Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 3 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10539215/W10539215.html

บทที่ 3

ชายป่าโปร่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ลำธารสายเล็กทอดคดเคี้ยวกั้นดินแดนของป่าสองผืนไว้คนละฟาก

สามแสนป้องมือเพ่งตาไปสำรวจความทึบแน่น จนสีเขียวของมันแลขรึมเข้มน่ากลัว ซึ่งแตกต่างจากฟากที่เธอยืนอยู่ มันโปร่งและต้อนรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้เยอะกว่า นกก็มีเยอะ บินไปบินมา ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วเพลินหูเป็นที่สุด

เธอเดินตามหลังชายหนุ่มห่างประมาณสองสามก้าว เขาพาเธอมาล่าไก่ป่าด้วย แต่กว่าเขาจะยอมพามา เธอต้องเสียเวลารบเร้า อ้อนหน้าประจบหลังตั้งหลายนาที

แล้วที่ยอมโอนอ่อน ก็ใช่ว่าเป็นความใจดีเต็มร้อย สีหน้าสีตาก็บอกออกชัดว่าเขารำคาญสาวน้อยเรื่องมากอย่างสามแสนเหลือเกิน

กระต่ายตัวอ้วนพี ถูกกลบฝังแล้วตามด้วยยืนไว้อาลัยของสามแสนนานหนึ่งนาที ดวงวิญญาณของมัน คงลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์เรียบร้อยแล้วล่ะ

มันคงสบายใจมากทีเดียว หากมองลงมาแล้วพบว่า ร่างของมันนอนสงบอยู่ในหลุมดินอับชื้นใกล้ป่าไผ่ ไม่ต้องถูกแล่เนื้อถลกหนังเป็นอาหารครบสามมื้อของชายหนุ่มกับเธอในวันนี้

"อุ๊ย พี่ชาย สามแสนถูกหนามเกี่ยว"

ภวังค์ขบขันเมื่อตอนเช้าหายวับไปพร้อมกับกระแสเจ็บคมกริบบนต้นแขน เธอคงใจลอยไปหน่อย ไม่ทันเห็นพงหนาม จึงเดินทื่อเข้าไปเฉียด ปลายแหลมของมันเกี่ยวแขนเสื้อและทิ่มถึงเนื้อเชียว

"อุ๊ย ไม่ต้องอุ้มก็ได้"

สามแสนตกใจมาก รีบร้องห้ามละล่ำละลัก แต่ก็ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะพี่ชายของเธอเอาแต่ใจตัวเองมาก บทอยากอุ้ม ก็ถลันพรวดมาอุ้มไม่พูดไม่จา

เขาพามานั่งบนโขดหินก้อนหนึ่ง ยกเท้าขึ้นสำรวจเลือดที่ไหลเป็นเส้น โดยเฉพาะฝ่าเท้า เลือดทะลักมากกว่าน่องกับแขน

"อุ๊ย พี่ชาย หนามตำเท้าของสามแสนด้วย" เธออุทาน และเพิ่งจะรู้สึกว่าเจ็บแล้ว

"เออ ความรู้สึกช้าจริงๆ ป่าหนามออกใหญ่จะทิ่มตาอยู่แล้ว ยังทะเล่อทะล่าเดินไปเหยียบ เก่งแต่เรื่องมากกับก่อปัญหา"

"พี่ชาย" สามแสนไม่สนใจเขาบ่นไปด่าไป เธอเจ็บ น้ำตาเริ่มซึมขณะอ้อน "สามแสนเจ็บ กลับกระท่อมกันนะ สามแสนไม่ไปล่าไก่ป่าแล้ว เก็บผักแถวกระท่อมมาต้มแกงจืด หรือมาผัดก็ได้ สามแสนเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว"

"ไม่ต้องมาปากดี" เขาเอ็ดฉุนๆ ฉีกผ้าขาวม้ามาพันรอบเท้าหลายทบ "ในกระท่อมเหลือแต่สมุนไพร กินได้หรือเปล่าล่ะ ถ้ากินได้ ฉันจะต้ม ผัด ทอดก็ยังได้"

"ไม่เอา"

ภภีมตวัดตาเคืองมองสาวเสียงอ่อย รู้สึกหมั่นไส้ปนรำคาญ รู้สึกวาบหวามระคนกระสัน รู้สึกปรารถนาอย่างร่วมเสน่หา

เขากลืนน้ำลายระงับความรู้สึกสุดท้าย มันคือความละอายใจที่คิดฟุ้งซ่านร้อนแรงต่อสาวน้อยวัยรุ่นคนนี้ เธอไม่ใช่ชุลียาสุดที่รัก เขาไม่ควรให้อิสรภาพกับแรงรักแรงใคร่จนเกินงาม

"อุ๊ย พี่ชาย ขี่หลังแบบนี้ มันจะดีหรือ พี่ชายหนักนะ จะล่าไก่ลำบากไหม"

