5 ให้เธอ
เสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นดังขึ้นตอนที่ข้าวขวัญอยู่ในห้องน้ำ ลุงสิบจึงได้ยินเสียงผู้ชายรับสายแทนที่จะเป็นลูกสาว ตอนแรกเขานึกว่าโทรผิดเบอร์ เกือบจะวางสายแล้ว แต่นำทัพพ์จำเสียงลุงสิบได้ รีบมารยาทดี
สวัสดีครับลุงสิบ นี่ผมเอง มันยังมีหน้าทำเสียงหล่อประจบ คุณพ่อเพื่อน
เฮ่ย... แกมาทำอะไรห้องลูกสาวฉันดึกๆ ดื่นๆ?
นำทัพพ์ไม่ตอบ กลับทำเสียงหล่อไร้เดียงสาถาม... ลุงสิบจะคุยกับขวัญเหรอครับ เค้าอาบน้ำอยู่ รอสักครู่นะครับ ผมจะไปตามให้
อ๊ากกกกก!!! ไอ้เชี่ยยยยย #%*&@)(!_#$*_-+@*!!! เสียงลุงสิบทะลุหูโทรศัพท์ออกมา ถ้าตัวแกกระโดดออกมาได้ก็คงกระโดดออกมาขบหัวเขาแล้ว!
บ้าจริง รับโทรศัพท์ทำไมเล่า? ข้าวขวัญโมโหจนควันออกหู รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำแย่งโทรศัพท์ในมือเขาไป
เอ๋า เราช่วยออกค่าโทรศัพท์น้า มาห้ามเราใช้ได้ไง มันยังมีหน้ามาเถียงอีกเหรอ
นำทัพพ์ไม่ได้รับสายโดย ไม่ตั้งใจ เขามีเจตนาอยากเปิดเผยเรื่องที่เขามาอาศัยอยู่กับข้าวขวัญให้ลุงสิบรับรู้ไว้ตั้งแต่ต้น ถ้าแกจะมาฆ่าเขาก็ให้แกทำซะตอนนี้ ดีกว่าหลบๆ ซ่อนๆ ให้แกมารู้ตอนหลัง
แต่ข้าวขวัญไม่เข้าใจ ว่านี่คือวิธีการ ขออนุญาตผู้ใหญ่ แบบดื้อๆ ของนำทัพพ์
ฝากไว้ก่อนเหอะ เธอชี้หน้าคาดโทษแล้วหันหลังให้ ไม่สนใจเขาอีก เพราะมีงานสำคัญรออยู่ในสาย
นำทัพพ์ได้ยินเสียงลุงสิบโวยวาย @&%)(*@_)+$@@ _^$@#-+/< แต่จับไม่ได้ว่าลุงแกว่าอะไร ได้แต่ฟัง คนทางนี้ อ้อนพ่อเสียงหวาน
โธ่... พ่อขา นำทัพพ์เค้าไม่ทำอะไรอย่างงั้นหรอกค่ะ พ่อไม่ต้องห่วง $*^%@_)(!_+-=<:?/<&@ ] ...ดูท่าลุงสิบยังไม่ยอมเชื่อง่ายๆ
เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ค่ะพ่อ รับรองได้ หนูไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับเค้าเลยสักนิด ไม่เลยจริงๆ ค่ะ
นำทัพพ์แอบกัดริมฝีปากตัวเอง... เธอไม่เคยคิดอะไรกับเขาเลยเหรอ สักนิดก็ไม่เคย?
^%#@>?)(@#%@@@ $#)($!$^%##@ ...ข้าวขวัญนิ่งฟังพ่ออีกพักใหญ่
ไม่มีทางค่ะพ่อ ต่อให้เค้า... อ่า... เกิดบ้าขึ้นมา ก็ทำอะไรหนูไม่ได้หรอก ตัวแค่นั้น แถมยังขาเป๋ด้วย
นำทัพพ์ได้ยินที่ข้าวขวัญบอกกับพ่อแล้วเกิดอาการคันหัวใจขึ้นมาตะหงิดๆ ถึงแม้ว่า เธอพูดเพื่อให้พ่อไว้ใจเขา แต่แบบนี้ เท่ากับหยามกันชัดๆ มันน่าสั่งสอนซะให้เข็ด
พ่ออย่าลืมสิค้าว่าหนูนักมวยเก่าน้า ถ้าสู้กัน ยังไงหนูก็ชนะอยู่ดี รับรองไม่เกินยกที่สอง!
