบขัน

“แกงคะนึงหา...ฉันแกงไว้หม้อเบ้อเริ่มคุณไม่ต้องกลัวจะไม่ได้กิน” หญิงสาวบอกกลั้วหัวเราะ พริบตายิ้มแหยกับคำดักคอ

“ชื่อแกงเพราะดีนะครับ แต่หน้าตามัน...เหมือนแกงเขียวหวานกระป๋องที่ผมเคยซื้อกินที่โน่นเลยครับ”

“ก็แกงเขียวหวานนั่นแหละ แต่ว่ามันมีอะไรพิเศษที่คนกินต้องคะนึงหาคนแกง ฉันก็เลยตั้งชื่อใหม่ว่าแกงคะนึงหาไง” โมเรศอธิบายยังไม่คลายการหัวเราะ

“อะไรพิเศษหรือครับ ?” พริบตาถามอย่างสงสัยจ้องหน้าหญิงสาวรอฟังคำตอบ โมเรศยิ้มทั้งปากทั้งตาก่อนเอ่ยด้วยเสียงเจ้าเล่ห์

“ก็ลองกินดูก่อน...แล้วคุณก็จะรู้เองว่าเพราะอะไรพิเศษจนคนกินต้องคะนึงหาคนแกง” พูดจบก็หันไปชะแง้ต่อโดยไม่เห็นว่าคนฟังมีปฏิกิริยาอย่างไร

พริบตายังนิ่ง สายตายังจับมองกลุ่มผมยุ่งของหญิงสาวราวกับรอให้เจ้าหล่อนหันหน้ามาอีกครั้ง...เขารู้ดีว่ามีเพียงร่างกายเท่านั้นที่นิ่งเงียบสงบไม่กระโตกกระตากถึงสิ่งที่อยู่ในใจ...ซึ่งมันสวนทางกันโดยสิ้นเชิง..
.
“อุ๊ย พระมาแล้ว คุณใส่แกงนะเดี๋ยวฉันใส่ข้าว อ้อ อย่าลืมถอดรองเท้าด้วย” โมเรศบอกพร้อมคว้าถุงข้าวมาถือรอ เมื่อพระมาถึงหญิงสาวกำลังจะยื่นถุงข้าวลงบาตร มือใหญ่ของพริบตาก็กุมทับมือเล็กจนโมเรศสะดุ้งหันขวับไปมอง

“ใส่ด้วยกันเถอะครับ” คนพูดไม่มองสีหน้าตกตื่นของโมเรศเลยสักนิด ซ้ำยังออกแรงรั้งมือของหญิงสาวที่พยายามดึงออกด้วย “พระท่านรอนะครับ” พริบตาบอกยิ้ม ๆ ก้มหน้าลงมองเจ้าของมือที่เขาถือวิสาสะเกาะกุม โมเรศรีบวางถุงข้าวลงบาตร...ไม่รู้เพราะความรู้สึกตื่นกลัวแปลก ๆ ซึ่งเต้นกระหน่ำในหัวใจหล่อนตอนนี้หรือเปล่า...ได้แต่หวังว่าเมื่อพ้นวาระการใส่ข้าวถุงแรกแล้ว ชายหนุ่มจะกลับไปผลัดกันใส่เหมือนที่หล่อนบอกเมื่อครู่...ทว่า...โมเรศคาดผิด

พริบตาไม่มีทีท่าจะหยิบถุงกับข้าวใส่บาตรให้พระรูปแรก จนเห็นรอยยิ้มของพระ...จนเก้อกระดากจำต้องหยิบถุงกับข้าวและ...จำต้องยอมให้มือใหญ่ข้างนั้นยื่นมากุมไว้เช่นเคย...กระทั่งหมดข้าวถุง แกงร้อนและพระทุกรูปเดินห่างไปแล้ว โมเรศก็หันกลับมาจ้องเขม็งเอาเรื่องกับคนไม่รู้ความ อ้าปากเตรียมแว้ดค้างเพราะอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน

“สมัยเด็ก ๆ แม่ผมชอบจับมือผมใส่บาตรแบบนี้เลยครับ แม่บอกว่าเกิดชาติหน้าจะได้เจอกันอีก...เอ...สุภาษิตเขาว่าอะไรนะ...อืม...อะไรขัน ๆ ชาติ ๆ บาตร ๆ นี่ล่ะครับ”

“ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน !” โมเรศบอกเสียงลอดไรฟัน การพยักหน้ารับอย่างดีอกดีใจของชายหนุ่มยิ่งทำให้หล่อนโมโหกรุ่นยิ่งขึ้น “แล้วถามฉันก่อนหรือเปล่าว่าชาติหน้าอยากเจอคุณไหม !” พริบตาไหวไหล่สีหน้ายังแย้มยิ้มเมื่อเอ่ยตอบ

“ก็ไม่เป็นไรให้ผมเจอยุงคนเดียวก็ได้ ผมอยากเจอ” โมเรศกลอกตาเมื่อฟังจบ หญิงสาวสะบัดหน้าพร้อมกับพูดฉุนเฉียว

“โอย...พูดไม่รู้เรื่อง...ไม่ต้องกินแล้วแกงคะนึงหา จะเททิ้งให้หมดเลย !” พูดจบก็จ้ำอ้าวเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงเรียกและเสียงขลุกขลักจากคนข้างหลัง

“โอย...อย่าเทนะยุง ! ผมยังไม่รู้เลยว่าอะไรพิเศษต้องคะนึงหาน่ะ !” พริบตาร้องโหวกเหวกพลางคว้าถาดเปล่าและยกโต๊ะเล็กมาเก็บที่เดิม แม้จะกริ่วร้องไปอย่างนั้นแต่ใบหน้าของพริบตาก็ยังเต็มเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าแกงหม้อนั้นจะไม่ถูกเททิ้งแน่นอน...แต่ที่นึกรู้ขึ้นมาอีกอย่าง...ชื่อแกงคะนึงหาน่าจะเป็นเพราะคนรอกินคอยคะนึงอยู่ตลอดว่าในแกงมีอะไรพิเศษ...คิดพลางยิ้มกระหยิ่มกับตัวเอง...คนทำแกงจะรู้ไหม...ไม่ต้องทำอะไรเขาก็คะนึงหาอยู่มิรู้วาย...




“คุณทำอะไรบ๊อง ๆ กับแฟนแบบนี้บ่อยหรือเปล่า ?” คำถามห้วน ๆ เจือแววอยากรู้ของโมเรศทำให้พริบตาถึงกับสำลักน้ำแกงจนหน้าแดง เดือดร้อนคนถามต้องรีบยื่นแก้วน้ำดื่มให้ ดื่มน้ำจนลดอาการไอบ้างแล้วพริบตาก็เหลือบมองน้ำแกงซึ่งกระฉอกจากการสะดุ้งเมื่อครู่อย่างเสียดาย...เพราะกว่าจะยื้อหม้อแกงกับคนทำอารมณ์กรุ่นได้ก็นานโข

“แฟน ? แฟนใครครับ ? แล้วใครทำอะไรบ๊อง ๆ ?” ถามกลับหน้าเหวอพร้อมตักข้าวเข้าปากเคี้ยวไม่ยอมให้เสียเวลา

“ก็คุณไง ทำบ๊องเหมือนใส่บาตรเมื่อเช้า คราวหน้าถ้าจะทำแบบนี้เก็บไว้ทำกับแฟนรู้ไหม” โมเรศบอกเรียบ ๆ พริบตากลืนข้าวก่อนโบกมือปฏิเสธว่อน

“ใครมีแฟน ?! ผมโสด !” คำปฏิเสธพร้อมสีหน้าตกตื่นโมเรศเพียงปรายตามองก่อนตักข้าวเข้าปากเคี้ยวบ้าง...ไม่รู้ทำไมในหัวใจมันถึงเบา ๆ ลอย ๆ เมื่อได้ยิน...แต่...เฮ้อ...เลิกคิด ๆ เขาเป็นเกย์นะ...คิดเองเออเองโมเรศก็ได้แต่ถอนหายใจ พาลตื้อตันจนต้องรวบช้อน