"ลำบากมาก แต่ถ้าให้ลากๆ จูงๆ สาวขาเดี้ยงไปล่าไก่ มันจะน่าสังเวชกว่า หุบปาก แล้วไม่ต้องอุ๊ยอ๊ายให้ฉันได้ยินอีก ฉันรำคาญ ถ้าได้ยินอีกครั้งนะสามแสน ฉันจะทิ้งเธอไว้เป็นเพื่อนชะนีแถวนี้ เข้าใจหรือเปล่า"

สามแสนรีบพยักหน้าหงึกๆ ปากยื่นตาขุ่นปนงอน ใจก็ลอบติ 'ผู้ชายอะไร ใจดีแต่ปากไม่ดี'

เธอเกือบจะหลุดอุทาน 'อุ๊ย' ออกมาให้เขารำคาญ เพราะตกใจตอนเขาลุกพรืดขึ้น แล้วขยับร่างเธอให้เข้าที่เข้าทางอยู่บนหลัง นึกว่าตัวเองจะหงายหลังเสียแล้ว

"พี่ชาย"

"เงียบ"

ไก่ป่าตัวหนึ่งเดินนวยนาดผ่านหน้าไป สามแสนเห็นเข้าก็ลิงโลด อุตส่าห์รีบเรียก ตั้งใจจะบอก แต่กลับโดนเขาเอ็ดดุแผ่ว สองเท้าสืบเบากริบ ท่วงท่าเล็งหน้าไม้เท่ไม่เบา

สามแสนกอดคอเขาไว้แน่น ฉวยโอกาสยลแก้มใกล้ตาไปด้วย แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น ก็ช่วยซับเหงื่อที่ผุดไหลจากขมับให้ก่อน

ผู้ชายคนนี้ เป็นชาวบ้านในป่าละแวกนี้มาแต่กำเนิดหรือเปล่า ทำไมท่าทีกิริยาไม่ค่อยจะเหมือนนัก ผิวพรรณเท่าที่สังเกตเห็น ก็ดูผุดผ่องมีราศี แม้จะคล้ำไปหน่อยก็เถอะ แก้มก็ใสเนียน

พอได้ยลใกล้ขนาดนี้ สามแสนจึงค่อยเห็นอย่างทึ่งๆ อีกว่า ขนตาของเขางอนมาก ยามที่แพบางกะพริบ มันทำให้สามแสนนึกไปถึงปีกผีเสื้อตอนกระพือ

อีกเรื่องที่สามแสนใคร่รู้เสียจัง เขาชื่ออะไรหรือ ทำไมไม่ยอมเปิดเผย ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจให้เรียกพี่ชายทุกคำ ตาเรียวดำไม่เคยฉายแววไมตรีเต็มร้อยให้สบอย่างชื่นใจ สามแสนก็แปลกใจอีกว่า ทำไมเขาต้องเย็นชามากมายนัก

'โอ้โฮ เป็นผู้ชายที่ยิ้มสวยมากเลย' สามแสนอุทานทึ่งๆ ในทรวงวาบหวาม เขาลิงโลดว่าเหยื่อสิ้นท่าแล้ว ฝีเท้าที่สาวยาวๆ ไปตะปบขึ้นมาชูแล้วส่ายไปมาอวดสามแสน มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้เท่ากับ 'ยิ้มสวยมากรอยนั้น'




ระหว่างย้อนกลับกระท่อม สามแสนเห็นชายกลุ่มหนึ่ง หน้าตาดุร้ายไม่น่าไว้วางใจ เดินตัดป่าไผ่ออกไป ทุกคนสนทนางึมงำ สลับกับหัวเราะก้องกังวาน

การแต่งกายก็ดูแปลกตา กางเกงชาวเลสีเข้ม กับเสื้อแขนสั้น คอกลมบ้าง คอแหลมบ้าง มันคล้ายกับเสื้อชาวเขาทางเหนือ หรือไม่ก็เสื้อที่ชาวกะเหรี่ยงนิยมสวมใส่

"พี่ชาย คนพวกนั้นเป็นใครหรือคะ" เธอกระซิบถาม สายตาใคร่รู้ก็ไล่ตามคนกลุ่มนั้นไปสิ้นสุดที่ริมลำธาร

"นิสัยสอดรู้สอดเห็นนี่ ใช่ไหม"

"เอ๊ะ ด่าสามแสนอีกแล้วนะ สามแสนก็ถามเฉยๆ "

ดูสิ เขาไม่ตอบโต้กลับมา แต่ฝีเท้ากลับย้ายเส้นทางให้สามแสนงุนงง แทนที่จะเดินตรงไปบรรจบกับคนกลุ่มนั้น เลยไปอีกไม่ไกล ก็จะถึงแนวป่าโปร่ง แล้วถัดไปอีกนิด ก็ถึงกระท่อมแล้ว