เขาล้มตัวลงนอนบนโซฟา ฟังข้าวขวัญหว่านล้อมพ่ออยู่นานด้วยความคับข้องใจ จนมาถึงประโยคสุดท้าย ที่สามารถหยุดเสียง #@$>()<$$_***#@ ของลุงสิบได้ แต่ทำเขาแทบกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น
...นอกจากขาพิการแล้ว เค้ายังไร้สมรรถภาพด้วยนะคะพ่อ ...เปล่าค่ะ เปล่า เค้าไม่ได้บอกหนูแบบนั้น ...ไม่ค่ะ ...หนูไม่เคยพิสูจน์ แต่ใครๆ เค้าก็รู้กันทั้งโลก พ่อสบายใจได้เลยค่ะ!
ผู้หญิงบ้า ตัวเองนั่นแหละเป็นคนหลอกลวงคนทั้งโลกจนเข้าใจเขาผิดหมดแล้ว
ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ฮ่องเต้ยินยอมให้ ขันทีน้อย อยู่ร่วมตำหนักเดียวกับองค์หญิงโฉมงาม ในที่สุด ลุงสิบก็อนุญาตนำทัพพ์อยู่ร่วมห้องกับลูกสาวสุดที่รัก!
วางหูโทรศัพท์เสร็จ แม่คุณก็หันมาบอกเขา ...พ่อบอกว่า ว่างเมื่อไหร่ให้เธอรีบไสหัวไปหา
นำทัพพ์รู้สึกเสียวสยอง ไม่อยากจะคิดเลยว่า ลุงสิบเตรียมพิสูจน์อะไรเขาบ้าง สงสัยต้องหากระจับใส่ไปพบแกซะแล้ว
แต่ก่อนอื่น เขาคงต้องจัดการสั่งสอนลูกสาวลุงสิบให้เข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาถูกต้องเสียหน่อย...
ในสายตาเธอ เราดูอ่อนแอมากเลยเหรอ?
ข้าวขวัญรู้สึกสะดุดใจกับน้ำเสียงแปลกๆ ของนำทัพพ์ สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้เธอรีบเข้าไปแต่งตัวในห้องนอน ตอนนี้เธอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำแบบกิโมโน ถึงข้างนอกจะมิดชิดดี แต่ข้างในโล่งโจ้ง รู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงชอบกลโดยเฉพาะเมื่อต้องมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขา ทว่า...ยังไม่ทันจะลุกขึ้นเธอกลับถูกแขนของเขาล๊อคเอวไว้ให้นั่งอยู่ที่เดิม
เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งไป ตอบเรามาก่อน ...เธอคิดว่าถ้าสู้กันจริงๆ จะชนะเราได้เหรอ?
ชนะสิ
อี๊ดๆๆๆๆ ...เสียงสัญญาณเตือนว่า เธอตอบผิด ดังขึ้นในสมองของข้าวขวัญ แต่ด้วยความดื้อรั้น เธอกลับกดปุ่มปิดเสียงแล้วเชิดหน้าย้ำคำตอบอย่างถือดี... ฉันเป็นมวยนะยะ เคยซัดผู้ชายตัวโตๆ มานักต่อนักแล้ว เธอก็เห็นเองกับตา
วาบๆๆๆๆ ...ไฟสีแดงกระพริบเตือนว่า เธอตอบผิดมหันต์ สว่างโร่ในหัว
อย่าประมาทเกินไป นำทัพพ์ส่ายหน้า ...ยังไงแรงผู้ชายก็มากกว่า เธอควรระวังตัวไว้บ้าง ที่เธอเคยซัดคนเค้าคว่ำน่ะ เป็นเพราะพวกนั้นไม่ทันตั้งตัว มัวแต่ชีกอ เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวบางๆ แต่ถ้าสู้กันจริงๆ ล่ะก็...
ไม่มีทาง!
ไฟสัญญาณเตือนในหัวเธอเปลี่ยนจากกระพริบถี่เป็นสีแดงจ้าสว่างค้าง เหมือนจะบอกว่า เธอตอบผิดหมดอดแก้ตัวแล้ว!
