Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สตรีใต้สายหมอก ติดต่อทีมงาน

 

              ความมืดคืบคลานเข้าเจือฟ้าสีเพลิงทีละน้อย  มวลอากาศเย็นปกคลุมราวแท่งน้ำแข็งปาดเฉือนผิวลึกถึงกระดูก พันธุ์ไม้รอบกายพริ้วเคลื่อนทาบเป็นเงาดำบนผืนฉากละเลงโลหิตเบื้องบนคล้ายอสูรกายขยับกายอย่างมีชีวิตชีวา โพล้เพล้เต็มทีแล้ว ดวงไฟแห่งความหวังเหมือนจะมอดดับลง ผมเหยียบเบรกกระชากจี๊ฟให้หยุดเคียงชะแง่งหินใหญ่ ใบไม้แห้งเรี่ยบนพื้นฟุ้งขึ้นเหนือเนินดินต่ำๆตามลมวูบใหญ่ อาการปวดหนึบไปทั่วร่างเล่นเอาสมองตีบตันไปเสียดื้อๆ  ผมจนปัญญา  เพื่อนเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต่างพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว หรือผืนพนาวันจงใจบังบดหญิงสาวผู้นั้นเอาไว้อย่างนั้นหรือ 
                                                         
               “ อ้าว...จอดรถทำไมวะ” ชายผิวคล้ำภายใต้ชุดลายพรางผู้อยู่เบาะหลังเอ่ยขัดความคิดฟุ้งกระจายของผมขึ้นมา
                                           
               “ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะพี่...มืดมากแล้ว” 
              
                  ผมตอบพี่ตฤณไปอย่างหมดหนทาง แต่อีกใจหนึ่งกลับเกี่ยวพันภาระกิจเอาไว้จนรู้สึกกระดาก มันถูกต้องแล้วหรือที่ผมจะละทิ้งผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งให้พลัดอยู่ในพงไพรเคว้งคว้าง ภาพภยันอันตรายต่างๆผุดขึ้นเกาะกินหัวใจจนไม่เหลือชิ้นดี ผมอยากจะตามหาเธอให้พบในวันนี้ ตอนนี้เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ความมืดมิดคล้ายเงื้อมมือมารเข้าครอบงำทุกอณูในบรรยากาศเป็นเมฆหมอกบังสายตาจากทุกสิ่งอย่าง รวมทั้งตัวเธอ หญิงสาวผู้สาบสูญ....
                            
               “ เออ..ก็จริงของแกนะ...กลับค่ายเถอะ..เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาต่อก็แล้วกัน”
                
                  พี่ตฤณเอ่ยขึ้นอย่างเห็นควร ซึ่งพรรคพวกเบาะหลังก็ดูเหมือนจะเออออห่อหมกตามกันไป
                  ล้อหนาหนักเหวี่ยงกลับไปทางเดิม ทางที่มันจากมา ฝุ่นทรายและใบไม้แห้งฟุ้งตลบไล่หลังท้ายรถ ลมหนาวพัดปะทะกายอย่างหนักหน่วง
                  เธอก็คงจะรู้สึกไม่ต่างไปจากผม...

                 คืนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง จะนอนคู้กายอย่างหนาวเหน็บหรือจะนอนอุ่นอยู่ภายใต้เพิงผาที่ไหนสักแห่ง จะหิวโหย กระหาย ไร้อาหารตกถึงท้องหรือจะอิ่มจากเสบียงที่หาได้ ถ้าเธอพอจะเอาตัวรอด ผมพยายามสลัดความคิดซึ่งเหมือนบ่วงพันผูกจิตให้ทรมาน
            
                 อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ฟ้าสีเพลิงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินสนิท เสียงสัตว์ป่ากู่ร้องฉลองราตรีเวลาออกหากินของพวกมัน จี๊ฟแล่นตัดป่าแห้งแล้งมุ่งหน้าสู่หน่วยทหาร ค่ายที่พักของพวกเรา คืนนี้ก็คงจะต้องเตรียมวางแผนเส้นทางการตามหากันใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้ไฟแห่งความหวังจะริบหรี่แต่ความพยายามนั้นไม่เคยไร้ผลอย่างแน่นอน  ขอเพียงพาเธอกลับบ้าน....
                              
                                      ถึงแม้ว่าจะพบเพียงร่างไร้ลมหายใจก็ตาม....
          