แต่ชายหนุ่มกลับลงทุนอ้อมป่าไผ่ทึบ ไปเจอชายป่าอีกแถบ ทางเดินก็ลาดชันขรุขระ เขาต้องแบกสามแสนอยู่บนหลังด้วย แล้วย้ายเส้นทางมาเดินในที่กันดารเสียขนาดนี้ คงเหนื่อยแย่เลย

"ทำไมเราต้องมาทางนี้ด้วยคะพี่ชาย"

การใฝ่รู้ของสามแสนมันผิดตรงไหน ทำไมเขาต้องปรายตามาตำหนิ เม้มปากรำคาญ คิ้วก็ขมวด ทำไมเขาไม่ตอบคำถามให้สามแสนกระจ่าง แค่นั้น ปัญหาทุกอย่างก็จบแล้ว

"พี่ชายเหนื่อยไหม เหงื่อออกเยอะเลย"

ภภีมใจสั่นจนเหนื่อยอ่อน เขาพยายามอย่างที่สุดแล้ว ที่จะไม่วอกแวกและคิดใคร่เตลิดเปิดเปิง เวลานี้ เขาแบกร่างน้อยไว้บนหลัง เนื้ออุ่นทุกอณูมันเคลื่อนขยับเสียดสีสู่กันตลอดเวลา

หากสามแสนหน้าตาสะสวยทั่วไป ไม่บังเอิญถอดพิมพ์ของชุลียามาทุกกระเบียด เขามั่นใจว่าจะไม่เกิดอาการกระสันซาบซ่าน และปรารถนาประทับเสน่หาอย่างแรงกล้าเหมือนเช่นที่เป็นอยู่

แล้วดูสิ่งที่สาวน้อยกำลังทำสิ เธอช่วยซับเหงื่อด้วยแขนเสื้อ ลมหายใจของเธออุ่นกำลังดี มันเป่ารดใส่แก้มบ่อยมาก เพราะเธอมักจะโน้มหน้าต่ำลงมาชวนคุย

รอยยิ้มบนปากหยักจิ้มลิ้มน่ารักมาก ตาเรียวคู่ใกล้ก็เป็นประกาย มองออกเลยว่า สามแสนเป็นสาวร่าเริงมากคนหนึ่ง แต่ก็นั่นล่ะ โลกของสาววัยรุ่นทั่วไป มันก็มักจะสดใสและสะอาดแบบนี้ทั้งนั้น

เหมือนโลกของเขากับชุลียาเมื่อสิบห้าปีก่อน หนุ่มเอาแต่ใจวัยยี่สิบต้นๆ กับสาวใช้ผู้น่ารักวัยสิบเจ็ดนิดๆ ผูกสมัครไมตรี มีใจเสน่หา

โลกแห่งความจริงจะมีสีสันสดหม่นยังไงก็ช่างเถอะ แต่โลกของความรักที่เขากับหล่อนสร้างขึ้นมาอีกใบ มันถูกย้อมให้งดงามด้วยสีชมพูเพียงสีเดียวเท่านั้น

และในนั้น ก็ปราศจากอุปสรรคขวากหนามใดๆ ผุดขึ้นมาแผ่ผืนให้เป็นที่ระคายตาเคืองใจ ทุกก้าวที่ย่างไปบนทุกเส้นทาง ล้วนราบรื่นและอบอวลไปด้วยมวลแห่งความสุขไร้ขีดจำกัด

มันไม่จริงหรอก โลกเพ้อฝันของเด็กหนุ่มเด็กสาวมันไม่เคยยั่งยืน วันหนึ่ง มันก็แตกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เมื่อความจริงปรากฏ เมื่อชุลียาตั้งครรภ์ แล้วถัดจากนั้น อุปสรรคผืนแรกก็มาเยือน นั่นก็คือ 'การไม่ยอมรับของผู้ใหญ่'




ใกล้เที่ยงเต็มที เมื่อภภีมแบกแม่สาวจอมซนกลับมาถึงกระท่อม ก่อนจะทำอาหารมื้อแรกของวันนี้ ซึ่งคงต้องพ่วงทั้งเช้าและกลางวันเข้าไว้ด้วยกันเลย

เขาต้องสาละวนกับการทำแผลใต้ฝ่าเท้าก่อน สมุนไพรข้นในตลับไม้ มันทำมาจากอะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนที่มันพอกตึกลงบนแผล กระแสแสบจัดก็แผ่พล่านรวดเร็ว

สามแสนทำปากจู๋ หยีตาอย่างทรมาน แล้วปิดท้ายด้วยการสูดปากแรงๆ หนักๆ น้ำตาร่วงอีกด้วย ชายหนุ่มเห็นอากัปกิริยานั้นเข้า ก็อดหัวเราะไม่ได้