ลองดูมั๊ยล่ะ? จบประโยคนั้นของนำทัพพ์ ข้าวขวัญก็ถูกมือใหญ่ของเขากดไหล่ให้ล้มหงายลงบนโซฟา และเพียงชั่วพริบตา ร่างของเธอก็ตกอยู่ใต้ร่างของผู้ชายที่เธอคิดว่าไม่มีทางสู้เธอได้!
มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ บ้าที่สุด! ทำไมเธอขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย... ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้!!!
ข้าวขวัญรู้สึกตกใจ พยายามดิ้นหนีจากสถานการณ์ เสียเปรียบทุกประตู ตามสัญชาตญาณและหลักการต่อสู้ที่เรียนรู้มา แต่กลับพบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด จะขยับมือหรือ ข้อมือทั้งสองข้างก็ถูกมือใหญ่รวบไว้แน่นเหนือศีรษะ... ตั้งแต่ข้อมือจนถึงข้อศอกถูกลำแขนของเขาตรึงติดกับโซฟา จะขยับขา... ก็เพิ่งรู้ตัวว่าตั้งแต่เอวลงไปถึงปลายเท้า ไม่มีส่วนไหนรอดพ้นจากการถูกร่างท่อนล่างของเขากระหวัดเกี่ยวรัดเอาไว้แนบแน่น
กลิ่นกายของผู้ชายกับสัมผัสชิดใกล้อย่างที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนทำให้เกิดอาการเสียววูบในอกแล้วลามลึกลงไปในช่องท้องอย่างรวดเร็ว ที่ร้ายยิ่งกว่า คือความร้อนจากร่างกายที่ถ่ายทอดลงมาผ่านเสื้อคลุมอาบน้ำผืนบางซึ่งหลุดรุ่ยจากการดิ้นรนจนเปิดทางให้เนื้อแนบเนื้อทำให้เธอแทบเป็นบ้า
ถึงตอนนี้ ลูกสาวลุงสิบเข้าใจแล้วว่า นำทัพพ์ไม่ใช่ลูกหมาเชื่องๆ อย่างที่เธอคิดเลย แต่เขาคือหมาป่าหนุ่มประเปรียว ดุร้ายและ...เจ้าเล่ห์ แกล้งยอมให้เธอจับผูกโบว์แต่งตัวชั่วคราวเพื่ออะไรบางอย่าง...
เป็นครั้งแรกที่ข้าวขวัญเกิดความหวาดกลัว... กลัวเขา! ในความรู้สึก มันเหมือนกับว่า ร่างที่คร่อมบนตัวเธออยู่นี้มีขนาดใหญ่ขึ้น... ใหญ่ขึ้นทุกที เธอเคยแปลกใจเมื่อยืนเปรียบเทียบวัดความสูงกับนำทัพพ์ และไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาว่าเขาตัวโตกว่า แต่ในเวลานี้ เธอเพิ่งจะรู้ สำนึก ถึงความจริงข้อนั้น และยอมรับว่าสู้แรงเขาไม่ได้ ต่อให้ดิ้นรนจนสุดกำลังก็ยังไม่สามารถหลุดพ้น ได้แต่ปล่อยร่างให้เขากดจมลงไปในโซฟาช้าๆ ด้วยความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
นำทัพพ์กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากเย็น...ในที่สุด เขาก็ได้เห็นแล้ว... นัยน์ตาคมสวยมองมาด้วยแววตาตื่นตระหนกกับความพ่ายแพ้ ก่อนจะหลบสายตาผินหน้าไปอีกทาง ร่างบางระหงที่อ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างเขาทำเอาหัวใจของชายหนุ่มสั่นไหวจนแทบคุมสติไม่อยู่ ไม่ได้รู้สึกยินดีกับชัยชนะที่ได้มาแต่อย่างใด กลับต้องทนทุกข์ทรมานกับความปรารถนาเร้นลึกที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยสัมผัสนุ่มนิ่มอบอุ่นและหอมละมุนที่เขาเฝ้าฝันมานาน อา... ไม่ไหวแล้ว... เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอเข้าใจแล้วรีบปล่อยเธอไป ก่อนที่จะบังคับตัวเองเอาไว้ไม่ได้
ยอมแพ้แล้วเหรอ ฮึ...นักมวยหญิงคนเก่ง? เสียงกระซิบแหบพร่าที่ข้างหู ฟังดูคล้ายหยอกล้อคล้ายปลอบประโลมทำให้หัวใจข้าวขวัญเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมา
ถ้าแค่นี้ยังสู้ไม่ไหว แล้วเธอคิดว่าจะรอดมือเราเหรอ?