“เอาเหอะ จะมีหรือยังไม่มีก็เก็บการทำบุญร่วมชาติของคุณไว้ทำกับแฟนแล้วกัน” หญิงสาวตัดบท “เดี๋ยวฉันต้องไปบ้านป้าแล้ว ถ้าคุณเบื่ออยู่บ้านจะออกข้างนอกอย่าลืมล็อกบ้านดี ๆ แต่ถ้าไม่ไปไหนฉันทำกับข้าวไว้อยู่ในตู้เย็นเอาออกมาอุ่นกินก็ได้”

“ครับแม่ !” คำตอบรับแสนจริงจังแย้งกับแววตาพริบพราวเห็นได้ชัด จนหญิงสาวขึงตาดุมองจึงรีบเอ่ยต่อ “วันนี้ผมไม่ออกจากบ้านครับ จะอุ่นกับข้าวกินจนหมดตู้เลย...แล้วก็...จะตั้งหน้าตั้งตารอยุงกลับบ้าน” ประโยคลงท้ายอ่อนอุ่นจนคนกำลังเก็บจานข้าวชะงักค้าง

“ไม่ต้องรอหรอก ฉันคงกลับดึก” โมเรศบอกพลางหลุบตามองจานข้าว

“ไม่เป็นไรครับ ดึกผมก็จะรอ อย่าเพิ่งถอดชุดสวยหรือว่าล้างหน้านะครับ ผมอยากเห็นยุงเวอร์ชั่นเซเลบสุดสวย” คำขอแสนแปลกชวนให้ตวัดตามองใหม่ แล้วโมเรศก็ได้แต่คิดขำ...สงสัยจะเป็นประเภทไม่ได้ใส่ชุดสวยขอให้ได้ยลก็พอกระมัง...เอ...หรือจะขอลองใส่เสียก็ไม่รู้...

“ฉันไม่รับปากหรอกนะ” หญิงสาวบอกปัด แต่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว...หล่อนก็อยากรู้เหมือนกันล่ะว่า เวลาเกย์เห็นชุดสวยแล้วจะออกอาการยังไง

“อ้อ...อย่าลืมกฎห้ามรับโทรศัพท์นะ” คำสั่งสุดท้ายหลังจากสาธยายสิ่งที่พริบตาต้องทำตามจนเก็บล้างจานชามเรียบร้อยจนเท้ากำลังจะออกจากบ้าน ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับเนือย ๆ

“คร้าบ” เขาลากเสียงยาวก่อนผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวขึ้นรถแท็กซี่ซึ่งโทรศัพท์เรียกให้มารับ ของตอบแทนก่อนจากคือการตวัดตามองค้อนซึ่งเขายิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน โบกมือส่งท้ายจนรถแท็กซี่พาผู้โดยสารลับสายตาไปแล้ว พริบตาก็เดินผิวปากกลับเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี แม้จะเพิ่งผ่านพ้นมื้อเช้าแต่เขาก็เริ่มเรียงลำดับของกินในตู้เย็นซึ่งเปิดสำรวจไปหนึ่งรอบไว้ในใจ

เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับกฎห้ามรับโทรศัพท์ เพราะเพียงก้าวเข้าตัวบ้านเสียงโทรศัพท์ก็ดังกังวานทักทาย พริบตาสะดุ้งมองโทรศัพท์เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน เขาท่องกฎห้ามรับโทรศัพท์พลางเดินออกให้ห่างหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนโทรคงจะวางสายไปเองเมื่อไม่มีคนรับ แต่ดูเหมือนคนโทรจะมีความอดทนและความพยายามสูง เพราะสองนาทีผ่านไป เสียงโทรศัพท์ก็ยังดังต่อเนื่อง พริบตาก้าวมายืนข้างโทรศัพท์ก่อนตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู...เขาจะเงียบเหมือนตอนรับโทรศัพท์คุณป้า แล้วก็วาง...หากยังโทรมาอีกเขาจะถอดปลั๊กล่ะ ชายหนุ่มคิด...ทว่า...เมื่อโทรศัพท์แนบหู เสียงอันคุ้นเคยของใครบางคนกลับทำให้เขานิ่งงัน

“นึกว่าจะไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมแล้วนะครับ...พริบที่รัก !”


โปรดติดตามตอนต่อไป

จากคุณ : แก้วชิงดวง
เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 22:51:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com