"สมน้ำหน้า" เขาด่าเหมือนหนุ่มใจร้าย "คราวหน้าจะได้จำไว้เป็นบทเรียน เดินป่ามันไม่เหมือนเดินห้าง จะมัวเอ้อระเหยใจลอย มันไม่เข้าท่า นี่ยังดี โดนแค่หนามตำ ถ้าเปลี่ยนเป็นโดนงูฉก เธอจะหมดโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้ว"

"หมายความว่า สามแสนต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหลายวันใช่ไหม กว่าแผลที่เท้าจะหาย"

สีหน้าแห้งกับเสียงปรารภอ่อยๆ ดึงความเอ็นดูออกมาพราวในตาเรียวดำ สามแสนเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ห่างบ้าน ห่างสมาชิกในครอบครัว มาหลายวันเข้า ก็คงโหยหา

เธอพลัดบ้านมาหลงป่า ไม่ใช่ทิ้งบ้านมาอยู่ป่าเหมือนเขา มันจึงไม่แปลกเลย หากเธอจะมีความรู้สึกอย่างนั้นในเวลานี้ ต่างจากเขาที่ระลึกได้ตลอดเวลาว่า บ้านยังมี สมาชิกยังอยู่ แต่เขาไม่เคยคิดถึงหรือโหยหาแม้แต่น้อย

"มันก็ไม่นานจนเธอทนไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็ยืดไปอีกสักวันสองวัน อ้อ จริงสิ บ้านเธออยู่ไหนล่ะ"

"กรุงเทพค่ะ"

"เป็นลูกคนเดียวหรือเปล่า"

"ค่ะ"

"เอาล่ะ เสร็จแล้ว ไหนลองลุกขึ้นซิ" เขาสั่ง แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าเธอยืนได้ดี จากนั้นก็ไล่ "ขึ้นไปนั่งพักบนโน้น กับข้าวเสร็จแล้ว ฉันจะเรียกเอง"

"ให้สามแสนช่วย.. "

"ไป ขึ้นไปเลยสามแสน"

สามแสนทำหน้ามุ่ยให้เห็นอีกหน ทำไมเขาไม่ยอมรับความปรารถนาดีของสามแสนบ้างเลย เธอไม่ชอบเสียงตัดบทรำคาญขรึมๆ เข้มๆ แบบนั้นเลยจริงๆ

เอ.. หรือว่าเขาจะดูถูกล่วงหน้าไว้ในใจแล้ว คงคิดว่าเด็กสาวชาวกรุงทำอะไรไม่เป็นเลยละสิ จำไม่ได้กระมังที่เธอบอกว่า เธอเก่งงานบ้านงานเรือน

กับข้าวพื้นๆ ที่เขาทำ เธอก็ทำเป็น จะแตกต่างกันก็ตรงครัวที่ใช้ทำ ในบ้านของเธอ มันเป็นครัวหรู ครบครันด้วยเตาแก๊ส เตาไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ แต่ในกระท่อมหลังนี้ มันมีแค่ 'เตาดุ้นฟืน'




ฝนตกหนักมากในช่วงบ่ายแก่ๆ สามแสนหลับปุ๋ยใต้ผ้าห่ม ชายหนุ่มแวะเข้ามาดูเป็นพักๆ ไม่ลืมสำรวจแผลใต้ฝ่าเท้าทุกครั้ง โล่งใจว่ามันไม่อักเสบหรือบวมเป่ง

แผลเล็กแผลน้อยตามแขนก็ไม่มีอะไรให้กังวล อีกวันสองวัน ก็น่าจะแห้งและหายสนิท อาจจะทิ้งริ้วรอยไว้เป็นที่ระลึกในระยะแรกบ้าง แต่สักพัก เวลาก็จะลบเลือนมันไปเอง

เขาจึงต้องมานั่งเจ็บใจระคนขื่นขมอยู่ในเวลานี้นี่ไง เวลาสิบห้าปี มันลบเลือนความบอบช้ำทางใจจนแทบจะไม่เหลือรอยให้เห็นอยู่แล้วเชียว

แต่วันดีคืนดี สามแสนก็มาปรากฏตัว โรยพิษร้ายซ้ำเติมรอยบอบช้ำเบาบางอย่างโหดร้าย ใบหน้าหมดจด ซึ่งถอดพิมพ์ของชุลียามาทุกกระเบียด ก็คือสรรพคุณของพิษทารุณ ที่เร่งกัดกร่อนจนมันอักเสบ

หัวใจแหลกสลายดวงนี้อีกแล้วใช่ไหม ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บลึกเจ็บร้าวจนบรรยายไม่ถูก สวรรค์คิดอะไรอยู่ ท่านมีจุดประสงค์อะไรหรือ ถึงได้กลั่นแกล้งชายไร้ใจไร้อนาคตคนนี้ ด้วยการโรยร่างของสามแสนลงมาให้เจอ

"นายดุ ดีจังที่เจอตัว" ชาวบ้านใจดีคนหนึ่งกางร่มดำคันใหญ่มาร้องทัก

"มีอะไรหรือลุงแม้น ขึ้นมาก่อนสิ ฝนตกหนักออกนะ"