นำทัพพ์ฝืนหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของเขาช่างฝืดเหลือเกิน
นี่เรายังไม่ได้บีบคอหรือต่อยท้องเลยนะ เขาแค่อยากสอนให้เธอรู้ไว้ ว่าเวลาผู้ชายชั่วขึ้นมาน่ะ มันทำอะไรได้บ้าง แต่ข้าวขวัญฟังแล้วผวาจนแทบหยุดหายใจ!
อย่านะ! จะ...จะทำอะไรน่ะ?
จะทำให้เธอรู้ไงว่า ถึงเราขาพิการ แต่ก็ไม่ใช่อ่อนแอ ไร้สามารถอย่างที่เธอสบประมาท!
เขารีบเข้าบทสรุป เพื่อให้เธอเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ แต่ข้าวขวัญกลับคิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ... โดยเฉพาะเมื่อส่วนกลางลำตัวเธอได้สัมผัสบางสิ่งบางอย่างบนร่างเขาซึ่งช่วยยืนยันว่าเขา ไม่ใช่อ่อนแอไร้สามารถ ไม่สิ...มันไม่ใช่แค่ ไม่อ่อนแอ แต่มัน แข็งแรงมาก ต่างหาก!
ยิ่งนึกถึงว่ามันไม่ใช่ ไร้สามารถ แต่ สามารถ ทำอะไรเธอได้บ้าง ข้าวขวัญก็รู้สึกอยากตายเสียตรงนั้น
ในสถานการณ์คับขัน วิญญาณนักสู้หญิงก็กลับมาสิงร่างอีกครั้ง ในเมื่อแขนขาถูกเขาล๊อคไว้หมดเหลือแต่ส่วนหัวที่ยังพอขยับได้ ข้าวขวัญจึงตัดสินใจผงกหัวขึ้นมาอย่างแรง โดยหวังว่าจะชนเข้ากับส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าเขา ต่อให้ต้องเจ็บทั้งคู่ก็ยังดีกว่า...
แต่ทว่า... นำทัพพ์ระวังตัวอยู่ก่อน จึงถอยใบหน้าออกไปอย่างรวดเร็วจนห่างพอพ้นจากการถูกเธอชน ผลกลับกลายเป็นว่า นอกจากแขนขาและลำตัวเธอประกบนาบแนบติดกับเขาแล้ว ข้าวขวัญยังยื่นจมูกเธอเข้าไปสัมผัสกับจมูกของเขาด้วย!
เมื่อตาสบตา ในระยะที่ลมหายใจกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้น โลกทั้งโลกก็เหมือนหยุดหมุน เวลาก็เหมือนหยุดเดิน
ริมฝีปากของทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันทีละน้อย... ทีละน้อย... โดยไม่รู้ตัว ราวกับแม่เหล็กสองขั้วซึ่งมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น ข้าวขวัญไม่อาจทนสานสบตาที่จ้องมองมาอย่างมีความหมายได้อีกต่อไปจึงหลับตาลงรอรับความอบอุ่นจากสัมผัสอันแสนพิเศษที่กำลังมาถึง
แต่แล้ว ทันทีที่กลีบปากทั้งสองแตะกันแค่เพียงแผ่วเบาราวกับขนนกที่ตกต้องใบอ่อนบนยอดไม้ นำทัพพ์กลับหยุดยั้งตัวเองเอาไว้ กลั้นใจผละจากความหอมหวานที่รอเขาอยู่ตรงหน้าอย่างแสนเสียดาย ปล่อยให้ร่างที่เพิ่งได้รับอิสรภาพกระทันหันสะท้านขึ้นตามมาคล้ายไขว่คว้าหาพันธนาการที่หายไป พร้อมกับหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดราวกับคนเพิ่งรอดจากการจมน้ำ ตาคมสวยเหม่อมองมาเหมือนจะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
จำไว้นะขวัญ ไม่ใช่ว่าเรา ทำไม่ได้ ...แต่เรา ไม่ทำ!
ลูกสาวลุงสิบอ้าปากค้าง เธอไม่เคยอยากกรี๊ดๆๆๆ แบบตัวอิจฉาในละครหลังข่าวเท่ากับตอนนี้มาก่อนเลย แต่มันกรี๊ดไม่ออกจริงๆ ยิ่งเมื่อได้ยินประโยคต่อมา...