                  ปลายเถาวัลย์อ่อนห้อยโยงจากต้นไม้สูงใหญ่ไหวตามลม พาลทำให้จิตจินตภาพถึงสิ่งน่าสะพรึงในความมืดและลึกลับในไพรสณฑ์ มันคล้ายกับรูปหญิงสะบัดผมดำเงาสยายยาว จิ้งหรีดเรไรกรีดเสียงเซ็งแซ่อื้ออึงกระทบโสตระงมไปหมด
          
                  การสนทนาของพรรคพวกเบาะหลังดับลง สร้างความเงียบอย่างร้ายกาจ ผมเกลียดบรรยากาศแบบนี้ ความเงียบมักทำให้จิตใจของผมฟุ้งซ่านเสมอ นึกอยากจะเริ่มต้นบทสนทนาอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ช่างมันเถอะ ทุกคนคงจะเหนื่อยล้ากันมามากพอแล้ว
          
                 รถโดดเดี่ยวท่ามกลางมวลพฤกษาชาติยังคงวิ่งต่อไปอย่างทรหด เมื่อไรจะถึงที่หมายสักที ถนนขากลับมันยาวกว่าขามาหรืออย่างไร ผมนึกต่อว่าในใจ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นความผิดของตัวเองนั่นแหละ พยายามเพ่งสายตาผ่าความมืดหาทางกลับนั้นยากลำบากเหลือเกิน  ที่จริงเป็นเพราะความดันทุรังของพวกเราทุกคนรวมทั้งตัวผมด้วยต่างหาก ที่ยื้อเวลาจนล่วงเลยมามืดค่ำขนาดนี้
          
                  ชะแง่งหินใหญ่ดำทะมึนคล้ายร่างปีศาจยืนตระหง่านท่ามกลางความมืดมน ปกคลุมด้วยพุ่มไม้ครึ้มหนารอวันฟื้นจากนิทรา หมอกบางที่เจืออยู่โดยรอบเสริมบรรยากาศให้ไม่น่าย้ำกรายเข้าไปใกล้
        
                 สายตาของผมสะดุ้งกับอะไรบางอย่าง....
                 คล้ายกับมีความเคลื่อนไหวอยู่ริมทาง......
                 วัตถุสีขาวขยับช้าๆใกล้เพิงหินใหญ่เบื้องหน้า.....
      
                 อะไร..?  
        
                 หยุด...ไม่..ผมจะไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น......
        
           แต่ผมยังไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่มัดเดียว...
           ความคิดใดยังไม่ทันได้แล่นเข้ามาในสมอง....
          
           ร่างซีดขาวเคลื่อนตัดหน้ารถในระยะกระชั้น ผมหักพวงมาลัยสุดแรงหมายพ้นสิ่งนั้น ล้อขัดจนรถเหวี่ยงตัวไปรอบๆอย่างบ้าคลั่ง พรรคพวกต่างกระเด็นออกจากเบาะหลังจากแรงกระชากอันดุดัน แต่ตัวผมยังคงยึดพวงมาลัยเอาไว้เป็นที่พึ่งสุดท้าย ข้างลำฝั่งตรงข้ามคนขับเหวี่ยงอัดกับผาหิน  เสียงดังกัมปนาทคล้ายโสตไม่รับรู้สุรเสียงใดๆทั้งสิ้น ร่างอันด้านชาลอยขึ้นในอากาศ ก่อนจะกระแทกพื้นใบไม้แห้งอย่างหนักหน่วง ความเจ็บปวดเข้าจู่โจมทั่วสรรพกายแทนความปวดชาเมื่อครู่ ของเหลวเหนียวข้นไหลทะลุผ้าลายพราง หัวปวดหนักไปหมด น้ำเหนอะหนะเปรอะใบหน้าไปเสียข้างหนึ่ง ผมปวดแขน กระดูกสีขาวโพลนแทงทะลุออกมานอกผิวหนัง 
           
            แล้วคนอื่นๆล่ะ.....
           
             ผมกวาดตามองซากยับเยินของรถ มันคล้ายกับเศษกระดาษถูกขยำแปะเอาไว้ข้างผา ร่างพรรคพวกถูกเหวี่ยงกระจายออกไปคนละทิศละทาง ถ้าจำไม่ผิด บางคนถูกเหวี่ยงออกตั้งแต่ก่อนรถอัดกับผาหินเสียด้วยซ้ำ อย่า....อย่าให้มีใครต้องเป็นอะไรเลย...
           