ชายหนุ่มสาวเท้ายาวๆ ออกมาจากอุโมงค์ภวังค์ แล้วกระวีกระวาดไปช่วยพยุงชายชราเจ้าของชื่อ 'แม้น' ขึ้นบันได พามานั่งหลบชิดประตูเข้าด้านใน

"ก็แวะเตือนพวกเรามาเรื่อย ตั้งแต่ปากทางชายป่าโน้น" คนมาเยือนบุ้ยปาก "มีคนเห็นไอ้เด็กเหลือขอกลุ่มหนึ่ง มาป้วนเปี้ยนแถวลำธารฝั่งป่าไผ่โน่น" บุ้ยปากอีกที "ไอ้พวกเราพอรู้ข่าว ก็เลยกระจายกันร้องป่าว เตือนๆ ให้ระมัดระวังกันหน่อย อาจมีบ้านใครเรือนใครในคืนนี้ โดนดีเข้า"

ภภีมพยักหน้า จิตประหวัดไปยังชายกลุ่มหนึ่ง ที่เจอตอนขากลับจากล่าไก่ป่า ตอนนั้น ก็นึกอยู่เหมือนกันว่า น่าจะใช่ ด้วยว่าหน้าตาท่าทางก็ยังดูวัยรุ่นไม่น้อย

"ขอบใจลุงแม้นนะ ถ้าไม่รีบก็นั่งคุยกันก่อน ฝนซาแล้วค่อยไปต่อ ฉันจะไปช่วยอีกแรง"

"ก็ดี คนในกันเองสมัครสมานเข้มแข็งอย่างนี้ ถือว่าเป็นเกราะคุ้มภัยชั้นเยี่ยมยอดละวะนายดุ ศัตรูภายนอกที่ไหน รุกรานมาสักกี่หน ก็พ่ายไปเสียทุกหนนั่นแหละ อันนี้เขาเรียกพลังแห่งความสามัคคีโว้ย"

"อีกแล้วนะ วาทะนักการเมืองอีกแล้ว" ชายหนุ่มสัพยอกขำๆ นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่รินน้ำให้แขกดื่ม จึงรีบไปจัดการ

"เออ ขอบใจ" ลุงแม้นรับกระบอกไม้ไผ่มาวางข้างตัว ยังไม่กระหาย ก็เลยไม่นึกอยากดื่ม "ธรรมดาเว้ยนายดุ จิตสำนึก มันไม่จำเป็นจะต้องไปผุดไปโผล่อยู่ในสมองของคนมีการศึกษาอย่างเดียวหรอกเว้ย คนป่าคนดงอย่างเรา มันก็เกิดได้มีได้"

"โดยเฉพาะในสมองของลุงแม้นใช่ไหม เลือกหัวหน้าหมู่บ้านปีหน้า ฉันเทคะแนนให้ลุงหมดเลยนะ"

"เออดี ฟังอย่างนี้แล้วมีกำลังใจเว้ย" ชายชราหัวเราะลงลูกคอ แล้วค่อยเหลียวหน้าเหลียวหลัง พลางถาม "เอ้อ แล้วแม่หนูที่นายดุช่วยมาจากชายป่าทางโน้นล่ะ ไปไหนเสียแล้ว"

"หลับ"

"อืม ยังไม่สร่างไข้อีกหรือ"

"สร่างแล้ว แต่เมื่อตอนสายพาไปล่าไก่ป่าด้วยกัน เผลอไปเหยียบพงหนามเข้า ได้แผลมาบานเบอะ ต้องรักษาตัวกันนานอีก กว่าจะพากลับไปส่งในเมืองได้"

ชาวบ้านใจดีหัวเราะร่วน ในใจก็แอบลุ้นให้แม่หนูหน้าหวานป่วยไข้นานๆ เพราะตอนเห็นแวบแรก ก็รู้สึกถูกชะตาจนอยากให้ตกล่องปล่องชิ้นกับนายดุที่นั่งสนทนาอยู่ข้างๆ

รายนี้ก็เป็นหนุ่มชาวกรุงเหมือนกัน จะต่างกันบ้าง ก็ตรงที่แม่หนูหน้าหวานพลัดป่าหลงดง แต่พ่อหนุ่มหน้าดุ ยึดดงยึดป่าเป็นเรือนตาย แล้วทิ้งเมืองอันเจริญไปอย่างถาวร




กลิ่นแกงป่าโชยหอมมาจากครัว ปลุกสามแสนตื่นขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า เธอบิดขี้เกียจให้ชายหนุ่มซึ่งแวะเข้ามาตั้งใจจะปลุกเห็นเข้า แล้วอดเบะปากหมั่นไส้ไม่ได้