ที่เราไม่ทำ เพราะเรากลัวโซฟาเปียก! แก้ตัวเสร็จ นำทัพพ์ก็ยิ้มแก้มบุ๋มตาหยี จนข้าวขวัญสงสัยว่าหมาป่าน่ากลัวที่เธอเผชิญเมื่อครู่เป็นเพียงฝันร้ายในคืนที่กินอิ่มเกินไปหรือไง แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊เขาว่าอะไรนะ... โซฟาเปียก!?
อ๊าย!!!... ลามกที่สุด!
ลามกตรงไหน เราหมายถึงผมเธอเปียก เขาชี้โซฟาตรงที่หัวเธอนอนอยู่เมื่อครู่มีรอยด่างดวงที่เกิดจากหยดน้ำจากผมเพิ่งสระใหม่
ใครกันแน่ลามก? คิดอะไรอยู่น่ะ มีอะไรทำให้โซฟาเปียกอีกเหรอ?
หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา... ข้าวขวัญก็ไม่กล้าป่าวประกาศกับใครๆ ว่าเพื่อนสนิทของเธอไร้สามารถอีก (แต่เค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองหมดแล้ว) ในทางกลับกัน นำทัพพ์กลับเป็นฝ่ายกระโดดขึ้นเก้าอี้สีแดงประจำตำแหน่ง เรียกร้องให้เธอปฏิบัติหน้าที่นางงามแสนดีเข็นหนุ่มหล่อพิการอย่างเคย พอนานๆ ไป... ข้าวขวัญก็เลยทำลืมๆ เรื่องในค่ำคืนนั้นไปซะ พยายามหลอกตัวเองว่าหมาป่าตัวนั้นคือความฝัน จะมีก็แค่บางเวลา เมื่อหันไปพบสบสายตาที่เขาแอบมองเธอยามเผลอ ข้าวขวัญอดถามตัวเองไม่ได้ว่า... แล้วสัมผัสที่ริมฝีปากเธอเล่า เป็นความฝันด้วยหรือเปล่า?
นอกจากเข็นเก้าอี้สีแดงพาเขาไปไหนมาไหนแล้ว นำทัพพ์ยังมอบกุญแจรถของเขาให้ข้าวขวัญฝึกขับด้วยเหตุผลที่เธอฟังแล้วอยากบีบคอเขาให้ลิ้นจุกปากนัก
เราขาไม่ดี ความจริงขับรถไม่ได้ อันตราย เธอขับให้เรานั่งดีกว่า
ขาไม่ดี ไม่สามารถขับรถได้ แต่ไม่ไร้สามารถด้านอื่นนะยะ ...ชิ! นอกจากใช้เธอเป็นพยาบาลแล้วยังจะหลอกใช้เธอเป็นคนขับรถส่วนตัวอีกด้วยเหรอนี่ อีตาบ้า
ท่านเจ้าสัวซื้อรถสปอร์ตคันหนึ่งราคากว่าสิบล้านให้นำทัพพ์เป็นรางวัลตอนสอบเข้ามหาลัยได้โดยที่เขาไม่เคยร้องขอ เพื่อกันข้อครหาว่าลำเอียง เพราะคุณหญิงถอยรถสปอร์ตให้พี่พลและพี่พลอยคนละคันตอนเข้ามหาลัยเหมือนกัน แต่คนเรียบง่ายอย่างเขาไม่ชอบความโดดเด่น จึงจอดทิ้งไว้ในโรงรถที่บ้านอยู่นาน จนถึงตอนนี้ รถสปอร์ตคันนั้นก็ได้กลายเป็นของข้าวขวัญโดยปริยาย เพราะไม่มีใครเคยเห็นเจ้าของที่แท้จริงขับเลย นอกจากนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของเธอ ยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ดาวมหาลัยไฮโซ ทำให้คำร่ำลือ ลูกสาวเจ้าพ่อ สมจริงยิ่งขึ้นไปอีก ก็ชีเล่นใช้รถสปอร์ตคันหรูมาเป็นรถฝึกขับนี่นา
ไม่ใช่แค่ขับรถสปอร์ตเท่านั้น... ข้าวขวัญยังหันมาใช้ของแบรนด์เนมด้วย