             แขนข้างขวาที่ยังคงใช้การได้ ค่อยยันกายปวดร้าวขึ้นจากพื้น เศษดินและใบไม้ติดตามร่างโดยที่ไม่มีแม้กำลังจะปัดมันออกไป สายตาพร่ามัวพาร่างเดินไปอย่างไร้ทิศทาง เหมือนจะเอียงวูบอีกครั้ง ผมทรุดลงบนพื้นพยายามมองไปรอบๆ ยังไม่มีใครฟื้นขึ้นมาแม้แต่คนเดียว หรือผมจะต้องตายอยู่ที่นี่ ให้ตายสิ...ใครก็ได้ตื่นขึ้นมาสักทีเถอะ...แต่ยังคงปราศจากความเคลื่อนไหวใดจากเงาตะคุ่มที่นอนคู้อยู่บนพื้น
             
              มือเรียวงามเอื้อมจับต้นแขนขวาผมเอาไว้อย่างแผ่วเบา....
              สัมผัสนิ่มนวลของสตรี......
              ใบหน้านวลเปื้อนยิ้มของเธอขาวเด่นแม้ในความมืด....
                        
                “ ค่อยๆลุกขึ้นสิ”หรือผมจะตาฝาดไม่ก็คงจะเหลือแต่วิญญาณ..เธอกำลังพูดกับผมอย่างนั้นเหรอ
                                                    
                “ นี่ผมตายแล้วใช่ไหม.." หญิงสาวหัวเราะคิก ขบขันกับคำถามของผม แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
                         
                “ เปล่าสักหน่อย....คุณยังไม่ตายนี่...ก็รู้สึกตัวดีไม่ใช่เหรอคะ”
              
              เธอถามอย่างนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าจะตอบอย่างไร ถ้าผมเคยตายมาก่อนก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของมันอยู่หรอก มือเย็นเชียบปานน้ำแข็งกระตุกเหมือนต้องการให้ผมลุกขึ้น รอยยิ้มอ่อนหวานนั่นช่วยปลอบประโลมให้ความหวาดกลัวในตัวเธอมลายหายไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมไม่กลัวเธอเลยถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นอะไร อ้อมแขนมัจจุราชอยู่ใกล้เพียงเอื้อม มันอาจจะจวนตัวผมแล้วก็ได้กระมัง
             
                 ภาพรูปถ่ายของหญิงสาวท่าทางร่าเริงสดใสผู้นั้น แล่นเข้ามาในห้วงจิต 
                  เธอ.....คือหญิงสาวผู้สาบสูญคนนั้น.........
                                        
                                    “ ไม่ทันแล้วใช่ไหม”
               
               ยิ้มละไมผุดบนใบหน้าขาวซีดจนเจือสีน้ำเงินอ่อน ผมดำเส้นบางระบนดวงหน้าของเธอเบาๆตามแรงลม มือผมเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ และมันลอยขาวขึ้นมาจากความมืด คล้ายๆกับเธอ
 
                “ ทันหรือไม่ทันน่ะ...ช่างมันเถอะ..อย่างน้อยความพยายามของคุณไม่สูญนี่คะ...ฉันอยู่แถวๆนี้เท่านั้นเอง"น้ำตาเอ่อท่วมในดวงใจโดยไม่ปรากฎให้เห็นภายนอก
                         
                “ คุณคงจะเจ็บปวดมาก...ผมขอโทษ....ผมไม่รู้ว่าจะชดใช้ยังไง..”คำพูดจุกอยู่ที่ลำคออย่างกระอักกระอ่วน มันเป็นความรู้สึกผิด มันเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง
                                
                “ ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยค่ะ....อย่าโทษตัวเองเลย" ผมยังคงทรุดอยู่ตรงนั้น ความเจ็บปวดยังคงรบกวนจิตอยู่เนืองๆ อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องแสดงว่าผมยังมีชีวิตอยู่ มือเย็นนั่นยังคงจับแขนผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าเธออยากจะเอาผมไปอยู่ด้วยหรือต้องการจะช่วยเหลือกันแน่ 
                   
                “ คุณไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งนั้น....แค่พาฉันกลับบ้าน...ฉันอยากกลับบ้าน.."น้ำเสียงเรียบเย็นของเธอเริ่มระส่ำ น้ำตาสีดำไหลตัดแก้มสีขาวเผือกของเธอ ซึ่งไม่ต้องเดาว่าของเหลวสีเข้มนั่นคืออะไร        
                    
                “ ที่นี่ทั้งเงียบ....ทั้งหนาว.....ไม่มีใครเลย...ฉันอยู่คนเดียว...ฉันเหงามากรู้ไหม”
            
               ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอ แม้เธอไม่ปริปาก ผมไม่กลัวเลย.....
               ความสงสารกลับเข้ามาแทนที่อย่างไม่น่าเชื่อ...........
            ื    สติสัมปชัญญะใกล้จะดับมืด ร่างกายอันหนักอึ้งเมื่อครู่กลับเบาหวิว 
               ได้เวลาแล้วใช่ไหม.........
                การประมวลสิ่งต่างๆในบรรยากาศหยุดลงชั่วขณะ คล้ายหลับไป
              
                                “ ฉันอยากกลับบ้าน...” 
            