"พี่ชาย" เสียงใสร้องทัก พร้อมกับยิ้มกว้าง "จะเข้ามาปลุกหรือคะ ทำไมสามแสนนอนเก่งอย่างนี้ก็ไม่รู้ ปกติ สามแสนไม่เคยนอนกลางวันเลยนะ"

"คงเพลีย เหนื่อย เจ็บแผล แล้วก็ฤทธิ์ยาต้ม เอ้า ลุกขึ้นซิ"

เขาไม่เชิงอธิบาย เพราะน้ำเสียงกระด้างค่อนไปทางค่อนขอดหรือเหน็บแนมมากกว่า สามแสนยิ้มกว้างอย่างซาบซึ้ง เมื่อเขาพยุงออกมานั่งข้างนอก อีกใจก็กระดากกระเดื่องไม่น้อย ยามเห็นเขายกฝ่าเท้าขึ้นสำรวจ

"รู้สึกยังไงบ้าง"

"ก็ปวดๆ ค่ะ โดนน้ำไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมคะ" เธอบ่นแล้วทำหน้ามุ่ย "เข่าก็โดนน้ำไม่ได้ เท้าก็โดนน้ำไม่ได้ แล้วนี่สามแสนไม่ต้องอาบน้ำไปอีกกี่วัน เหม็นตายเลย"

"แล้วตอนนี้เหม็นหรือเปล่าล่ะ ตื่นมาก็พูดมาก เอ้า ยาต้มกำลังอุ่น ซดให้หมดนะ มันช่วยสมานแผลสดให้แห้งเร็วขึ้น ป้องกันไม่ให้อักเสบได้ด้วย"

"ยาต้ม" สามแสนเพิ่งเห็นจริงๆ ถ้วยยามันวางข้างตัวนี่เอง มิน่าเล่า เขาถึงพยุงมานั่งตรงนี้ ใจร้ายจริงๆ

"เออ ซดเร็ว"

"พี่ชาย" เธอลากเสียงอ่อย หน้าตาแจ่มใสเมื่อครู่ เริ่มจะห่อเหี่ยวลง

"ซดเร็วสามแสน อย่าเรื่องมากนัก อ้อ อาหารเย็นเสร็จแล้ว ข้าวก็หุงสุกแล้ว ถ้าฉันกลับช้า ก็จัดการหากินเอาเอง"

พอฟังอย่างนั้น ถ้วยยาเกือบจะชิดปาก สามแสนก็ชะงักไว้ก่อน แววตาตั้งคำถามทันที เขาคงไม่เห็นหรอก ร่างกำยำกลับลงไปขยับดุ้นฟืนในเตา แล้วทำท่าจะลงบันไดฟากโน้นไปเลย

"พี่ชายจะไปไหนคะ" เธอลุกเขยกไปตะโกนถาม

"ไปธุระหน่อย จะรีบกลับมาให้ทันกินข้าวเย็น แต่ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็อย่างที่บอก จัดการหากินเอาเอง อย่าเดินเล่นเพ่นพ่านนะสามแสน ฉันไม่อยากให้แผลที่เท้าระบม นั่งๆ นอนๆ อยู่ข้างบนนั่นแหละ"

"สามแสนไปด้วยไม่ได้หรือ"

"ซดยา แล้วไปไกลๆ หน้า"

ชายหนุ่มตัดบทห้วน แล้วผละไปทันที ร่างกำยำเคลื่อนเลียบเลาะไปตามราวป่าโปร่ง สามแสนย้ายตัวเองไปยืนมองเขาค่อยๆ หายลึกเข้าไปในแมกไม้สีเขียวสด จนมองไม่เห็นอีกเลย

จึงค่อยย้อนกลับมานั่งที่เดิม มองชานที่ยังเปียกและมีน้ำเจิ่งเป็นช่วงๆ ย่นจมูกใส่ถ้วยยากันเล็กน้อย แล้วแข็งใจบีบจมูก ยกซดอึกๆ ไม่หมดถ้วยก็ไม่หยุดซด

เพราะถ้าหยุดเมื่อไหร่ มันจะขมปี๋จนอาเจียนเชียวล่ะ หากพี่ชายกลับมา แล้วจับได้ว่าเธออาเจียน เธอต้องโดนเขกหัวน่วมแน่เลย

กระท่อมโดดเดี่ยวในยามที่เจ้าของไม่อยู่ มันช่างสงัดวังเวงบอกไม่ถูกเลย นอกจากเสียงนกร้องที่แว่วมาเป็นระยะแล้ว สามแสนก็แทบจะไม่ได้สดับเสียงใดๆ อีก

รายรอบตัวที่แลเห็น ก็คือราวป่าโปร่งกับลานดินปนกรวด จะมองไปทางไหน ทิวทัศน์มันก็เหมือนฝาแฝด ทุกทิศทางสะพรั่งด้วยสีเขียวสดของป่า ตัดขอบยอดสูงด้วยสีฟ้าแจ่มๆ ของท้องฟ้ายามไร้เมฆไร้ฝน เพียงแต่ว่าเวลานี้ สีของฟ้าไม่ค่อยแจ่มเท่าไหร่เลย