แต่เธอไม่ได้ซื้อเอง นำทัพพ์ก็ไม่ได้ซื้อ เรื่องของเรื่องก็คือ... แม่แท้ๆ ของเขาเป็นสาวสวยแต่งตัวเก่ง สมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ชอบสะสมกระเป๋ารองเท้าและเสื้อผ้าแบรนด์เนม มีทั้งรุ่นคลาสิค แบบแฟชั่น และคอเลคชั่นที่หายากๆ กระเป๋าบางใบเป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น ผลิตออกมาเพียงแค่ไม่กี่ใบ สมบัติเหล่านั้นตกเป็นของทายาทที่เหลือรอดอยู่คนเดียว ซึ่งก็ไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะเป็นผู้ชาย ได้แต่เก็บไว้ในห้องเก็บของที่บ้านหลังเดิม
วันหนึ่ง ข้าวขวัญเข็นเขาไปเดินเล่นตลาดนัดขายของมือสองที่จัดขึ้นในมหาลัย พอเขาเห็นแฟชั่นย้อนยุคที่กำลังหวนกลับมาฮิตใหม่ ก็นึกขึ้นได้ว่า น่าจะเอาของแม่มาให้เธอใช้ ดีกว่าเก็บไว้เฉยๆ ก็เลยกลับไปบ้านเก่าขนเอาของเหล่านั้นมาให้เธอ ผลิตภัณฑ์ที่แม่ของเขาทิ้งไว้ส่วนมากเป็นหนังแท้ ทนทาน ถึงเวลาจะผ่านมาเป็นสิบปีก็ยังสภาพดีเหมือนซื้อใหม่ แทบไม่ต้องทำความสะอาดด้วยซ้ำ เพราะเจ้าของเดิมรู้จักถนอมรักษาและเก็บใส่กล่องอย่างดี
ตอนแรก ข้าวขวัญรู้สึกไม่สบายใจ ถึงเธอจะไม่เคยสนใจสินค้าแบรนด์เนมเลย แต่เห็นโลโก้ที่ติดอยู่กับของที่นำทัพพ์ให้มา เธอก็พอจะรู้ว่ามันของแพงแน่ๆ เลยไม่กล้ารับ
รังเกียจของเก่าของแม่เราเหรอ?
ไม่ใช่ แต่...
แต่อะไร? ...เอาไปใช้เหอะน่า ดีกว่าปล่อยให้เน่าคาตู้ นำทัพพ์ขู่ เพราะรู้จุดอ่อนว่าเธอมีนิสัยขี้เสียดายของ ...หรือเธอไม่เห็นเราเป็นเพื่อน? เจอมุกน้อยใจเข้าไป ข้าวขวัญก็ใจอ่อนยอมรับของแต่โดยดี จากนั้นมาลูกสาวลุงสิบเลยกลายเป็นผู้นำแฟชั่น ใช้ของแบรนด์เนม ขับรถสปอร์ต อยู่คอนโดฯ หรู ด้วยบุคลิกคุณหนู มาดสาวมั่น ประกอบกับอุปกรณ์ไฮโซ หลักฐานแวดล้อมก็มัดตัวลุงสิบแน่นจนดิ้นไม่หลุด พ่อของข้าวขวัญต้องเป็นมหาเศรษฐีแน่นอน!
ในขณะที่ขาเม้าแถวบ้านลุงสิบ เห็นข้าวขวัญหายตัวเข้าเมืองไป กลับมาเยี่ยมบ้านอีกทีก็มีรถหรูขับ แต่งตัวเริดหรูผิดหูผิดตา กลับกลายเป็นข่าวว่า ลูกสาวบ้านนี้ท่าจะขายตัวแน่!
เฮ่ย แต่เค้าสอบติดมหาลัยดังนะ
อู๊ย ตาแก่นี่ไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้นักศึกษาขายตัวมีเยอะแยะไป
งั้นก็เหมือนแม่มันน่ะสิ ที่เค้าว่าไปขายตัวในเมือง โชคดีได้ผัวใหม่ไฮโซเลยทิ้งไอ้สิบไป
เออ... เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ผู้หญิงบ้านนี้!
ยัยลูกสาวนี่ก็คงมี เสี่ยเลี้ยง !
จากคุณ |
:
Acciacatura
|
เขียนเมื่อ |
:
14 พ.ค. 54 22:31:42
|
|
|
|