                  มีเพียงเสียงนั้นที่ยังคงก้องสะท้อนอย่างมีตัวตน
............................................................................................

                  เสียงความเคลื่อนไหวไปมาปลุกจิตให้ตื่นขึ้นมา ความหนาวเย็นลึกถึงกระดูกนั้นถูกแทนที่ด้วยไออบอุ่นรอบกาย ความเจ็บปวดดูเหมือนจะย้อนกลับมาเล่นงานอีกครั้งหนึ่ง แสงอาทิตย์สีนวลทาบบนเปลือกตาคล้ายกับบังคับให้มันเลื่อนเปิดออก หัวปวดหนัก มึนตื้อไปหมด สายตาอันพร่าเลือนค่อยปรับความคมชัดขึ้นทีละน้อย
           
                  “ เป็นยังไงบ้าง"ผมจำได้ในทันทีว่าคือเสียงพี่ตฤณ  ถึงแม้ว่าร่างมนุษย์ตรงนั้นจะยังคลุมเครืออยู่ก็ตาม
                                                      
                  “ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยพี่” เสียงผมอ่อนแรงจนแทบจำตัวเองไม่ได้  ภาพชายผู้คุ้นเคยปรากฎชัดเจนแล้ว คล้ายกับคนเพิ่งสร่าง แขนขวายันกายขึ้นเพื่อความสะดวกในการสื่อสาร สายตาของผมเพิ่งจะสะดุดกับบาดแผลถลอกบนร่างพี่ตฤณ 
        
      “  ฉันต่างหากที่ต้องถามแก...เมื่อวานน่ะ...ที่ฉันถูกเหวี่ยงตกรถลงมา..พอฟื้นก็เห็นแกนอนจมกองเลือดอยู่ข้างๆรถนั่นแหละ...แล้วตกลงว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น....หะ..? ”
        
                   ผมกลืนก้อนคำตอบลงไป บอกไปก็คงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกจิตหลอนเสียเปล่า ใครจะเชื่อ...?!
                
        “ ก็....ก็ผมเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้วิ่งตัดหน้ารถ...อาจจะเป็นสัตว์ป่าหรืออะไรสักอย่าง...ผมขอโทษ...ที่ทำให้พวกพี่ทุกคนเดือดร้อน....แล้วทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง”
         
                   รู้ตัวดี....ว่าหัวข้อการสนทนาหักเหออกจากประเด็นไปมาก
                   และผมโกหก....
                             
                       “ ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก...แกน่ะหนักสุดแล้ว"  ทุกคนไม่เป็นอะไร ผมค่อยเบาใจขึ้นหน่อย...
                                                                                   
                                                                                                     แต่....ผู้หญิงคนนั้นล่ะ...
 
                       “ แล้วพวกพี่ตามงานต่อหรือเปล่า" พี่ตฤณยังคงไม่ละสายตาออกจากการง่วนทำอะไรบางอย่างกับกล่องพยาบาล
                                                   
                       “ ก็ตาม....แต่ยังไม่ได้เรื่องว่ะ" พี่ตฤณพูดพลางส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
                                       
                       “ แต่ผมรู้......ว่าเธออยู่ที่ไหน” พี่ปละออกจากกล่องใบนั้น สายตาของเขาฉายแววประหลาดบางอย่างมาที่ผม
                                                    
                                     “ หมายความว่ายังไง...”
            
                       “ ก็หมายความตามที่พูด....ศพของเธออยู่ตรงผาหินที่ผมขับรถชนเมื่อคืนนี้นั่นแหละ”
                 
                    พี่ตฤณเข้าใจความหมายของมันในตัวโดยไม่ต้องอธิบาย เขาปราดออกไปพร้อมกับลูกน้องอีกสามสี่คน มุ่งสู่ที่หมายในทันที
                    ใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว จิตใจเริ่มลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข แต่เหมือนกับฟ้าดินเป็นใจ...
                    มีเสียงใครปรากฎอยู่นอกประตู.....
                    ผมดีใจที่เธอได้กลับบ้านแล้ว....
                   
                    รอยยิ้มอ่อนหวานของหญิงสาวเบื้องหน้าผมเป็นสิ่งยืนยันได้ดี....


                  
                      

จากคุณ : พลเมืองตัวน้อย
เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 20:12:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com