กระทั่งฟ้าหม่นลงตามแสงโรยราของยามโพล้เพล้ สามแสนทำหน้าไม่เบิกบาน เมื่อแน่ใจว่าพี่ชายคงกลับมากินข้าวเย็นด้วยไม่ทัน

เธอเขยกลงบันได จัดการหาข้าวปลากินเองอย่างง่ายๆ นั่งลงกินตรงชานครัวนั่นล่ะ ไม่ต้องเสียเวลายกขึ้นยกลงให้วุ่นวาย เสร็จสรรพก็ตบท้ายด้วยยาต้มในหม้อดิน มันตั้งอุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลา

พอสิ้นแสงตะวัน กระท่อมก็ตกอยู่ในความมืดอย่างรวดเร็ว สามแสนรีบจุดตะเกียง แขวนไว้บนเสากลม นั่งห้อยเท้า มองเพ่งเข้าไปในราวป่า สีเขียวขรึมของมัน ถูกย้อมเป็นดำทึบทั้งแถบ

ใจก็เร่งภาวนาให้ร่างของพี่ชายปรากฏออกมาเร็วๆ ลมพัดแรงขึ้น ฟ้าก็ร้องครืนๆ ทำให้นึกกังวลว่า อีกไม่นานฝนอาจจะตกหนักเหมือนช่วงบ่ายอีก

สาวน้อยหิ้วตะเกียงกลับเข้าห้อง แขวนไว้กับขื่อใกล้ประตู แล้วเขยกไปนั่งเซ็งๆ บนฟูก ดึงผ้าห่มมาคลุมขา ลองแตะเข่าเบาๆ เพื่อคะเนอาการของบาดแผล

รู้สึกใจชื้นที่มันไม่ค่อยเจ็บแล้ว จากลองแตะก็ลองกดย้ำสองสามที รอยยิ้มพอใจก็ยิ่งระบายกว้าง เพราะไม่ใช่มันไม่ค่อยเจ็บ แต่คิดว่าไม่เจ็บแล้วต่างหาก

"แหม ยาดีจริงๆ เลยนะ วันที่เดินทางกลับบ้าน สามแสนจะขอสมุนไพรพวกนี้กลับไปเป็นที่ระลึกด้วย"

เธอพูดกับตัวเอง กลั้วหัวเราะขำๆ โสตยังสดับเสียงฟ้าร้องครืนแผ่วมาเป็นระลอก กระแสลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ค่อนข้างแรง

แสงไฟในตะเกียงแกว่งไกววูบวาบ ทำให้สามแสนอดถอนใจเฮือกไม่ได้ ฟ้ามืดตื๋อขนาดนี้แล้ว พี่ชายของเธอ มัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่ยอมกลับกระท่อมเสียที

แล้วอย่างฉับพลัน ฟ้าก็ส่งเสียงคำรามดังเปรี้ยง สามแสนหลับตาปี๋ ยกมืออุดหู คู้เข่าชิดคางอย่างลืมตัว

แผลที่เข่าไม่มีปัญหา แต่ใต้ฝ่าเท้าเจ็บร้าวขึ้นทันที เธอครางอย่างเจ็บปวด พามือลงไปลูบๆ คลำๆ ถัดจากนั้น ฝนก็ค่อยทยอยส่งเสียงซู่ๆ ให้เธอรีบลุกไปปิดหน้าต่าง

แต่แล้ว การเคลื่อนไหววูบวาบของบางอย่างเลียบราวป่าใกล้เข้ามา ก็ทำให้มือที่ดึงบานหน้าต่างต้องชะงัก ตาเรียวที่ยังไม่คุ้นเคยกับความมืด หรี่เพ่งอย่างสนใจ

สามแสนเดาว่าแสงกลมๆ วูบวาบ น่าจะเป็นแสงจากไฟฉายกระบอกเล็กๆ สักสองสามกระบอก มันคงส่องลอยไปลอยมาเองไม่ได้ หากปราศจากคนบังคับควบคุม

ฟ้าแลบแปลบขึ้น ส่องให้เห็นชายกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจน ทุกคนแปลกหน้าสำหรับสามแสน แต่วิถีของฝีเท้า ดูจะมุ่งมั่นมาทางกระท่อม

"ใครกัน มาหาพี่ชายหรือเปล่า"

เธองึมงำออกเสียง ก่อนจะดึงบานหน้าต่าง แต่ก็ยังช้ากว่ากระแสลมที่กระโชกแรงเข้ามาดับตะเกียง ร่างน้อยสะท้านขึ้นทันที สามแสนเกลียดและกลัวที่สุดก็คือความมืดที่มองไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือตัวเองนี่ล่ะ

เธอไม่กล้าย้ายไปไหน จึงค่อยรูดร่างลงนั่ง จะตะโกนเรียกพี่ชายก็ไม่ได้ เพราะเขายังไม่กลับ หรือไม่แน่ว่า เขาอาจจะปะปนอยู่ในกลุ่มของชายแปลกหน้าเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น อีกประเดี๋ยว เขาคงมาเปิดประตู แล้วช่วยจุดตะเกียงล่ะ

'โครม' เสียงหนักหน่วงดังมาจากในครัวข้างล่าง กระทุ้งร่างนั่งนิ่งสะดุ้งโหยง สามแสนกลืนน้ำลายตื่นเต้น เมื่อประจักษ์ว่ากระท่อมสั่นไปทั้งหลัง ระคนกับเสียงฝีเท้ามากมายย่ำหยาบๆ มันก็ดังอยู่หน้าห้องนี่เอง

"เฮ้ย เจอห้องเว้ย เข้าไปดูซิว่า มีอะไรน่าสนใจบ้างหรือเปล่า"

เสียงห้าวห้วนตะโกนแข่งกับเสียงฝน มันเพิ่งจะสิ้นสุดลง ประตูก็ถูกผลักเต็มแรง สามแสนเบิกตากว้าง ขวัญบินไปหาพี่ชายอย่างทันทีทันใด

ไฟฉายสองสามกระบอก จ่อแสงลำเล็กๆ มาส่องหน้า เสียงอุทานฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างพอใจ หนึ่งในจำนวนนั้น หัวเราะลงลูกคอ เปรยวาจากำกวมร้อนแรงให้สามแสนใจเสียว่า

"โอ้ มีสาวๆ ด้วยเว้ย หาอะไรทำแก้หนาวกันดีกว่าเว้ย เพื่อนพ้อง"

"เห็นด้วยเว้ย เฮ้ย ใครก็ได้ ทำไม้สั้นไม้ยาวหน่อยสิวะ"

'หกคน' สามแสนนับรวดเร็วด้วยใจพรั่นพรึง เธอหวาดกลัววิถีคุกคามของชายทั้งหกที่กรูเข้ามาอัดออกันในห้องแคบๆ

แววตาทุกคู่ จดจ้องสามแสนประหนึ่งเหยื่ออันโอชะ หนึ่งในหกย่างสามขุมมาพร้อมกับรอยยิ้มหื่นนิดๆ ยิ่งเข้าใกล้ สามแสนก็ยิ่งเห็นทีท่ากระหายในบางอย่างอย่างชัดเจน

"แม่สาวน้อย เป็นเจ้าของกระท่อมหรือจ๊ะ" ไม่ถามยียวนเปล่า นิ้วสกปรกยังวิสาสะเชยคางอย่างครื้นเครงด้วย

"มะ.. ไม่ใช่.. "

"โอ้ ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้น ก็คงเป็นสาวเร่ร่อน รอนแรมเหมือนพวกพี่ๆ ละสิ เอ๊ะ นี่คงเป็นกระท่อมร้างสินะ แม่สาวน้อยคงจะแวะมาพักเหนื่อย ดีจัง ที่พวกพี่ๆ มาสมทบเป็นเพื่อน โอ้ ตายแล้ว นี่แม่สาวน้อยบาดเจ็บด้วยหรือ โถๆ ทั้งเข่าเท้าแขน น่าเอ็นดูจัง เฮ้ย น่าเอ็นดูจังเลยเว้ย"

ตอนท้าย เสียงกระหายหยาบช้าก็หันไปโหวกเหวกกับเพื่อนพ้อง เรียกเสียงหัวเราะคึกคักดังขึ้นครืนใหญ่

สามแสนไม่กล้าขยับเขยื้อน เพราะถูกสะกดด้วยแววตาหื่น เจ้าของโลมไล้ขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างทรวงอกกับตำแหน่งสำคัญกลางลำตัว ความหวาดกลัวจับใจกลั่นน้ำตาออกมารื้นเต็มเบ้า กระทั่งไหลเนืองลงเป็นสาย

กลุ่มโจรวัยรุ่นผู้เลื่องลือ และเป็นที่ครั่นคร้ามแก่ชาวบ้านในหลายๆ หมู่บ้าน พอเห็นเข้า ต่างก็พากันประสานเสียงหัวเราะอย่างกึกก้อง

สามแสนเม้มปากกลั้นสะอื้น เธอประจักษ์แล้วว่าชายกลุ่มนี้ ไร้มนุษยธรรมยิ่ง ดังนั้น ไม่ต้องคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะหยิบยื่นความปรานีสงสาร

และหากพี่ชายของเธอ ไม่รีบย้อนกลับมาในตอนนี้ เธอก็ไม่ขอเดาให้ขวัญกระเจิงไปกว่านี้อีกแล้ว มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายมากไปกว่า ถูกทรชนกลุ่มนี้ 'ย่ำยี'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 12:38:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com